บทที่ ๒
“ทำไมแกไม่บอกพี่ภูไปเลยล่ะว่ายายมิวคบซ้อน”
กานต์รวีโพล่งขึ้นอย่างไม่พอใจ เมื่อได้ยินเรื่องที่ลวิตราเล่าให้ฟังในวันรุ่งขึ้น เพื่อนรักตาลึกโหลเพราะอดนอน แม้กิจกรรมเข้าจังหวะจบลงแล้วแต่เสียงสะท้อนในหูยังดังก้อง
“คบเป็นโหลต่างหาก ไม่ใช่แค่สองนะ แกลองนับดูสิ ที่เห็นๆ ก็เกินสิบ” ณัทกรออกความเห็น
ทุกคนต่างรู้นิสัยมธุรินเป็นอย่างดี ทั้งจากที่ลวิตราเล่าให้ฟังและที่เห็นเอง แต่ที่ทุกคนอดทึ่งไม่ได้ก็คือมธุรินสับรางเก่งเหลือเกินจนแฟนอย่างภูรินทร์ไม่เคยรู้
“ถึงพูดไปพี่ภูก็คงไม่เชื่อ เผลอๆ อาจจะโกรธด้วยซ้ำ”
“จะโกรธได้ยังไง ในเมื่อแกยังไม่เคยพูดกับเขาสักประโยค มัวแต่ถ้ำมองอยู่ได้” กานต์รวีชกไหล่เพื่อนเบาๆ
“แรงอะ ฉันไม่ได้ถ้ำมองนะ”
“แต่แกก็ส่องพี่ภูจากหน้าต่าง ฉันว่างานนี้แกต้องบอก มีอย่างที่ไหน แฟนประกาศว่าจะกลับเมืองไทยทั้งทีแทนที่จะไปง้องอน แต่นี่กลับพาผู้ชายคนอื่นไปป่ามป๊ามที่หอซะงั้น ทุเรศ”
“เขาอาจจะเครียดก็ได้นะ”
“มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วย่ะยายตาล นี่อย่าบอกนะว่าแกคิดว่าเสียงราวกับโลกถล่มที่แกกับยูอินได้ยิน คือเสียงเขาช่วยกันย้ายเตียงจัดเฟอร์นิเจอร์ใหม่กันน่ะ” ณัทกรค่อน
“โธ่...แนนซี่ ฉันไม่ได้ใสซื่ออย่างนั้นหรอกน่า ฉันรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร”
“แต่แกก็ยอมให้ชายในฝันโดนสวมเขาโดยไม่ยอมบอกความจริงเนี่ยนะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ แอบถ่ายรูปเพื่อจะเปิดโปงยายแม่มดนั่น แต่สุดท้ายดันป๊อดไม่กล้า ทำไมไม่แกล้งส่งผิดไปสักรูปสองรูป ยาหยีพี่ภูของแกจะได้ตาสว่างเสียที”
“ฉันไม่อยากเห็นพี่ภูเสียใจ”
กานต์รวีโอบไหล่เพื่อน เอียงหน้าเข้ามาชิด พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “แล้วคิดหรือว่าถ้าเขารู้ทีหลังว่าโดนสวมเขาแล้วจะไม่เสียใจ ทำแบบนี้เหมือนฆ่ากันทั้งเป็น”
“แกคิดว่าพี่ภูจะฟังฉันหรือ ขนาดตอนนั้นมีคนไปฟ้อง พี่ภูยังโกรธจนไม่มองหน้า นับประสาอะไรกับคนที่เขาเกลียด”
เคยมีเพื่อนในคณะเดียวกันเคยพูดเรื่องนี้ให้ฟัง แต่แล้วมธุรินก็บีบน้ำตาจนภูรินทร์ใจอ่อน สุดท้ายก็กลายเป็นเข้าใจว่าเพื่อนคนนี้จงใจให้ร้ายหล่อนทั้งที่ไม่มีมูลความจริง
“แกจะเล่นบทอีแอบไปอีกนานแค่ไหน แอบรักมาตั้งแต่ประถม จนตอนนี้ก็ยังแอบเดินตามต้อยๆ เป็นฉันนะ จะถือโอกาสนี้แกรนด์โอเพนนิงไปเลยว่าแฟนเขาเป็นนางวันทอง แล้วก็อาสาปลอบใจ ยอมให้เขาซบอกนุ่มๆ แทน” ณัทกรโพล่งขึ้น
“ฉันกลัว”
“กลัวทำไมตาล”
“ไม่รู้สิ แค่นึกถึงหน้าพี่ภูตอนนั้น แข้งขาก็อ่อน ลิ้นพันกันไปหมดแล้ว”
