2

ตอนที่ 1

หกเดือนก่อนหน้า 

“ขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอวะไอ้ชิน แซงเลยๆ เร็วๆ ดิวะ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี ถ้าชวดงานนี้คุณย่าดึงหูจนยานไปถึงเข่าแน่” 

ชายร่างสูงที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับร้อนใจจนนั่งไม่ติดเบาะ เสียงตะแบงที่ดังมาเป็นระยะเร่งให้เจ้าของรถเพิ่มความเร็วให้ทันกับความรีบเร่งของใจคนพูด

“นี่ก็เร็วสุดแล้วครับไอ้คุณธาม แกไม่เห็นเหรอ ข้างหน้าติดยาวเป็นหางว่าวเลย ใครใช้ให้แกมัวแต่เซ็นเอกสารอยู่ล่ะ รู้อยู่ว่าต้องไปสิงคโปร์เช้านี้ พลาดไฟลต์นี้แกไปไม่ทันนัดลูกค้าแน่”

คนฟังขมวดคิ้วด้วยสายตาหาเรื่อง “รู้แล้วน่ะ  ยังจะมาย้ำอีก ฉันถึงบอกให้ขับเร็วๆ อยู่นี่ไง พอๆ จอดๆ ฉันขับเอง ขับอย่างแกขายรถแล้วไปซื้อเต่าเหอะ” 

“ไม่เว้ย ฉันไม่มีวันให้แกมานั่งตรงนี้เด็ดขาด” เสียงแข็งของเจ้าของรถยืนยันหนักแน่น เป็นตายร้ายดีอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายอีกแน่ๆ

“เร็วดิวะ มันจะขึ้นทางด่วนแล้ว เดี๋ยวจอดไม่ได้ ไอ้ชินจะจอดไม่จอด” 

“ไม่ ธามไม่ ไม่เด็ดขาด”

“ไอ้ชิน!...” เสียงกดต่ำที่ลากยาวเริ่มบอกชะตาชีวิตของคนขับ แต่ดูเหมือนว่าเขาก็...ไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน

“ไม่!” 

ธามสะบัดสายตาไปทางเจ้าของเสียงแข็งที่เพิ่งวิ่งเข้ากระแทกหูเขาทันที และแววตาเรียบนิ่งที่ไร้คำพูดของเขาก็ทำให้ชายผู้หนักแน่นในคำตอบนั้น...

“ไม่จอดตรงนี้เดี๋ยวจอดข้างหน้าให้ ตรงนี้มันขาวแดงครับคุณธาม” เฮ้อ...จะจอดไม่จอดไอ้ชินก็ตายอยู่ดี

สิ้นคำสั่งผ่านสายตาของเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายของทนายความชินกฤต ไม่ใช่บุคคลหลังพวกมาลัยรถเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่บรรยากาศในรถก็...ดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนไปด้วย

“เฮ้ยๆๆ ธาม เบาๆ ดิ เบาๆ เฮ้ยยย!! เฉียดกระจกข้างคันตะกี้ไปเท่าขี้มด” ชินกฤตที่ตอนนี้ถูกย้ายให้มานั่งตัวสั่นอยู่บนเบาะข้างคนขับว่าพร้อมกับเอี้ยวตัวซ้ายทีขวาทีราวกับจะช่วยเพื่อนเลี้ยว 

ปากที่ต้องห้ามปรามไม่หยุดกับมือซ้ายที่กำแน่นอยู่กับมือจับเหนือหัวบอกความหวาดกลัวจนแทบอยากจะฝังตัวเข้าไปในเบาะได้ไม่ผิดเพี้ยน...ส่วนมือขวาน่ะเหรอ พันอยู่กับเข็มขัดนิรภัยนั่นไง ไม่รู้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทนายชินรึเปล่า

คนถูกเรียกชื่อเหลือบมองเพื่อนเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเบนสายตากลับไปสอดส่องหาช่องทางที่จะพาเขามุ่งหน้าไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด มือซ้ายตบปรับเพิ่มเกียร์ให้เร่งเครื่องได้แรงขึ้น ก่อนจะพุ่งทะยานปาดซ้ายปาดขวาด้วยความเร็วของรถที่แทบไม่เฉียดใกล้คำว่าแตะเบรก บวกกับความแม่นยำในการหลบหลีกที่โฉบไปเฉี่ยวมาจนคนข้างๆ ที่ชื่อชินแต่ก็ไม่เคยชินถึงกับต้องกลั้นหายใจ

“ไอ้ธามๆ บนทางด่วนมีกล้องนะเว้ย เดี๋ยวก็โดนจับความเร็วหรอก” 

“เออ” คำตอบรับสั้นๆ ดูเหมือนคนฟังเข้าใจ แต่ก็...ไร้ความหมาย เพราะในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น...

“ไอ้ธ้ามมม! อย่าแซงงง!” เสียงตะโกนลั่นรถพร้อมกับที่แขนชินกฤตตั้งขึ้นเป็นเกราะกำบัง ไม่กล้าสู้กับความหวาดเสียวสุดใจที่พุ่งเข้าหา ก่อนการเคลื่อนไหวที่แน่นิ่งลงของตัวรถจะช่วยเปิดตาชายหนุ่มสติหลุดให้ได้รับรู้ถึงความเป็นไปรอบตัว 

ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นออกมาซ้ำๆ คล้ายจะเน้นย้ำถึงการรอดชีวิตให้ตัวเองแน่ใจ ก่อนมือหนาจะยกขึ้นตีข้างแก้มเบาๆ เพื่อช่วยยืนยันอีกแรง

“ขอบใจมาก ไปนะ” เสียงของคนที่กำลังผลักประตูข้างคนขับออกไปเรียกให้ทนายหนุ่มละการจัดเรียงสติเอาไว้ก่อน แล้วหันมายกมือรับคำบอกลาจากไอ้เพื่อนยาก ที่เกือบจะฆ่าเขาด้วยวิธีนี้มาแล้วหลายครั้ง

ชินกฤตสั่งขาที่เริ่มเมื่อยเพราะช่วยคนขับเบรกจนตัวเกร็งมาตลอดทางให้ลงจากรถ เขายืนพิงประตูรถ เอียงคอมองคนที่กำลังวิ่งฝ่าม่านฝูงชนที่เดินขวักไขว่ในสนามบินสุวรรณภูมิ

“กางเกงยีน เสื้อยืดขาว แจ็กเกตน้ำตาล กับไอ้กระเป๋าเป้สุดเท่ของแก มันมีส่วนไหนเป็นลุคนักธุรกิจที่จะไปเจรจาสัญญาร้อยล้านมั่งวะไอ้ธาม เฮ้อ...แกนี่มันสุดๆ จริงๆ” เขาพึมพำพลางส่ายหน้า “หวังว่าคงไม่ลืมเปลี่ยนสูทก่อนนะเว้ย”

