5

การพลิกเกมและการโต้กลับ


 

บทที่ห้า

การพลิกเกมและการโต้กลับ

 

ผู้ที่ถูกนัดมาเอชอาร์ซีในตอนเช้าไม่ใช่ทนายความหนุ่มแห่งนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ แต่คือ อดัม ลูอิส ผู้นั่งเท้าคางด้วยสีหน้าอันบอกชัดว่าไม่สู้ดีนัก เมื่อเขาได้เห็นเอกสารบนโต๊ะ นั่นคือเอกสารสัญญาการเป็นผู้บริจาคซึ่งเขาตั้งใจปกปิด และเอกสารผลการตรวจทางพันธุกรรม 

แน่นอนว่าเอกสารทางพันธุกรรมซึ่งระบุว่าเขามีพาหะโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง เจ้าตัวย่อมได้รู้ นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาถูกถอดจากการเป็นผู้บริจาคอสุจิ และนี่ก็อาจทำให้เขาตัดสินใจใช้เรื่องการล่วงละเมิดและถูกละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์มาตอบโต้อีกฝ่าย

เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า เขา...โกหก...

ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของที่นั่นจะทำเช่น อดัม ลูอิส กล่าวหาจริงหรือไม่ นี่คือสิ่งที่อิงวาดต้องค้นหาผ่านการพูดคุยเปิดอกทุกสิ่ง ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้

จากคู่กรณีทั้งหมด เธอเลือกจัดการ อดัม ลูอิส ก่อนเป็นคนแรก!

หญิงสาวเลื่อนแก้วน้ำให้ชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม เอ่ยเสียงแข็งกว่าครั้งก่อน

“ตามเอกสารนี้ ระบุว่าคุณไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้อง ไม่มีสิทธิ์เปิดเผยเรื่องการบริจาคให้แก่ผู้ใดทั้งนั้น อ้อ ที่คุณถูกถอดออกจากการเป็นผู้บริจาค นั่นเป็นเพราะว่าคุณมีผลตรวจทางพันธุกรรมที่...ไม่สมบูรณ์”

อดัมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จนกระทั่งหมดแก้วจึงวางลง เขาถอนหายใจ หยิบผลตรวจเลือดขึ้นมาถือ

“ผมบริจาคไปแล้ว ผลนี้ถึงถูกส่งมา”

คำอธิบายของอดัมทำให้อิงวาดเลิกคิ้ว พร้อมกับความรู้สึกว่าแปลก เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่นอน หญิงสาวแน่ใจยิ่งนัก เพราะเธอเคยทำงานด้านการบริจาคไข่และรู้ทุกกฎทุกขั้นตอน 

การเริ่มต้นบริจาคจะเกิดขึ้นเมื่อผลตรวจสุขภาพทุกชนิดได้รับการยืนยันว่าผ่าน 

แม้เธอจะไม่เคยรับผิดชอบงานด้านการบริจาคอสุจิ แต่ก็แน่ใจว่าตามกฎหมายแล้วใช้วิธีเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่เอเจนซี่จะให้ผู้บริจาคหลั่งอสุจิเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนบริจาคก่อนได้รับผลตรวจเลือดทุกตัว ต้องมีอะไรแน่ๆ!

อิงวาดคิดพร้อมจดลงในสมุด เริ่มต้นถามคำถามต่อไป 

“คุณจำได้ไหมว่าคุณหลั่งอสุจิครั้งแรกวันที่เท่าไหร่ และเช็คถูกส่งให้คุณลงวันที่ครั้งแรกวันที่เท่าไหร่”

ชายหนุ่มพยักหน้า หยิบเช็คซึ่งยังเก็บไว้ขึ้นมาวาง “ผมเริ่มหลั่งครั้งแรกเลยคือวันที่ 5 ที่ผมสมัครเป็นผู้บริจาคอสุจิ และครั้งที่สองวันที่ 8 สองครั้งนี้ทางเอเจนซีบอกว่าผมจะไม่ได้รับเงิน เพราะเป็นการตรวจเช็กอสุจิ ผมหลั่งครั้งที่สาม คือวันที่ 20 มกราคม ครั้งที่สี่คือวันที่ 22 ครั้งที่ห้าวันที่ 24 และครั้งที่ 6 คือวันที่ 26”

