“กลับเมืองไทยซะช่อ พาแม่กลับเมืองไทยไปซะ กลับไปใช้ชื่อ ‘ช่อผกา สิธากร’ แล้วปล่อยให้ ‘เอสเธอร์ ลี’ หายสาบสูญไปตลอดกาล”
สาวร่างบางนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นที่เฉอะแฉะ ใบหน้าอ่อนเยาว์ซบลงกับท่อนแขนเล็กที่รวบสองขาที่ชันขึ้นมาเอาไว้ หัวใจยังคงเต้นรัวจนเสียงดังครึกโครมราวกับว่า...เป็นเสียงเดียวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ ดวงตากลมโตถูกปิดกั้นจากความจริงของโลกภายนอก เพราะหากความเลวร้ายที่ไล่ล่าเธออยู่ตามมาถึงจริงๆ หญิงสาวขอไม่เห็นภาพนั้นเสียจะดีกว่า ในเวลานี้...ลูกหมาจนตรอกอย่างเธออ่อนล้าเกินกว่าที่จะหนีต่อไปได้แล้ว
คำภาวนาร้องขอชีวิตจากพระผู้เป็นเจ้าถูกเอ่ยขึ้นซ้ำๆ นับร้อยนับพันครั้งภายใต้เครื่องยึดเหนี่ยวเดียวที่เธอฝากชีวิตเอาไว้ในเวลานี้...เสื้อแจ็กเกตที่บดบังร่างกายของเธออยู่ตัวนี้...เท่านั้น
เอสเธอร์ไม่รู้ว่าเธอปล่อยให้เวลาผ่านล่วงเลยไปนานเท่าไร จนกระทั่งเมื่อเธอเริ่มแน่ใจว่าเสียงเอะอะภายนอกแผ่วเบาลง มือบางกำหมัดแน่นเพื่อสะกดความกลัวที่พร้อมจะพวยพุ่งเอาไว้ ดวงตาที่กะพริบปริบๆ กับลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกช้าๆ นั้นก็เพื่อย้ำการตัดสินใจ
และเมื่อหัวใจมีความพร้อมมากพอที่จะต่อสู้กับความเสี่ยง มือเรียวจึงเปิดเครื่องอำพรางร่างกายออก ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ยืนยันความมั่นใจให้ตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีพาร่างในสภาพมอมแมมกลับเข้าสู่ชายคาบ้าน...ได้อย่างปลอดภัย
ผ้าขนหนูผืนหอมกำลังซับความเปียกชื้นจากเส้นผมโดยเจ้าของมือเรียวเล็กในชุดนอนตัวโปรด เธอหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเดี่ยวขนาดกะทัดรัดในห้องนอน ที่ไม่ได้เล็กถึงขนาดต้องใช้คำว่า...รูหนู แต่ถ้าจะใช้คำว่าใหญ่ก็ดูจะเกินความจริงไปสักหน่อย
ห้องนอนห้องนี้เป็นพื้นที่ที่เธอแบ่งเช่าจากห้องห้องหนึ่งในแฟลตรัฐบาล อันมีรุ่นพี่สมัยมัธยมที่สนิทกันเป็นเจ้าของ รุ่นพี่คนนี้ ได้รับมรดกตกทอดแฟลต ที่อยู่อาศัยอันเป็นความช่วยเหลือจากรัฐบาลห้องนี้มาจากครอบครัวของเธอ และหลังจากที่เธอทราบข่าวว่าแม่ของเอสเธอร์เสียชีวิตลง แล้วรุ่นน้องของเธอต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในชีวิตเองทุกอย่าง เธอจึงชวนให้สาวน้อยคนนี้ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันด้วยค่าเช่าราคาแสนถูก ที่ไม่มีทางหาได้บนเกาะที่มีพื้นที่อยู่เพียงน้อยนิดแห่งนี้ แลกกับการช่วยดูแลความเรียบร้อยของบ้านให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินผู้ไม่ค่อยจะได้อยู่บนพื้นดินอย่างเธอ
เอสเธอร์เอื้อมไปคว้าเสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาลที่เธอวางเอาไว้บนผ้าห่ม ด้วยความคิดที่ว่า...จะมีทางไหนบ้างที่เธอจะหาเจ้าของเสื้อตัวนี้เจอ เพราะนอกจากเธอต้องคืนเสื้อที่ดูมีราคานี้ให้เขาแล้ว คำขอบคุณที่มีอยู่ล้นเต็มอก...เธอก็อยากมอบให้เขาด้วย
หญิงสาวเริ่มคลำสำรวจของในมือ เผื่อมีอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสให้ติดตามตัวเจ้าของหลงเหลืออยู่บ้าง กระเป๋าเสื้อด้านขวาถูกล้วงเข้าไปเป็นจุดแรกเพราะไม่ได้รูดซิปปิดเอาไว้ แล้วรอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้า...ดูเหมือนว่าเธอจะเจออะไรบางอย่างเข้าแล้ว
“เอ้า ซองบุหรี่เหรอเนี่ย นึกว่าจะเป็นพวกกระดาษโน้ตอะไรเสียอีก” คนผิดหวังวางเสื้อเอาไว้บนตัก ก่อนจะคลี่ซองบุหรี่สีเขียวที่ยับยู่ยี่ให้คลายออก
“สูบบุหรี่มากๆ ไม่ดีนะคะคุณนักวิ่ง” สาวน้อยก้มลงเอ่ยกับเสื้อแจ็กเกต
แล้วตอนนั้นเองคำเตือนที่โชว์หราอยู่บนซองก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกโต “คนไทยเหรอเนี่ย! ผู้ชายเอเชียคนนั้น...เป็นคนไทยเหรอ”
ข้อสันนิษฐานที่หนึ่งในการตามหาตัวชายปริศนาถูกหยิบยกขึ้นมาทันที
เอสเธอร์พลิกเสื้อไปอีกด้านเพื่อค้นหาข้อสันนิษฐานในลำดับต่อไปจากกระเป๋าอีกด้านหนึ่งที่รูดซิปปิดเอาไว้ และไม่นานนัก เธอก็ได้เบาะแสสองติดมือมา
“นาฬิกา?” หญิงสาวโพล่งออกมาด้วยไม่คิดว่าจะมีของแบบนี้ติดมาด้วย
แค่เสื้อก็น่าจะหลายตังค์แล้ว นี่ยังมีนาฬิกาข้อมือติดมาด้วยอีก ถ้าหาเขาไม่เจอ...ความรู้สึกที่ทำให้เขาต้องลำบาก...คงทวีคูณมากขึ้นอีกเป็นแน่
นาฬิกาข้อมือเรือนโปรดที่เจ้าของแทบจะพลิกเกาะสิงคโปร์ตามหา แต่หารู้ไม่ว่าถูกเจ้าหน้าที่ภาคพื้นของสนามบินที่เข้ามาช่วยเหลือเขาในตอนนั้นจับยึดเอาไว้ แถมรูดซิปปิดให้อย่างแน่นหนาไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวนี้ แล้วก็ดันเป็นจุดที่...คนหาของไม่ได้นึกถึงเลยแม้แต่นิดเดียว
คนตัวบางทิ้งตัวลงอย่างอ่อนใจบนที่นอน และเริ่มทบทวนข้อมูลที่เธอพอจะปะติดปะต่อได้
“หนึ่ง...คุณนักวิ่งเป็นผู้ชาย สอง...คุณนักวิ่งน่าจะเป็นคนไทย สาม...คุณนักวิ่งน่าจะไม่มีนาฬิกาใส่ตอนนี้ และสี่...เป็นไปได้ว่าคุณนักวิ่งน่าจะพักอยู่แถวนั้น”
ข้อสันนิษฐานเริ่มถูกจัดเรียงเป็นข้อๆ ในหัวของหญิงสาว
“ถ้าพักแถวนั้น...ก็มีแค่โรงแรมเดียวนี่!”
เอสเธอร์เด้งตัวกลับขึ้นนั่ง ถ้าเขาพักที่โรงแรมที่เธอทำงานอยู่ เธอก็พอจะมีเหตุผลที่เหมาะสมที่จะขอดูรายชื่อแขกคนไทยจากคนรู้จักที่เคาน์เตอร์ได้ รอยยิ้มเกือบจะคลี่ออกบนใบหน้า แต่ก็ต้องกลายเป็นถอนหายใจแทน
โรงแรมมีเป็นร้อยห้อง แล้วเธอจะรู้ไหมเนี่ยว่าเป็นห้องไหน!