เมื่อคนมาส่งหมดหน้าที่ก็ตัวปลิวกลับบ้าน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งน่ะเหรอ...ก็ตัวปลิวเหมือนกัน ใส่เกียร์หมาจนตัวปลิวหน้าตั้งเลย นี่ยังนับว่าโชคดีที่ช่องเช็กอินของชั้นธุรกิจไม่ต้องต่อแถวยาว เลยทำให้ชายผู้ที่กำลังจะได้รับตำแหน่งผู้โดยสารคนสุดท้ายของเที่ยวบินผ่านด่านแรกมาได้อย่างง่ายดาย 

อันที่จริงตัวการที่จะทำให้เขาตกเครื่องไม่ใช่การใช้เวลาอยู่ที่เคาน์เตอร์เช็กอิน หรือการตรวจหนังสือเดินทางที่เขาเพิ่งผ่านมาหรอก แต่เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากของระบบรักษาความปลอดภัยตรงหน้านี้ต่างหาก

“รบกวนผู้โดยสารถอดแจ็กเกต เข็มขัด และเครื่องประดับทุกชนิดใส่กระบะพลาสติกด้วยนะคะ กระเป๋าสตางค์และเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดด้วยค่ะ เลื่อนกระบะพลาสติกเข้าเครื่องสแกนต่อจากสัมภาระของท่านเลยนะคะ” 

ผู้โดยสารหนุ่มถอนหายใจด้วยอาการหน่ายๆ แต่ก็ยอมทำตามขั้นตอนอย่างว่าง่าย ดีนะที่แถวของชั้นธุรกิจไม่ยาวจนเลี้ยวลดคดไปเคี้ยวมาเหมือนชั้นประหยัดที่อยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นละก็...อย่าว่าแต่ตกเครื่องเลย ดีไม่ดีจะโดนคุณย่าถีบตกเก้าอี้รองประธานตามไปพร้อมๆ กันเลย

“ใช่คุณธามที่จะเดินทางกับสิงคโปร์แอร์ไลน์ ไฟลต์เอสคิวเก้าเจ็ดสามรึเปล่าคะ” พนักงานภาคพื้นที่ได้รับมอบหมายให้ตามหาผู้โดยสารคนสุดท้ายของเที่ยวบิน เอ่ยถามชายหนุ่มที่เพิ่งจะหลุดจากขั้นตอนระบบรักษาความปลอดภัยของสนามบินเข้ามา 

ธามที่กำลังง่วนอยู่กับการใส่เข็มขัดให้กลับเข้าที่เงยหน้าขึ้นตอบคนถาม “ใช่ครับ”

“ตอนนี้เครื่องจะออกแล้วนะคะ” 

“ครับๆ ในกระบะนั้นก็ของผม รบกวนช่วยหน่อยได้ไหมครับ” ผู้โดยสารคนสุดท้ายชี้ไปที่กระบะพลาสติกอีกใบที่อยู่ใกล้พนักงานภาคพื้นคู่สนทนา

“เอาของยัดๆ ใส่ในเสื้อก็ได้ครับ” ชายคนเดิมว่าเสริมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ยัดเข้าในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าเป้และถุงคลุมสูทที่วางอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก 

เจ้าหน้าที่สาวเห็นว่าเวลาเหลือน้อยจึงรีบหยิบเสื้อแจ็กเกตของผู้โดยสารขึ้นมาจากกระบะ พร้อมกับหยิบนาฬิกาข้อมือที่วางอยู่ข้างๆ กันใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตตามไปให้ด้วย

และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากจัดการกับสัมภาระสิ้นสุด เจ้าหน้าที่ภาคพื้นก็พาผู้โดยสารที่เกือบจะต้องเกาะปีกเครื่องให้ปีนกลับเข้าไปนั่งในเครื่องได้อย่างปลอดภัย แม้จะเฉียดฉิว...และหอบแฮ่กมากก็ตาม

“แค่เริ่มต้นยังขนาดนี้ หวังว่าสามวันบนเกาะสิงโตทะเลคงไม่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมอีกนะครับ...เฮ้อ”

ขณะที่คนหนึ่งหยิบหูฟังราคาแพงขึ้นครอบหู ตัดสินใจใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งต่อจากนี้ปลีกวิเวกจากนกเหล็กที่กักขังเขาจากอิสรภาพ เข้าไปเดินเล่นในห้วงนิมิต หยอกล้อกับเหล่านางฟ้าอย่างเพลิดเพลิน 

 

“ป้าสร้อยคะ เดี๋ยวเอสวานเพิ่มผ้าเช็ดตัวอีกสองเซตที่ห้องแปดศูนย์ห้าด้วยนะคะ พอดีแขกที่จะเข้าบ่ายนี้เขาขอเตียงเสริม” สาวน้อยร่างบางเอ่ยเสียงหวานกับพนักงานทำความสะอาดหญิงชาวไทยวัยสี่สิบกลางๆ ด้ายภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ แทนที่จะเป็นภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษเหมือนอย่างเวลาเธอพูดกับคนอื่นๆ 

ผมตรงยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดรวบขึ้นอย่างเป็นระเบียบและทะมัดทะแมงดังเช่นทุกวัน เสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนมีโลโก้โรงแรมประทับอยู่บนหน้าอกกับกางเกงสแล็กส์สีดำที่ยาวไล่ไปตามขาเรียวตรงจดข้อเท้านั้น ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในหน้าที่ให้เธอได้อีกระดับหนึ่ง บวกกับแบบบันทึกการตรวจเช็กความเรียบร้อยของห้องพักโรงแรมระดับห้าดาวแห่งนี้ที่อยู่ในมือ...นั่นละชุดทำงานประจำวันของเธอ

“ทำไมวันนี้เอสเข้างานเร็วจัง ที่จริงต้องเข้าบ่ายไม่ใช่เหรอ” ป้าสร้อยเอ่ยกับคู่สนทนาที่เข้ามาช่วยนางเข็นรถอุปกรณ์ทำความสะอาดที่หนักอึ้ง

“ก็วันนี้แขกเข้าเกือบเต็มทุกห้องเลย มิเชลทำคนเดียวไม่ทัน บอสก็เลยโทร. ตามเอสมานี่ไงป้า”

“แล้ววันนี้แกต้องไปร้องเพลงที่ห้องอาหารเหมือนเดิมรึเปล่า” 

คนถูกถามพยักหน้าตอบด้วยยิ้มจางๆ และนั่นก็ทำให้คนถามส่ายหน้า ก่อนจะถอนหายใจเพราะโชคชะตาที่กลั่นแกล้งสาวน้อย

“แม่แกไม่น่ามาด่วนจากแกไปก่อนเลย เพิ่งจะเริ่มเข้ามหา’ลัยแท้ๆ ก็ต้องลาออกกลางคันมาทำงานจนตัวเป็นเกลียวแบบนี้” หญิงสูงวัยว่าพลางมองใบหน้าสวยหวานอย่างพิจารณา