เขาชี้ไปยังเช็คซึ่งวันที่จ่ายเงินระบุวันที่ 20 มกราคม “เช็คใบนี้คือห้าสิบเหรียญแรกของผม ส่งมาถึงวันที่ 27 มกราคม ผมเก็บไว้เพราะขึ้นเงินผ่านโฟนแบงกิง”

อิงวาดหยิบเช็คแล้วเทียบวันที่กับวันที่ผลตรวจออก วันที่ผลตรวจเลือดพันธุกรรมออกคือวันที่ 27 เป็นวันหลังวันเช็คออก! นี่...คือสิ่งที่ผิดกฎหมาย และนี้คือช่องโหว่เล็กๆ ซึ่งเธอขยายให้ใหญ่ได้  ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม แน่ใจว่าวิธีที่ปรากฏในสมองจะทำให้เธอชนะ แต่ก็รีบเก็บรอยยิ้ม แสร้งทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิม ไม่ยอมเผยท่าทีให้ผู้นั่งหน้าเครียดฝั่งตรงข้ามทราบ

ทว่า...จากการพบเจอและพูดคุยกับทนายความผู้นั้น ความสงสัยหนึ่งบังเกิดในใจ เป็นไปได้หรือที่ทนายความคนนั้นจะพลาดกับเรื่องแค่นี้ หรือมันอาจมีอะไรสักอย่างแอบแฝง คิดแล้วก็ช้อนมองสบตาสีฟ้าของอดัม

“ดิฉันต้องขออนุญาตเก็บเช็คใบนี้ไว้เป็นหลักฐานนะคะ” เธอเอ่ยพร้อมสอดเช็คลงในแฟ้ม 

เขาพยักหน้า มองเธอด้วยแววตามีความหวัง “แต่เรื่องที่ผมถูกละเมิดสิทธิและคุกคามทางเพศคือเรื่องจริงนะครับ พยาบาลคนนั้น เธอชัก...”

“ค่ะ” หญิงสาวตัดประโยคที่จะตามมา จ้องดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าราวจะอ่านใจเขา แววตาของเขาไร้ซึ่งความหยิ่งผยอง แต่มากล้นด้วยความหวัง สัญชาตญาณทำให้เธอเชื่อว่าเขาคงไม่ได้โกหก และจากหลักฐานที่เพิ่งค้นพบ ทำให้แน่ใจว่าเอเจนซี่แห่งนี้มีอะไรปกปิด 

คนถูกจ้องตาขยับท่าทางเป็นนั่งหลังตรง น้ำเสียงวิงวอนขอร้อง “คุณจะช่วยผมได้ไหม”

อิงวาดเหลือบตามองเวลา แล้วเบนสายตากลับมายังเขา “คุณต้องการอะไร ฉันจะช่วยคุณได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่คุณต้องการมันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน”

“ผมต้องการเงินสักก้อนสำหรับใช้ตั้งตัว”

“ฉันรู้ แต่ว่า...คุณอดัมคะ การที่คุณได้ทราบผลตรวจเลือด ในนั้นระบุแค่คุณคือพาหะ ยังไม่ได้ป่วยเป็นโรคนั้น การตรวจเลือดมีข้อดีคือ ทำให้คุณทราบว่าถ้าคุณจะมีลูก อย่างน้อยคุณก็ควรตรวจเลือดภรรยาของคุณหาโรคชนิดนี้ จะได้...”

อดัมส่ายหน้า เอ่ยขัดทันที “ผมต้องการตั้งตัว ผมมีหนี้อยู่...จำนวนหนึ่ง คุณคิดว่าผมต้องขายอสุจิตัวเองเพราะผมเป็นคนดีและอยากขายเพื่อช่วยคนหรือครับ สิ่งที่ผมต้องการคือเงิน!”

