17

ตอนที่ 16


                คิ้วเรียวของหญิงสาวผูกเข้าหากัน เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณชินเป็นเกย์รับ คนที่กอดเขากลมแบบนั้น แถมยังรีบกันท่าไม่ให้เราไปหว่านเสน่ห์คุณชินนั้นก็เป็น... เฮ้ย...ย

               เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ตอนอยู่กันสองต่อสอง ไม่ว่าเขาจะพูดหยอดตอดหวานขนาดไหน แต่พอมีคนอื่นอยู่ด้วย ตาหมีขี้อ่อย ก็กลายเป็นหมีใบ้ขึ้นมาทันที แค่มีลุงมิ่งอยู่ หลานชายตัวแสบของคุณย่า ก็นั่งเงียบตลอดทางกลับบ้าน กดมือถือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ปริปากพูดกับเธอสักคำ เรียกว่า...ทำเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตชื่อ ช่อผกา อยู่บนรถเลยก็ว่าได้

               ในที่สุด เวลาที่หญิงสาวรอคอยก็มาถึงสักที วินาทีที่รถเลี้ยวผ่านประตูรั้วของบ้าน ความอึดอัดและเสียงประหลาดที่ถามเธอซ้ำๆ ว่า ‘ทำไม’ ก็ค่อยๆ เริ่มจางหาย สาวน้อยพยายามปลดปล่อยความรู้สึกนั้นออกไป เรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องหาคำตอบก็ได้ หากมันจะยิ่งทำให้ชีวิตวุ่นวายมากไปกว่านี้

               ลุงมิ่งหยุดรถที่ปลายบันไดทางเข้าบ้าน ก่อนจะรีบวิ่งอ้อมมาเลื่อนประตูบานใหญ่ของรถให้เปิดออก เพราะคนที่นั่งใกล้ที่สุด ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะเปิดมันได้สะดวก ธามลงจากรถเป็นคนแรก แล้วเดินไปหยุดที่ปลายบันได ก่อนคนตัวเล็กอีกคนจะตามลงมา เธอหยุดมองแผ่นหลังของชายตรงหน้า ดูเหมือนว่าความสนใจของเขาจะไม่ละไปจากจอโทรศัพท์เลยแม้แต่วินาทีเดียว หญิงสาวถอนหายใจ ห้าทุ่มกว่าแล้ว ยังจะมีคนคุยกับเขาอีกเหรอเนี่ย

               เสียงรถที่แล่นออกไปเรียกสติให้ช่อผกาปัดความคิดออกแล้วเดินตรงเข้าบ้าน และในเสี้ยวนาทีที่เธอเดินผ่านเขา ท่อนแขนของเธอก็ถูกคว้าหมับเอาไว้ทันที สาวน้อยหันไปหาต้นเหตุด้วยความตกใจ สายตาของเธอประสานเข้ากับเจ้าของแขนกำยำที่พันธนาการเธอเอาไว้ เขามองเธอกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

               “หิวข้าว ทำไงดี” 

               ช่อผกานิ่งมองคนพูดครู่หนึ่ง พอลุงมิ่งไม่อยู่ ก็คุยกับเธอได้ขึ้นมาเชียว นี่สินะแคซาโนวาธามที่หน้าสังคมออนไลน์ขนานนามให้ ชั้นเชิงเยอะเหลือเกิน เพราะฉะนั้น การไม่เอาหัวใจตัวเองไปเสี่ยงเป็นครั้งที่สอง ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด 

               “เดี๋ยวฉันไปตามมาลีให้นะคะ”

               “หูว...ว จิตใจเหี้ยมมากอะ เพื่อนกำลังนอนฝันหวานอยู่ดีๆ ปลุกได้ลงคอ” คนตัวสูงว่าพลางส่ายหน้าราวกับว่าเธอทำเรื่องเลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัย “งั้นไม่ต้องหรอก ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ลง ฉันสงสารสาวใช้ตัวเล็กๆ อย่างมาลี ที่ต้องการการพักผ่อน”

               “งั้นก็แล้วแต่เลยคุณค่ะ” หญิงสาวว่า ก่อนจะสะบัดท่อนแขนของเธอให้หลุดออก แล้วตรงเข้าบ้าน แต่เพียงไม่กี่ก้าวที่เธอเดินขึ้นบันได