“เฮ้อ...อ” คนอ่อนใจทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เกาะสิงคโปร์ที่เขาว่าเล็ก พอต้องตามหาใครสักคนขึ้นมา...ดันรู้สึกว่าใหญ่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหมคะเนี่ยคุณนักวิ่ง
“วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมามั่งวะ” โจเอ่ยถามเพื่อนหลังจากที่ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้านสังสรรค์ริมทาง
“ก็เดินไปแค่ใกล้ๆ แถวนั้นแหละ กว่าจะตื่นก็บ่ายแล้ว เลยไม่ได้ไปไหนไกลๆ เลยว่ะ” ดูเหมือนคนถูกถามจะเริ่มต้นวันพักผ่อนของเขาได้ไม่ดีเท่าไรนัก
“อะไรวะ นานๆ ทีจะมาเที่ยว แต่ดันตื่นสาย”
“เออ เมื่อคืนมีปัญหานิดหน่อย กว่าจะได้นอนก็เกือบสว่างแล้ว ฉันรอจัดหนักรอบดึกทีเดียวเลยนี่ไง” ธามว่าก่อนจะเปิดกระป๋องเบียร์ที่เพิ่งถูกยกมาเสิร์ฟ แล้วยกขึ้นกระดกพรวดเพื่อเรียกความชุ่มคอ
บรรยากาศร้านอาหารมื้อดึกเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีจากป้ายไฟโฆษณา และดูเหมือนว่าเอาเข้าจริงๆ น่าจะขายอาหารเป็นของรอง ส่วนของหลักน่ะเหรอ...ก็แอลกอฮอล์ในมือลูกค้าทุกคนที่จับจองที่นั่งกันเต็มพื้นที่นี่ไงล่ะ
โต๊ะเหล็กตัวกลมกับเก้าอี้พลาสติกสีเหลืองสดถูกวางเรียงรายเต็มพื้นที่ตั้งแต่ในตึกแถวสีขาวที่เปิดโล่ง ไล่มาตลอดจนลามไปถึงทางเดินบาทวิถีริมถนน และเมื่อทุกที่นั่งถูกเติมเต็มด้วยผู้คนที่พูดคุยกันจ้อกแจ้กด้วยแล้ว นี่คงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนว่า...ที่นี่เป็นแหล่งชุมนุมยามค่ำคืนชั้นดีของเหล่านักท่องราตรีทุกช่วงวัยเลยทีเดียว
“โอ้โห! จุดมุ่งหมายแน่วแน่จริงๆ” คนพื้นที่เอ่ยแซ็ว
“เออ ไหนว่ามาดิ๊ พามาถึงนี่ มีอะไรแนะนำเพื่อนมั่งครับ”
โจส่ายหน้าและไม่ลืมที่จะอมยิ้ม เพราะเขาพูดเอาไว้เมื่อคืนว่าคืนนี้จะพาสหายตัวร้ายมาเหยียบย่ำฉากหลังของแดนซิวิไลซ์ ด้านมืดที่เร้าใจของเกาะสิงคโปร์
“ที่นี่เขาเรียกว่าย่านเกลัง เวลากลางวันก็เป็นย่านที่อยู่อาศัยธรรมดา แต่พอตะวันลับฟ้าเท่านั้นแหละ แกมองไปดิน่ะ” คนพูดโยกก้นกระป๋องเบียร์ในมือไปทางเป้าหมายที่เขาพูดถึง “ซอยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นน่ะได้ทุกซอยเลย เรียงเป็นตับตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย”
“เฮ้ย!” คนหลุดอุทานเอนตัวออกห่างคนพูดด้วยความตกใจ “เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
คำถามนั้นดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ เพราะคนถามไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา แต่กำลังเพ่งสายตาข้ามฟากเข้าไปยังซอยสลัวๆ ที่เพื่อนว่าโน่นต่างหาก
“ไอ้โจ...ย้ายโต๊ะไหม ไม่ค่อยเห็นเลยว่ะ” คนตาเล็กหันมาขมวดคิ้วใส่เพื่อน
แล้วคนคอเดียวกันก็ยิ้มปนขำก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ต้องย้ายหรอก ตรงนี้แหละดีแล้ว เพราะเด็ดสุดอยู่ที่ซอยสิบ ซอยที่อยู่เยื้องๆ ไปนิดนึงนั่นน่ะ”
“อ่าเฮย...ย” คำพูดอาจไม่มีความหมาย แต่การหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาจับผิดรียกเสียงหัวเราะจากคนถูกแซ็วด้วยสายตาได้ดี
“ไม่เคยเว้ย ฟังเขาเล่ามาเหมือนกัน” โจรีบปฏิเสธสิ่งที่เพื่อนคิด
“อ๊ะ...น่ะน่ะน่ะ” อีกคนก็ยังไม่เลิกแซ็ว
“บอกว่าไม่เคยไงวะ”
“โอเค้ ไม่เคยก็ไม่เคย” คนขี้แกล้งอมยิ้ม “แล้วไงต่อวะ” ธามหันหัวเรือกลับเข้าเรื่องเดิมก่อนจะเปิดเบียร์กระป๋องใหม่เข้าร่วมวงสนทนาด้วย
“ในซอยนั้นน่ะมีบ้านเรียงกันเข้าไปเป็นหลังๆ”
“ที่หน้าบ้านมีโคมแดงปักอยู่ใช่ไหม” นักท่องเที่ยวหนุ่มถามแทรกขึ้น
“อ้าว...รู้ได้ไงครับไอ้คุณธาม” เมื่อเป็นทีพลาดของเพื่อน มีหรือที่คนเพิ่งโดนมาหมาดๆ อย่างโจจะไม่ซ้ำ
“ฉันก็ฟังจากคนอื่นมาเหมือนกัน”
“ใช่เหรอ...อ” โจสวนกลับด้วยสีหน้าทะเล้น
“อ่านจากเน็ตมาไง”
“อ๋อ...อ่านจากเน็ตมา โอเค ตกลงอ่านจากเน็ตมานะ แน่ใจนะ”
“เออ”
“ที่หน้าบ้านเนี่ยมันไม่ได้มีโคมแดงอย่างเดียว มันมีตัวเลขติดอยู่ด้วย เอาไว้เป็นโค้ดบอกพิกัด อย่างสมมุติหนึ่งศูนย์หนึ่งห้าก็คือ ซอยสิบ บ้านหลังที่สิบห้าอะไรแบบนี้ แล้วไอ้ที่เดินออกมาเรียกตามซอยที่แกเห็นๆ เนี่ย เขาว่ากันว่าเป็นเกรดทั่วไป ส่วนตัวท็อปจะอยู่ในบ้าน” โจกดเสียงต่ำคล้ายกำลังบอกความลับ
“แล้วพีกสุดเนี่ยต้องโค้ดไหนวะ”
โจฉีกยิ้ม ว่าแล้วว่าไอ้นี่มันต้องถาม “หนึ่งศูนย์หนึ่งสอง จะบอกไว้ก่อนเลยนะเว้ยว่าแกสามารถหาขาวๆ สวยๆ ระดับพริตตี้มอเตอร์โชว์ได้ในราคาแค่...ร้อยเหรียญ!”
“ร้อยเหรียญ! สองพันกว่าบาทเนี่ยนะ” ตาเล็กเบิกจนกว้าง “ชาติอะไรวะ”
“อืม...ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนจีนนะที่เขาว่าราคานี้ ถ้าคนไทยก็ลดลงมาอีกนะ ซัก...แปดสิบเหรียญได้มั้ง แต่มีเพื่อนที่ทำงานบอกว่าคนไทยเขาไม่ค่อยรับคนไทยด้วยกัน อะไรทำนองนั้น”
คนเก็บข้อมูลพยักหน้าตาม “แล้วมันเยอะขนาดนี้ ตำรวจไม่จับเหรอวะ”
“ไม่หรอก เพราะสำหรับที่นี่งานแบบนี้คืองานถูกกฎหมาย คุณสามารถใช้ร่างกายคุณหาเงินยังไงก็ได้ มันเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่มีข้อแม้ว่าต้องตรวจโรคทุกสามเดือน” โจผู้รู้ยิ่งกว่ากูเกิลว่า ก่อนจะกระดกเบียร์ตามไปแก้คอแห้งที่พูดมาเสียยืดยาว
“ถ้าถูกกฎหมาย แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นด้านมืดดิวะ เพราะมันก็เหมือนหนึ่งอาชีพที่สุจริต” นักธุรกิจหนุ่มเริ่มวิเคราะห์รูปการณ์
“พวกเจ๊ๆ อ้ะไม่ผิดกฎหมาย แต่ที่เนี่ยเขาถือว่าเป็นย่านเสื่อมโทรมที่สุดบนเกาะนี้ พวกตึกรามบ้านช่องมันอาจจะดูปกติ แต่ความเสื่อมโทรมที่ฉันหมายถึงคืออบายมุขอื่นๆ อย่างเช่น...พวก...ขายหนังโป๊ะ ยาปลุกเซ็กซ์ บ่อนลอย หรือแม้แต่...ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน ที่เนี่ย...ศูนย์รวมเลยแหละ”
“หืม...ม งั้นผู้หญิงที่อยู่ย่านนี้ได้ก็โคตรเก่งเลยดิวะ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ไม่ถูกไปทั้งหมดนะ เพราะที่นี่ถึงจะเรียกว่าแหล่งเสื่อมโทรม แต่มันก็ยังปลอดภัย ไม่ได้อันตรายอย่างที่เห็นนะ เพราะโดยปกติแล้วถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเขา เขาก็จะไม่มายุ่งกับเรา แต่ถ้าแกอยากยุ่ง อยากลองเล่นไฟดู แกก็ลองเดินไปเล็งเป้าหมาย ส่งสายตานิดๆ เดี๋ยวเขาก็มา...ขายตรงให้แกเองแหละ”
ธามเหลือบมองคนพูดที่จนแล้วจนรอดก็พาวกกลับเข้าเรื่องซื้อๆ ขายๆ ได้เหมือนเดิม ชายหนุ่มคีบอาหารในจานตรงหน้าใส่ปาก อาหารถูกนำมาเสิร์ฟสักพักแล้ว แต่ดูเหมือนความเข้มข้นของเรื่องเล่ากำลังจะทำให้มันกลายเป็นหมัน
“เออ แต่แกต้องระวังนะเว้ย เพราะผู้หญิงที่อยู่แถวนี้บางทีเขาก็ไม่ได้ทำงานแบบนั้น อย่าไปเล็งซี้ซั้วล่ะ โดนตีหัวแตกไม่รู้ด้วยนะ แล้วก็มีอีกอย่าง...ยิ่งดึกยิ่งเป็นเวลาของวัยกระเตาะ เอ๊าะๆ เนี่ยตอนนี้ห้าทุ่มกำลังดีเลย เต็มที่เลยนะเพื่อน” โจว่าพร้อมกับลุกขึ้นตบไหล่คนที่นั่งอยู่ “ส่วนฉัน จะกลับก่อนละ”
“อ้าวเฮ้ย! เราไม่ได้จะเคียงบ่าเคียงไหล่กันเหรอวะ” ธามเงยหน้าขึ้นถามส่งคำถามยียวนให้คู่สนทนาที่ยืนอยู่
“ไม่ได้ว่ะ ฉันมีนัดต่อ”
“นัดตอนห้าทุ่มเนี่ยนะ อ้า...นัดไว้ที่ซอยสิบปะวะ” คนขี้แซ็วถามระคนหัวเราะของ
“ไม่ใช่เว้ย แกนั่นแหละ จะลงพื้นที่ไม่ใช่เหรอ อย่าดูเฉยๆ ดิ ลองจัดดูสักดอก จะแอบบอกนะว่าผู้หญิงที่เนี่ยเขามีถุงยางให้ฟรีเลย ไม่ต้องเตรียมไป”
“เฮ้ย จัดเจิดอะไร ไปเลยไป จะไปก็รีบไปเลยไป”
“เออ งั้นพรุ่งนี้เจอกัน...ทำเป็นไล่ เดี๋ยวก็ไปโผล่ซอยสิบ”
ธามหันกลับไปหาคนกวน ก่อนจะหยิบถั่วในจานแล้วปาใส่เพื่อนที่กำลังยักคิ้วให้อย่างกวนบาทาที่สุดทันที
และดูเหมือนว่าคำพูดของโจจะมีอานุภาพมากกว่าถั่วที่เขาขว้างใส่ เพราะเพียงไม่นานหลังจากที่เพื่อนคล้อยหลังออกไป ธามก็ข้ามฟากจากร้านอาหารริมทางมาโผล่ที่...ซอยสิบ...จนได้!