เด็กสาวคนนี้คือหญิงสาวที่ทุกคนในโรงแรมห้าดาวที่ห้องพักราคาแพงหูฉี่ แต่กลับเป็นที่นิยมที่สุดในย่านมารินาเบย์แห่งนี้รู้จักกันดี 

‘เอสเธอร์ ลี’ สาวน้อยเสียงใสลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ที่อายุเพิ่งเอื้อมแตะเลขสองมาหมาดๆ แม้ว่าเธอจะใช้ภาษาจีน อังกฤษ และไทยได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ด้วยวุฒิการศึกษาสูงสุดที่ถืออยู่ในมือคือ มัธยมปลาย สาวน้อยแสนอึดคนนี้จึงจำต้องรับตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดห้องพักเป็นอาชีพหลักอย่างหาตัวเลือกอื่นไม่ได้ ทว่าด้วยความขยันและใส่ใจรายละเอียดของเธอ ในเวลาเพียงสองปีเธอก็ได้รับอนุญาตให้ลอกคราบชุดพนักงานทำความสะอาดออก แล้วหันมาสวมยูนิฟอร์มผู้ตรวจเช็กความเรียบร้อยแทน

“แม่เขาป่วยมานานแล้ว ลำบากเพื่อเอสมาก็มาก ให้แม่ได้ไปพักผ่อนอยู่บนสวรรค์เถอะค่ะ ยังไงท่านก็ส่งกำลังใจลงมาให้เอสบ่อยๆ อยู่แล้ว ป้าไม่ต้องห่วง ถึงเอสตัวคนเดียว อาจจะเหงาไปบ้าง แต่ก็มีพี่ๆ ป้าๆ น้าๆ อยู่รอบตัว แถมทุกคนก็ทั้งน่ารักและใจดีกับเอสด้วย” 

“เห็นแกยิ้มได้ป้าก็เบาใจ นี่  แล้วเวลาแกไปร้องเพลงที่ห้องอาหารก็ระวังแขกแก่ๆ ไม่ก็นักท่องเที่ยวมือไวไว้ดีๆ นา หน้าตายิ่งสวยๆ อยู่”

“โธ่ป้าสร้อย เอสร้องเพลงบนเวทีนะ ไม่ได้เดินไปหาพวกเขาซะหน่อย ป้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ยิ้มหวานระคนหัวเราะระบายขึ้นบนใบหน้าจิ้มลิ้มอีกครั้ง ก็จะไม่ให้ยิ้มได้อย่างไร ก็ดูสิ...รอบตัวเธอมีแต่คนน่ารักอย่างที่บอกจริงๆ ไหมล่ะ

 

“เฮ้อ...งานเก่าไป งานใหม่มาอีกจนได้” 

ชายร่างสูงในชุดสูททิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้าในห้องพักระดับพรีเมียม ที่คู่ค้าจัดเอาไว้รับรองการมาร่วมเซ็นสัญญาข้อตกลง ที่อาจมีมูลค่าถึงร้อยล้านของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ 

“ไหนใครบอกว่าถ้าเราทำให้เงินเข้ามาหาตอนหลับไม่ได้ เราก็ต้องเดินออกไปหาเงินตลอดชีวิต มาดูชีวิตไอ้ธามนี่ เงินเข้ามาทุกช่องทางเลยครับ แต่ก็ยังต้องออกไปหาเงินอยู่ดี ไม่เคยได้หลับสนิทดีๆ กับเขาสักคืน” ผู้บริหารหนุ่มบ่นพึมพำ กวาดมองความหรูหราและใหญ่โตโอ่อ่าของห้องพักที่ราคาต่อคืนอาจจะมากกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของพนักงานในบริษัทเขาด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้สร้างความผ่อนคลายใดๆ ให้เขาเลย ลมหายใจอุ่นๆ ถูกพ่นออกมาอีกครั้ง

“จะเปิดห้องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเนี่ย ความว่างเปล่าจะทับตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มตะโกนลั่น ก่อนมือหนาจะล้วงสมาร์ตโฟนที่สั่นอย่างสนุกสนานอยู่ในกระเป๋ากางเกง และไม่วายบ่นพึมพำ “เออ...สั่นได้สั่นดี มีความสุขจริงๆ นะแกเนี่ย”

แล้วตอนนั้นเองชื่อของปลายสายก็ทำให้เขายิ้มมุมปากอย่างพอใจ 

ธามเด้งตัวขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมกับกดตอบรับปลายสายที่คุยค้างเอาไว้เมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว “ใช่ ฉันว่างสองวันเลย คืนนี้ก็ด้วย รีบมาเลย ยังไม่มีแพลนเลยว่ะ” 

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สาวเท้าไปยังผนังอีกด้านหนึ่งของห้องพัก ผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มถูกสะบัดให้เปิดออก ก่อนภาพทิวทัศน์ยามค่ำคืนของจุดที่เขาว่ากันว่าเป็นจุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยที่สุดในสิงคโปร์จะปรากฏสู่สายตาเขา

แสงไฟจากตึกระฟ้าแย่งกันส่องสว่าง ระยิบระยับราวกับดาวบนท้องฟ้า ผืนน้ำทะเลที่นิ่งสนิทกำลังสะท้อนความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่ฉายลงบนผิวของมัน ดุจภาพวาดสีน้ำขนาดใหญ่ที่รังสรรค์โดยความร่วมมือของธรรมชาติและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ 

สิงโตทะเลพ่นน้ำตั้งตระหง่านอยู่ไกลสุดตา สัญลักษณ์ที่เป็นเหมือนตัวแทนการอ้าแขนต้อนรับผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้าสู่อ้อมกอดของสิงโตทะเลอย่างอบอุ่น 

สายตาเยียบเย็นทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา วิวสวยไม่แพ้มุมใดในโลก ตื่นตาตื่นใจอย่างที่ใครๆ ก็อยากจะสัมผัส...แต่มันกลับทำได้เพียง...กระตุกมุมปากของชายหนุ่มคนนี้ให้ยกขึ้นอย่างท้าทายเท่านั้น เพราะสิ่งที่เขาอยากจะสัมผัสไม่ใช่ม่านความสว่างไสวที่ดึงดูดสายตาชาวโลก 

แต่กลับเป็น...“ฉันอยากเห็น...ด้านมืดของที่นี่”

...ภาพหลังม่านที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้นั่นต่างหาก

 

ที่ห้องอาหารกึ่งคลับบาร์บนชั้นสูงสุดของโรงแรม ด้วยกระจกใสที่รายล้อมรอบด้านทำให้ห้องอาหารขนาดกลางดูกว้างขวางกว่าความเป็นจริงไปถนัด ไหนจะถูกโอบล้อมด้วยความตระการตาของวิวตึกสูงเสียดฟ้าที่ดูเหมือนจะเอื้อมแตะดวงดาวได้นั้นอีก ยิ่งรวมพนักงานสาวเสิร์ฟแสนสวยที่เดินโฉบไปเฉี่ยวมาทั่วร้านเข้าไปด้วยอีกละก็ บรรยากาศชวนฝันของสวรรค์บนโลกมนุษย์ชัดๆ

