1

บทที่ ๑


บทที่ ๑               

 

 สองเดือนก่อนการข่มขู่ 

 สาวร่างบางสวมเสื้อกันหนาวแบบมีฮูด แม้เดือนนี้อากาศในเมืองไทยจะร้อน แต่ที่นี่ลมค่อนข้างแรงเลยทีเดียว แค่เสื้อกันลมบางครั้งยังไม่พอต้องสวมเสื้อยืดอีกชั้นตอนช่วงเย็น ลวิตราประคองแก้วกาแฟหวังว่าความร้อนจะส่งผ่านถุงมือเข้ามายังผิวเนื้อที่เริ่มชาเพราะลม หญิงสาวต้องขยับขาตลอดเวลาเพื่อไล่ความหนาว แม้จะสวมกางเกงยีนเนื้อหนาแต่ก็ยังสู้ลมแรงๆ ไม่ได้อยู่ดี 

 ลวิตราจ้องมองไปที่ประตูหอพักฝั่งตรงข้าม รอว่าเมื่อไหร่จะเปิดออกเสียที นาฬิกาข้อมือบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้านาทีแล้ว รออยู่ไม่นานร่างคุ้นตาก็ผลักประตูออกมา ลวิตราคลี่ยิ้มเมื่อเห็นชายในฝัน เขาสวมโคตสีน้ำเงินแบบยาว รองเท้าหนังแบบพนักงาน ด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตที่ชายหนุ่มเพิ่งซื้อมาจากร้านเมื่ออาทิตย์ก่อน 

 ภูรินทร์คงไม่รู้ว่าหล่อนเองก็อยู่ในร้านด้วย ลวิตราลอบมองเขาเลือกเสื้ออย่างเงียบๆ แค่ได้มองก็ถือว่าเป็นความสุขมากแล้ว และตอนนี้ชายหนุ่มก็กำลังเดินออกจากหอพัก ต้องเป็นฟ้าเบื้องบนลิขิตมาแน่ๆ ห้องพักของเขาจึงอยู่ชั้นเดียวกับหล่อนพอดิบพอดี หากเป็นหน้าร้อน ภูรินทร์จะเปิดหน้าต่างเพื่อรับลม ลวิตราจึงมีโอกาสแอบส่องเขาเต็มตา 

 ชายหนุ่มมักใช้ผ้าขนหนูพันท่อนล่างหลังอาบน้ำเสร็จ เขาชอบยืนจิบกาแฟอยู่ตรงหน้าต่างมองทิวทัศน์ ขณะที่คนแอบมองจากฝั่งตรงข้ามใจเต้นแรงตามไปด้วย แต่เพราะนี่คือหน้าหนาว หน้าต่างห้องจึงปิดสนิท ลวิตราจึงไม่มีอาหารตาเหมือนเช่นเคย 

คงไม่มีใครรู้หรอกว่าหล่อนแอบเดินตามชายหนุ่มแทบทุกวัน สิ่งที่ต้องการคือโอกาสที่จะได้เห็นแผ่นหลังกว้างอันแสนอบอุ่น แค่เสี้ยวหน้าคมสันของชายในฝันก็มีความสุขมากแล้ว แม้จะรู้ว่าการทำตัวเหมือนพวกสตอล์กเกอร์ดูจะหลอนไปหน่อย แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้มีกำลังใจไปเรียนทุกวัน   

 ร่างสูงคุ้นตาอยู่ห่างจากหล่อนไม่ถึงคืบ เขากำลังเดินไปตามถนนสายเดิมเหมือนกับที่ทำประจำมาตลอดสองปี ลวิตรารู้จักถนนสายนี้เป็นอย่างดี และก็รู้ด้วยว่าจุดมุ่งหมายของภูรินทร์อยู่ที่ใด หล่อนเดินตามเขา ระหว่างนั้นก็แอบสูดกลิ่นหอมของโคโลญที่โชยชายมาตามอากาศไปด้วย ภูรินทร์เพิ่งเปลี่ยนมาใช้โคโลญยี่ห้อนี้เมื่อสองเดือนก่อน หล่อนคิดว่ามันเหมาะกับเขามากๆ เพราะเป็นกลิ่นหอมสะอาดแบบผู้ชาย...หญิงสาวเผลอสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ไม่ทันสังเกตว่าจู่ๆ คนตรงหน้าก็หยุดกึก 

 หญิงสาวเบรกจนหน้าคะมำ ศีรษะเกือบจะทิ่มเข้ากับแผ่นหลังของชายหนุ่มอยู่แล้ว แต่ด้วยความไวจึงรีบดึงฮูดมาปิด หมุนตัวหลับหลังหันทำทีเป็นชมดอกไม้ข้างทาง ทั้งที่ความจริงมีแต่ใบไม้ใบหญ้าที่มีน้ำแข็งเกาะเท่านั้น ภูรินทร์กำลังรับโทรศัพท์หล่อนจึงต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้มีพิรุธ 

 หลังจากคุยอยู่เกือบห้านาที ภูรินทร์ก็เลี้ยวเข้าร้านกาแฟ หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เวลาเดียวกับเมื่อวานเป๊ะ ภูรินทร์เป็นคนมีวินัยตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สองปีที่ผ่านมาเขาก็ทำทุกอย่างตรงเวลา ตอนเช้าชายหนุ่มจะตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า อาบน้ำประมาณสิบห้านาที บางวันก็จิบกาแฟในห้อง แต่ถ้ารีบหน่อยก็จะออกมาที่ร้านกาแฟร้านนี้ เมนูโปรดของเขาก็คือ...