ผิดคำพูดของโจที่ไหน นี่ถ้าโจที่ยังอยู่ที่นี่ ป่านนี้คงหัวเราะร่วนจนลงไปนอนกองกับพื้นแล้วแน่ๆ
หนุ่มร่างสูงเดินผ่านหญิงสาวมากมาย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพยายามอย่างมากที่จะสบตากับเขา แม้เจ้าตัวจะรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่เขาก็เข้าใจดีว่านั่น...คือหนึ่งในกลยุทธ์ในการทำอาชีพของพวกเธอเหล่านั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาในสถานที่ที่มีเพื่อจุดประสงค์แบบนี้ เพราะด้วยงานของเขา บางทีเขาก็ต้องพาลูกค้าไปเลี้ยงผ่อนคลายในสถานเริงรมย์บ้าง ธามกวาดสายตามองรอบๆ ราวกับกำลังเก็บเกี่ยวความรู้สึกไว้เป็นประสบการณ์
จะว่าไปถ้าเทียบกับที่ที่เขาเคยไป จะว่าคล้ายก็คล้าย จะว่าไม่คล้าย...ก็ดูไม่คล้ายได้เหมือนกัน...ถ้าจะให้เขาอธิบายให้เห็นภาพ ก็คงเป็น...อินดอร์กับเอาท์ดอร์ละมั้ง
นักธุรกิจหนุ่มคิดไปพลางเดินไปพลาง จนรู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมาเกือบจะถึงสุดซอย ชายหนุ่มเอนตัวพิงต้นไม้ใหญ่ริมทางเท้า สายตาแพรวพราวเลื่อนไปเชยชมมิติโค้งเว้าที่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ก่อนจะกระดกเบียร์ในมือขึ้นดื่มเคล้าตามไปด้วย
และในจังหวะที่เขาลดมือลงนั้นเอง ภาพตรงหน้าที่เข้ามากระแทกสายตาก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับสำลักพรวด มือหนายกขึ้นตบแผงอกรัวๆ เพื่อช่วยให้ระบบหายใจกลับมาเป็นปกติ ธามหอบหายใจถี่ๆ พลางมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่วางตา
ผู้หญิงที่เขาเพิ่งเสี่ยงชีวิตช่วยเธอมาจากการถูกไล่ล่าเมื่อคืนนี้! ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เขาคิดว่าเธออาจกำลังจะถูกทำร้าย ชิงทรัพย์ หรือไม่ก็อาจจะถูกทำอนาจาร เธอเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาที่ไม่มีทางสู้
แต่เพียงชั่วข้ามคืน ความจริงตรงหน้ากำลังบอกให้เขารู้ว่า...สิ่งที่เขาคิดอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้น เหมือนว่าเธอจะไม่ได้ไร้เดียงสา น่าทะนุถนอมอย่างที่เขาคิด เพราะเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้าเขาเพิ่งเห็นกับตาตัวเองว่าเธอเดินออกมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม บ้านที่มี...โคมไฟสีแดงห้อยอยู่ สายตาของชายหนุ่มเลื่อนไปหาคำตอบของอีกหนึ่งคำถามในหัว ก่อนรอยยิ้มแสยะที่คาดเดาความหมายได้ยากจะผุดขึ้นที่มุมปากของเขา
“เบอร์สิบสอง หนึ่งศูนย์หนึ่งสอง บ้านหลังนี้สินะ”
ชายหนุ่มขว้างกระป๋องเบียร์ในมือใส่ถังขยะที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่มากด้วยแรงที่เกือบจะทำให้ถังขยะล้ม ขายาวของคนเริ่มมีโทสะพาเจ้าของข้ามฟากไปหาคนที่เขาเขม่นอย่างไม่วางตา และแน่นอนว่าเป็นต้นเหตุของอารมณ์ที่กำลังพวยพุ่งจนเริ่มร้อนไปทั้งอกนี้ด้วย
“อ๋อ อยู่ข้างในค่ะ เชิญเลย” นี่คือคำพูดแรกที่แทรกเข้าหูธามเมื่อเขาเข้ามาในระยะที่พอจะได้ยิน การเคลื่อนไหวชะงักไปพร้อมๆ กับที่คิ้วขมวดเข้าหากัน
ภาษาไทย!...เมื่อตะกี้นี้เธอพูดภาษาไทยกับผู้ชายวัยสี่สิบกว่าที่กำลังเดินผ่านเธอเข้าไปในบ้าน ไหนบอกว่าชื่อ...เอสเธอร์ ลี แต่ทำไมถึงพูดภาษาไทยได้ชัดราวกับเป็นเจ้าของภาษาอย่างนี้
คนตัวสูงไม่รอช้า เขาตรงเข้าไปประจันหน้ากับผู้ต้องสงสัยทันที
“ว้าย!” เอสเธอร์ตกใจที่หันหน้ากลับมาแล้วเกือบจะปะทะกับชายร่างสูงตรงหน้า หญิงสาวเด้งตัวหลบอัตโนมัติ
“เท่าไหร่”
คำถามเสียงแข็งจากชายแปลกหน้าลบอาการตกใจของเธอให้หายไปจนหมดสิ้น “คะ?” เธอเลิกคิ้วถาม
“ฉันถามว่าเท่าไหร่ แปดสิบเหรียญเหรอ”
คนถูกถามเบือนสายตาหลบ
เมื่อก่อนเธอเคยอาศัยอยู่ในละแวกนี้ และเธอก็มีความคุ้นเคยดีกับคนไทยหลายคนที่อยู่ที่นี่ นี่จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกถามด้วยคำถามทำนองนี้ แต่นี่คือครั้งแรกที่น้ำเสียงของคนถามแข็งกระด้าง และฟังดูเหยียดหยามเธอชอบกล “เอ่อ คือฉันไม่...”