               “โอ๊ย...ย ทำไมบ้านนี้มีแต่ผู้หญิงใจร้าย ข้าวเย็นยังไม่ได้กินเลย ไส้จะขาดมั้ยเนี่ย” คนตัวเล็กสะบัดหน้ากลับไปหาต้นเสียง “ฉันไม่ได้ว่าเธอนะ ฉันแค่พูดลอยๆ ถามลม ถามฟ้า” 

               ช่อผกากลอกตาแล้วพ่นลมหายใจ เหลือเกินจริงๆ ผู้ชายคนนี้

               สุดท้าย...มีหรือคนตัวเล็กจะสู้สารพัดคำพูดของคนตัวโตได้ ผู้ช่วยสาวเดินหน้าบูดนำเข้าบ้าน แล้วตรงไปยังห้องครัว โดยมีคนเจ้าเล่ห์ยิ้มกรุ้มกริ่มลอยหน้าลอยตาเดินตามไปด้วยใบหน้าทะเล้น มือเรียวกดเปิดสวิตซ์ไฟ ก่อนจะเห็นหลังไวๆ ของผู้ชายตัวสูงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปนั่งที่โต๊ะไม้กลางห้องครัว สาวร่างบางกอดอกแล้วส่ายหน้า

               “อะไรจะรีบขนาดนั้น หิวมากรึไง”

               “รีบสิ กลัวเธอไม่ให้เข้า” 

            คนตัวเล็กหลุดหัวเราะให้กับคำตอบที่ตรงไปตรงมาของเขา 

               “แล้วจะกินอะไร” ช่อผกาว่า แล้วหันไปเปิดตู้เย็น ดูว่ามีอะไรพอจะทำให้ตาหมีผู้หิวโซกินได้บ้าง

               “อืม...ม เอาไข่เจียว” มือบางเลื่อนไปแตะไข่ไก่ “ไม่เอาดีกว่า หมูทอด” พอเธอลดมือลงไปจะหยิบเนื้อหมู “ไม่เอาๆ ไก่กระเทียมดีกว่า เอ หรือว่าผัดผักดี แต่ว่า...” 

            คนที่รู้ตัวว่ากำลังถูกแกล้ง พ่นลมหายใจใส่ตู้เย็น แล้วหันไปส่งสายตาอาฆาตให้กับชายหนุ่มที่นั่งกลั้นยิ้มอยู่

               “มีแต่ผัดกะเพราพริกยกสวน จะเอาไหม!”

               ธามกะพริบตาปริบๆ เพราะคำว่า ‘พริกยกสวน’ ที่พุ่งกระแทกหน้า หมีที่กำลังจะถูกเชือดด้วยพริกถึงกับต้องรีบเม้มปาก กลืนอาการกลั้นยิ้มเมื่อตะกี้นี้ลงไป ก่อนมันจะเป็นต้นเหตุ ทำให้เขาถูกสาวใจโหดเชือดเอาง่ายๆ

               “เอ่อ...งั้นเอา ไข่เจียว ไข่เจียวหมูสับ ก็พอ กะพงกะเพราไม่ต้อง ฉันเป็นคนกินง่าย พริกยกสวนก็ไม่ต้องนะ เปลือง เก็บไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า เนาะๆ”

               “ชิ!” ช่อผกาแยกเขี้ยวใส่คนลีลาเยอะ ก่อนจะหันไปจัดเตรียมอาหารมื้อดึกให้กับเขา ยิ้มบางๆ ผลิขึ้นบนใบหน้า ว่าง่ายๆ แบบนี้ตั้งแต่แรก ก็หมดเรื่องไปนานแล้ว

               หมดเรื่อง...ซะเมื่อไหร่ล่ะ

               ระหว่างที่หญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหารอยู่หน้าเตา เธอก็เห็นเงาของคนข้างหลังที่ทอดลงบนกระทะตรงหน้า เขาชะโงกซ้ายทีขวาทีสลับไปมาข้างศีรษะของเธอ จนแม่ครัวจำเป็นอดไม่ได้ที่จะห้ามปราม

               “คุณธาม อย่ายุกยิกสิ ไปนั่งที่โต๊ะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

               “ไม่ๆ ฉันต้องดู ฉันต้องแน่ใจว่าเธอไม่ได้แอบใส่พริกลงไป ยิ่งจิตใจเหี้ยมโหดอยู่” 