“งั้นวางยาพี่ภูเลยดีไหม แล้วก็ปล้ำซะ จากนั้นก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐานบังคับให้เขาแต่งงาน”
ณัทกรพูดติดตลก แต่ลวิตราไม่ขำ หล่อนหน้าบูดบึ้ง
“จะบ้าหรือ”
“เอางี้ดีกว่า ให้ไอ้แนนซี่ดูไพ่ยิปซีให้ เผื่อแกจะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น”
“เออ จริงด้วย” ลวิตราตาวาว แม้ว่าหล่อนจะเป็นนักเรียนนอกแต่กลับเชื่อเรื่องดวงเป็นที่สุด ทุกเช้าก่อนจะออกจากหอพักหล่อนต้องกดเข้าเว็บดูดวงเพื่อทำนาย ยิ่งมีเพื่อนเป็นหมอดูไพ่ยิปซีแม่นๆ แล้ว ลวิตราก็เชื่อมากขึ้นกว่าเดิม
“เอาแล้วไง หาเรื่องให้ฉันแล้วไหมล่ะ คุยกันอยู่ดีๆ หาเรื่องให้ฉันองค์ลง”
ณัทกรบ่นพึมพำแต่ไม่จริงจังนัก เพื่อนรักพูดเสมอว่าหลังดูไพ่ยิปซีหรือดูดวงจะต้องเสียพลังงาน ทุกครั้งหลังดูดวงก็จะต้องนอนพัก
“เอาน่า สงเคราะห์ตาลมันหน่อย จะได้มีกำลังใจ”
“ก็ได้ๆ แต่ถ้าไพ่ออกมาว่ายังไง แกต้องเชื่อแล้วทำตามทุกอย่างนะ”
“เชื่อสิ ทำไมจะไม่เชื่อ ก็แนนซี่ดูดวงให้ทั้งที”
“งั้นมา...มานั่งนี่แล้วก็สับไพ่ วันนี้แม่หมออารมณ์ดี จะทำนายดวงชะตาด้วยไพ่ยิปซี เอาให้เลิศเจิดไปสามโลกเลย”
ลวิตรากระเถิบมานั่งตรงหน้า ทั้งสามกำลังอยู่ในร้านกาแฟไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ณัทกรหยิบไพ่ขึ้นมาแล้วส่งให้ หญิงสาวอธิษฐานแล้วสับไพ่วางลงก่อนจะใช้มือซ้ายตัดออกเป็นสองกอง
“ทีนี้ก็อธิษฐานด้วยนะยะ ไพ่จะได้แม่นๆ แกจะได้รู้สักทีว่าชะตาชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง รวมถึงเรื่องความรักค้างปีของแกกับพี่ภูด้วย จะรุ่งหรือจะริ่งให้ไพ่บอก”
หญิงสาวหลับตาอธิษฐาน ภาพของชายหนุ่มในฝันเด่นชัด ทั้งรอยยิ้ม ใบหน้า รวมถึงอิริยาบถของเขาทุกอย่าง
“เจ้าประคุณ ขอให้ลูกได้รู้เสียทีว่าพี่ภูคิดยังไง ลูกควรจะทำยังไงต่อไปดี”
กานต์รวีกระเถิบมานั่งใกล้ๆ ลวิตราที่นั่งซึมกะทือมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ขณะที่แม่หมออย่างณัทกรเองก็เครียดจัดจนขอกลับไปนอนพักที่ห้อง
“แกโอเคหรือเปล่าตาล”
ลวิตราเงยหน้าขึ้น ขอบตาแดงก่ำ ต้องโทษไพ่ยิปซีเจ้าปัญหา แรกทีเดียวทั้งสามคิดว่าคือการดูดวงเล่นๆ เพื่อหาคำตอบว่าควรจะทำยังไงกับเรื่องภูรินทร์ดี แต่พอเปิดไพ่ทั้งหมดสิบใบและเห็นคำทำนาย สีหน้าของหมอดูก็ซีดสนิท
“ไพ่ไม่ค่อยดีเลยอะแก หรือว่าเราล้างไพ่แล้วค่อยดูใหม่วันหลัง”
ลวิตราหยุดมือเพื่อนที่กำลังจะล้างไพ่ คะยั้นคะยอให้ณัทกรทำนายต่อ แต่พอได้ยินความหมายที่ออกมาทั้งหมด หล่อนกลับเป็นฝ่ายนั่งอึ้ง
“ฉันไม่เป็นไร”
“แกไม่ต้องไปเชื่อไอ้แนนซี่มากหรอกนะ วันนี้มันอาจจะก้าวเท้าออกจากบ้านผิด ไพ่ก็เลยไม่แม่น มันก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไงว่าให้ล้างไพ่แล้วค่อยดูใหม่วันหลัง”