“ไม่ว่างเหรอ” เจ้าของแววตาดุดันแทรกขึ้นก่อนเธอจะได้พูดจบประโยค “ฉันรอได้นะ เธอรับแขกครั้งหนึ่งนานแค่ไหน สามสิบนาที หรือสี่สิบนาทีล่ะ ฉันรอได้หมด” ความฉุนเฉียวเริ่มก่อตัวมากขึ้นอีกเมื่อถูกปฏิเสธ
ก็ในเมื่อเธอทำงานแบบนี้ และในเมื่อเขาก็เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเธอขนาดนั้น คนที่เหมือนถูกภาพตบตานั้นหลอกให้เข้าไปเสี่ยงตายอย่างเขาควรจะได้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อบ้างสิ
คนถูกถามถอนหายใจอย่างระอาความเกรี้ยวกราดที่เธอไม่รู้สาเหตุของผู้ชายคนนี้ แต่หญิงสาวก็ยังคงเก็บอารมณ์ที่เริ่มจะขุ่นเคืองเอาไว้ แล้วตอบกลับเขาไปอย่างสุภาพ “ฉันไม่ได้ทำงานแบบนั้นค่ะ”
ธามกดริมฝีปากลงก่อนจะยักไหล่ นัยน์ตาทรงอำนาจสะบัดไปทางแสงสว่างไสวจากโคมไฟสีแดงที่เป็นเสมือนภาพฉากหลังของเธอ
เอสเธอร์มองการพยักหน้าซ้ำๆ พร้อมกับยิ้มที่มุมปากของเขา มันกำลังแสดงชัดว่าเขาไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“เพิ่งจะห้าทุ่มเองนะ ขึ้นราคาแล้วเหรอ ได้ ฉันให้สองเท่าเลย...สามเลยก็ได้อ้ะ” ธามกดสายตาลงไปที่สาวน้อยตรงหน้า ยิ่งลูกค้าอยากได้ ยิ่งเล่นตัว ดี!...เป็นเทคนิคการโก่งราคาที่ดีใช้ได้ ชายหนุ่มสะบัดลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
มือบางรวบเข้ากำหมัดแน่น เธอมั่นใจว่าเพิ่งเคยเจอกับผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่เขาต้องพูดจาหยาบคายกับเธอขนาดนี้ สาวร่างบางเริ่มสับสนกับสถานการณ์ แต่ก็จนใจที่จะหาเหตุผลต่อ จึงกลั้นใจช้อนสายตาขึ้นสู้กับคนจิตใจหยาบกร้าน
“ฉัน-ไม่-ขาย! เข้าใจนะคะ” กระแทกเสียงทิ้งท้ายพร้อมกับที่สองมือดันแผงอกคนตรงหน้าสุดแรง จนคนไม่ทันได้ตั้งตัวเสียหลักเซออกไปด้านข้าง หญิงสาวจึงใช้จังหวะนั้นรีบวิ่งหนีปะปนไปกับผู้คนที่เดินอยู่ในเงาสลัว...แต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงคนใจร้ายตามไล่หลังมาอยู่ดี
“โห่ ทำเป็นเล่นตัว นึกว่าอยากได้มากนักเหรอ ไม่รู้ผ่านมากี่คนแล้ว ไม่เอาก็ได้เว้ย”
ปากกาลูกลื่นถูกกดขึ้นกดลงอย่างไม่ใส่ใจโดยเจ้าของมือเรียวที่นั่งเท้าคาง และปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปอยู่ในห้วงแห่งความคิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในหัวของเธอก็ฉายภาพการสนทนาน่ากวนใจระหว่างเธอกับชายแปลกหน้าคนนั้นซ้ำไปซ้ำมาไม่จบไม่สิ้น
ผู้ชายหยาบคายคนนั้น คนที่พยายามจะใช้เงินซื้อร่างกายของเธอเพื่อเสพสุขทางกามารมณ์ ใช่...มันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะสถานที่ที่พบกันคือที่ที่คนส่วนใหญ่จะปรากฏตัวที่นั่นเพื่อจุดประสงค์เดียวกันกับเขา ถ้าเขาจะเข้าใจผิด มันก็คงไม่แปลก แต่เธอคงจะไม่ติดใจอะไร หากการสนทนาจบลงด้วยการปฏิเสธครั้งแรก ทว่ากลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น...เขาดูเหมือน...โกรธเคืองเธอด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง และต้องการที่จะใช้พฤติกรรมอย่างว่า...เพื่อเอาชนะ...หรือลงโทษเธออย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้อ...อ”
“เป็นอะไรเอส ได้ยินเสียงถอนหายใจเป็นร้อยครั้งแล้วมั้งวันนี้” เสียงเพื่อนร่วมงานวัยไล่เลี่ยกันดึงคนเหม่อลอยให้หลุดจากภวังค์
“มิเชล ตกใจหมดเลย มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“ไม่ให้สุ้มให้เสียงอะไร ฉันเข้ามาตั้งนานแล้ว เอสนั่นแหละใจลอยไปไหนก็ไม่รู้ อู้งานเหรอ เดี๋ยวฟ้องบอสนะ” เพื่อนสาวแกล้งหยอกพร้อมกับทำท่าจะเคาะปากกากับศีรษะของคู่สนทนาที่นั่งอยู่
เอสเธอร์เอี้ยวตัวหลบพลางระบายยิ้ม “ไม่ได้อู้ซะหน่อย งานเสร็จหมดแล้วเนี่ย เตรียมจะเก็บของกลับบ้านแล้ว”
“เออ เกือบลืมเลย พรุ่งนี้ช่างจะมาทาสีกับเปลี่ยนชุดไฟห้องนี้ใหม่หมดเลยนะเอส บอสเพิ่งบอกว่าเขาเลื่อนให้เร็วขึ้น พรุ่งนี้เลยเข้าห้องนี้ไม่ได้ อีตาบอสบอกให้เราเอามาสเตอร์คีย์กลับบ้านไปเลย แต่ต้องเซ็นเอกสารเป็นหลักฐานไว้ด้วย อยู่บนโต๊ะฉันน่ะ เงื่อนไขเข้มงวดมาก...ก” มิเชลซึ่งยืนเท้าแขนกับโต๊ะทำงานของเอสเธอร์ บุ้ยปากให้คู่สนทนาที่อยู่ใกล้กว่าหันไปหยิบของที่ว่าจากโต๊ะทำงานของเธอที่อยู่ด้านหลัง
เอสเธอร์มองคนกำลังทำท่าล้อเลียนบอสด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระดาษบนโต๊ะของเพื่อนมาอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่ในนั้น
โห!...ถ้าทำหายโดนไล่ออกเลยเหรอเนี่ย เข้าใจแล้วว่าที่มิเชลบอกว่าเข้มงวดมากมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เอสเธอร์เงยหน้าจากแผ่นกระดาษขึ้นสบตากับคนที่ยืนอยู่ อีกฝ่ายเบ้ปากพร้อมกับพยักหน้าให้เธออย่างรู้กันในความหมาย ก่อนคนที่นั่งอยู่จะถอนหายใจแล้วจดปลายปากกาลงนามรับทราบในเอกสารสำคัญนั้นอย่างหาข้อบิดพลิ้วใดๆ มิได้
ถ้าลองมาคิดดูดีๆ ก็คงไม่แปลก เพราะมาสเตอร์คีย์คือคีย์การ์ดที่พวกเธอใช้ตอนตรวจเช็กความเรียบร้อยหลังทำความสะอาดห้องพักในโรงแรม คุณสมบัติที่ทำให้มาสเตอร์คีย์แตกต่างจากคีย์การ์ดใบอื่นๆ ที่แจกให้ลูกค้าที่มาพักก็ตรงที่...ปลดล็อกประตูห้องพักทุกห้องในโรงแรมแห่งนี้ได้ด้วยการ์ดใบนี้ใบเดียว ของสำคัญแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เหตุจำเป็นแบบนี้จะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่ห้องทำงานของพวกเธอ เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางมิชอบ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่บทลงโทษของการทำหายคือ...ไล่ออกสถานเดียว
คืนนี้คงต้องนอนคาบไว้แล้วละมั้งเอสเธอร์...เฮ้อ
หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มประจำของเธอ หย่อนตัวลงนั่งบนม้านั่งเหล็กดัดในสวนหย่อมด้านหนึ่งของโรงแรมที่เธอทำงานอยู่ ตอนนี้เพิ่งเลยเวลาสี่ทุ่มมาได้ไม่กี่นาที โชคดีที่วันนี้เลิกงานตรงเวลา เพราะงานไม่ได้ยุ่งมากเลยทำให้เธอจัดแจงทุกอย่างให้เสร็จได้ตรงเวลาที่กำหนดไว้พอดี แถมวันนี้ยังเป็นวันหยุดของงานร้องเพลงในห้องอาหารด้วย วันสบายตัวแบบนี้ นั่งผ่อนคลายในสวนสักหน่อยก็คงจะดีไม่น้อย ก็เพราะงานที่ต้องติดแหง็กอยู่ในตึกตั้งแต่บ่ายโมงยันสี่ทุ่มนั่นน่ะสิ แทบจะลืมไปแล้วว่าต้นไม้ใบหญ้าหน้าตาเป็นอย่างไร
เอสเธอร์นั่งแกว่งขาทอดสายตามองภาพสวนดอกไม้ตรงหน้า สมกับเป็นโรงแรมห้าดาวจริงๆ นี่ขนาดว่ามีแค่แสงสลัวๆ จากหลอดไฟที่ติดเอาไว้ตามจุดต่างๆ ยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าได้เห็นตอนแสงอาทิตย์รำไรยามเช้าทอดลงมากระทบแล้วละก็ สวนนี้คงสวยเหมือนแดนสวรรค์เลยแน่ๆ
ใบหน้าสวยระบายยิ้ม “แม่มองช่ออยู่รึเปล่าคะ แม่เห็นไหมว่าช่อมีความสุขดี แค่มานั่งอยู่ในสวน ช่อก็ยิ้มได้เหมือนเคย” เอสเธอร์เอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนบนฟ้า
รอยยิ้มแห่งความสุขยังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้าของเธอ แต่ดวงตาคู่สวยกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา...ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศก แต่เป็นน้ำตา...แห่งความคิดถึง
คิดถึงคนที่ไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว!