“ไอ้โจ ฉันบอกแกว่าอยากดูด้านมืด แต่แกพามาห้องอาหารของโรงแรมที่ฉันพักเนี่ยนะ โห่ ไอ้แบบนี้ที่เมืองไทยก็มีเว้ย” ธามหันไปโวยใส่โจ นักบริหารชาวไทยที่เข้าทำงานในบริษัทของสิงคโปร์ตั้งแต่เรียนจบ เพื่อนร่วมคลาสสมัยเรียนปริญญาโทของเขา ถึงแม้เจ้าตัวจะยอมรับว่าความเจริญหูเจริญตารอบตัวทำให้รู้สึกดีได้ไม่น้อย แต่เพราะผิดจุดประสงค์ไปหน่อย คนขี้โวยวายเลยขอออกฤทธิ์บ้าง

“ไอ้เรื่องนั้นเดี๋ยวเราไปกันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ที่พาแกมาที่นี่วันนี้ เพราะอยากให้แกได้ดูอะไรบางอย่าง ไหนๆ แกก็พักที่นี่แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นคงเสียเที่ยวแย่ เมืองไทยมีไม่มีไม่รู้นะ แต่ที่รู้น่ะถูกใจแกแน่ๆ” 

แก้วน้ำสีอำพันที่เพิ่งจดริมฝีปากมาหมาดๆ ถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนเจ้าตัวจะเลิกคิ้วแล้วกระตุกยิ้มร้ายที่กระชากหัวใจสาวๆ มานักต่อนัก เมื่อรับรู้ความหมายโดยนัยของสิ่งที่คนตรงหน้าพูด

เพราะสมัยเรียนธามและโจคือบัดดี้คู่หูคู่ซี้ สองหนุ่มนักศึกษาปริญญาโทของคณะบริหารธุรกิจมักจะออกเก็บข้อมูลหรือเรียกตามภาษาธุรกิจว่า...สำรวจตลาดของสิ่งสวยๆ งามๆ ยามค่ำคืนเสมอ ขยันขันแข็งชนิดที่เรียกได้ว่ากลางวันคือนักเรียน...ส่วนกลางคืนน่ะเหรอ...ก็นักล่าตัวยงนั่นละ

“ว่าแต่ทำไมแกอยากไปที่แบบนั้นนักวะ ปกติแกไม่ซื้อของพรรค์นั้นไม่ใช่เหรอ หรือว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้ว”

“เฮ้ย ไม่ได้จะไปซื้อเว้ย แต่คู่ค้าที่ฉันเพิ่งเซ็นสัญญารับงานก่อสร้างของเขาไปวันนี้ เขาชวนให้ฉันมาลงทุนโครงการใหม่กับเขาที่นี่เลย แต่แกก็รู้ ฉันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะลงทุนที่นี่ ฉันต้องรู้จักที่นี่...ทุกซอกทุกมุม เข้าใจ๊?” 

คนสงสัยพยักหน้ารับคำตอบจากเพื่อน ขนาดไม่เจอกันมาหลายปี ‘ธาม ดำรงค์สกุลพิพัฒน์’ ก็ยังคงละเอียดและรอบคอบเสมอ

การสนทนาของเพื่อนซี้ที่ไม่ได้เจอกันมานานดำเนินไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และ...ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า เสียงเพลงที่บรรเลงเคล้าบรรยากาศสรวงสวรรค์กำลังค่อยๆ เบาลง เบาลง และเงียบสนิทไปในที่สุด แต่ก็เพียงแค่ชั่ววินาทีหนึ่งเท่านั้น เพราะก่อนที่แขกทั้งร้านจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เสียงหวานของสาวร่างบางที่ยืนอยู่หลังไมโครโฟนก็ตรึงเอาทุกความสนใจให้ไปหยุดอยู่ที่เธอ ไม่เว้นแม้แต่...ชายที่นั่งหันหลังให้เวทีคนนี้

“wow!  voice of a goddess” (ว้าว! เสียงของนางสวรรค์ชัดๆ)

ความตกตะลึงผลักดันความรู้สึกให้ออกมาเป็นคำพูดแผ่วเบา ก่อนคนพูดจะยืดตัวขึ้นราวกับถูกความตื่นเต้นที่ร่ำร้องในหัวใจกระตุ้นให้ตื่นตัว

“and also pretty like an angel” (แถมน่ารักอย่างกับนางฟ้า) โจว่าเสริมพร้อมกับทำสัญญาณมือให้เพื่อนหันหลังไปมองสิ่งที่เขาภูมิใจนำเสนอ

และทันทีที่ภาพเจ้าของเสียงเขย่าหัวใจวิ่งเข้ากระทบสายตา หัวใจของชายหนุ่มเหมือนตกวูบลงก่อนจะแล่นปรู๊ดขึ้นจุกถึงลิ้นปี่อีกครั้ง น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงหล่อเลี้ยงลำคอที่แห้งผาก ก่อนจะตามมาด้วยการเป่าปากที่หมายจะให้ลดความเร็วของหัวใจที่ไม่ได้เต้นแรงมาก...แค่เหมือนวิ่งมาราธอนมาหมาดๆ เท่านั้นเอง

“be turning heads” (สวยจนต้องเหลียวหลังต่างหาก)

“เห็นไหม  ฉันว่าแล้ว ตัวเล็กๆ จิ้มลิ้มๆ แบบนี้ แกต้องชอบ ไอ้อวบๆ อึ๋มๆ ที่ชอบพูดไว้น่ะแค่ป้องกันหัวใจตัวเองใช่ไหมครับเพื่อน”

ธามไม่สนใจคำแซ็วของเพื่อนร่วมโต๊ะ เพราะตอนนี้เสียงที่ดังที่สุดในหูคือเสียงเต้นที่บ้าระห่ำของหัวใจ และเสียงที่ดังก้องที่สุดในหัวใจ...คือเสียงเพลงที่สะกดทุกลมหายใจ...โดยผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เขาไม่อาจจะละสายตาได้เลยคนนี้

“อย่ายิ้มเชียวนะ อย่ายิ้มเชียว” เขาพึมพำบอกกับเจ้าของเรือนร่างอรชรที่มัดสายตาเขาเอาไว้จากระยะไกล ราวกับว่าเธอจะได้ยิน แต่ดูเหมือนว่าคำขอร้องผ่านสายตาจะไม่เป็นผล เพราะเพียงไม่กี่วินาทีที่เสียงพูดนั้นสิ้นสุด นักร้องสาวบนเวทีก็ระบายยิ้มกว้างขึ้นบนในหน้าสวยทันที 