 “คาราเมลมัคคิอาโต แก้วหนึ่ง นมเป็นนอนแฟตนะครับ”

 หญิงสาวพึมพำผ่านริมฝีปาก เพราะจำได้แม่นว่าเมนูโปรดคืออะไร...ขณะที่ผู้ชายเข้มๆ ในนิยายมักจะสั่งกาแฟดำ แต่พี่ภูของหล่อนกลับสั่งกาแฟใส่นม แถมยังใส่ไซรัปคาราเมลอีกต่างหาก แต่ไม่มีปัญหาเพราะเขาเป็นคนออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจึงไม่มีไขมันส่วนเกินสักนิด ด้วยรูปร่างสูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นต์ ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม ทุกวันตอนเย็นเขาจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะเป็นประจำ และเพราะชายในฝันชอบวิ่ง ลวิตราจึงบังคับตัวเองให้วิ่งบ้าง เผื่อจะได้มีโอกาสใกล้ชิดเขาอีกรอบในช่วงเย็น 

 ห้านาทีต่อมาชายหนุ่มก็ออกจากร้านโดยมีลวิตราเดินตามไปห่างๆ เขาจะต้องผ่านถนนสายนี้เพราะมันมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ บังเอิญเหลือเกินที่ภูรินทร์มาเรียนปริญญาโทที่เดียวกับหล่อน เขาคงตั้งใจแวะไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์ที่ส่งไป 

ตอนที่เห็นเขาครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย หญิงสาวดีใจมาก จากที่เรียนแบบเนือยๆ ก็กลับมีพลังได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งตอนที่เขาย้ายมาอยู่ห้องพักตึกฝั่งตรงข้าม ลวิตราก็ถึงกับเข้าโบสถ์เพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหารตาชั้นเลิศมาให้

 สิบนาทีต่อมา เขาเดินถึงมหาวิทยาลัย ภูรินทร์เดินตัดสนามหญ้าไปยังห้องพักอาจารย์ตามคาด ลวิตราได้แต่ภาวนาขอให้วิทยานิพนธ์ไม่ผ่าน เพื่อที่พี่ภูจะได้อยู่เป็นอาหารตาของหล่อนต่อไป แต่คำภาวนาของเธอคงไร้ผล เพราะภูรินทร์เรียนเก่งมาก เขาน่าจะได้เกียรตินิยมด้วยซ้ำ

 หญิงสาวเห็นชายหนุ่มเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตก็ผลักเข้าไป ลวิตราเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงสุดทางเดิน ดึงฮูดมาปิด สวมหูฟัง หล่อนหยิบหนังสือเรียนของตัวเองขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา ตาเหลือบมองประตูเป็นระยะๆ เพราะไม่อยากคลาดกับชายในฝัน...หญิงสาวเรียนปริญญาตรีปีสุดท้ายและกำลังตัดสินใจว่าจะเรียนต่อดีหรือเปล่า อนาคตของลวิตราไม่มีอะไรแน่นอน ฐานะครอบครัวที่ร่ำรวยมากทำให้หล่อนไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พี่ชายกำลังสนุกกับงาน จึงไม่มีคนสนใจสมาชิกคนเล็กว่าจะเรียนต่อหรือกลับเมืองไทย 

ลวิตรามองประตูเป็นพักๆ เพื่อนซี้ต่างบอกว่าหล่อนเป็นโรคจิต เพราะเอาแต่เดินตามแต่ไม่ยอมแสดงตัว เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าไม่ใช่...หล่อนแค่ไม่กล้าเผชิญหน้าต่างหาก ภูรินทร์อาจจะยังเกลียดหล่อน 

จู่ๆ มือของใครบางคนก็ตบลงบนบ่า ลวิตราสะดุ้ง หูฟังแบบไร้สายหล่นลงพื้น พอมองหน้าเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าก็บึ้งตึง พ่นลมหายใจออกมาพรวดใหญ่

 “นี่กานต์ เบาๆ หน่อยสิ ตกใจหมดเลย”

 กานต์รวีหัวเราะร่วน ทำหน้าทะเล้น เช่นเดียวกับณัทกรที่ยิ้มจนเห็นฟันขาวอย่างล้อเลียน ลวิตราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 “บอกแล้วไงอย่าไปแกล้ง ประเดี๋ยวไอ้ตาลก็หัวใจวายตายหรอก”