“แต่ไพ่ทุกใบทำนายออกมาทางเดียวกันหมดเลยนะกานต์”
ไพ่ยิปซีที่ณัทกรทำนายให้เป็นการดูแบบสิบใบ หรือที่เรียกว่า The Celtic Cross ไพ่ยิปซีมีทั้งหมดเจ็ดสิบแปดใบ วิธีการดูไพ่แบบนี้ คือให้ผู้ดูสับไพ่ทั้งหมดแล้วตัดด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ผู้ทำนายจะเลือกมาสิบใบ ไพ่ใบแรกที่ลวิตราเลือกได้ก็คือ The Fool
“ก็นั่นละ แกก็อย่าไปเชื่อมาก ก็เห็นอยู่ว่าไอ้แนนซี่มันก๊งขนาดไหน มันก็ดูมั่วๆ ไปเรื่อย หลอกเงินลูกค้าไปวันๆ”
“ถ้ามั่วจริงจะมีลูกค้ามาเข้าคิวดูเยอะขนาดนี้หรือ”
ณัทกรใช้เวลาว่างทำนายดวงด้วยไพ่ยิปซี เพื่อนรักมักจะแปลงกายเป็นแม่หมอสาวในชุดโบฮีเมียนต้อนรับลูกค้าอยู่เสมอ กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วจนมีลูกค้าต่อคิวกันยาวเหยียด
“ฉันว่าแกหมกมุ่นเกินไป ที่เราคิดอยู่คือจะบอกหรือไม่บอกความจริงให้พี่ภูรู้ไม่ใช่หรือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่แนนซี่ทำนายด้วย ฉันว่ามันไร้สาระมากๆ”
คำทำนายที่ณัทกรบอกก็คือ ลวิตราจะมีอันเป็นไปในสามเดือน ดวงของหล่อนจะตกลงเรื่อยๆ ประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นานา จนถึงจุดสิ้นสุด สิ่งเดียวที่จะช่วยได้คือรักแท้จากคนที่หล่อนรัก
ไพ่ที่หล่อนจับได้คือ The Fool อันหมายถึงตัวของลวิตรานั่นเอง หล่อนแอบรักภูรินทร์มาหลายปี แม้จะเป็นรักข้างเดียว แต่หญิงสาวก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ไพ่ใบสุดท้ายคือ The Death ซึ่งปกติแล้ว ในเวลาทำนายอาจจะไม่ได้หมายถึงความตายเสมอไป แต่ก็หมายถึงความสูญเสีย การสิ้นสุดของบางอย่าง ความยากลำบากและผิดหวัง คำทำนายของณัทกรก็คือลวิตราจะต้องแต่งงานให้เร็วที่สุดเพื่อให้หลุดพ้นเคราะห์กรรมที่จะเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นหล่อนจะต้องถึงแก่ความตายภายในสามเดือน
“ฉันจะแต่งงานกับพี่ภูได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่เคยรักฉัน แค่หน้ายังไม่มองด้วยซ้ำ”
ลวิตราหลั่งน้ำตาออกมา ตลอดสองปีที่เขามาเรียนที่นี่ ภูรินทร์ไม่เคยมองคนอื่น ทุกครั้งที่แอบเห็นเขาโอบประคองแฟนสาว หัวใจหล่อนก็เจ็บแปลบ สาเหตุที่ลวิตราไม่กล้าบอกความจริงก็เพราะกลัวว่าเขาจะตะคอกใส่หน้าแบบวันนั้น และยิ่งรู้ว่าหล่อนคือน้องสาวของลวัศกร คนที่เคยเอาชนะเขาและกลายเป็นตัวแทนโรงเรียน เขาคงจะยิ่งโกรธมาก
“อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวรอให้ไอ้แนนซี่ตื่นแล้วดูอีกสักหนจะเป็นไรไป”