ชายหนุ่มโพล่งอย่างคนที่ถูกกดดัน เมื่อพูดถึงหนี้สิน เส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดขึ้น ทั้งยังกำมือแน่นจนเส้นเลือดขึ้นโปนบนหลังมือ ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับเสียงร้องไห้จากชายหนุ่ม

อิงวาดเริ่มรู้สึกถึงอันตราย เธอถอยตัวห่างจากเขา วิ่งไปยังประตูทางออก เปิดประตูพร้อมกดปุ่มสัญญาณสีแดงบนผนัง อันเป็นสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 

เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของอดัมล้มลง เขาเริ่มชัก เสียงกรีดร้องตกใจดังมาจากคนที่วิ่งมา อิงวาดตกใจเบิกตากว้าง รีบกดโทรศัพท์เรียก 911 เพื่อตามรถพยาบาล หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ตาย เพราะถ้าเขาเสียชีวิต เธอ...ก็คงไม่รอดเช่นกัน!

 

แฟ้มคดีสองแฟ้มถูกวางลง พร้อมกับที่มอลรีนกอดอกจ้องหน้าอิงวาด ดวงตาชั้นเดียวซึ่งกรีดอายไลเนอร์ดำจัดจับจ้องสาวน้อยผู้มาจากเอเชียแต่ไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ ตามด้วยคำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงอันยากจะบอกว่าคิดสิ่งใดในใจ 

“คดีนี้เธอคิดยังไง และจะจัดการยังไง”

อิงวาดเม้มปาก เมื่อครู่อดัมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยมีเธอเดินทางไปด้วย หญิงสาวส่งใบสมัครผู้บริจาคอสุจิให้แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เพื่อให้ติดต่อบุคคลที่ติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน แล้วก็พบว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ลงไว้เป็นเบอร์ปลอม เจ้าของเบอร์ที่แท้จริงไม่รู้จัก อดัม ลูอิส 

อิงวาดอ้างกฎหมายความเป็นมนุษย์เพื่อให้โรงพยาบาลยอมรับตัวอดัมไว้ก่อน ส่วนเธอผู้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องมีปัญหา เริ่มตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดว่าเป็นจริงหรือไม่ด้วยตัวเอง

เธอกดเบอร์โทรศัพท์ไปยังโรงเรียนมัธยมซึ่งเขาบอกว่าเป็นครูพละที่นั่น แล้วก็ได้พบความจริงว่าเขาถูกไล่ออกตั้งแต่เดือนมกราคม เห็นชัดว่าทางเอเจนซี่ไม่มีการตรวจสอบใดๆ รวมถึงทางเอชอาร์ซีก็ไม่ได้มีการตรวจสอบก่อนจะส่งคดีให้เธอ!

ถึงจะรู้ความจริง แต่อิงวาดไม่วิ่งกลับไปตีโพยตีพายกับหัวหน้า เมื่อเธอพลาดก็เลือกแก้ไขทันที ตรวจสอบข้อมูลทุกจุดต่อ เดินทางไปยังโรงเรียนพร้อมขอเอกสารรับรองการพ้นสภาพความเป็นครู ทีแรกทางโรงเรียนปฏิเสธ แต่เธอแสดงเอกสารที่เขาเซ็นยินยอมเปิดเผยข้อมูลทุกสิ่งให้แก่เธอให้ทางโรงเรียนดู เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้วก็เดินทางไปยังบ้านที่เขาอ้างว่าคือที่อยู่ปัจจุบัน 

แล้วก็เป็นเช่นที่คิด บ้านหลังนั้นคือบ้านของคนอื่น ส่วนที่อยู่ในใบขับขี่คือบ้านที่เขาเคยเช่าอาศัย แต่ถูกไล่ออกเพราะไม่จ่ายค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในเดือนมกราคม เดือนที่เขาตัดสินใจขายอสุจิ!

หญิงสาวถอนหายใจต่อสิ่งที่ได้รับรู้ เงยหน้าขึ้นสบตามอลรีน “ทางเอชอาร์ซีไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนส่งมา ดิฉันเพิ่งพบว่าข้อมูลทั้งหมดคือข้อมูลเท็จ”

มอลรีนเลิกคิ้ว พยักหน้าเบาๆ “อ้อ เธอจะกล่าวอ้างว่านี่คือความผิดฉันที่ไม่ตรวจสอบให้เธอก่อน”

“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉัน...”