 “ตายก็ดีไม่ใช่หรือ แกจะได้เป็นผีสตอล์กเกอร์ คราวนี้ละจะได้ตามเข้าไปส่องพี่ภูถึงในห้องน้ำ” ณัทกรล้อ 

ลวิตราหน้าแดงก่ำ “จะบ้าหรือ ฉันไม่ได้อยากทำอย่างนั้นสักหน่อย”

 “แน่ใจนะ แต่หน้าตาแกมันบอก ถ้าการเป็นวิญญาณแล้วทำให้แกได้เห็นพี่ภูตอนเปลือยทั้งตัวละก็ แกคงยอมตาย”

 “ทุเรศ ฉันเปล่านะ”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย ก็เห็นอยู่ว่ากำลังถ้ำมองพี่ภู ไหนวันนี้เขาทำอะไรบ้าง”

กิจวัตรทุกวันของลวิตราคือเดินตามหนุ่มในฝัน เพื่อนทั้งสองคนรู้จึงมาหาได้ถูก

“ใครบอก ฉันบังเอิญมาทำธุระแถวนี้ต่างหาก”

 “เหรอยะ แม่คนปากแข็ง คณะหล่อนอยู่ที่นี่หรือไง” ณัทกรลากเสียงยาว ยักไหล่อย่างไม่เชื่อ คณะของลวิตราอยู่ห่างไปอีกสองตึก 

ขณะที่ทั้งสามกำลังคุยกัน บานประตูก็เปิดออก กานต์รวีรีบยืนบังลวิตราเอาไว้ ทั้งสามทำทีเหมือนยืนคุยกัน ภูรินทร์พาดเสื้อโคตไว้บนแขนและเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ ลวิตราพ่นลมหายใจอย่างเสียดายที่พลาดโอกาสเก็บกลิ่นของเขาก่อนไปเรียน

 “นั่นไงไอ้ตาล มองผู้ชายด้วยสายตาหื่นกามอีกแล้ว แล้วแบบนี้เนี่ยนะที่เถียงว่าเปล่า”

 “เฮ้ย...ฉันไม่ได้มอง”         

 “ถ้าแกโกหก ฉันขอแช่งให้ขึ้นคานตลอดชีวิตเลยนะเอ้า”

 กานต์รวีชี้นิ้วขู่ ลวิตรามองตาปรอย หน้าเบ้ จากมุมนี้หล่อนเห็นแค่แผ่นหลังที่เดินจากไปเท่านั้น แต่ภาพเมื่อครู่ยังจำติดตาม ใบหน้าคมสัน คิ้วเข้ม รวมถึงริมฝีปากหยักลึกสีแดงจัดเพราะความเย็นนั่นอีก เพราะเหตุนี้เองถึงได้มีสาวๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยคอยทอดสะพานให้เขา

 “ใจร้ายอะ ฉันก็แค่แอบมองนิดเดียวเอง วันนี้พี่ภูปากแดงมากเลยนะ สงสัยคงหนาว แกว่าฉันซื้อหมวกไหมพรมให้เขาดีไหม แล้วก็ลิปมันด้วย”

 “นั่นไง ไอ้ตาลมันโรคจิตจริงๆ ด้วย เอาแต่จ้องปากผู้ชาย”

 “ก็ฉันเป็นห่วงเขานี่”

 “ถ้าห่วงแล้วทำไมไม่แสดงตัวไปเลยล่ะ มาเดินตามต้อยๆ ทำไม มันหลอนออกนะแก”

 “ฉันเป็นห่วงว่าเขามามหา’ลัยจะปลอดภัยดีหรือเปล่า”

 “ก็เลยเดินตามเขาจากหอพักมาถึงมหาวิทยาลัยเนี่ยนะ แม่นางฟ้านางสวรรค์”

 “เอาน่า นี่มันความสุขเล็กๆ ของฉัน แค่ได้เห็นพี่ภูฉันก็ดีใจมากแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาก็ตาม”

 ในสายตาของภูรินทร์มีเพียงผู้หญิงคนเดียวนั่นคือมธุริน แต่โชคร้ายที่ลวิตรารู้ว่าหญิงสาวคบเผื่อเลือก เพราะเจ้าตัวดันอยู่ห้องพักติดกับหล่อน เสียงกิจกรรมเข้าจังหวะที่ดังเข้าหูทุกคืนทำให้รู้ว่ามธุรินไม่ได้ใสซื่อ แต่เป็นนางแมวยั่วสวาทตัวแม่ ติดปัญหาตรงที่ไม่รู้จะบอกความจริงให้ภูรินทร์รู้ยังไงต่างหาก 

 “แกก็สารภาพรักไปเลยสิ บอกไปเลยว่าแกเดินตามดูพี่ภูมาหลายปีแล้ว”

 “ไม่ได้เดินตามทุกวันสักหน่อย แค่บางวันเอง”