“ไม่ได้นะกานต์ ไพ่ยิปซีดูได้อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เขาว่าถ้าดูบ่อยเกินจะไม่ดี”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง มองแกนั่งถอนหายใจเฮือกๆ แบบนี้น่ะหรือ”
“ฉันควรทำไงดี”
“ทำไมไม่บอกพี่ภูไปเลยว่าแกคิดยังไง แล้วก็เอารูปที่แอบถ่ายไว้ให้เขาดูด้วย”
“แล้วถ้าพี่ภูเกิดจำได้ว่าฉันคือคนที่ฉีกหน้าเขาตอนเด็กล่ะ”
“มั่นใจหน่อยสิ แกตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันสักนิด”
สมัยเด็ก ลวิตรามีผิวคล้ำ ฟันหน้ายื่นและเกยกัน หล่อนสวมแว่นหนาเตอะเพราะสายตาสั้นตั้งแต่เล็ก แต่เมื่อเป็นวัยรุ่นมารดาก็ให้ไปดัดฟันรวมถึงทำเลสิก ตอนนี้จึงไม่ต้องใส่แว่นอีกต่อไปแล้ว ผมที่เคยสั้นก็ไว้ยาว หลายคนบอกว่าเส้นผมของหล่อนสวยกว่าคนอื่นเพราะดกดำราวกับขนนกกาน้ำนุ่มๆ หล่อนคือสาวฮอตติดอันดับในมหาวิทยาลัย แต่ติดปัญหาที่ลวิตราไม่เคยสนใจใครเลย หล่อนอาศัยเพื่อนทั้งสองคนเป็นเกราะกำบัง
“แต่ฉัน..”
“กล้าๆ หน่อย เอางี้...เดี๋ยวรอแนนซี่ แล้วเรามาปรึกษาเรื่องแปลงโฉมให้แกไปพบพี่ภูวันพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้เลยหรือ”
“แหงสิ พี่ภูของแกกำลังจะกลับเมืองไทยอีกสองวัน ขืนชักช้ามีหวังแกกินแห้วแน่”
“ฉันยังไม่พร้อม”
“ไม่พร้อมวันนี้ก็ไม่รู้จะพร้อมวันไหนแล้ว เชื่อฉันเถอะ แกทำได้ ขอแค่มั่นใจเท่านั้น”
ลวิตราผล็อยหลับไปด้วยความเครียด ท่ามกลางอากาศที่เย็นในตอนกลางคืน ความอ่อนล้าทำให้หลับลึก ไม่รู้ตัวเลยว่านอกจากตนแล้วยังมีบางอย่างอยู่ในห้องนอนแห่งนี้ด้วย
กลุ่มพลังงานที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของสุภาพสตรีสวมชุดราตรีสีเหลืองทองมลังเมลือง กระโปรงบานพลิ้วซ้อนกันสองชั้นด้วยผ้าลูกไม้ปักเลื่อมงดงามตระการตา ท่อนบนเป็นผ้าลูกไม้คลุมอยู่ด้านนอกทับชุดเกาะอกที่มีสายสปาเกตตีเล็กๆ คล้องตรงหัวไหล่ดูเก๋ไก๋
ปราณปรียาชอบชุดนี้ที่สุด ทุกครั้งที่หล่อนใส่ไปงานเต้นรำ ทุกคนเป็นต้องชมว่าสวย ใบหน้างดงามแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ผมสีดำดัดหยิกเป็นลอนๆ ด้วยโรลไฟฟ้า บนลำคอระหงมีสร้อยทองพร้อมจี้ทับทรวงประดับอยู่ เงาโปร่งแสงกำลังลอยไปมาบนพื้นห้องคล้ายกับการเต้นรำ แต่ต่างกันตรงที่ว่าเท้าทั้งสองข้างซึ่งสวมส้นสูงไม่ติดพื้น
วิญญาณของสุภาพสตรีวัยหกสิบแปดปีวาดลวดลายคล้ายกับอยู่บนฟลอร์ ขณะที่คู่เต้นคือวิญญาณของคุณปู่ชาวอเมริกันที่เคยอาศัยอยู่ในตึกข้างๆ นี้เอง เขาเพิ่งเสียชีวิตได้เพียงอาทิตย์เดียว วิญญาณจึงยังไม่ไปผุดไปเกิด ปราณปรียาแวะมาเยี่ยมลวิตราหลายครั้ง เห็นว่าเขาชอบซ้อมเต้นรำคนเดียว เมื่อเขาเสียชีวิตลง วิญญาณทั้งสองจึงได้เต้นรำกัน
ร่างอวบที่มีผมขาวโพลนโค้งตัวอย่างสุภาพเมื่อเพลงจบลง ปราณปรียาย่อตัวลงและไขว้ขาไปด้านหลังด้วยความอ่อนช้อย