“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าค่าจ้างนักสิทธิมนุษยชนปีแรกที่นี่สูงมาก สูง...อย่างที่นักสิทธิมนุษยชนปีสามของที่อื่นก็อาจได้ไม่เท่านี้ ถ้าทางเราต้องจัดการอำนวยความสะดวกให้ทั้งหมด เราจะจ้างด้วยเรตนี้ไปทำไม ให้แค่สามหมื่นเหรียญก็ได้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายถึงหกหมื่นห้าพันเหรียญ”

อิงวาดไม่ได้เถียง และไม่ได้พูดว่าตามกฎแล้วจะมีแผนกตรวจสอบข้อมูลก่อนส่งคดีนั้นมาสู่มือนักสิทธิมนุษยชน และเพราะเธอรู้ว่าตามกฎและขั้นตอนเป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้ตรวจสอบซ้ำสอง ยอมรับว่าเป็นความไม่ละเอียดรอบคอบของเธอเอง และความวางใจเชื่อใจว่าทางเอชอาร์ซีจะทำตามกฎกับทุกคดี

แม้จะไม่พูด แต่ความคิดก็ดังไปถึงหูมอลรีน เจ้าของเสียงทรงอำนาจจึงเอ่ยต่อ

“ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร รู้...ว่าเธอกำลังบ่นฉันในใจ และตำหนิว่าทำไมถึงข้ามขั้นการตรวจสอบ อันที่จริง...” เธอหยุดชั่วขณะแล้วถอนหายใจเบาๆ “ฉันรอนานมาก รอ...ว่าเมื่อไหร่เธอจะรู้ความจริงทั้งหมด”

คำกล่าวนี้ทำให้อิงวาดเงยหน้าขึ้น “คุณรู้อยู่แล้ว?”

มอลรีนคลี่ยิ้มเย็น แววตาหยิ่งผยอง “เธอน่ะเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบ เพิ่งเรียนจบมาได้เกือบเดือน อย่าได้กล้าปรามาสคนอายุสี่สิบที่ทำงานนี้มาสิบเก้าปีอย่างฉัน ถ้าฉันไม่แน่จริง ฉันอยู่มาไม่ถึงขนาดนี้ เธอคิดว่าฉันจะเอาคดีที่ไม่มีการตรวจสอบให้เธอเหรอ”

ยังไม่ทันที่อิงวาดจะเอ่ยสิ่งใด มอลรีนก็ถอนหายใจอีกรอบ

“เอาเป็นว่าในฐานะที่เธอเพิ่งจบ ไม่มีประสบการณ์ทำงานที่แท้จริง รวมถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็พลาดจุดนี้ทุกคน เรื่องนี้ฉันยกประโยชน์ให้จำเลยทั้งสี่สิบแปดคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่เธอต้องจำเอาไว้ อย่าเชื่อใจใครนอกจากตัวเอง ต้องละเอียดและรอบคอบ แม้แต่ตัวอักษรเดียวก็ปล่อยไม่ได้! ว่าแต่...แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อกับคดีนี้”

อิงวาดมองแฟ้มคดี เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ดิฉันจะทำคดีต่อค่ะ” 

มอลรีนไม่ได้ยิ้มหรือไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธ เธอเลื่อนแฟ้มทั้งสองให้แก่ลูกน้องผู้อยู่ในการดูแล

“ฉันให้เวลาเธอสี่ชั่วโมง ภายในหนึ่งทุ่มวันนี้ เอกสารการตกลงกับฝ่ายนั้นต้องวางอยู่บนโต๊ะฉัน”

ผู้ได้รับคำอนุญาตให้ทำคดีต่อลุกขึ้น หยิบเอกสารทั้งสองแฟ้มลงกระเป๋า ความคิดซึ่งอัดอยู่ในสมองตอนนี้ทำให้เธออึดอัดและปวดหัว เริ่มโทษตัวเองว่า

เพราะเธอประมาท เพราะเธอไว้ใจที่ทำงานมากไปว่าทุกอย่างจะถูกต้องตามระบบ เธอพลาด...ในสิ่งที่ไม่ควรพลาด ไม่สิ...จากคำกล่าวของมอลรีนเมื่อครู่ ทำให้รู้ว่าอีกสี่สิบเจ็ดคนก็พลาดเช่นเดียวกัน นี่สินะที่เขาบอกว่าการทำงานจริงไม่ใช่การฝึกงาน โลกของการทำงานจริงโหดร้ายกว่าที่คิด และโลกของการทำงานจริงไม่ใช่สามารถลอกตามตำราสอน แต่มันมีการพลิกผัน มีเล่ห์กลมากมาย