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสจี้รูปกลุ่มดาวเล็กๆ ที่เกาะรวมกันราวกับช่อดอกไม้ ของมีค่าชิ้นเดียวที่แม่ให้เป็นของขวัญวันที่เธอเรียนจบมัธยมปลาย แม้จะไม่ได้ราคาสูงนัก ทว่าเมื่อเทียบกับแรงกายแรงใจที่แม่ต้องทำงานหนักเพื่อเธอแล้วละก็ มันมีค่ายิ่งกว่าของราคาแพงใดๆ บนโลกใบนี้เสียอีก แล้วตอนนี้จี้นี้ยังเป็นเสมือนตัวแทนที่ทำให้ลูกสาวคนนี้รู้สึกว่า...แม่ยังอยู่กับเธอทุกเวลา...ไม่เคยหายไปไหน
“แม่อยู่บนนั้น...ไม่ต้องเป็นห่วงช่อนะคะ ช่อผกาดวงนี้ยังเป็นดาวที่สดใสของแม่เหมือนเดิมค่ะ”
ไม่ต้องแปลกใจหรอก ‘ช่อผกา’ คือชื่อที่แม่ตั้งให้ ถ้าจะพูดให้ถูก...มันคือชื่อที่แท้จริงของเธอต่างหาก ชื่อที่คนไม่มากบนเกาะนี้รู้ เพราะหลังจากเธอเกิดได้ไม่กี่วัน เด็กหญิง ‘ช่อผกา สิธากร’ ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเด็กหญิง ‘เอสเธอร์ ลี’ ด้วยเหตุผลบางอย่างที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความลับนี้
คนตัวเล็กสูดหายใจเข้าเต็มปอดคล้ายจะดึงน้ำตาที่กำลังจะไหลอยู่รอมร่อให้กลับคืน ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่เรื่องอื่น เพราะกลัวว่าถ้ายังอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะน้ำตาไหลแบบนี้ มีหวัง...แม่คงอดเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวคนนี้ไม่ได้แน่ๆ
มือบางล้วงเข้าในไปกระเป๋าสะพายข้างที่วางเอาไว้บนตัก ก่อนจะชูสิ่งที่เธอหยิบออกมาจากกระเป๋าขึ้นมองตรงหน้า นาฬิกาข้อมือเรือนสวยที่ยังตามหาเจ้าของไม่เจอ แล้วก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะหาเจอไหม
“ถ้าไปขอรายชื่อแขกคนไทยจากเคาน์เตอร์ แล้วตามไปเคาะถามทุกห้อง ถ้าไม่โดนลูกค้าตีหัวแตกก็มีหวังโดนบอสกัดหูขาดแน่ๆ” หญิงสาวทำหน้าเหยเก ก่อนจะเอาสองมือปิดใบหูราวกับจะป้องกันมันเอาไว้จากความคิดในหัว “ดีนะที่ยายเอสคนนี้ไม่บ้าบิ่นขนาดนั้น ว่าแต่...นาฬิกาเรือนนี้มันราคาเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย”
พนักงานสาววางนาฬิกาเจ้าปัญหาไว้ที่กระเป๋าบนตัก สองมือรวบขึ้นกอดอกก่อนจะหลุบมองของบนตัก กำลังคิดว่าพอจะมีทางไหนอีกบ้างที่เธอจะจัดการกับเรื่องตรงหน้านี้ได้
ขณะที่หญิงสาวกำลังใช้สมองอย่างหนักอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนมีเงาวูบวาบแปลกๆ เหนือศีรษะ แต่ที่น่าตกใจมากไปกว่าเงาบ้าบอนั่น คือนาฬิกาบนตักกำลังลอยผ่านหน้าไปโดยมือปริศนาที่พุ่งมาจากด้านหลัง แล้วฉวยมันไปต่อหน้าต่อตาต่างหาก
“เฮ้ย!” สาวร่างบางโพล่งออกมาพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไล่ตามนาฬิกา พยายามจะคว้าเอาของสำคัญที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ ก่อนการเอี้ยวตัวตามทิศทางของเป้าสายตาจะทำให้เธอหันมาพบกับ...
“นี่คุณ! เอาคืนมานะ”
ผู้ชายหยาบคายคนเมื่อวานกำลังพลิกซ้ายพลิกขวาพิจารณานาฬิกาข้อมือที่เขาถือวิสาสะหยิบไป ไม่สิ เรียกว่าขโมยจากเธอไปซึ่งๆ หน้าน่าจะใช่กว่า
และเมื่อหัวขโมยเหลือบตามองเธอแต่ไม่เอ่ยตอบ หญิงสาวจึงทำท่าจะลุกจากม้านั่งไปหาเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ผู้ชายตัวร้ายก็เดินอ้อมมายืนตรงหน้าเธอแทน ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่า...เขาเดินมาดักไม่ให้เธอหนีไปไหนได้ต่างหาก
“นี่ของเธอเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่สีหน้าไม่ได้บอกว่าเป็นอย่างนั้น แววตาดุดันที่มาจากดวงตาคมคู่นั้นกำลังส่งแรงกดดันมากมายไปยังดวงตาของคนที่นั่งอยู่
เอสเธอร์รับรู้ถึงความอึดอัดที่เธอก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะสายตาของเขาที่จ้องลงมาอย่างไม่สบอารมณ์ก็ดูจะเกินจริงไปหรือเปล่า หญิงสาวตัดสินใจดันคนตัวสูงที่ยืนอยู่ให้ถอยห่าง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น เพราะถ้าเธอยังนั่งอยู่แบบนี้ อาจจะตกเป็นรองเขาเอาง่ายๆ
“จะใช่ของฉันรึเปล่า คุณก็ไม่เกี่ยว ขอคืนด้วยค่ะ”
“ครับ ไม่เกี่ยว” เขาว่าพลางพยักยิ้มร้าย แล้วหย่อนนาฬิกาให้ห้อยลงตรงหน้าเธอ
คนตัวเล็กเอื้อมมือไปคว้าทันควัน แต่ดูเหมือนว่าความเร็วของเธอนั้นจะไม่ทันความเจ้าเล่ห์ของเขา ธามสะบัดสายนาฬิกาอีกด้านที่เขาจับไว้ ให้นาฬิาม้วนกลับเข้ามาอยู่ในอาณัติตามเดิม
“นี่นาฬิกาผู้ชายนะ เธอใส่นาฬิกาผู้ชายด้วยเหรอ แค่ตัวเรือนก็ใหญ่กว่าข้อมือของเธอแล้ว”
คนตัวเล็กกว่าไพล่มือไปซ่อนไว้ด้านหลังเพื่อให้พ้นจากสายตาเขาที่มองอยู่ “ทำไมคะ ผู้หญิงใส่นาฬิกาผู้ชายผิดกฎหมายเหรอ”
“ไม่ผิด ถ้าเธอแค่ใส่ แต่นี่มันผิดเพราะ...เธอขโมยมา!”
คำเน้นย้ำที่ทิ้งท้ายผูกคิ้วของคนฟังเข้าหากัน
“ฉันไม่ได้ขโมย คุณนั่นแหละที่ขโมย เห็นชัดๆ ว่าคุณหยิบไปต่อหน้าต่อตาฉันเลย” คนตัวเล็กตะเบ็งเสียงเถียง
“ขโมยงั้นเหรอ ฉันจะบอกให้นะ นาฬิกาเรือนนี้เป็นของฉัน ถ้าเธอบอกว่ามันเป็นของเธอ แล้วทำไมเมื่อกี้นี้ฉันได้ยินเธอพูดกับตัวเองว่านาฬิกาเรือนนี้ราคาเท่าไหร่ เธอขโมยมาแล้วคิดจะเอาไปขายต่อมากกว่า”
“ไม่ใช่!” คนเสียงใสตะโกนสวนกลับไปทันที
ไม่ใช่เด็ดขาด ไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่เขาพูดมา เธอไม่เคยคิดจะขายนาฬิกาเรือนนี้อย่างที่เขาใส่ร้าย แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ใช่เจ้าของมันอย่างที่เขาแอบอ้างแน่ๆ เพราะเธอรู้ดีว่าฮีโรที่เข้ามาช่วยเธอในวันนั้นคือเจ้าของตัวจริง ฮีโรที่กล้าหาญและใจดีคนนั้น...คนที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ห่างไกลจากผู้ชายปาก...เสียคนนี้อย่างสิ้นเชิง
“ถ้าเธอบอกว่ามันเป็นของเธอ งั้นเธอลองบอกฉันมาซิว่าทำไมเธอต้องตั้งเวลาของนาฬิกาเรือนนี้ให้ช้ากว่าเวลาของที่นี่ไปหนึ่งชั่วโมง” ธามเลิกคิ้วถามด้วยแววตาที่บอกความเป็นต่อ
ข้อบ่งชี้หลายอย่างบอกว่านี่คือนาฬิกาเรือนที่เขาพยายามจะพลิกทั้งเกาะสิงคโปร์เพื่อตามหา เขามั่นใจว่ามันคือของรักที่หายไปไม่ผิดแน่ๆ ตอนนี้จะเหลือก็แค่...ต้อนหัวขโมยตรงหน้าให้จนมุมเท่านั้น
“ก็...” สาวร่างบางอ้าปากจะเถียง แต่กลับกลืนเอาคำพูดนั้นลงไป เพราะถ้าบอกว่ามันเป็นเวลาที่ประเทศไทยก็คงไม่ต่างอะไรกลับเอ่ยเป็นนัยๆ ว่ามันไม่ใช่ของเธอ
เอสเธอร์มองคนที่กำลังท้าทายเธอด้วยการยิ้มที่มุมปาก แถมยังพ่นลมหายใจใส่เธอซ้ำ หญิงสาวจึงเบี่ยงสายตาไปหาเป้าหมายในมือของเขาแทน เป้าหมายที่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเอาคืนมาให้ได้...นาฬิกาของคุณนักวิ่ง!