 “เชื่อเถอะ สักวันพี่ภูต้องรู้แน่ แล้วเขาก็จะวิ่งหนีเพราะแกมันโรคจิต”

 “เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนแล้วกัน ฉันค่อยสารภาพว่าฉันเป็นใคร” ลวิตราเบี่ยงประเด็น หล่อนเดินนำเพื่อนกลับไปยังตึกเรียน ณัทกรตามมายื้อไหล่ไว้เมื่อเห็นเพื่อนรักดูซึมๆ ไป

 “แกจะเรียนจบแล้วนะตาล คิดไว้หรือยังว่าทำไงต่อ”

 “ยังไม่รู้เลย แล้วพวกแกล่ะ”

 “ฉันจะกลับเมืองไทย พ่อกับแม่อยากให้ฉันกลับไปทำงาน”

ณัทกรมีบริษัทเป็นของตัวเอง แม้จะเป็นงานที่เขาไม่ชอบเลย แต่เนื่องจากเป็นลูกคนเดียวจึงขัดไม่ได้ 

 “ฉันก็ขี้เกียจอยู่ที่นี่แล้ว สู้กลับไปทำมาหากินดีกว่า”

“นี่แกสองคนกลับกันหมดเลยหรือ แล้วฉันจะอยู่กับใครล่ะ”

“งั้นก็รีบตัดสินใจสิไอ้ตาล เพราะฉันได้ยินเขาลือกันว่าพี่ภูของแกอาจจะกลับเมืองไทยก่อนกำหนด”

 “อะไรนะ ก็ไหนเขาบอกว่าอาจจะเรียนปริญญาเอกต่อไงล่ะ”

 “คุณพ่อเขาป่วย รุ่นพี่ที่เรียนคณะเดียวกันบอกมา ถ้าธีสิสผ่าน พี่ภูจะกลับบ้านอาทิตย์หน้านี้แล้ว จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ไม่อย่างนั้นแกจะไม่มีโอกาส”

 

 “ภูว่าอะไรนะคะ”

 มธุรินหน้าบึ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่แฟนหนุ่มพูด จนถึงกับโพล่งเสียงแข็งออกไปอย่างลืมตัว ทั้งสองนัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

 “ผมต้องกลับเมืองไทยด่วนที่สุด”

 “แต่เมื่อต้นปีคุณก็เพิ่งกลับไปเองนะคะ!” หญิงสาวแหวเสียงสูงอย่างลืมตัว   

ภูรินทร์เอื้อมมือมาจับมือแฟนสาว ตลอดเวลาที่มาเรียนที่นี่เขาเหมือนคนเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่เป็นการประชุมทางไกล ช่วงต้นปีเขาบินกลับไปประมูลงานของโรงพยาบาลให้บริษัท 

“พ่อผมไม่สบายนะมิว ท่านต้องเข้ารับการทำบายพาสอาทิตย์หน้านี้แล้ว ผมต้องกลับไปช่วย”

“แล้วเรื่องของเราล่ะคะ”

 ทั้งสองตั้งใจจะแต่งงานกัน แต่มธุรินยังเรียนไม่จบ นับตั้งแต่มาที่นี่หล่อนก็เอาแต่เที่ยว 

 “ผมยังรักคุณเหมือนเดิม เราสองคนจะแต่งงานกันเมื่อคุณเรียนจบ จำไม่ได้หรือ แต่ตอนนี้ผมต้องกลับไปช่วยที่บ้าน ถ้าทุกอย่างเข้าที่แล้ว ผมจะรีบบอกเรื่องการแต่งงานของเรา”

 “คุณจะทิ้งมิวไว้ที่นี่คนเดียวเนี่ยนะคะ”

“ผมไม่ได้ทิ้ง คุณเองก็มีเพื่อนเรียนคณะเดียวกันไม่ใช่หรือ”

“แต่พวกนั้นไม่ใช่เพื่อน คุณก็รู้ แค่คนเที่ยวด้วยกันเฉยๆ”

 กลุ่มของมธุรินคือพวกลูกคนรวยที่ไม่ตั้งใจเรียน ขอแค่มาเฉิดฉายในมหาวิทยาลัยไปวันๆ หลายคนอยู่ที่นี่นานมากแล้วแต่ไม่ได้ตั้งใจจะเรียนให้จบ

 “หรือคุณจะกลับเมืองไทยพร้อมผมดี”

 “กลับไปตอนนี้เนี่ยนะคะ มีหวังที่บ้านมิวเอาตายแน่ อย่างน้อยมิวก็ต้องมีปริญญาสักใบไปฝากพ่อกับแม่”

 “ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ผมทำยังไง”

 “อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมิวก่อนได้ไหมคะภู แค่ไม่กี่เดือนเอง คุณกลับไปเยี่ยมพ่อสักสองสามวัน รอจนท่านอาการดีขึ้นแล้วก็กลับมา มิวสัญญาว่าคราวนี้จะตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ”