เป็นอีกครั้งที่เสียงบ่นในใจของอิงวาดดังไปถึงหูมอลรีน มอลรีนถอนหายใจอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม

“ตอนที่ฉันเรียนจบใหม่ ตอนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำงาน ตอนที่ยังเป็นเด็กสาวอายุยี่สิบต้นๆ แบบพวกเธอ ฉันน่ะ...ก็ทำพลาดเหมือนกัน

“คนนอกที่ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดเดียวกับพวกเธออาจจะคิดว่าทำไมพวกเธอโง่ ทำไมพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาด แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเรื่องนี้เกิดกับคนที่ดีแต่ว่าชาวบ้าน ดีแต่บอกว่าถ้าเป็นตัวเองจะทำนั่นทำนี่ จะไม่พลาดอย่างนั้นอย่างนี้ ร้อยทั้งร้อยถ้ามันเกิดขึ้นจริงกับพวกเขาในช่วงวัยยี่สิบ พวกเขาคงจะพลาดเหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เล่นตามกฎ โลกแห่งความจริงน่ะ ไม่ได้เป็นตามกฎเสมอไป

“เธออาจจะโทษทุกสิ่งทุกอย่าง โทษตัวเอง โทษนั่นนี่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริง ความผิดพลาดคือครูที่ดีที่สุด และประสบการณ์คือสิ่งที่ล้ำค่าและมีราคาที่สุด เมื่อเธอโตกว่านี้ เมื่อเธอได้ย้อนกลับมามองดูตัวเองในตอนนี้ เชื่อฉันเถอะว่าเธอจะหัวเราะให้มัน และเข้าใจว่าทำไมเธอในอดีตถึงพลาด เพราะเธอที่พลาดในตอนนี้เป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุยี่สิบที่ไม่เคยทำงาน ไม่รู้เท่าทันกลลวงของโลกอันแสนโหดร้าย”

มอลรีนเบนสายตาไปทางหน้าต่าง ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยต่อ

“มันก็เหมือนกับตอนที่เธอหัดเดินครั้งแรก เธอกลัว รู้สึกว่ามันยาก แต่พอตอนนี้เธอเดินได้ เธอก็จะรู้สึกและคิดว่าการเดินนี่มันง่าย แต่จริงๆ แล้วการเดินง่ายสำหรับคนอายุยี่สิบ แต่ไม่ง่ายสำหรับเด็กหัดเดิน การทำคดีก็เช่นกัน ฉันอายุสี่สิบ มีประสบการณ์เกือบยี่สิบปี มองว่ามันง่าย แต่เธออายุยี่สิบ ไม่มีประสบการณ์ ก็นะ...ตามที่เห็น

“โชคดีของพวกเธอ ที่ฉันไม่ใช่คนประเภทดีแต่ตัดสินคนอื่นอย่างไม่นึกถึงหลักความจริงว่า ตอนอายุยี่สิบคนเรามากมายก็พลาดทำเรื่องโง่ๆ กันทั้งนั้น ฉันน่ะ...ไม่ได้ตัดสินพวกเธอโดยเปรียบเทียบกับฉันตอนอายุสี่สิบ แต่ฉันจะตัดสินผ่านช่วงวัยยี่สิบของฉัน พวกเธอคือเด็กยี่สิบผู้ไร้ประสบการณ์ มันไม่ยุติธรรมและน่ารังเกียจมากถ้าใช้สายตาผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมายาวนานและมีประสบการณ์ทำงานมากมายมาตัดสิน”

ร่างอวบอิ่มลุกขึ้น ยื่นมือขาวอวบออกมา อิงวาดยื่นมือไปเชกแฮนด์ มอลรีนบีบมืออิงวาดเบาๆ และเอ่ยต้อนรับ

“ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งการแข่งขันและการดิ้นรนที่แท้จริง!”

อิงวาดคลี่ยิ้มบางๆ หยิบเอกสารทั้งสามแฟ้มขึ้นมา เดินออกจากห้องพร้อมเปิดดูที่อยู่ของสำนักงานกฎหมายบนนามบัตรซึ่งเจสันแนบไว้ มืออีกข้างกดเรียกลิฟต์ ดวงตาเรียวยาวทอประกายแน่วแน่  

วันนี้...เธอจะทำให้เขาเห็นว่า เธอไม่ได้จบโรงเรียนกฎหมาย แต่ก็อัดเขาได้เหมือนกัน!