            ช่อผกามองใบหน้าจริงจังของเขาแล้วก็อดขำเบาๆ ไม่ได้ 

               “ฉันไม่ใส่พริกหรอกค่ะ ถ้าฉันจะใส่ ฉันใส่ยาถ่ายเลยดีกว่า สาสมกับการกระทำของคุณมากกว่าตั้งเยอะ”

               “นั่นไง! ไว้ใจได้ซะที่ไหนล่ะ” หมีบ้ากอดอกและกำลังจะออกอาการตีโพยตีพาย แต่เมื่อเห็นว่าสาวตรงหน้ากำลังกลั้นยิ้ม เขาก็รู้เลยทันทีว่าควรจะตอบกลับเธอแบบไหน

               “ไหนๆ ขอดมหน่อย มียาถ่ายซุกซ่อนไว้รึเปล่า” แน่นอนว่าไม่ว่าอย่างเดียว คนตัวสูงโน้มตัวลงแล้วเริ่มดมกลิ่นตามส่วนต่างๆ ของสาวน้อย จนเธอต้องเอี้ยวตัวหนี

               “อะไร” ช่อผกาถามเสียงสูง 

               “อ้าว! ก็เธอบอกฉันเป็นหมีไม่ใช่เหรอ นี่ไง หมีกำลังดมกลิ่นหาของอยู่” ตาหมีตีหน้าซื่อ

               “หมีบ้านไหนเขาดมกลิ่นหากัน ห๊?!”

               “ก็หมีบ้านนี้ไง” ฉีกยิ้ม

               “เหอะ!” คนตัวเล็กพ่นลมหายใจใส่ ก่อนจะตัดบทด้วยการยกไข่เจียวหมูสับกลิ่นหอมฉุยไปวางไว้บนโต๊ะให้แทน หญิงสาวเหลือบตามองคนอารมณ์ดีที่กำลังเดินตรงมา พร้อมกับรอยยิ้มและศีรษะที่โคลงเล่นไปมาอย่างอารมณ์ดี

               “อนุญาตให้กลับมาอยู่บ้านหน่อย คึกคักขึ้นมาเชียวนะ”

               “อ้าว แน่นอนสิ อยู่คอนโดฯ คนเดียวฉันเหงานะ” 

            หญิงสาวมองคนที่ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับการเอ่ยตอบด้วยเสียงอ่อย 

               อยู่คนเดียว? คนรู้กันทั้งประเทศแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ยังจะมาพูดเรียกร้องความน่าสงสารอีก เชอะ! ไม่ตกหลุมหรอก เชิญไปอ่อยป้ายหน้าเลยค่ะ

               “ฉันไปนะคะ”

               “เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป อยู่คุยกันก่อน” 

            ความต้องการที่จะชิ่งหนีของเธอ ถูกสะกัดเอาไว้อีกครั้ง แถมครั้งนี้เขายังกดให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัวเขาอีก 

               “ตอนฉันไม่อยู่ คิดถึงฉันบ้างไหม”

               “คะ?” คนตัวเล็กเบิกตาโต

               นี่เหรอ เรื่องที่บอกว่าจะคุยกัน แค่คำถามแรกก็เอาตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอ จะมาไม้ไหนอีกละเนี่ย

               “ฉันหมายถึงคุณย่าน่ะ คิดถึงฉันบ้างไหม” 

               ว่าละ แกล้งหยอดแล้วดึงเข้าหาคุณย่าตลอด มุขนี้ปล่อยไปแล้วนะหมี ไปใช้กับสาวคนใหม่เหอะ มันซ้ำ

               “แน่นอนสิ หลานชายสามคน ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน คุณย่าบ่นถึงคุณทุกวันเลยรู้รึเปล่า” แล้วก็อย่างที่เธอคิด คนถามไม่ได้สนใจในคำตอบ

               “แล้วตกลงว่าตอนรถชน เป็นห่วงไหม” คนตัวเล็กที่ก้มหน้าอยู่ ช้อนสายตาขึ้นมองผู้บริหาร (เสน่ห์) หนุ่ม

               อยากเล่นแบบนี้ใช่ไหม คิดว่าทำเป็นคนเดียวหรือไง คอยดูตาช่อผกาบ้างก็แล้วกัน

               “เป็นห่วงสิคะ จะไม่เป็นห่วงได้ยังไง” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวาน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มแสนละมุนตามไปให้

               ธามหยุดเคี้ยวข้าวกะทันหัน เพราะรอยยิ้มที่เขาอยากจะเห็นมาตลอดร่วมเดือน กำลังถูกระบายขึ้นตรงหน้า แถมเธอยังบอกเขาว่าเธอห่วง...     