“อ๊าา! ตาย...” กระสุนนัดสุดท้ายที่ชื่อว่า ‘ยิ้มแสนหวาน’ ตรงเข้าปลิดชีวิตผู้ชายชื่อธามให้นอนเลือดอาบคาโต๊ะได้ในนัดเดียว

มือหนาคว้าแก้วแอลกอฮอล์สีเข้มกรอกลงปากรวดเดียวจนหมด ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนที่นั่งอมยิ้มมองอาการสะดุดจนเสียศูนย์ของแคซาโนวาตรงหน้า ที่ขนาดว่าออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันหลายศึก เขายังไม่เคยเห็นเสือร้ายออกอาการมากมายขนาดนี้มาก่อน

“ไอ้โจ...ฉันว่าฉันอยากได้ว่ะ”

คนถูกเรียกชื่อหลุดขำพรืดเพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาจนเกินเหตุของเพื่อน ก่อนจะส่ายหน้าแล้วทำสัญญาณให้เพื่อนโน้มตัวเข้ามาหา

“เรื่องนั้นแกต้องจัดการเอง ที่ฉันช่วยแกได้ก็มีแค่...ชื่อของเธอคือ...เอสเธอร์ ลี”

 

‘ชื่อของเธอคือ...เอสเธอร์ ลี’ 

เสียงคำพูดนั้นยังคงดังสะท้อนซ้ำๆ อยู่ในหัว แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบสามขั่วโมงแล้วก็ตาม แต่ทั้งภาพ เสียง หรือแม้แต่ชื่อของผู้หญิงคนนั้น ยังคงชัดเหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่าน...ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยิ่งเขาพยายามจะลบมันออกไปจากหัวเท่าไร ก็เหมือนยิ่งเปิดทางให้ผู้หญิงคนนั้น...เข้ามาก่อกวนหัวใจได้อย่างไม่หยุดหย่อน

ร่างสูงทอดกายอยู่บนโซฟาด้านหนึ่งของห้องพัก ความอ่อนล้าผสมกับฤทธิ์สุรากำลังทำให้เปลือกตาของเขาค่อยๆ ปิดลง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เจอกับนางในฝันคนไหน ภาพรอยยิ้มละลายหัวใจที่เพิ่งถูกยิงเข้าใส่ก็ฉายขึ้นสกัดความลั้นลาของหนุ่มโสดคนนี้เข้าเสียก่อน

“โอ๊ย! บ้าไปแล้ว” ธามเด้งตัวขึ้นจากโซฟา ก่อนจะยกมือหนาขึ้นขยี้ผมอย่างลวกๆ 

“ไม่เห็นจะอยากได้เท่าไหร่เลย ทำไมต้องตามหลอกหลอนอยู่ได้” คนไม่ยอมรับหัวใจตัวเองบ่นกับลมกับฟ้า ก่อนจะหักใจลุกขึ้นจากโซฟา แล้วตรงไปควานหาเครื่องช่วยผ่อนคลายอารมณ์ในกระเป๋าเป้ 

บุหรี่ซองสีเขียวถูกหยิบขึ้นมาเคาะกับมือเบาๆ ให้ของข้างในเขยื้อนตัวออกมา แต่ยังไม่ทันที่เจ้าของจะได้ใช้มัน ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าก็เข้ามาเตือนความจำให้เขาเสียก่อน

“เอาเข้าไป ดันโยนไฟแช็กทิ้งไปตอนจะขึ้นเครื่อง ให้มันได้อย่างงี้สิวะไอ้ธาม” คนไม่สบอารมณ์สบถซ้ำ

ร่างสูงเดินอาดๆ ไปคว้าแจ็กเกตสีน้ำตาลที่พาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้ขึ้นสวม ซองบุหรี่ในมือถูกยัดเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างลวกๆ แม้ว่านาฬิกาในห้องพักจะบอกกับเขาว่านี่ก็เกือบจะตีสามแล้ว แต่ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะเปิดอยู่ ถ้าได้บุหรี่สักมวนกับเบียร์อีกสักกระป๋อง คืนนี้ก็คงนอนหลับสบาย...ไร้คนกวนใจได้เสียที

ธามก้มหยิบกระเป๋าสตางค์จากลิ้นชักโต๊ะหน้ากระจก และก็เป็นจังหวะที่ดวงตาเข้มเหลือบเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่ไร้ผ้าม่านบดบังอยู่

“เออ ฝนจะตกอีก ชีวิตดีจริงๆ” คนหัวเสียเท้าสะเอวอย่างเหนื่อยใจ 

ถ้าคิดว่าการกลั่นแกล้งจากธรรมชาติจะขัดขวางความอยากของผู้ชายคนนี้ได้ละก็...ผิดถนัดแล้วละ 

ธามเดินกลับไปที่กระเป๋า ความรีบเร่งจะทำให้เขาตัดสินใจเททุกอย่างในเป้ออกมาจนหมด ชายหนุ่มกวาดมองของที่เกลื่อนกลาดบนโซฟาอย่างคร่าวๆ ก่อนจะคว้าหมวกแก๊ปคู่ใจขึ้นสวม รีบไปรีบมาก่อนที่ฝนจะเทลงมาละกัน

 

เอสเธอร์มองตัวเลขดิจิทัลจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอ จะตีสามแล้วเหรอเนี่ย วันนี้นักร้องประจำห้องอาหารอีกคนไม่มา แทนที่เธอจะได้เลิกตามเวลา ก็ต้องยิงยาวไปจนร้านปิด แถมพอปิดร้านแล้วยังถูกลากให้ไปช่วยเช็ดจานหลังครัวต่ออีก กว่าจะหลุดออกจากประตูพนักงานมาได้ รถไฟเที่ยวสุดท้ายก็โบกมือลาไปตั้งแต่เธอยังยืนเป็นเดอะสตาร์อยู่บนเวทีนั่นแล้ว

รถไฟหมด!...จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ คนที่ต้องเก็บเงินทุกเซนต์เอาไว้เพื่อการดำรงชีพอย่างเธอคงไม่มีหน้าไปโบกแท็กซี่ที่บวกราคาเพิ่มหลังเที่ยงคืนแบบนี้ แล้วนั่งเฉิดฉายกลับบ้านได้หรอก แม้ว่าวันนี้จะเหนื่อยแค่ไหน ก็คงหนีไม่พ้น...เดินกลับเหมือนอย่างทุกครั้งที่ไม่ทันรถไฟนั่นละ