 

การขอเข้าพบ เจสัน ฟอร์ด ไม่ได้ยากเช่นที่คิด เพียงเธอยื่นนามบัตรของเขาให้แก่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่สาวรีบต่อสายถึงเขา ตามด้วยการผายมือไปทางลิฟต์ 

“ชั้นสามสิบหกค่ะ คุณฟอร์ดรอคุณอยู่ในห้องประชุมสาม” 

อิงวาดเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก้าวเดินอย่างสง่างามต่างจากชุดที่สวมใส่ ขึ้นลิฟต์ตรงสู่ชั้นสามสิบหกและเดินไปสู่ห้องประชุมสาม ห้องประชุมมีขนาดเล็ก เป็นห้องกระจก มีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งกึ่งกลาง บนโต๊ะมีแก้วน้ำตั้งพร้อม และ เจสัน ฟอร์ด นั่งรอเธออยู่ ทันทีที่เธอก้าวเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นผายมือเชื้อเชิญให้นั่ง เมื่อเธอนั่งลงเขาก็เอ่ยทันที 

“ดูท่าคุณคงจะทราบความจริงแล้วสินะ”

อิงวาดยิ้มตามมารยาท ประหนึ่งว่าชายผู้นี้ไม่เคยพูดจาดูถูกเธอ สองมือผสานกันวางไว้บนโต๊ะ

“ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ฉันต้องถามคือ คุณจะเขียนตัวเลขราคาเท่าไหร่ให้คุณลูอิส”

ทนายความหนุ่มยิ้มขำ เลื่อนแฟ้มอีกแฟ้มที่เตรียมไว้ให้อิงวาด อำนวยความสะดวกด้วยการเปิดหน้าที่ต้องการ แล้วชี้บรรทัดที่ไฮไลต์สีเหลือง ในนั้นคือข้อความที่ระบุว่า 

หากผู้สมัครโกหกเรื่องข้อมูล ไม่ว่าจะข้อใดก็ตาม ให้ผู้สมัครพ้นสภาพการเป็นผู้บริจาคอสุจิในทันที รวมถึงต้องจ่ายค่าเสียหายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทางนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ตามจริงทั้งหมด [เอียง]

อิงวาดเห็นสัญญาข้อนี้แล้วช้อนตาขึ้น

“หมายความว่า คุณจะอ้างว่านอกจากคุณลูอิสจะมีพาหะโรคทางพันธุกรรมแล้ว ยังปกปิดเรื่องอาชีพการงาน ทำให้เขาพ้นสภาพการเป็นผู้บริจาคอสุจิ รวมถึงต้องจ่ายค่าเสียหายให้ทางคุณ?”

“ค่าตรวจเลือดอยู่ที่ห้าพันเหรียญ อ้อ...มีค่าอื่นๆ อีกด้วย เอาเป็นว่าตัวเลขที่ทางผมต้องการให้ทางคุณลูอิสจ่ายคือหนึ่งหมื่นเหรียญ”

“ไม่ทราบว่าอีกห้าพันเหรียญคือค่าอะไรคะ”

ชายหนุ่มยักคิ้วนิดๆ “ค่าทนาย...ค่าเสียเวลาของผม”

ผู้ได้รับคำตอบยังคงยิ้ม ไม่ได้เอ่ยแย้งสิ่งใด ปล่อยให้เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่อง

“ผมบอกคุณแล้วว่าเรื่องนี้ควรใช้ทนายความจัดการ เห็นได้ชัดว่าหนักเกินกว่าคุณจะรับมือ แต่เอาเถอะ ในเมื่อคุณอยากเล่นบทหนูน้อยทนายความ ผมก็จะให้คุณได้เล่น ว่าไงล่ะคุณทนาย คุณจะแย้งเรื่องนี้ยังไง”