“ตอบไม่ได้ใช่ไหม งั้นฉันจะบอกเธอให้ก็ได้ เพราะว่ามันเป็นเวลาที่ประเทศไทย เวลาในประเทศของเจ้าของนาฬิกาที่เธอขโมยมา ซึ่งนั่นก็คือฉัน”
ธามสาวเท้าเข้าหาคู่สนทนา จนคนตัวเล็กที่ร่างกายเป็นรองกว่าต้องก้าวถอยหนี แล้วก็ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะจู่ๆ ขาที่เริ่มนไหวเบาๆ ก็ถอยจนชนเข้ากับพุ่มไม้ที่อยู่ด้านหลัง และในขณะที่ตาของเธอกำลังส่ายไปมาอย่างสบสนเพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี แขนยาวของคนตรงหน้าก็เอื้อมไปคว้ากระเป๋าสะพายของเธอที่วางอยู่นม้านั่งขึ้นมา
“ไหนดูซิว่านอกจากนาฬิกาแล้ว ขโมยที่ใช้หน้าตาใสซื่อหลอกใครต่อใครอย่างเธอได้อะไรไปอีกบ้าง” นักธุรกิจหนุ่มกระแทกเสียงใส่จนคนฟังต้องหลับตาและก้มหน้าหนี
ทันทีที่คำพูดนั้นสิ้นสุด ข้าวของทุกอย่างในกระเป๋าของเอสเธอร์ก็ถูกเทลงไปนอนกองแน่นิ่งกับพื้นหญ้า
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างพร้อมกับที่ปากเปิดอ้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะกิริยาไร้มารยาทของผู้ชายที่แม้แต่ชื่อเธอยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ เขากล้าทำขนาดนี้ได้อย่างไร สาวร่างเล็กพุ่งตัวเข้าไปผลักอกคนที่กำลังกวาดสายตาไปตามข้าวของของเธอที่กระจายอยู่เต็มพื้น
“ไม่ต้องมามองของของฉัน ฉันบอกว่าฉันไม่ใช่ขโมยไง! แล้วก็เอานาฬิกาคืนมาได้แล้ว คนอะไรมารยาทแย่ที่สุด” เอสเธอร์ตะเบ็งเสียงใส่พร้อมกับพยายามคว้าเอานาฬิกาในมือเขา ทว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิด…
ธามมองหญิงสาวที่เขายอมรับว่าหน้าตาเธอ ‘สวย’ แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของเธอจะไม่ได้คล้อยตามหน้าตาสักเท่าไร เขาเลื่อนมือที่มีนาฬิกาอยู่หลบหลีกไปมาในอากาศ ยิ้มร้ายอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
เก่งนักก็แย่งไปให้ได้สิ...ไอ้หัวขโมย
เอสเธอร์หยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างลงแล้วตั้งสติ ถ้ายื้อแย่งด้วยวิธีนี้ให้ตายอย่างไรเธอก็ไม่มีวันได้มันคืนมาจากเขา หญิงสาวจ้องคู่ต่อสู้ด้วยแววตาแน่วนิ่งแล้วปล่อยให้สมองของเธอประมวลผล
ศัตรูตรงหน้าทั้งตัวสูงกว่า แข็งแรงกว่า มีกำลังมากกว่า และแน่นอนว่าเขาต้องวิ่งได้เร็วกว่า...ถ้าเธอสู้กับเขาซึ่งๆ หน้า เธอไม่มีวันชนะเขาได้แน่
พนักงานสาวตัวบางย่อตัวลงเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดเข้ากระเป๋าพร้อมกับอาศัยช่วงเวลานั้นกวาดตามองไปรอบๆ ว่าพอจะมีอะไรช่วยเธอได้บ้างไหม ก่อนของใกล้ตัวบางอย่างจะสะดุดสายตาเธอเข้า หญิงสาวลอบยิ้มหน่อยๆ แล้วก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่...นายตัวร้ายเปิดช่องว่างให้เธอพอดี
“ถ้าเธอยอมรับกับฉันดีๆ ว่าเธอขโมยมา ฉันจะไม่เอาเรื่องเธอก็ได้ ฉันบอกไว้เลยนะ ถ้าเธอเอาไปขาย ตำรวจก็จะตามจับเธอได้อยู่ดี เพราะว่าไอ้นาฬิกาเรือนนี้เป็นลิมิเต็ดเอดิชัน มันมีนัมเบอร์สลักไว้ ถ้าเธอ...”
“ฉันไม่เชื่อคุณหรอก มีนัมเบอร์สลักไว้ตรงไหนเหรอคะ” คนเสียงหวานถามดักคอขึ้นก่อนคนที่ยืนอยู่จะพูดจบ
“มันก็อยู่...”
เอสเธอร์เหลือบตาขึ้นมองเขาเสี้ยววินาที และในจังหวะที่ชายแปลกหน้ากำลังก้มหน้าก้มตาพลิกของในมือไปมาเพื่อหาตัวเลขที่ว่ามายืนยันคำพูดของเขาอยู่นั้น...
“เฮ้ย!” คนตัวสูงร้องเสียงหลง อันมีสาเหตุมาจากเศษใบไม้แห้งที่ถูกกวาดไปกองรวมกันอยู่ใต้พุ่มไม้ใกล้ๆ มันถูกคนตัวเล็กโกยขึ้นมาแล้วปาใส่หน้าเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
เปลือกตาของธามปิดลงโดยอัตโนมัติเพราะสิ่งไม่พึงประสงค์ที่พุ่งเข้ากระทบใบหน้า ก่อนเขาจะรีบยกสองมือขึ้นปัดเศษสิ่งสกปรกออก
เอสเธอร์อาศัยช่วงเวลาเหมาะเจาะที่ศัตรูของเธอกำลังมือเป็นระวิงและไม่ทันได้ระวังตัว พุ่งเข้าไปกระชากเอานาฬิกาในมือเขาแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในซอกหลืบระหว่างอาคารที่พนักงานของโรงแรมอย่างเธอรู้เส้นทางเป็นอย่างดี
“อะไรวะ หายไปแล้ว” ชายร่างสูงโวยวายทันทีหลังจากจัดการกับปัญหาเสร็จ และรับรู้ว่าคนสร้างปัญหาได้หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“แสบจริงๆ เลย ไอ้เด็กบ้า!” คนหัวเสียตะโกนไล่หลังทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอวิ่งหนีไปทางไหน
ชายหนุ่มก้มลงมองเศษใบไม้เจ้าปัญหาที่พื้น ก่อนจะเตะไปให้ไกลราวกับว่ามันเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ คิดแล้วก็ยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก เมื่อต้องยอมรับว่าคนที่เขาแพ้นั้นเป็นเพียง...ผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น
คนหงุดหงิดถอนหายใจ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนม้านั่ง แต่แล้วอะไรบางอย่างบนพื้นก็สะท้อนแสงไฟเตะตาเขาจนต้องหันกลับไปมอง ธามโน้มตัวลงปัดเศษใบไม้ที่ปกปิดบางส่วนของของที่ว่านั้นออก ก่อนจะหยิบมันขึ้น
“อ้าว คีย์การ์ดโรงแรมนี่ ทำตกตอนไหนไม่รู้ตัวเลย เกือบเข้าห้องไม่ได้แล้วไหมล่ะ” เขาบ่นพลางเช็ดแผ่นพลาสติกสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนแล้วยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “นาฬิกาก็ขโมยไป แถมยังมาปาใบไม้ใส่หน้าอีก ไอ้เด็กบ้านี่ อย่าให้เจอตัวนะ จะจับเข้าคุกให้ได้เลยคอยดู ฮึ่ย โมโหๆ โมโหเว้ย”
คนตัวเล็กวิ่งหนีเข้ามาหลบอยู่ในห้องน้ำหญิงเกือบยี่สิบนาที ก่อนจะหาทางหลบออกทางประตูลับด้านข้างของโรงแรมได้ในที่สุด แม้ว่าอาการเหนื่อยหอบจากการวิ่งสี่คูณร้อยจะหายไปแล้วก็ตาม แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจดวงน้อยในอกยังเต้นเป็นบ้าเป็นหลังด้วยความตื่นกลัวไม่หาย
ให้ตายเหอะ! ผู้ชายคนนั้นต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ จู่ๆ ก็มาโมเมว่าเป็นเจ้าของนาฬิกา แถมยังคิดจะซื้อเธออีก เจอทีไรเป็นต้องได้วิ่งตลอด ไม่รู้ว่าสติไม่ดีหรือโรคจิตกันแน่
ขณะที่หญิงสาวกำลังต่อว่าคนที่กวนใจเธอในใจอยู่นั้น แรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋าก็แทรกขึ้นเบรกความหงุดหงิด
“ค่ะเจ๊ไหม ไปค่ะเจ๊ ช่อกำลังไป พอดีเมื่อกี้ช่อเจอผู้ชายโรคจิต ก็เลยเสียเวลานิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะไอ้บ้าคนนั้น...เราจะไม่เจอกันอีกแล้ว”
“พรุ่งนี้แปดโมงครึ่ง อย่าสายนะเว้ย ฉันมีประชุมที่บริษัทต่อตอนสิบโมง คงไม่เข้าบ้านแล้ว เข้าบริษัทเลย เดี๋ยวไม่ทัน” เสียงที่ยังคงมีความฉุนเฉียวเจือปนถูกส่งไปยังปลายสาย เพื่อนรักที่เสี่ยงตายมาส่งเขาที่สนามบินเมื่อสองวันที่แล้ว และแน่นอนว่าต้องเป็นคนมารับเขากลับอย่างปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกัน
“ของฟงของฝากอะไร ไม่มีเวลาเว้ย” คนขี้หงุดหงิดยังคงพาลไปทั่ว “เออๆ แค่นี้แหละ ถึงห้องแล้ว พรุ่งนี้เจอกัน”
มือหนาล้วงคีย์การ์ดจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาปลดล็อกประตูไปพร้อมๆ กับกดยุติการสนทนาจากสมาร์ตโฟน เขาพ่นลมหายใจหมายจะระบายความขุ่นเคืองในอก แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการถ่ายเทอารมณ์ที่ว่าให้ไปรวมกับความมืดเบื้องหน้าที่เขากำลังจะเดินเข้าไปเสียมากกว่า
ธามเดินฝ่าความมืดของห้องพักเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเสียบคีย์การ์ดในมือกับช่องบนผนังเพื่อปลดปล่อยแสงสว่างให้เข้ามาทำลายความวังเวงของห้องที่มืดมิด คนตัวสูงเดินไปหยุดอยู่กลางห้อง กวาดมองไปรอบๆ ในสมองกำลังลำดับภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เขาก้าวเหยียบเกาะนี้ เรียงร้อยเรื่องราวเป็นฉากๆ
“ขโมยไปตอนไหนวะ” คำถามนี้ติดอยู่ในหัวของเขามาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
ชายหนุ่มขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด นาฬิกาเรือนนั้นหายไปก่อนที่เขาจะได้เจอกับเธอที่ห้องอาหารด้วยซ้ำ นั่นแปลว่า...มันต้องหายไปในช่วงเวลาที่เขาไปติตต่อธุรกิจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี ผู้บริหารหนุ่มส่ายหน้าคล้ายจะไล่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ออกจากหัว ก่อนเดินตรงไปที่โต๊ะทำงาน ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋ากางเกงยีนแล้วโยนไปบนโต๊ะอย่างลวกๆ แต่แล้วเสียงแปลกๆ ที่คล้ายกับของแข็งกระทบกับโต๊ะก็สะดุดใจเขา จนต้องหันกลับมามอง
ชายหนุ่มเดินกลับไปพลิกอีกด้านหนึ่งของกระเป๋าสตางค์ แล้วต้นเหตุของของเสียงนั้นก็ทำให้ดวงตาสีเข้มของเขาเบิกกว้าง
“เฮ่ย!” เสียงทุ้มถูกเปล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองแสงสว่างจากหลอดไฟในห้องเพื่อยืนยันความคิดของตัวเองอีกครั้ง
ไฟก็ยังเปิดอยู่...ไฟสว่าง! แสดงว่าก็ต้องมีคีย์การ์ดเสียบอยู่ที่ทางเข้าห้อง ถ้ามีคีย์การ์ดเสียบอยู่ตรงนั้น แล้วไอ้ที่นอนยิ้มอยู่ข้างกระเป๋าเงินของเขานี่ล่ะ...มาจากไหน!