 “ไม่ได้จริงๆ มิว พ่อผมป่วย ผมคงอยู่ต่อไม่ได้”

 มธุรินสะบัดมือออก หน้างอง้ำ จ้องมองชายหนุ่มอย่างตัดพ้อ “คุณไม่เคยรักมิวเลยใช่ไหมคะ ถึงมาทิ้งกันแบบนี้”

 “ผมจำเป็น เข้าใจผมหน่อยเถอะนะ ผมต้องช่วยพ่อดูแลบริษัท อีกอย่างธีสิสของผมก็ผ่านแล้ว ตั๋วก็จองแล้ว แต่ผมสัญญาว่าตอนช่วงที่บินกลับมารับปริญญา ผมจะมาหาคุณ”

 “คุณก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง แล้วมิวล่ะคะ เอามิวไปทิ้งไว้ที่ไหน”

 ใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายทำให้ภูรินทร์นิ่ง เขารีบคว้ามือหล่อนมากุมไว้

 “อย่าทำแบบนี้สิ ผมรักคุณนะ คุณก็รู้ว่าบริษัทนี้สำคัญต่อครอบครัวผมขนาดไหน เราจะแพ้บริษัทอื่นไม่ได้”

 เขาหมายถึงความขัดแย้งระหว่างสามตระกูลที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดหลายปี แม้ว่าตอนนี้ความรู้สึกนั้นจะลดลงมากหลังจากชัยภัคดิ์กับนภัสสรเป็นแฟนกัน

 “มิวไม่สน” มธุรินสะบัดมือออก หลั่งน้ำตาออกมา 

ภูรินทร์มองแฟนสาวอย่างตัดพ้อ “มีเหตุผลหน่อยสิมิว”

 “มิวรักคุณ แต่คุณไม่เคยคิดถึงจิตใจมิวเลย ถ้าคุณกลับเมืองไทยคนเดียวแล้วคนทางนี้จะมองมิวยังไงคะ ทุกคนก็ต้องว่ามิวถูกคุณทิ้งเพราะว่ามิวเรียนไม่จบ ภูใจร้ายมาก”

 “แต่คุณก็รู้ว่าผมไม่มีวันทิ้งคุณ ไม่ว่าตอนนี้หรือว่าเมื่อก่อนผมก็ยังรักคุณเหมือนเดิม”

 “งั้นคุณต้องเลือก ระหว่างมิวกับบริษัท ใครจะสำคัญกว่า แต่ถ้าคุณกลับเมืองไทยละก็ เราสองคนก็ขาดกัน”

 

 ลวิตรายังไม่ทันเข้าห้อง บานประตูก็ถูกเปิดออกด้วยมือของรูมเมตสาว สภาพเพื่อนรักดูอิดโรย ขอบตาคล้ำ ยูอินใช้ฟองน้ำอุดหูทั้งสองข้างเพื่อปิดกั้นมลภาวะทางเสียง เมื่อเห็นหล่อนก็รีบดึงลวิตราเข้าไปด้านใน

“เกิดอะไรขึ้นหรือยูอิน ทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีก ไหนว่าเข้างานกะดึกไม่ใช่หรือ”

รูมเมตคนนี้เป็นคนเกาหลีและทำงานพาร์ตไทม์กะกลางคืน เพื่อนำเงินมาเรียนหนังสือ ดังนั้นช่วงหัวค่ำจึงเป็นช่วงที่ยูอินเข้านอนเร็ว 

“ก็ยายผู้หญิงห้องข้างๆ น่ะสิ ฟีเจอริงกันตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว จนป่านนี้แล้วยังไม่หยุดอีก ฉันเอาหมอนปิดหูก็แล้ว ใส่ Ear plug ก็แล้ว แต่ผนังห้องก็ยังสะเทือนตลอดเวลา”

ลวิตราอ้าปากค้าง มองผนังห้องที่สั่นสะเทือนรวมถึงเสียงที่ดังลอดผ่านผนังมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนข้างห้องมีกิจกรรมเข้าจังหวะ นับตั้งแต่ลวิตราย้ายเข้ามาอยู่ห้องนี้มักได้ยินรูมเมตบ่นอยู่เสมอ หล่อนเองก็เคยได้ยินกับหูหลายครั้ง

“ตาลช่วยไปบอกเขาหน่อยได้ไหม ไหนๆ ก็คนไทยเหมือนกัน”

ผู้หญิงข้างห้องไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ลวิตรารู้จักดี เพราะคือหวานใจตัวจริงของภูรินทร์ที่มีชื่อว่ามธุรินนั่นเอง 

“เฮ้ย...ไม่เอาอะ เขาอาจจะกำลังปรับความเข้าใจกับแฟนอยู่ก็ได้”

“โนๆๆ คนนี้ไม่ใช่แฟน”

ลวิตราอ้าปากค้างอีกหน หันมองยูอินตาโตราวกับไข่ห่าน ก่อนที่เพื่อนจะเฉลยข้อสงสัยให้