“คุณคือผีที่สวยที่สุด”
“อุ๊ย! อย่าพูดแบบนั้นสิคะ น่ากลัวออก ฉันไม่ใช่ผี ฉันแค่เป็นกลุ่มพลังงานที่ล่องลอยไปมาต่างหาก ยินดีที่ได้เต้นรำกับคุณนะคะ”
หล่อนส่งยิ้มให้คนตรงหน้า จังหวะเดียวกับที่แสงสว่างสาดส่องลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังก้องกังวาน
“นั่นเสียงอะไรคะ”
“เสียงเรียก ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว คุณจะไปด้วยกันไหม”
ปราณปรียาเหลือบมองลวิตราที่นอนหลับอยู่บนเตียง หญิงสาวคือภารกิจสุดท้ายบนโลกใบนี้ และคราวนี้หวังว่าความหวังของหล่อนจะสัมฤทธิผล
“ยังค่ะ ฉันยังมีเรื่องต้องทำ โชคดีนะคะ ขอให้คุณได้เจอกับภรรยาคุณ เธอคงรอคุณอยู่”
ชายผมขาวโบกมือ เขาเดินเข้าไปท่ามกลางแสงสีขาวจัดจ้าก่อนที่เส้นทางนั้นจะเปิดออก ถนนที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตาโดยมีไฟสว่างราวกับสปอตไลต์สาดส่องลงมา สุดทางมีประตู เมื่อเขาเอื้อมมือไปเปิด แสงก็สว่างมากขึ้นกว่าเดิม
ปราณปรียามองผ่านแสงนั้นและเห็นชายคนนั้นผ่านประตูเข้าไป ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง หล่อนก้มมองตัวเองและก็รู้ว่ายังไม่ถึงเวลา..แต่ทำไมกันนะ เวลาของหล่อนถึงได้ยังมาไม่ถึง ปราณปรียาถามตัวเองหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าเพราะสิ่งที่ปรารถนาตอนมีชีวิตอยู่ยังไม่สัมฤทธิผล
การที่เพื่อนรักสามคน คือภาคภูมิ เทียม และเลอสรรค์ยังคงบาดหมางกันอยู่นั้นรั้งปราณปรียาเอาไว้บนโลกใบนี้..เอ...หรือว่าจะมีอย่างอื่นอีก ปราณปรียาไม่มีเวลาคิดทบทวนเพราะตอนนี้ หญิงสาวที่หล่อนหมายตาเอาไว้กำลังตกอยู่ในความทุกข์ ลวิตรากำลังลังเลว่าพรุ่งนี้จะไปเจอกับภูรินทร์ตามที่เพื่อนแนะนำดีหรือไม่ ปราณปรียาจึงต้องช่วย
ร่างเพรียวลอยเข้ามาใกล้ก่อนหยุดนิ่งข้างเตียง เพ่งมองหญิงสาวที่หลับสนิท...ลวิตราคือคนที่ถูกเลือก การแต่งงานระหว่างลวิตรากับภูรินทร์จะทำให้ความบาดหมางของทั้งสามตระกูลสิ้นสุดลง
หล่อนเกลี่ยเส้นผมที่ปรกอยู่ คราบน้ำตาที่ปรากฏอยู่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังทุกข์
“ภูจะรู้ไหมน้า ว่าทำให้หนูตาลร้องไห้มากี่ครั้งแล้ว”
ปราณปรียาไม่ได้เพิ่งติดตามลวิตรา แต่ตลอดสิบปีมานี้ วิญญาณของหล่อนเฝ้าวนเวียน ความรักที่มีต่อหลานชายทำให้ปราณปรียาต้องคอยดูแลสารทุกข์สุกดิบของคนในสามครอบครัว โดยเฉพาะหลานชายแท้ๆ...ภูรินทร์ควรจะได้ผู้หญิงที่ดีกว่านั้น แต่น่าแปลกตรงที่ไม่ว่าจะพยายามเข้าฝันสักกี่ครั้ง สุดท้ายภูรินทร์ก็ยังไม่ยอมเลิกกับมธุรินอยู่ดี