ธามหยิบของเจ้าปัญหาตรงหน้าขึ้นมา ก่อนจะเริ่มลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนเขาออกจากห้องเมื่อเช้านี้ คิ้วหนาผูกเข้าหากัน บอกความวุ่นวายในสมองของคนที่กำลังจัดเรียงภาพความทรงจำที่ในหัว
ใช่...เมื่อเช้าเขาเอาคีย์การ์ดยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงพร้อมกระเป๋าเงิน...ไม่ผิดแน่ แสดงว่าไอ้แผ่นพลาสติกสีน้ำเงินเข้มในมือนี่ก็ต้องเป็นของเขา แล้วตัวเลขห้องที่โชว์หราอยู่อีกด้านหนึ่งของการ์ดก็ตามมาย้ำความจริงอีกครั้งเมื่อเขาพลิกอีกด้านขึ้นดู ถ้าอย่างนั้น...ไอ้อันที่เสียบอยู่ทางเข้าห้องนั่นล่ะ อันที่เขาเก็บได้จากสวนหย่อมเมื่อตะกี้นี้...
แล้วภาพข้าวของจากกระเป๋าของหญิงสาวที่ถูกเทลงกองกับพื้นก็ถูกตัดเข้าแทรกกลางห้วงความคิด
“ของไอ้เด็กบ้านั่นแน่ๆ” คำตอบที่โพล่งออกมาเกือบจะทำให้เขารู้สึกผิดลึกๆ ที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นต้องเดือดร้อน...ถ้าไม่มีคำถามต่อมาที่เข้ามาสกัดความรู้สึกนั้นไว้เสียก่อน
“แล้วเปิดห้องนี้ได้ยังไง...อย่าบอกนะว่า!...”
ขายาวสาวไปที่ประตูอย่างรวดเร็วจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง ก่อนที่เขาจะฉวยเอาคีย์การ์ดต้องสงสัยติดมือไปพร้อมกับกระชากประตูออกด้วยความใจร้อนที่อยากจะรู้คำตอบของข้อกังขาในหัว
ธามหยุดอยู่หน้าประตู แล้วหันมองซ้ายขวาเพื่อเช็กดูว่ามีคนอยู่แถวนั้นหรือไม่ และเมื่อเห็นว่าปลอดคน เขาจึงสะบัดหน้าไปหากล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ที่มุมหนึ่งของทางเดิน
วิธีเดียวที่จะดูแนบเนียนที่สุดในสายตาของคนที่มองผ่านกล้องวงจรปิดคือ...ทำทีว่าเข้าผิดห้อง
ชายร่างสูงยกโทรศัพท์ที่ไม่ได้กดโทร. ออกขึ้นแนบหู แล้วเดินออกจากห้องไปจนพ้นรัศมีของกล้องวงจรปิด ไม่นานนัก...เขาเดินกลับมาพร้อมกับก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์อย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง คนเจ้าเล่ห์หยุดที่ประตูห้องที่หนึ่ง ก่อนจะใช้คีย์การ์ดแตะที่ประตูอย่างลวกๆ โดยไม่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ แล้วสัญญาณไฟสีเขียวอันเป็นเครื่องแสดงถึงการถูกปลดล็อกของประตูก็กระทบสายตาคนที่เหลือบมอง
คิ้วหนาของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย แต่เขายังคงซ่อนสีหน้าเอาไว้ และแม้ว่าจะได้คำตอบที่ต้องการแล้วก็ตาม แต่ธามก็ยังคงทำแบบเดิมซ้ำกับประตูห้องถัดไป และสัญญาณไฟสีเขียวที่สว่างวาบขึ้นราวกับเดจาวูนั้นก็ทำให้มุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยความคิดในหัว
นักธุรกิจหนุ่มกลับเข้ามาในห้องพักของเขา ก่อนจะโยนของในมือลงบนเตียง เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด คีย์การ์ดใบนี้ไม่ได้เปิดได้แค่ห้องนี้ห้องเดียว แต่มันปลดล็อกทุกห้องพักในโรงแรมแห่งนี้ได้
“นี่ขนาดโรงแรมห้าดาวนะ ไอ้เด็กบ้านั่นยังเข้ามาทำแบบนี้ได้ สาวน้อยใสซื่องั้นเหรอ เหอะ! มิจฉาชีพตัวเป้งชัดๆ” คนหัวเสียเท้าสะเอวบ่น ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่อคิดถึงคำถามที่เขาหาคำตอบไม่ได้เมื่อครู่
“นี่สินะวิธีที่ใช้ขโมยนาฬิกาไป ขนาดระบบรักษาความปลอดภัยของโรงแรมใหญ่ยังแฮ็กเข้ามาได้ ทำงานกันเป็นทีมเลยรึเปล่าเนี่ย”
ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งกวนอารมณ์ตัวเองให้ยิ่งขุ่น หนุ่มร่างสูงสะบัดสายตาไปหาเงาสะท้อนในกระจก ก่อนจะยกสองมือขึ้นขยี้ผมงอย่างหัวเสีย
“ไอ้ธามเอ๊ยไอ้ธาม เกือบหลวมตัวแล้วไหมล่ะ เจอสวยๆ ทีไรหน้ามืดตลอด ดอกไม้สวยบางดอกมันมีพิษเว้ย จำไว้ ฮึ่ย!”
“โหไอ้ช่อ พี่นึกว่าวันนี้แกจะไม่โผล่หัวมาซะละ” หญิงสาวที่นั่งอยู่เชิงบันไดขึ้นชั้นสองของบ้านเอ่ยทักขึ้น หลังจากที่สาวร่างบางโผล่พ้นผ้าม่านกั้นประตูเข้ามา
“พี่เหมียวอ้ะ นี่ช่อก็รีบสุดแล้ว ว่าแต่เจ๊ไหมเขามีอะไรด่วนรึเปล่า จู่ๆ ถึงได้โทร. หาช่อแต่เช้าเลย เมื่อวานตอนช่อมาก็ไม่เห็นจะพูดอะไรเลยนี่” คนอ่อนวัยกว่าว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ที่นี่คือห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่ถูกกั้นเอาไว้อย่างลวกๆ ด้วยผ้าม่านที่ห้อยลงมาปิดช่องประตูเท่านั้น อันที่จริงมันน่าจะเรียกว่าพื้นที่ว่างหน้าบันไดมากกว่าที่จะเรียกว่าห้องด้วยเสียด้วยซ้ำ ส่วนพื้นที่ด้านหน้าของม่านที่ถูกกั้นเอาไว้นั้นก็มีทั้งห้องใหญ่ที่เป็นพื้นที่ส่วนรวม ซึ่งตอนนี้มีหญิงสาวสี่ห้าคนคอยเอาอกเอาใจแขกผู้ชายที่เข้ามาใช้บริการในบ้านหลังนี้ และถัดเข้าไปจากห้องใหญ่ก็จะมีห้องเล็กๆ อีกสามสี่ห้องที่ใช้เป็นพื้นที่ส่วนตัวในการ ‘ทำงาน’ ยามค่ำคืนของผู้หญิงหลายคนในบ้านนี้
คงเดาได้ไม่อยากหรอกใช่ไหมว่าบ้านหลังนี้คือที่ไหน!