               “ห่วงว่าคุณย่าจะไม่สบายใจ ฉันก็เลยไม่ได้บอกคุณย่า แล้วไปที่โรงพยาบาลเองไงคะ”...ห่วงคุณย่า หรอกเหรอเนี่ย

               คนคอตกกลับไปเคี้ยวไข่เจียวระบายความผิดหวัง “แล้ว...”

               “ฉันว่าฉันไปดีกว่าค่ะ เหนียวตัวแล้ว อยากจะอาบน้ำนอน อย่าลืมปิดไฟด้วยนะคุณ” ผู้ช่วยสาวรีบตัดประโยคของเขา ก่อนลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากครัวโดยไม่รอคำตอบจากคู่สนทนา 

               “ดะ...เดี๋ยวสิ อ้าว! ไม่ทันแล้ว เฮ้ย...ย ไม่รอเลย” 

               ช่อผกาที่พ้นประตูครัวออกมา แอบลอบมองอาการเซ็งๆ ของชายหนุ่มจากผ่านบานเกร็ดหน้าต่าง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะย่นจมูกใส่ท่าทีของเขาซ้ำ

               “เฉียดไปเฉี่ยวมา สนุกมากสินะ ฉันไม่ยอมเป็นของเล่นของคุณหรอก อยากจะเล่น ก็ไปเล่นกับคนอื่นเถอะ อีตาท่าเยอะเอ๊ย!”

               ไอ้ธาม พ่อฉันบอกว่าแกประกาศรับสมัครเลขาฯ ใหม่เหรอ แล้วคุณรสาล่ะ ชินกฤตพรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขกเล็กพร้อมกับโพล่งคำถามค้างคาใจที่ทำให้เข้าต้องถ่อมาหาคำตอบถึงที่นี่ 

               “ก็นี่ไง” หลานชายเจ้าของบ้านผู้ถูกถามพยักพเยิดหน้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โซฟาตัวตรงหน้า เธอหันไปส่งยิ้มให้กับแขกอีกคนที่เพิ่งมาถึง

               “อ้าว คุณรสา” ใบหน้าของทนายหนุ่มยิ่งฉายความมึนงงเข้าไปใหญ่ เมื่อรสาเลขานุการคนสนิทของเพื่อนมาอยู่ที่คฤหาสน์ดำรงค์สกุลพิพัฒน์ในเวลาทำงานแบบนี้

               “งั้นรสาขอตัวก่อนนะคะคุณธาม” 

            เจ้านายที่วันนี้จำต้องลาหยุดงานพยักหน้ารับ

               “ผมฝากด้วยนะคุณรสา”

               “ค่ะ” 

               ชินกฤตมองการสนทนาที่ไม่มีบรรยากาศมาคุเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันกำลังบอกเขาเป็นนัยๆ ว่าเพื่อนตัวร้ายของเขาไม่ได้ไล่เลขาฯ สาวออกอย่างที่เขาคิด แต่มันเพราะเหตุอันใดกันที่จู่ๆ ท่านรองฯ ก็ประกาศรับสมัครเลขานุการใหม่ ทั้งที่เลขาฯ คนเก่าก็ยังทำงานให้กับเขาอยู่

               ทนายความร่างสูงที่ยืนอยู่ที่ประตูห้อง หรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด และเมื่อรสาค้อมตัวเชิงบอกลาให้กับเขา และเดินพ้นประตูออกไปแล้ว ชินกฤตจึงตรงเข้าไปเค้นคามจริงจากตัวต้นเหตุที่กำลังทำท่าจะเอนตัวนอนลงบนโซฟา

               “แกกำลังคิดจะทำอะไร บอกมาไอ้ธาม แกมีแผนอะไร” 

               “ไม่บอก” 

               “มันเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนใช่ไหม” ชินกฤตเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น แต่คนถูกถามที่นอนทอดกายอยู่บนโซฟาตัวยาวกลับหลับตาพริ้ม ยกมือขึ้นนวดไหล่ข้างที่เจ็บ เพิกเฉยใส่คนถามราวกับว่าไม่มีทนายชินอยู่ในห้อง

               “ฉันอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เพราะฉะนั้นแกต้องบอกฉัน บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ไอ้ธาม!” ทนายหนุ่มปิดท้ายด้วยการเอ่ยชื่อคู่สนทนาเสียงแข็ง พร้อมกับฟาดมือลงไปบนที่เท้าแขนของโซฟาที่เพื่อนหนุนอยู่ 

               คนถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งจนตัวเด้งขึ้นนั่งอัตโนมัติ และในตอนนั้นเอง สายตาของเขาก็พลันไปเห็นช่อผกาที่เดินผ่านหน้าประตูห้องรับแขกพอดี ชายหนุ่มจึงฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

               “ก็ได้ ฉันบอกแกก็ได้ แต่แกต้องสัญญากับฉันก่อน ไม่ สาบานเลยดีกว่า สาบานกับฉันอย่างนึง”

               “สาบาน? สาบานอะไรวะ” คิ้วหนาของทนายชินผูกเข้าหากัน

               “สาบานมาว่าแกจะไม่ยุ่งกับเด็กในบ้านของฉัน”

               “หา?!” ความงงงวยฉายบนใบหน้าทนายชินมากขึ้นไปกว่าเดิม “คำสาบานอะไรของแก ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย”

               “ไม่รู้แหละ สาบานมา เดี๋ยวนี้!” 

            ชินกฤตแม้จะยังงงกับข้อต่อรองของเพื่อน แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เออๆ สาบานๆ สาบานว่าฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเด็กในบ้านของแก พอใจยัง

               “ถ้าแกผิดคำสาบาน ขอให้ไอ้จ้อนของแกใช้การไม่ได้” 

            ธามกอดอก จ้องเขม็งไปที่ชินกฤตด้วยแววตาจริงจัง

               “มันต้องจริงจังอะไรขนาดนั้นวะ เออ ก็ได้ๆ ถ้าฉันผิดคำสาบาน ขอให้ชินน้อยของฉันใช้การไม่ได้”

               “ไปตลอดชีวิต” คนจองเวรเอ่ยเสริม

               “เอ้อ! ไปตลอดชีวิต รักษาไม่หาย มีทางเดียวคือต้องตัดทิ้ง โอเคยัง พอใจยังครับท่านรอง” ธามเม้มปากพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

               “อืม ทำดีมาก เดี๋ยวขึ้นเงินเดือนให้”

               “ทีนี้ก็บอกมาได้แล้ว”

               “ฉันรับสมัครเลขาฯ ใหม่ เพราะฉันย้ายคุณรสาไปเป็นเลขาฯ คุณรัศมี สายงานจัดซื้อ”

               “อ้าว แล้วเลขาฯ เก่าคุณรัศมีล่ะ”

               “ฉันจ้างให้ออกไปแล้ว ให้ย้ายไปทำงานที่บริษัทอื่น ที่ใกล้บ้านมากกว่า เงินเดือนเยอะกว่าด้วย” คนเจ้าแผนการเอ่ยตอบเพื่อนด้วยเสียงเรียบ หากแต่อีกคนกลับขมวดคิ้วแน่น

               “แสดงว่านี่แกส่งคุณรสาไปสืบข่าววงในสายจัดซื้อว่างั้น” 

            ผู้บริหารหนุ่มส่ายหน้า

               “คุณรสาน่ะ แค่ให้ไปนั่งเล่นๆ เบี่ยงเบนความสนใจอย่างที่แกโดนฉันหลอกอยู่นี่ไง” ธามยักคิ้วพร้อมกับยิ้มมุมปากให้ทนายชิน “ส่วนสายสืบตัวจริงน่ะ ฉันส่งเข้าไปในนั้น เป็นเดือนแล้ว”

               ชินกฤตพ่นลมหายใจทางปากให้กับชั้นเชิงของเพื่อนที่เขาไม่เคยตามทัน “แล้วใครวะ ที่แกส่งเข้าไป”

               “อ้าว ถ้าบอกเขาจะเรียกว่าสายสืบเหรอ” ธามว่า ก่อนจะเอนตัวลงนอนบนโซฟาอีกครั้งพร้อมกับตัดบทเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่ทนายความขี้จับผิดจะถามซอกแซกมากไปกว่านี้

               “หัวแกนี่อีกนิดเดียวจะแตกแล้วนะเนี่ย ถ้าวันนี้แกไปทำงาน สาวๆ ที่บริษัทคงกรี๊ดน่าดู” ธามเอ่ยด้วยใบหน้ากลั้นขำ 

               “ยังจะมาแซ็วอีก ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ฉันไม่มีวันยอมออกจากบ้านสภาพนี้หรอกนะ”

               เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาของเขากำลังฟังไปหาวไป ชินกฤตจึงตัดสินใจว่าควรจะย้ายตัวเองไปที่อื่น แล้วปล่อยให้คนง่วงได้พักผ่อน

               “งั้นฉันไปไหว้คุณย่าก่อนนะ มาถึงก็ดิ่งมานี่เลย” 

               ทันทีที่คำว่า ‘คุณย่า’ วิ่งเข้าเส้นชัยที่สมอง หนุ่มร่างสูงที่งัวเงียอยู่บนโซฟา ก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วจนคู่สนทนาผงะด้วยความตกใจ 

               “ไปหาคุณย่าเหรอ” ธามถามย้ำกับชินกฤตอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้ยินไม่ผิด 

               “อืม แกง่วงไม่ใช่เหรอ นอนไปเหอะ เดี๋ยวไว้เจอกันที่บริษัท”

               “ฉันไปด้วย ตาสว่างมากเลยตอนนี้ หายง่วงแล้ว” คนพูดสะบัดหน้าไล่ความง่วง ต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ต้องเบิกตาตื่นให้ได้ ไอ้ชินเพื่อนรักกำลังจะไปเจอคุณย่า ซึ่งก็แน่นอนว่า น้อง...ช้าง ก็ต้องอยู่กับคุณย่าด้วย

               “สวัสดีครับคุณย่า สวัสดีครับนมผัน” ชินกฤตเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ผู้อาวุโสสองท่านที่เห็นเข้ามาตั้งแต่แบเบาะ

               หลานชายคุณย่าที่เดิมตามเข้ามาในห้องนั่งเล่น กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเร่งฝีเท้าแซงหน้าเพื่อนเข้าไปนั่งที่โซฟาเล็กถัดจากน้องช้าง แล้วให้ชินกฤตไปนั่งโซฟาเล็กอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามน้องช้างแทน

               “ไหน ดูหัวสิน่ะ ตาธามขับเร็วมากสิท่า ถึงได้ปูดเป็นลูกมะนาวขนาดนั้น” สิ่งแรกที่คุณย่าเอ่ยทักทนายความหนุ่มที่ท่านเอ็นดูเหมือนเป็นลูกหลานแท้ๆ ก็ไม่พ้นความเด่นสะดุดตาของหัวที่โนปูดของเขา

               “ผมไม่ได้ขับเร็วเลยคุณย่า” ธามแก้ตัวในส่วนที่เขาโดนตำหนิ แถมขยิบตาให้เพื่อนซี้ไหลตามน้ำ

               “ที่จริง ธามก็ไม่ได้ขับเร็วนะครับคุณย่า แต่พอดีมีรถมอไซค์มาปาดหน้า เลยต้องหักหลบ” 

            คำพูดที่เอ่ยบอกคุณย่า แต่กลับกระตุกความจำบางอย่างของน้องช้างให้หับขวับไปหาพี่ธาม ช่อผกาเอนตัวไปกระซิบชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้ซึ่งยังไม่รู้ตัวว่าเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างในประโยคเมื่อครู่

               “ไหนคุณบอกว่าหมาตัดหน้าไง ทำไมเพื่อนคุณบอกมอไซค์ตัดหน้า ตกลงนั่งรถคันเดียวกันรึเปล่าเนี่ย” 

            ธามสะดุดกึกด้วยคำพูดแผ่วเบา แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบหัว ชายหนุ่มตีหน้านิ่งเก็บอาการ แล้วหันไปตอบสาวน้อย

               “ก็...หมา หมาไง หมาขี่มอไซค์” ว่าเสร็จ ก็เบือนสายตาหนี เกาแก้มแก้เก้อยิกๆ 

               ช่อผกากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจทิ้งด้วยความระอากับคำตอบที่ยิ่งกว่าแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เรียกว่า...แถอย่างหน้าด้านๆ คงจะเหมาะสมที่สุด

               “เที่ยงนี้อยู่ทานข้าวกับย่านะชิน ไม่เห็นหน้าค่าตาเสียนานเลย”

               “ได้ครับคุณย่า”

               “เอ้อนี่! เคยเจอกันรึยัง นี่หนูช่อนะ ช่อผกาเป็นผู้ช่วยพยาบาลมาดูแลย่าเอง หนูช่อ นี่พี่ชินกฤตจ้ะ เป็นลูกชายของลุงชรัณ” 

            การแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการโดยคุณย่า เรียกความสนใจของทั้งช่อผกาที่ถูกเอ่ยชื่อ และธามที่ถอนหายใจเพราะกำลังจะถูกจับได้ว่าโกหกเป็นครั้งที่สอง

               “ช่อ?” ชินกฤตหันไปส่งคำถามให้เพื่อน 

               คนตีหน้าซื่อยักไหล่ “อือ ก็ช่อไง” ตีเนียนไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

               “ไหนตอนนั้นแกบอกว่าชื่อช้างไง” แล้วความสงสัยอย่างไม่ลดละของคนตรงไปตรงมา ก็พาทุกสายตาให้หันไปหาคนถูกถามเป็นตาเดียว โดยเฉพาะช่อผกาที่ถลึงตามอง รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

               “ชื่อช้างอะไร ฉันเคยพูดอย่างงั้นตอนไหน”

               “ก็ตอนงานแต่งหมอธัชไง” ชินกฤตสวนกลับทันควัน “แกบอกว่าชื่อช้าง เป็นสาวประเภทสองที่มาดูแลคุณย่า” 

               “สาวประเภทสอง!” นมผันหลุดอุทาน ก่อนที่สองหญิงชราจะหัวเราะร่วนให้กับวีรกรรมความแสบที่ไม่เคยเปลี่ยนของธาม

               “แก่แล้วรึไง พูดแต่เรื่องอดีตอยู่ได้” เมื่อหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายพี่ธามของน้องช้างก็ตัดสินใจ...มุดดินหนีกันซึ่งๆ หน้า

               ช่อผกาหันย่นจมูกให้ธามที่หันมามองสบตา ก่อนจะขว้างค้อนตามไปสมทบอีกที

               ชื่อช้าง เป็นสาวประเภทสอง เชื่อเขาเลย หาเรื่องมาแกล้งกันได้ทุกทางจริงๆ

               “คุณย่าคะ ตั้งโต๊ะมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วค่ะ” มาลีเข้ามาเบรกกิจกรรมของทุกคนในห้องเอาไว้ชั่วขณะ เพื่อแจ้งให้ทุกคนย้ายจากห้องนั่งเล่นไปคุยกันต่อที่โต๊ะอาหารแทน

               ธามลุกไปคล้องคอชินกฤตแล้วลากให้เดินนำคนอื่นๆ ออกมาก่อน พลางกระซิบลอดไรฟัน “แกสาบานแล้วนะเว้ย แกสาบานแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเด็กในบ้านฉัน” 

            เมื่อมุขน้องช้างใช้ไม่ได้อีกต่อไป คนขี้หวงก็รีบงัดไม้สองที่เตรียมเอาไว้มากันท่าเพื่อนอีกระลอกทันที

               “ทำไมวะ อย่าบอกนะว่าแกเล็งน้องช่อ”

               “เล็งบ้าอะไร แบนแค่นี้ใครจะไปเอา” 

               “แล้วทำไมต้องหวงด้วยวะ” ธามมองใบหน้าจริงจังของเพื่อน พ่นลมหายใจทิ้งแล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงกดต่ำ

               “คืออย่างงี้ ผู้หญิงคนนี้อันตรายมาก มีลับลมคมในหลายอย่างที่ฉันกำลังสืบอยู่ ทางที่ดี แกอยู่ห่างๆ ไว้จะดีมาก” 

               “น้องช่อเนี่ยนะ อันตราย”

               “เออดิวะ อันตรายมาก แกอย่างเสี่ยงเลย เดี๋ยวฉันเสี่ยงเอง” ธาม...เพื่อนผู้เสียสละพยักหน้าย้ำกับชินกฤตอย่างหนักแน่น จนคนฟังต้องยอมคล้อยตาม

               “เออๆ ห่างก็ห่าง อะไรของแก”

               สาวน้อยที่กำลังเดินรั้งท้าย ทอดสายตาผ่านคุณย่าและนมผันที่เดินนำหน้าเธอ ไปหาชายร่างสูงสองคนที่เดินไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปราวกับเป็นเด็ก ก่อนที่จู่ๆ ความคิดหนึ่งจะฉายวาบขึ้นในหัวของเธอ

               ‘ใช่ ชื่อชิน ไม่ต้องไปหว่านเสน่ห์นะ เป็นเกย์ เกย์รับด้วย อย่าไปยุ่งกับมัน’
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น