ปราณปรียาเฝ้ามองหญิงสาวทั้งสองคนที่มีเส้นทางชีวิตเกี่ยวพันกับหลานชาย ขณะที่ลวิตราเป็นหญิงสาวน่ารัก เรียบร้อย อ่อนหวาน แต่มธุรินเหมือนแม่มด หล่อนคอยสูบเลือดสูบเนื้อและไถเงินให้ภูรินทร์บำรุงบำเรอด้วยข้าวของ รวมถึงวางแผนการจับหลานชายหล่อนให้อยู่หมัด แต่เรื่องอะไรหล่อนจะยอมให้หลานชายต้องตกนรกทั้งเป็น แผนกามเทพสื่อรักถึงได้เริ่มขึ้น แต่เพราะหล่อนเป็นกามเทพฝึกหัด ฝีมือจึงยังไม่แกร่งกล้า อีกทั้งลวิตราขี้กลัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับภูรินทร์ตรงๆ
นี่คงเป็นโอกาสอันดี เพราะพอรู้ว่าภูรินทร์จะกลับเมืองไทย ลวิตราจึงเริ่มร้อนใจและขอให้เพื่อนดูดวง ปราณปรียาแค่ใช้พลังนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ไพ่ออกมาในทิศทางที่ต้องการ หลังจากนั้นหล่อนก็จะเริ่มต้นแผนการขั้นสุดท้าย
“ฝันอะไรอยู่จ๊ะ คนสวยของย่า ถึงเวลาแล้วนะจ๊ะ ที่หนูจะทำให้ภูของย่ามีความสุข ย่าจะปลุกพลังความกล้าในตัวหนูขึ้นมา”
ปราณปรียาคลี่ยิ้ม หยิบของในกระเป๋ากระโปรงออกมา หล่อนเคยฝันว่าอยากเป็นนางฟ้าเสกอะไรก็ได้สารพัด แต่สิ่งที่หยิบออกมากลับเป็นแปรงปัดแก้มขนกระรอก
“ตายจริง นี่มันแปรงปัดแก้มนี่ แต่ไม่เป็นไร ใช้ได้เหมือนกัน”
ปราณปรียาอมยิ้ม ใช้แปรงขนเบาเนื้อนุ่มไล้ไปบนหน้าผาก ก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้เป่าลมหอมๆ ลงบนกลางกระหม่อม พลังสีชมพูคล้ายกับเกลียวคลื่นเล็กๆ ค่อยๆ ไหลเข้าไปสู่ร่างตรงหน้า ภาพความฝันของหญิงสาวปรากฏขึ้น ก่อนที่พลังของปราณปรียาจะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามทิศทางที่ต้องการ แล้วกระซิบข้างหูคล้ายร่ายมนตร์
“หนูต้องลุกขึ้นมาสู้นะจ๊ะหนูตาล หนูกับภูต้องแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”
“โอ๊ย มาปลุกอะไรกันแต่เช้านี่ตาล คนจะนอน”
ณัทกรซึ่งยังงัวเงียอยู่ถูกเพื่อนรักเคาะประตูห้อง จึงเดินโงนเงนมาเปิดให้ สีหน้าบูดบึ้ง
“นี่มันเรื่องด่วน แกต้องช่วยฉัน”
“ช่วยอะไรอีกล่ะยะ ฉันง่วง เมื่อคืนนี้คุยโทรศัพท์กับดาร์ลิงถึงเที่ยงคืน”
ณัทกรมีแฟนแล้ว เป็นหนุ่มตาน้ำข้าวและเป็นวิศวกรหน้าตาหล่อเหลา ทั้งสองสัญญาว่าจะแต่งงานกันทันทีที่ครอบครัวของณัทกรยอมรับได้
“แกต้องช่วยฉันนะแนนซี่”
ณัทกรเหลือบมองนาฬิกา แล้วทำหน้าเบ้ “งานมันเริ่มบ่ายสองนะแก นี่มันหกโมงเช้า”
“แต่ฉันต้องการคำปรึกษาว่าจะแต่งหน้ายังไงดี ผมด้วย ฉันควรจะรวบผมหรือเกล้าผมดี”
ณัทกรกระแทกตัวลงบนเตียงพร้อมกับนอนหงายผลึ่งเพื่อนอนต่อ ลวิตราตามไปดึงคอเสื้อให้เพื่อนลุกขึ้น
“นะๆ...น้า...แกอย่าเพิ่งนอนนะแนนซี่ผู้สวยที่สุดในสามโลก ช่วยฉันหน่อย ฉันอยากได้ความมั่นใจ”
“โธ่...มามั่นใจอะไรตอนนี้ยะ ฉันไม่ไหว ตาลืมไม่ขึ้น ยูโนว!”