บ้านหลังนี้คือที่ที่เอสเธอร์เพิ่งมาปรากฏตัวเมื่อคืน ที่ที่พอเธอเดินออกไปนอกบ้านก็มีไอ้ผู้ชายปากมอมมาขอซื้อเธอในราคาที่สูงเป็นสองสามเท่าทันที ใช่...มันคือบ้านเบอร์สิบสองในซอยสิบของย่านเกลังนั่นละ และพี่เหมียวคู่สนทนาที่นั่งอยู่กับเธอนี้ก็เป็นหนึ่งใน...ตัวเลือก...ของการบริการในบ้านหลังนี้
“อ้าวไอ้ช่อ มาได้ซักที เจ๊รอตั้งนาน” เจ๊ไหม หญิงโสดรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอ แน่นอนว่าต้องพ่วงตำแหน่งเพื่อนของแม่ไปด้วย ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าเธอเป็นอาเจ๊ที่เคารพและเกรงขามของบรรดาคนไทยในละแวกนี้ และเพราะเจ๊ไหมอยู่บนเกาะสิงคโปร์มาแล้วเกือบสามสิบปี เจ๊ไหมจึงเป็นบุคคลที่เรียกว่ารู้ลึก รู้ดี และรู้ชัดแทบจะทุกเรื่องของคนไทยที่นี่เลยก็ว่าได้
“แฮ่...สวัสดีค่ะเจ๊ ช่อมาช้าไปนิดเดียวเอง” สาวเจ้ายิ้มแหยๆ พร้อมกับทำท่าจะประกบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าหากัน คล้ายจะแสดงขนาดของคำว่า ‘นิด’ ที่เธอว่า ก่อนจะเอ่ยต่อ “ว่าแต่เจ๊มีอะไรรึเปล่าคะ”
คนถูกถามยืนกอดอกพิงขอบประตูถอนหายใจ แววตาเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งให้คนตาแป๋วที่รอฟังอยู่ “ไอ้ช่อเอ๊ย...ย ไม่รู้ว่าแกไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ งานถึงได้เข้ารอบตัวขนาดนี้ อ้ะเอาไป”
มือบางเอื้อมไปรับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ผู้ใหญ่ตรงหน้ายื่นมาให้ ก่อนจะคลี่ออกแล้วไล่สายตาไปตามตัวหนังสือในหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้
ดวงตาคู่สวยเบิกโตพร้อมกับที่เรียวปากเปิดอ้าออก ก่อนจะหุบลงในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเพื่อลำเลียงน้ำลายหนืดลงคอไป
“มีอะไรช่อ อ่านให้ฟังหน่อย” เพราะอาการตกตะลึงของน้องสาวนอกไส้ทำให้เหมียวประหลาดใจจนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่
ช่อผกาหันมองเจ้าของคำถามแล้วส่งรอยยิ้มหม่นๆ ให้แทนคำตอบ คนอยากรู้จนทนไม่ไหวจึงลุกมาดึงของในมือเธอไปไขข้อสงสัยด้วยตัวเอง
“ช็อกวงการธุรกิจ พินัยกรรมปีเตอร์ ลี ยกมรดกทุกอย่างให้หลานสาวที่เคยเจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว...เอสเธอร์ ลี”
ตาของเหมียวเบิกกว้างไม่แพ้กับตาช่อผกาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา “ไอ้ช่อ...อ จู่ๆ ก็รวยไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย ส้มหล่นใส่เต็มๆ เลยว่ะ รวยแล้วอย่าลืมฉันนะเว้ย” เหมียวว่าระคนหัวเราะ
“ส้มเน่าสิไม่ว่า”
“อ้าว ทำไมล่ะเจ๊ ปีเตอร์ ลี นี่ไม่ใช่เจ้าของธุรกิจขนส่งทางทะเลที่รวยมากๆ นั่นเหรอ ที่ข่าวลงว่าหัวใจวายตายเมื่อซัก...สองสามเดือนก่อนนั่นน่ะ ไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่พี่เหมียวก็รู้ว่าช่อไม่ใช่ เอสเธอร์ ลี ช่อหมายถึงว่าช่อไม่ใช่หลานของเขาน่ะ” คนที่หน้าตาเริ่มเครียดตอบคำถามนั้นแทน
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แกก็สวมรอยไปสิ นอกจากคนไทยในบ้านนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าแกชื่อช่อผกา ทั้งชื่อที่เพื่อนเรียก ชื่อที่โรงเรียน หรือแม้แต่ชื่อที่ทำงาน แกก็ใช้ชื่อ เอสเธอร์ ลี มาตั้งแต่จำความไม่ได้ เชื่อฉันสิ พรุ่งนี้รับรองที่ทำงานแกคุยเรื่องนี้กันให้วุ่นแน่ สวรรค์โปรดขนาดนี้ แกก็เนียนๆ ไปเหอะ สลัดชีวิตสาวน้อยแสนรันทดแล้วขึ้นไปชูคอเป็นคุณหนูหมื่นล้านแสนล้าน ดีจะตาย”
“จะตายก่อนจะได้ดีน่ะสิ” เสียงค่อนขอดจากเจ๊ไหมเบรกอารมณ์เพ้อฝันของเหมียวเอาไว้แทบจะทันทีที่จบประโยค
“หมายความยังไงเจ๊ ช่วยอธิบายให้นังเหมียวคนนี้มันเข้าใจหน่อยซิ ว่าทำไมเงินมากองอยู่ตรงหน้าแล้วถึงต้องห้ามไม่ให้ไอ้ช่อมันกระโจนเข้าไปน่ะ”
เจ๊ไหมถึงกับส่ายหน้าอย่างหน่ายใจกับความโลภที่ไม่ดูตาม้าตาเรือของเหมียว
“งั้นแกฟังฉันนะ ปีเตอร์ ลี เนี่ยมีลูกชายสองคน คนโตคือ โจเซฟ ลี ตายไปหลายปีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็เหลือทายาทที่จะต้องได้รับมรดกเพียงแค่คนเดียวคือ คริส ลี ลูกชายคนเล็ก แล้วตอนนี้อีตาคนพ่อเนี่ยก็ดันเขียนพินัยกรรมข้ามหัวเจ้า คริส ลี มาโยนใส่หัวหลานสาวคนเดียวที่ไม่เคยมีตัวตนอยู่ในครอบครัวนี้เลยด้วยซ้ำ” เจ๊ไหมหันสบตาช่อผกาผู้เป็นคนรับมรดกที่ว่า “ทีนี้แกลองคิดดูว่านะ ปีเตอร์ ลี มีเหตุผลอะไรที่ต้องข้ามลูกในไส้ทั้งคนไปอย่างไม่ไยดี แล้วถ้าสมมุติไอ้ช่อเนี่ยเข้าไปรับมรดกในฐานะ เอสเธอร์ ลี เป็นทายาทปริศนาที่จู่ๆ ก็เข้ามากอบโกยทุกอย่างไปอย่างหน้าตาเฉย แกว่ามันจะเดินเข้าไปในแดนสวรรค์ หรือว่าดงซาตานกันแน่ล่ะ”
“อู้หู...วสมกับเป็นเจ๊ไหมจริงๆ เลย ฟันขาดมากเลยอ้ะเจ๊” เหมียวว่าพลางปรบมือเบาๆ ชื่นชมการคิดวิเคราะห์ของสาวใหญ่ผู้เปี่ยมประสบการณ์
คนถูกชมเบ้ปากเพราะท่าทางที่โอเวอร์ไม่เปลี่ยนของเหมียว ก่อนจะหันไปพูดกับคนใจแป้วที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา “แล้วเจ๊ว่าเรื่องที่แกโดนคนตามมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเนี่ย ก็คงไม่พ้นเรื่องนี้แน่ๆ”
มือบางของคนฟังยกขึ้นปิดปากที่เปิดกว้างออกอีกครั้ง ดวงตากลมกะพริบปริบๆ เมื่อปัญหาทุกอย่างในชีวิตเริ่มปะติดปะต่อเข้าหากันในหัว แค่คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันเหล่านั้น ก้อนเนื้อในอกก็เริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้ว
ถ้าสิ่งที่เจ๊ไหมคาดการณ์เป็นเรื่องจริง ปัญหาที่เธอต้องรับมืออยู่ตอนนี้ก็ใหญ่เกินกว่าที่มดตัวเล็กๆ บนเกาะอย่างเธอจะรับไหวแน่ ถ้ามหาอำนาจทางการเงินอย่าง คริส ลี จะไล่บี้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรไปสู้กับเขาได้อย่างเธอ...ช่อผกาคนนี้จะหนีรอดไปได้อีกสักกี่ครั้งกัน
“แล้วช่อ...ช่อจะทำยังไงดีล่ะเจ๊ พวกเขาต้องตามตัวช่อได้สักวันแน่ๆ กฎหมายรุนแรงแบบนี้ เขาคงไม่...ฆ่าช่อหรอกใช่ไหม” สีหน้ากังวลกับเสียงที่แผ่วลงในตอนท้ายนั้นบอกความหวาดกลัวในใจของสาวน้อยได้ดี กระนั้น...คนที่สู้กับปัญหามากมายในชีวิตมาตลอดยี่สิบปีอย่างช่อผกาก็ยังฉายแววตามีความหวังให้คนตรงหน้าได้เห็นอยู่ดี
เจ๊ไหมรับเอาความรู้สึกของสาวน้อยที่เธอเห็นมาตั้งแต่แบเบาะไว้ ช่อผกาก็เป็นเหมือนลูกสาวคนหนึ่งของเธอเหมือนกัน สาวใหญ่เดินเข้าไปกุมมือบางที่กำลังกอดรัดตัวเองเพื่อสะกดความกลัวเอาไว้ แววตาแน่วแน่ส่งความเข้มแข็งให้สาวร่างเล็กที่นั่งอยู่
“หนีช่อ! หนีเท่านั้น แกสู้กับพวกมันไม่ไหวหรอก แค่มันจับแกไปกับเรือส่งสินค้าของพวกมัน แล้วโยนแกลงทะเลที่ไหนสักแห่ง ก็ไม่เหลือผู้หญิงชื่อ เอสเธอร์ ลี อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนที่พวกมันจะทำให้ เอสเธอร์ ลี หายไป แกต้องทำให้ เอสเธอร์ ลี หายไปก่อน”
หัวใจดวงน้อยเสียววาบด้วยคำพูดที่ไม่แน่ใจในความหมาย ก่อนคิ้วงามจะผูกเข้าหากันตามไปด้วย
“ทำให้ เอสเธอร์ ลี หายไป? ยังไงคะเจ๊”
คนถูกถามพ่นลมหายใจออกเบาๆ ด้วยรู้ดีว่าวิธีนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวที่ไม่เคยก้าวออกจากเกาะนี้เลยสักครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าถ้าตัดสินใจไปแล้ว หญิงสาวตรงหน้าคนนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้ เวลาที่หมดทางสู้แบบนี้...ไปตายเอาดาบหน้าก็คงดีเสียกว่า...รอวันถูกบี้ให้จมดินอยู่ที่นี่
ความคิดเห็น |
---|