“ฉันเปล่านะ ไม่ได้แอบดู แต่บังเอิญสองคนนั้นฟัดกันนัวเนียตั้งแต่อยู่ในลิฟต์ทั้งที่ฉันยืนหัวโด่อยู่ในนั้นด้วย อี๋! ทำอะไรไม่เกรงใจคนอื่นเลย ทั้งล้วงทั้งควักน่าเกลียดที่สุด”

หญิงสาวหลุดหัวเราะ แต่พอเห็นสีหน้ายูอินที่เหมือนสะอิดสะเอียนแล้วก็ขำไม่ออก สิ่งที่ลวิตราติดใจคือผู้ชายในห้องเป็นใครกัน

“เธอแน่ใจหรือว่าคนในห้องไม่ใช่แฟนเขา”

นับตั้งแต่ช่วงเช้าที่กานต์รวีโยนระเบิดเรื่องภูรินทร์จะกลับเมืองไทย ลวิตราก็แทบนั่งไม่ติด หล่อนรีบสืบข่าวว่าภูรินทร์จะกลับเมืองไทยจริงหรือไม่ สุดท้ายทุกอย่างก็ยืนยันชัดเจน คุณภูดิศล้มป่วยเป็นข่าวดังลงหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เพราะเขาหมดสติกลางที่ประชุมผู้บริหารจึงถูกนำส่งโรงพยาบาลในทันที และเพราะเหตุนี้เองลูกชายถึงต้องกลับเมืองไทยด่วนที่สุด ภูรินทร์จองตั๋วเพื่อกลับเมืองไทยในอีกสองวัน นักเรียนไทยแทบทั้งมหาวิทยาลัยพากันซุบซิบถึงเรื่องนี้ สิ่งที่ลวิตรากลัวก็คือภูรินทร์อาจขอแฟนสาวแต่งงานแล้วบินกลับเมืองไทยพร้อมกัน แต่กลับมีข่าวลือมาอีกว่าทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังลั่นโรงอาหาร

 “แน่ใจสิ นั่นมันหนุ่มหล่อล่ำที่มีรอยสัก ที่ฉันเคยบอกว่าเซ็กซี่มาก จำได้ไหม”

 หนุ่มคนนั้นมีชื่อว่าปฐวี ชื่อที่ชาวต่างชาติเรียกคือปีเตอร์ ยูอินมักจะชมว่าเซ็กซี่ ปฐวีมีรอยสักรูปมังกรอยู่ตรงหัวไหล่ แถมเขายังเจาะหูข้างหนึ่งตามสมัยนิยมอีกด้วย ลวิตรารู้จักอีกฝ่าย จากกิตติศัพท์ที่นักเรียนไทยที่นี่เล่าให้ฟังแต่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง

 ‘ปีเตอร์เจ้าชู้จะตาย แถมบ้าพลังมาก ได้ยินว่าเขาเคยนอนกับผู้หญิงคืนเดียวตั้งเจ็ดคน’

 กิตติศัพท์นี้อาจจะน่าดึงดูดสำหรับผู้หญิงบางคนที่ชอบนักล่าแต้ม แต่สำหรับผู้หญิงเวอร์จินลิมิตเต็ดเอดิชันอย่างลวิตราแล้ว หล่อนพยายามหนีให้ห่าง หล่อนเกลียดผู้ชายเจ้าชู้ แย่ก็คือปฐวีเป็นลูกพี่ลูกน้องของภูรินทร์

 “ตาลช่วยไปบอกสองคนนั้นให้พักหายใจหน่อยได้ไหม ไม่อย่างนั้นวันนี้ฉันคงทำงานไม่ไหวแน่ ดูสิ เอาอีกแล้ว”

 เสียงกระแทกหัวเตียงตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างสุดขั้วเมื่อมธุรินถูกส่งออกไปชมโลกพระจันทร์ตามด้วยดาวเสาร์ ก่อนที่เสียงครางจะสิ้นสุดลง ลวิตราหันมาตบบ่าเพื่อน

 “สงสัยคงหมดยกแล้วมั้ง เธอไปนอนเถอะ”

 “หวังว่านะ เมื่อครู่นี้ก็แบบนี้ แต่แล้วก็เริ่มใหม่...”