ร่างสูงทิ้งตัวลงไปนอนอีก ลวิตราบีบน้ำตาสะอื้น
“แกใจร้าย แค่นี้ก็ไม่ช่วยหรือ รู้บ้างไหมว่าฉันร้อนใจกับสิ่งที่แกทำนายเพราะมันตรงกับที่นางฟ้าทูนหัวของฉันมาเข้าฝันพอดี”
ลวิตราเคยเล่าให้เพื่อนฟังหลายครั้งว่าหล่อนมักจะฝันถึงสุภาพสตรีคนหนึ่งแต่งตัวสวย และชอบสวมชุดเต้นรำกับรองเท้าส้นสูง บางครั้งก็มาในชุดสีแดงเพลิง บางครั้งก็มาในชุดสีช็อกกิงพิงก์ ความใจดีทำให้หล่อนคิดเอาเองว่านั่นคือนางฟ้าทูนหัว
“แกว่าฝันอะไรนะ”
“ฉันฝันเห็นพี่ภูตัวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด เขาถูกมิวผลักไปให้รถชน แล้วฉันก็ช่วยเขาไม่ทัน...”
ในฝันนางฟ้าทูนหัวทำให้หล่อนเห็นว่าเหตุการณ์สองอย่างกำลังดำเนินไปพร้อมกัน ทางแรกคือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเดิม แต่บทสรุปคือภูรินทร์จะต้องตายแล้วหล่อนก็จะตายตาม แต่ถ้าหล่อนเลือกเข้าไปหาภูรินทร์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้
“ฉันอยากไปพบพี่ภูก่อนที่เขาจะกลับเมืองไทย ฉันจะบอกความจริงเรื่องมธุรินให้เขารู้”
ลวิตราควักรูปปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือ มันคือรูปที่หล่อนแอบถ่ายเอาไว้ตอนที่มธุรินพาผู้ชายมาค้าง รวมถึงการที่ฝ่ายนั้นออกไปปาร์ตีกับผู้ชายนับไม่ถ้วนอีกด้วย
“ฉันเห็นด้วย แกตัดสินใจถูกแล้ว เพื่อพี่ภูจะได้ไม่ต้องโดนหลอกอีก”
“แกจะช่วยฉันใช่ไหม”
“ช่วยสิ ไหนๆ แกก็ฉุดกระชากฉันขึ้นมาจากเตียงแล้วนี่”
ลวิตรายิ้มกว้าง โผเข้ากอดเพื่อนรัก “ขอบใจมากนะแนนซี่ ขอบใจจริงๆ”
“ว่าแต่แกมีชุดที่จะใส่ไปงานนี้หรือยัง อย่าบอกนะว่าจะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนตัวเดิมไปเจอพี่ภูน่ะ”
“มีแล้ว กานต์กำลังให้คนเอามาส่ง คงจะถึงในอีกสิบนาที”
ณัทกรคลี่ยิ้มมองลวิตรา “แสดงว่าแกไปปลุกไอ้กานต์มันแล้วหรือ”
“ใช่ ตั้งแต่ตีห้า อาการเหมือนแกเปี๊ยบเลย”
ณัทกรหัวเราะ เอามือขยี้หัวลวิตรา “ไม่รู้ละ ถ้างานนี้สำเร็จ แกต้องเลี้ยงสเต๊กเนื้อแกะฉันกับไอ้กานต์ โทษฐานที่ทำให้ฉันต้องอดนอนและมีรอยคล้ำใต้ตา”
“ได้เลย ถ้าพี่ภูหันมาสนใจฉัน ฉันจะเลี้ยงพวกแกสามวันสามคืนเลยทีเดียว”
“กานต์ แกว่าชุดนี้โอเคแล้วหรือยัง”
ลวิตรากระตุกแขนเสื้อเพื่อนยิกๆ เมื่อทั้งสามกำลังเดินเข้าไปในร้านอาหารที่จัดงานเลี้ยงอำลาภูรินทร์ ตลอดเวลาที่มาเรียนที่นี่เขาเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ทุกคนรู้จัก ภูรินทร์มักจะช่วยเหลือรุ่นน้องในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ อีกทั้งนักเรียนไทยที่นี่ล้วนแต่รู้จักสนิทสนมกันอย่างดี
“สวย”
“เลิศมากที่สุดในสามโลก เชื่อฉันสิ”