“เอสเธอร์คนดังโดนเรียกไปแทบจะทุกแผนกเลย สิ้นปีนี้คงได้ตำแหน่งเบ๊ตัวท็อปประจำโรงแรมแน่ๆ” สาวร่างบางว่าพลางเดินแกว่งแขนไปมาคล้ายจะกระตุ้นร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ตื่นตัว ปากที่บ่นอุบอิบก็บ่นไปอย่างนั้นละ เธอรู้ดีว่าการที่มีงานทำจนยุ่งวุ่นวายไปตลอดทั้งวันแบบนี้นั้นดีกว่าไม่ใครจ้างเธอเป็นไหนๆ เพราะผู้หญิงตัวคนเดียวไร้ซึ่งครอบครัวที่พึ่งพาได้อย่างเธอ ตกงาน...อาจจะฟังดูไม่แย่เท่าไร แต่...อดตาย!...ตัวต่อไปที่จะตามมาหลังจากนั้นน่ะสิ ปัญหาระดับชีวิตเลยนะ 

ขาเรียวก้าวเดินไปตามเส้นทางที่เธอค่อนข้างคุ้นชิน แต่ก็ไม่ได้ใช้เป็นประจำ เพราะเส้นทางนี้เป็นทางลัดที่ช่วยย่นระยะทางจากที่ทำงานถึงที่พักให้ใกล้ขึ้น แต่ด้วยทางเดินที่เป็นซอยแคบและค่อนข้างมืด ดังนั้นหากเป็นวันที่เธอเลิกงานตรงตามเวลาอย่างทุกวันแล้วละก็...รถไฟฟ้าคือการเดินทางอันดับหนึ่งที่หญิงสาวคนนี้จะเลือกใช้

พนักงานสาวก้าวฉับๆ อย่างว่องไวภายใต้แสงสลัวจากหลอดไฟตามข้างทาง ที่ดูแล้วแต่ละหลอดใกล้จะสิ้นชีพเต็มที และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรือเปล่าที่ทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของสภาพรอบตัว ไม่สิ...ถ้าจะพูดให้ถูกเธอรู้สึกเหมือน...มีใครบางคนกำลังตามมาต่างหาก! 

เจ้าของใบหน้าสวยเหลียวกลับไปมองหาต้นตอของความผิดปกติที่เธอสัมผัสได้ แต่ก็ไร้ซึ่งสิ่งใดๆ ที่เธอมองหา สาวร่างบางรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้น แต่ยิ่งเธอก้าวเร็วเท่าไร เสียงฝีเท้าของใครอีกคนที่ตามมาก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น 

หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นระส่ำ มันคงจะไม่เกิดขึ้นอีกหรอกใช่ไหม ดวงตาคู่สวยส่ายไปมาด้วยความกระวนกระวายใจ เพราะลางบอกเหตุร้ายกำลังไล่หลังเธออยู่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต แต่มันมากกว่าสิบครั้งแล้วที่เธอจับสังเกตได้ว่ามีคนสะกดรอยตามเธอแบบนี้ แม้ว่าทุกครั้งเธอจะหนีรอดไปได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าครั้งนี้หรือครั้งต่อๆ ไปเธอจะรอดจากเงื้อมมือของคนเหล่านี้ไปได้

คนตัวเล็กหันมองข้างหลังถี่ๆ ด้วยความหวาดระแวง พร้อมกับเร่งความเร็วของขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเดินทอดน่องเป็นเดินเร็ว และจากเดินเร็ว...มันกำลังจะกลายเป็น...วิ่ง!  

หญิงสาวตัดสินใจออกวิ่งทันทีที่แน่ใจว่าความอันตรายกำลังใกล้เข้ามา หัวใจที่ถูกความกลัวเกาะกุมจนเย็นวาบกำลังสั่นไหวอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งตามมานั้นกำลังย้ำให้คนหัวใจสั่นไหวแน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นไม่ผิด มีคนกำลังตามเธอมาจริงๆ! 

หญิงสาวหนีอย่างสุดชีวิต กลัวจนแทบจะระเบิดน้ำตาออกมา แต่ก็เพราะความกลัวอย่างสุดขั้วอีกเหมือนกันที่ทำให้เธอต้องหยุดน้ำตาเอาไว้ให้ได้...ถ้าร้องไห้ตอนนี้ ไม่รอดแน่! เอสเธอร์ 

ในละแวกเดียวกันนั้นเอง ชายร่างสูงคนหนึ่งเพิ่งเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพร้อมถุงหิ้วพลาสติก ที่มีเบียร์สองกระป๋องนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น เขายกท่อนแขนขึ้นดูนาฬิกาเช็กเวลาด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจเมื่อข้อมือที่ว่างเปล่าช่วยเตือนความจำบางอย่างให้เขา

“เอานาฬิกาไปไว้ไหนวะ จำได้ว่าตอนออกจากบ้านก็ใส่มาแล้วนี่หว่า” คนขี้บ่นออกอาการอีกครั้ง

เขาใส่นาฬิกาข้อมือเรือนโปรดติดตัวแทบจะทุกเวลา ทว่าตั้งแต่ก้าวเหยียบเกาะสิงคโปร์ หาแทบจนพลิกห้องก็หาไม่เจอสักที...คงไม่ต้องซื้อใหม่หรอกใช่ไหม นั่นมันรุ่นลิมิเต็ด เอดิชันที่ชอบมากเสียด้วยนะ 

คนที่ไม่ค่อยถูกใจอะไรง่ายๆ คิดวกวนอยู่ในหัว แล้วในตอนนั้นเสียงปริศนาจากเงามืดก็พุ่งเข้าตีความคิดของเขาจนแตกกระจาย

“ต้องการอะไร” เสียงตะโกนที่แว่วมาจางๆ กระตุกหัวใจของชายหนุ่มให้หันมอง

ซอยสลัวที่อยู่ห่างไปจากร้านสะดวกซื้อไม่มากนักนั่นคือที่มาของต้นเสียงแน่ๆ ขายาวก้าวเดินตรงเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง ภาษาอังกฤษสำเนียงท้องถิ่นนั้นไม่ได้สะดุดใจเขาเท่ากับ...เสียงของคนพูด

ชายร่างสูงเดินเข้ามาหยุดที่มุมมืดด้านหนึ่ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยการเพ่งพินิจไปที่เป้าหมาย แทรกผ่านการต่อสู้กันของความมืดกับแสงไฟริบหรี่ข้างทาง ก่อนที่น้ำลายอึกใหญ่จะไหลลงคอเมื่อความชัดเจนของสิ่งที่เขาเพ่งมองกำลังบอกกับเขาว่า...

ไม่ผิดแน่! เป็นเธอคนนั้น...ไม่ผิดแน่ ธามเพ่งมองไปที่หญิงสาวคนนั้นที่กำลังเดินถอยหลังช้าๆ ราวกับถูกไล่ต้อนให้จนมุมด้วยชายฉกรรจ์ร่างกำยำถึง...สองคน!

ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างทันที นี่มันอะไรกัน! เมืองที่ใครต่างก็เล่าลือถึงความรุนแรงและเข้มงวดของกฎหมาย แต่ในอีกซอกหลืบเล็กๆ ของความซิวิไลซ์กลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ คิ้วเข้มขมวดปมแน่นขึ้นอีก

“สตอล์กเกอร์?” คำถามในหัวหลุดออกมาอย่างแผ่วเบา 

ไม่น่าใช่ ดูจากรูปการณ์แล้วคงไม่ใช่พวกย่องสะกดรอยตามอย่างเดียวแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นพวก...ชิงทรัพย์! หรือไม่ก็...ข่มขืน!!

“เฮ้ย!” ดวงตาคมเข้มเบิกกว้างอีกครั้ง 

นางฟ้าที่เขาเพิ่งเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมากำลังจะถูกสอยให้ร่วงจากสวรรค์เหรอเนี่ย! ไม่ได้การแล้ว เขาต้องทำอะไรสักอย่าง

ธามใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจ ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองสำรวจตามเสาไฟฟ้าและสิ่งปลูกสร้างรอบตัว ถ้าเขาต้องทำอะไรสักอย่างที่อันตรายในประเทศที่กฎหมายรุนแรงแบบนี้ เขาต้องแน่ใจเสียก่อนว่าทุกการกระทำของเขาจะไม่ถูกใครตามมาเห็นทีหลังโดย...กล้องวงจรปิด

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ มีกล้องวงจรปิดสองตัวติดอยู่ที่เสาไฟฟ้าสองต้นที่อยู่ห่างออกไป มือหนาดึงกระชับปีกหมวกแก๊ปให้ต่ำลงเพื่ออำพรางใบหน้า ก่อนจะผุดยิ้มร้าย...สงสัยต้องออกกำลังกายรอบดึกกันเสียหน่อยแล้ว ทว่าเพียงแค่ไม่กี่ก้าวที่ชายหนุ่มตรงเข้าไปหาเป้าหมาย แสงไฟที่กระทบโลหะแล้วพุ่งเข้ากระแทกตาก็ทำให้ขาทั้งสองชะงักฉับพลัน

“เฮ้ย! มีดเลยเหรอ” ธามสะดุดกึกด้วยสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง ก่อนจะก้มลงมองอาวุธในมือตัวเองบ้าง “อื้อหือ เบียร์สองกระป๋อง” รอยยิ้มแห่งการประชดชีวิตฉายขึ้นบนใบหน้า ก่อนการตัดสินใจครั้งสุดท้ายจะตามมา

“เอาก็เอาวะ มีดกับเบียร์สู้กันสักตั้ง ถ้าต้องโดนแทงตาย อย่างน้อยก็มีเบียร์ไปกินกับนางฟ้าบนสวรรค์ละวะ ถึงจะน้อยไปหน่อยก็เหอะ”

“เธอคือ เอสเธอร์ ลี ใช่ไหม ยอมไปกับพวกเราดีๆ เถอะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เสียงขู่ลอดไรฟันมาจากหนึ่งในสองของชายแปลกหน้าที่ไล่ต้อนเอสเธอร์จนหลังชนกำแพง 

สาวร่างบางที่หายใจหอบจนตัวโยนกัดฟันแน่น เพื่อต้านทานความหวาดกลัวที่พร้อมจะเขย่าร่างของเธอให้สั่นเทาเอาไว้ 

ชายร่างกำยำเลื่อนมีดสั้นขึ้นกวัดแกว่งช้าๆ ตามใบหน้าและลำคอของเธอ แม้ว่ามีดเล่มนั้น...ไม่ได้ต้องผิวกายของลูกไก่ที่กำลังจะถูกเชือดคนนี้เลยแม้แต่น้อย แต่จะมีใครรู้บ้างว่าแสงสลัวจากหลอดไฟนั้นสะท้อนความแหลมคมให้กรีดหัวใจดวงน้อย จนเจ้าของอยากจะหยุดหายใจไปตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป

เอสเธอร์พยายามให้ทุกอณูของแผ่นหลังแนบกับกำแพงปูนที่ขวางกั้นการหลีกหนีของเธออยู่ เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดยังคงผลักให้เดินถอยหลัง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า...เปล่าประโยชน์

น้ำตาที่เกินจะกลั้นไหวเริ่มเอ่อล้นรอบดวงตา ความสั่นสะท้านของร่างกายมาพร้อมกับคำถามมากมายที่ไม่สามารถเอ่ยถามใครได้...

คนเหล่านี้รู้จักเธอได้อย่างไร แล้วที่สำคัญมากไปกว่านั้น...พวกเขาต้องการตัวเธอไปทำไม

คนตัวเล็กทำได้แค่หลับตาปี๋ เบือนหน้าหลบคมของใบมีดทั้งน้ำตา 

วินาทีที่คนร้ายกำลังจะดึงท่อนแขนเรียวของเธอให้เข้าไปอยู่ในอาณัติ แรงสะกิดจากใครบางคนที่ด้านหลังก็เรียกความสนใจให้เขาหันไปหา ก่อนที่ถุงพลาสติกอันมีเบียร์สองกระเป๋าเริงร่าอยู่ในนั้นจะถูกเหวี่ยงเข้ากระแทกใบหน้าเขาเต็มแรง

“โอ๊ย!”

เสียงร้องลั่นที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเรียกให้คนที่หลับตาอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้คำตอบ มือแกร่งของชายหนุ่มคนที่สามก็กระชากร่างเล็กบางให้ปลิวไปตามแรงลากมหาศาลของเขาทันที

ขาเรียวที่เกือบจะหมดแรงอยู่รอมร่อต้องวิ่งต่ออย่างไม่มีการหยุดพักเพราะเจ้าของขาถูกลาก ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเธอกับชายปริศนาคนนี้เลย แน่ละสิ เพราะในเวลานี้การเอาชีวิตที่มีอยู่เพียงคนละหนึ่งให้รอด ย่อมต้องมาก่อนการสานสัมพันธ์มิตรภาพใดๆ ทั้งนั้น

เอสเธอร์หันมองหลังเป็นระยะๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด สองชายร่างหนายังคงตามมาอย่างไม่มีทีท่าจะลดละ เช่นเดียวกับเสียงหอบหายใจถี่ๆ ของทั้งคู่ที่กำลังบอกกันและกันว่าพวกเขาเหนื่อยเกินกว่าจะวิ่งต่อไปได้ไหวแล้ว

เมื่อสูญเสียอาวุธเดียวในมือไป สิ่งเดียวที่พอจะพาให้เขารอดจากสถานการณ์คับขันนี้ได้ คือขาสองข้างเท่านั้น ธามวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง เขาเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยที่คิดว่าพอจะหาที่หลบซ่อนได้ และสมองที่ต้องประมวลผลอย่างหนักไปพร้อมๆ กับการวิ่งมาราธอนขนาดย่อมนี้ทำให้เขาไม่เหลือเวลาแม้สักวินาทีเดียวที่จะหันไปมองหญิงสาวที่ถูกเขาลากให้วิ่งตามหลังมา หญิงสาว...ที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับกับใจตัวเองว่า...อยากเจอเธอมากที่สุด