 ยูอินยังพูดไม่จบ จู่ๆ เสียงกระแทกก็ดังขึ้นอีก ลวิตรายกมือปิดหู ยูอินสั่นศีรษะ เดินไปที่เตียงของตนและหยิบหมอนหนุนมาปิดหน้า ลวิตราตรงเข้าไปที่โต๊ะของตนหยิบหูฟังชนิดเก็บเสียงขึ้นมาเสียบใส่ไอพอดแล้วเปิดเพลงเบาๆ ส่งให้

 “ใช้นี่เถอะยูอิน อาจพอช่วยได้”

 “นี่ตาลจะไม่ไปเคาะห้องให้ฉันจริงๆ หรือ”

 “ขอโทษนะยูอิน ฉันไม่กล้า คราวที่แล้วที่โดนด่ายังหลอนไม่หาย เธอใช้นี่เถอะนะ เผื่อจะดีขึ้น เราทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”

 ครั้งก่อนหน้านี้ลวิตราทำทีไปขอยืมของ หล่อนเคาะเป็นสิบเที่ยวเพื่อให้อีกฝ่ายหยุด แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือคำด่าแบบหยาบคาย แถมมธุรินยังปิดประตูกระแทกใส่หน้า ครั้นพอยูอินไปเคาะ คู่ขาของหล่อนก็เปิดออกมาแล้วกวักมือเรียก สองสาวโซนเอเชียจึงรีบกลับห้องตัวเองแล้วลงกลอนอย่างรวดเร็ว

 เพื่อนสาวชาวเกาหลียื่นหน้าออกจากหมอนพร้อมกับรับหูฟังไปสวม ลวิตราเดินไปนั่งบนเตียงของตนบ้าง หล่อนหยิบหูฟังอันเล็กขึ้นมาสวม และเปิดโปรแกรมฟังเพลง สายตามองไปยังผนังห้องที่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาอย่างต่อเนื่อง

 หล่อนเคยสงสัยเสมอว่าเพราะอะไรภูรินทร์ถึงได้ปักใจกับมธุรินนักทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนดี มธุรินมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย บิดาชื่อว่ามกรา เป็นเจ้าของบริษัทส่งออก มารดาเป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคม พอลูกสาวมาที่นี่กลับไม่ค่อยเข้าเรียน เอาแต่เที่ยวเตร่ไปวันๆ เพื่อนร่วมคณะต่างพากันบอกว่ามธุรินแทบไม่เคยโผล่หัวไปเรียน ชีวิตแต่ละวันคือออกไปขับรถเล่น เดินเฉิดฉายอยู่ท่ามกลางแหล่งชอปปิง ตกกลางคืนก็ออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อน

 มธุรินเอาแต่ใจตัวเอง แต่อยู่ต่อหน้าภูรินทร์ทำตัวอ่อนหวานน่ารักและช่างเอาใจ ลวิตราแอบเห็นอีกฝ่ายไปจ้างแม่บ้านให้ปอกผลไม้ให้แต่กลับอ้างว่าทำเองทุกอย่าง รวมถึงอาหารกลางวันหน้าตาน่ากินนั่นด้วย มธุรินก็จ่ายเงินให้แม่ครัวร้านอาหารจีนเป็นรายเดือน

นอกจากเที่ยวเตร่แล้ว สิ่งที่รับไม่ได้สุดๆ ก็คือ มธุรินเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น ทันทีที่ภูรินทร์กลับห้องไป หญิงสาวก็จะออกไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ หลังจากดื่มจนเมาก็จะพาผู้ชายกลับมาค้างและทำเสียงดังไม่เกรงใจคนข้างห้อง ยูอินเคยแอบไปฟ้องเจ้าของหอพักให้ขึ้นมาตักเตือน แต่สุดท้ายมธุรินก็ใช้เงินปิดปาก รวมถึงยกเครื่องสำอางชุดใหญ่ให้ เจ้าของหอพักจึงไม่มาวอแวอีก

หญิงสาวหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ดึงรูปถ่ายที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังบัตร มันคือรูปถ่ายสมัยมัธยมศึกษาปีที่หก สีของกระดาษเก่าจนซีด แต่ภาพหนุ่มน้อยในตอนนั้นยังจำติดตรึง สมองนึกถึงคำพูดของกานต์รวีเมื่อตอนเช้า 

 ‘จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ไม่อย่างนั้นแกจะไม่มีโอกาส’

 

 เสียงข้างห้องหยุดไปแล้ว เมื่อลวิตราลืมตาขึ้นก็เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งพอดิบพอดี หล่อนเผลอหลับทั้งๆ ที่ใส่หูฟัง กายเมื่อยขบจนต้องบิดตัว รูมเมตสาวแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังดื่มกาแฟ เตรียมตัวไปทำงาน ลวิตราลุกขึ้นไปที่ตู้เย็น หยิบแซนด์วิชที่ซื้อติดมือมาจากข้างนอกส่งให้

 “ฉันซื้อมาฝาก เธอเอาไปกินที่ทำงานสิ”

 “ขอบใจนะ” ยูอินตบบ่า มองลวิตรา “ฉันขอโทษนะที่เมื่อครู่นี้หงุดหงิดไปหน่อย ความจริงมันไม่เกี่ยวอะไรกับตาลเลย ถึงจะเป็นคนไทย แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนด้วยซ้ำ”

 “ฉันเข้าใจ ไม่ต้องคิดมากหรอก ฉันสงสารเธอ คงเหนื่อยมาก รีบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวฉันเปิดประตูให้นะ”