ณัทกรยื่นหน้ามาหา พร้อมกับแตะตรงหน้าผากลวิตรา ชุดที่สวมวันนี้เป็นเสื้อยืดคอเต่าสีโอลด์โรสกับกางเกงสีครีมขาห้าส่วนเข้าชุดกัน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมขนนกสีครีมแต่งลวดลายพลิ้ว วันนี้หญิงสาวแต่งหน้าแบบจัดเต็มด้วยฝีมือของณัทกร
“ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย ทำไมคนมองฉันแปลกๆ”
“เขากำลังตะลึงกับความงามของแกมากกว่า อย่าคิดมาก จำที่ฉันบอกได้ไหม แกต้องมั่นใจ สู้ๆ”
ลวิตราสูดลมหายใจเข้าลึก หล่อนสอดส่ายสายตามองหาคนที่ต้องการ ภายในงานเต็มไปด้วยนักเรียนไทยที่ต่างมาร่วมแสดงความยินดีและเลี้ยงส่งภูรินทร์ งานจัดเป็นปาร์ตีแบบค็อกเทล อาหารจัดไว้เป็นซุ้ม หญิงสาวเดินเข้าไปทักทายกับเจ้าของงานซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับภูรินทร์
“อ้าว...สาวๆ มาพร้อมกันเลยนะวันนี้”
“สวัสดีค่ะพี่ติ๊ก”
ทั้งสามยกมือสวัสดีรุ่นพี่ที่ชื่อตติยา
“วันนี้ตาลสวยเชียวนะ มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”
คนถูกทักว่าสวยหน้าแดงก่ำอย่างเขินอาย ก่อนจะหันไปจับแขนเพื่อนเพื่อแก้เขิน
“พี่ติ๊กอะ ตาลไปไม่เป็นเลย”
“สวยจริงๆ ถ้าตาลแต่งแบบนี้ไปมหาวิทยาลัยนะ รับรองว่าหนุ่มๆ ตามเป็นพรวนมากกว่าเดิมแน่”
“ตาลคงไม่ไหวละค่ะพี่ รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงก็ไม่รู้”
ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างประณีต ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงจัด รวมถึงแพขนตางอนที่ณัทกรติดเพิ่มเข้าไปให้ ทำให้ลวิตราซึ่งมีนัยน์ตากลมโตและขนตาดกหนาอยู่แล้วยิ่งสวยเด่น
“มั่นไปใจไปเลยจ้ะว่าสวย เดี๋ยวพอหนุ่มๆ มาถึงงานพี่จะแนะนำให้รู้จักนะจ๊ะ เผื่อจะมีใครเข้าตาน้องตาลบ้าง”
“ไม่เอาค่ะ ตาลอยากอยู่เงียบๆ ดีกว่า”
“อ้อ...พี่ลืมไป สามสาวก็จะกลับเมืองไทยด้วยใช่ไหม อย่างนี้ยูของเราก็เงียบไปเลยสิ กลับเมืองไทยกันหลายคน”
ลวิตราสอดส่ายสายตาหาคนที่จะกลับเมืองไทย แต่ยังไม่พบ แม้แต่มธุรินก็ยังไม่มาด้วย
“มองหาภูอยู่หรือ”
“เอ่อ...ค่ะ กานต์มีของขวัญจะให้พี่ภู” กานต์รวีแก้ตัวแทนให้เพราะรู้ว่าลวิตราคงไม่กล้าออกหน้า
“ภูยังมาไม่ถึงเลยจ้ะ เห็นว่าจะไปรับแฟน ไม่รู้ว่าจะง้อกันสำเร็จหรือเปล่า แว่วๆ ว่าอาจจะเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกันวันนี้ด้วยนะ”
ลวิตราหน้าซีดเผือด มือเย็นเฉียบ
ณัทกรเอื้อมมือมาบีบมือเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ หันไปทำปากขมุบขมิบ “แกต้องสู้ อย่าป๊อด”
รุ่นพี่หันมองทั้งสามด้วยความสงสัย “มีอะไรกันหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมตาลหน้าซีด ไม่สบายหรือ”
“เปล่าค่ะ ตาลไม่เป็นไร”
ความคิดเห็น |
---|