แล้วก่อนที่ทั้งคู่จะหมดลมหายใจ ธามก็พาร่างบางในพันธนาการให้เข้ามาหลบอยู่ในซอกหลืบแคบๆ ระหว่างตึก อันที่จริงต้องเรียกว่า...ซอกที่วางถังขยะระหว่างสองตึกถึงจะถูก ชายหนุ่มดันตัวหญิงสาวให้หลบเข้าไปจนสุด ลมหายใจของทั้งคู่ที่รินรดกันในระยะประชิดนั้นคล้ายฉากสวีตชั้นดีในหนังสักเรื่องหนึ่ง แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีใครมีอารมณ์คิดถึงโรแมนติกเลิฟซีน มากกว่าไปการเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยทั้งนั้น

“ชู่...” สัญญาณสากลจากชายตรงหน้าบอกให้เอสเธอร์รู้ว่าเธอต้องลดเสียงหายใจแรงๆ ให้เบาลง ก่อนที่จะมีใครตามมาเจอเข้าเสียก่อน 

สาวร่างบางมองสำรวจชายที่ประจันหน้ากับเธอใต้เงามืด แผงอกที่ยกขึ้นยกลงถี่ๆ กับเม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามลำคอนั้นบอกความเหน็ดเหนื่อยของเขาได้โดยไม่ต้องปริปากพูดเลยสักนิด หญิงสาวเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของชายปริศนาที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธออย่างไร้เหตุผล ดวงตาคู่งามเพ่งพินิจรูปหน้าของชายหนุ่ม ทว่าเงาจากปีกหมวกแก๊ปที่ทอดยาวลงมานั้นทำให้เธอไม่เห็นความชัดเจนใดๆ จากภาพใต้หมวกนั้นได้เลย...นอกจาก...ผู้ชายคนนี้เป็นคนเอเชีย

ธามหันมองสภาพรอบตัวพร้อมกับประมวลสถานการณ์ ถังขยะพลาสติกทรงสูงสองใบที่ตั้งอยู่ข้างๆ นี้จะเป็นเกราะกำบังที่ช่วยอำพรางคนตัวเล็กที่พ่นลมหายใจรดหน้าอกเขาอยู่นี้ ให้พ้นจากสายตาของคนที่กำลังไล่ตามมาได้อย่างแน่นอน 

แต่เขา...ต้องไม่อยู่ที่นี่

ใช่...ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาจะเป็นจุดสะดุดสายตาคนอื่นได้ง่าย และคงไม่ดีแน่ถ้าวิ่งหนีกันมาแทบตาย แต่สุดท้าย...ต้องมาตายข้างถังขยะ

“นั่งลง”

ภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกหูที่ชายหนุ่มกระซิบบอกนั้นกระตุกคิ้วเรียวของคนฟังให้เข้าหากัน...ผู้ชายเอเชียคนนี้ไม่ใช่คนที่นี่ เอสเธอร์บอกกับตัวเองทันที

มือหนาค่อยๆ ดันไหล่บางให้เธอย่อตัวลงตามคำสั่ง ก่อนจะถอดแจ็กเกตของเขาคลุมร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นเอาไว้ ชายร่างสูงหันมองซ้ายมองขวา แล้วก้าวออกมาจากที่ซ่อน ไม่ลืมที่จะหันไปเขยิบถังขยะให้แน่ใจว่าบังคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเอาไว้ได้มิด และเพียงไม่กี่ก้าวที่เขาเดินออกมาจากตรงนั้น

“เฮ้ย! มันอยู่นั่น”

เสียงของชายที่วิ่งตามมาแล่นเข้าหูธามทันที “ไม่เหนื่อยกันรึไงวะ” เขาสบถโพล่งออกมาพร้อมกับที่ขาออกวิ่งอย่างรู้หน้าที่อีกครั้ง 

ผู้บริหารหนุ่มที่ผันตัวมาเป็นนักวิ่งกำลังมุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย ขายาววิ่งด้วยความเร็วสูงสุดแบบไม่คิดชีวิต และเพราะครั้งนี้เขาไม่ต้องลากใครให้วิ่งตาม ขายาวจึงทำความเร็วได้มากและก้าวได้ยาวกว่าเมื่อครั้งก่อน 

ไม่นานนักชายหนุ่มร่างสูงก็มาหยุดตรงลานกว้างที่ไหนสักแห่ง เขาชะลอความเร็วลงเมื่อเริ่มแน่ใจว่าหลุดพ้นจากการไล่ล่า คนเหนื่อยหอบหยุดการเคลื่อนที่ลงพร้อมกับยันแขนทั้งสองข้างกับหัวเข่า น้ำลายเหนียวหนึบไหลลงหล่อเลี้ยงลำคอที่แห้งผาก ก่อนลมหายใจที่สูดเข้าออกอย่างไม่เป็นจังหวะจะค่อยๆ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ 

ธามดันลุกขึ้นยืนแล้วกวาดสายตามองรอบข้าง ก่อนจะพบว่า... “อ้าว เฮ้ย...หลง!” มือหนาตีหน้าผากพลางพ่นลมหายใจเพราะปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นทันที “วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย”

ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ชายหนุ่มที่ร่างกายเปียกปอนก็กลับเขาห้องพักได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่เรียกว่าจีพีเอสนะเนี่ย ถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจจะต้องนอนบนม้านั่งริมทางที่ไหนสักที่ไปแล้ว 

ธามเช็ดเหงื่อตามใบหน้ากับแขนเสื้อ ถ้าอยู่ที่บ้านป่านนี้คงโดนคุณย่าว่าว่าเป็นลูกหมาตกน้ำไปแล้วแน่ๆ ขนาดว่าฝนไม่ได้ตกอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเปียกด้วยฝนเหงื่ออยู่ดี

“สิงคโปร์มาราธอนเขาเริ่มวิ่งกันตอนตีสามเหรอวะเนี่ย”

คนหมดแรงทิ้งตัวลงแผ่หลาบนเตียงนุ่ม ก่อนจะปล่อยให้ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อราวๆ หนึ่งชั่วโมงที่แล้วไหลเข้ามาฉายซ้ำในหัวของเขาอีกครั้ง

“เบียร์ก็ไม่ได้ ไฟแช็กก็ไม่มี บุหรี่ก็ไปกับเสื้ออีก...แต่อย่างน้อยได้จับมือก็ยังดีวะ” 

มือหนายกขึ้นระดับจมูก ก่อนคนอมยิ้มจะสูดหายใจเข้าเต็มแรงหมายจะดอมดมคราบความหอมของสาวชวนฝันที่ติดมือมา…แต่สิ่งที่เข้ากระทบประสาทส่วนรับกลิ่นของเขากลับเป็น...

“แหวะ เหม็นขยะ โวะ”...วันนี้อาจไม่ใช่วันของธามจริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น