 ลวิตราลุกขึ้นเดินไปส่งเพื่อนที่หน้าห้อง 

ยูอินโบกมือ หยิบโคตขึ้นมาสวมทับ อากาศตอนดึกหนาวมาก ดังนั้นนักศึกษาต่างชาติน้อยคนที่จะชอบทำงานกะดึก แต่สำหรับยูอินแล้วชินกับอากาศแบบนี้ เพื่อนสาวเล่าว่าที่เกาหลีตอนหน้าหนาวเย็นทรมานยิ่งกว่านี้ ค่าจ้างที่แพงกว่าเดิมเกือบเท่าตัวทำให้ยูอินยอมทนลำบาก...ครอบครัวหญิงสาวที่เกาหลีไม่ได้ร่ำรวยนัก ดังนั้นงานอะไรที่ทำแล้วแบ่งเบาภาระได้ยูอินก็จะทำ หญิงสาวมองตามเพื่อนรักที่เดินลงบันไดไป ขณะกำลังจะเข้าห้อง บานประตูที่อยู่ติดกันก็เปิดออกมาพอดี

 “จะรีบไปทำไมคะปีเตอร์ ค้างที่นี่ดีกว่า”

 เสียงหวานใสดังลอดออกมา เมื่อลวิตรามองเข้าไปก็เห็นมธุรินสวมชุดนอนเนื้อบางเบายืนโพสท่ายั่วยวนอยู่ ปฐวีหยุดตรงประตูแต่ถูกอีกฝ่ายยื้อไว้

 “ผมบอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่ได้ มีงานค้าง ยังทำไม่เสร็จ”

 “ยังไม่หมดแรงอีกหรือคะ ถึงจะได้รีบไปทำงาน”

 “แรงผมยังเหลือเฟือ ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้ต้องส่งงานให้พ่อ เรามาต่อกันทั้งคืนก็ยังไหว”

 “ไว้โทร. มานะคะ มิวจะรอ”

 สาวร่างบางยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่ ปฐวีโอบร่างกึ่งเปลือยเอาไว้ ใช้มือขยำก้นหญิงสาวอย่างมันเขี้ยว ไม่ทันสังเกตว่ามีบุคคลที่สามยืนอึ้งอยู่ ลวิตราขาแข็งทื่อเมื่อเห็นโชว์ติดเรตตรงหน้า เมื่อชายหนุ่มหันหน้ามาหล่อนก็สะดุ้งรีบเดินเข้าห้อง แต่ชายหนุ่มกลับเอื้อมมือมายันประตูเอาไว้

 “คนไทยหรือเปล่าครับ”

 หล่อนอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบชายหนุ่มดีหรือไม่ แต่ปฐวีกลับฉีกยิ้มหวาน เขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเหตุนี้เองจึงเป็นที่สนใจของผู้หญิงแทบทั้งมหาวิทยาลัย 

ชายสองคนหล่อเหลาด้วยกันทั้งคู่ แต่นิสัยกลับต่างกันอย่างสุดขั้ว ภูรินทร์นั้นเหมือนเจ้าชายน้ำแข็ง ผู้หญิงคนเดียวที่เขายอมยิ้มให้คือมธุรินเท่านั้น แต่ปฐวีไม่เหมือนกัน เขาผูกมิตรกับผู้หญิงทุกคนในมหาวิทยาลัย ทั้งคนจนคนรวย

 “ค่ะ คนไทย”

 “ผมขอโทษด้วยที่ทำเสียงดัง คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”

 ลวิตรากัดริมฝีปากจนเกือบห้อเลือด มือกำแน่น นึกถึงเสียงกิจกรรมเข้าจังหวะเมื่อครู่แล้วก็หน้าแดงซ่านขึ้นมา หล่อนกับยูอินต้องใช้อุปกรณ์ทุกอย่างเพื่อปิดหูกั้นเสียงนั้นออกไป

 “ค่ะ”

 “ถ้ามีโอกาส เราไปดื่มกาแฟกันบ้างนะครับ ผมชื่อปฐวี เรียกผมว่าปีเตอร์ก็ได้ เราเป็นคนไทยเหมือนกัน”

 หญิงสาวมองมือเรียวที่ยื่นมาตรงหน้าก่อนจะอ้าปากค้างแล้วรีบหุบลงฉับ ยิ่งคิดว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นในห้องก็อดเบ้หน้าไม่ได้ 

 “อย่าดีกว่าค่ะ ฉันว่าคุณมิวคงไม่ชอบใจแน่ๆ เธอไม่ชอบให้คู่ขาไปนั่งดื่มกับคนอื่น ลาก่อนนะคะ หวังเราคงไม่ต้องพบกันอีก”

 สาวร่างบางกระแทกประตูใส่หน้า หล่อนเอนกายหลังพิงประตูแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นพึมพำคนเดียว 

            “ทุเรศที่สุด เพิ่งป่ามป๊ามกับผู้หญิงมาแล้วมาป้อคนอื่นหน้าตาเฉย ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีกเลย เจ้าประคู้น...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น