ผู้ถูกย้อนถามถอนหายใจเบาๆ แต่ดวงตาที่จ้องตาเขากลับเต็มไปด้วยความท้าทาย

“ฉันไม่ใช่ทนาย และไม่คิดอยากเป็นทนาย ถ้าสมองที่คุณอวดอ้างทางอ้อมว่าเก่งกาจจำได้ ฉันแนะนำตัวแต่ต้นจนจบว่าฉันคือนักสิทธิมนุษยชน และถ้าสมองที่คุณอวดอ้างว่าจบฮาร์เวิร์ดจำได้ ก็น่าจะจำได้ว่ารัฐนิวยอร์กให้สิทธิ์นักสิทธิมนุษยชนในการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษย์ ฉันมาที่นี่ในฐานะนักสิทธิ ไม่ใช่ทนาย”

เธอเอ่ยแล้วเลื่อนแก้วน้ำออกไปให้พ้นทาง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยกสาดหน้าเขา 

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทนายความจะคุยยังไงกัน จะใช้วิธีอะไร เพราะฉันไม่สนใจและไม่คิดจะเป็น ฉันรู้แค่ตัวฉันเองก็เรียนกฎหมายด้านสิทธิมนุษย์มา และฉันก็ทราบสิทธิของความเป็นมนุษย์ดี”

เธอหยิบนามบัตรของอัยการรัฐนิวยอร์กซึ่งขอจากมอลรีนขึ้นมาวาง

“และฉันก็รู้อีกว่า คดีนี้...อัยการรัฐคงชอบมากในการทำผลงาน คุณรู้อะไรไหม สัญญาระหว่างเอเจนซี่กับคุณลูอิสเป็นโมฆะตั้งแต่วินาทีที่ความเป็นมนุษย์ของคุณลูอิสถูกละเมิด ผ่านทางสายตาที่มองเขาอย่างไม่ใช่มนุษย์ผู้เท่าเทียม ผ่านทางพยาบาลของเอเจนซี่ซึ่งคุกคามทางเพศเขา!”

เจสันเลิกคิ้วเล็กน้อย “หืม คุณมีหลักฐาน?”

“ฉันจะขอหมายศาลให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด หวังว่ากล้องคงไม่เสียและคงไม่ถูกลบภาพทิ้ง”

“น่าตลกนะ คุณคงไม่รู้ว่าในห้องหลั่งไม่มีการติดกล้องวงจรปิดเพราะกฎหมายความเป็นส่วนตัว”

“ไม่ต้องใช้ภาพจากห้องนั้นหรอกค่ะ แค่จากด้านนอกทุกมุมก็ใช้ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาหมายศาลมา อ้อ ลืมไป คุณไม่ใช่ทนาย คุณต้องวิ่งกลับไปหาทนายของคุณให้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายศาล แต่ดูเหมือนจะเสียเวลานะ เพราะศาลคงไม่พิจารณาคำกล่าวลอยๆ”

อิงวาดเปิดแฟ้ม หยิบเช็คและใบผลตรวจพันธุกรรมขึ้นมาวาง

“ก็ไม่แน่นะคะ ในสัญญาของทางเอเจนซี่ระบุว่า ทุกการบริจาคจะเกิดขึ้นหลังได้รับ Medically clear แต่เอ๊ะ...วันที่สั่งจ่ายเช็ควันแรกออกก่อนวันที่ผลตรวจด้านพันธุกรรมออก อย่างนี้แปลว่าอะไรคะ”

วันที่บนเช็คทำให้เจสันหุบยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาดึงเช็คจากมืออิงวาดไปอย่างไร้มารยาท ท่าทางบอกชัดว่าไม่เคยเห็นเช็คนี้มาก่อน 

อิงวาดมองเห็นชัยชนะ เธอกระชากเช็คกลับ เริ่มเก็บเอกสารใส่แฟ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายการพูดลอยๆ 

“ดูเหมือนไม่ใช่แค่อัยการรัฐจะชอบคดีนี้ สื่อมวลชนเองก็คงชอบ อ้อ...ฉันลืมแจ้งอีกข่าว ตอนนี้คุณลูอิสอยู่โรงพยาบาล อาการค่อนข้างแย่ ฉันคิดว่าถ้าจิตแพทย์ได้พูดคุยกับเขาซึ่งไม่รู้ว่าจะฟื้นไหม คำตอบของคุณลูอิสคงไม่แคล้วความเครียดเรื่องการถูกละเมิดความเป็นมนุษย์”

มือขาวเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบพอเป็นพิธี วางลงแล้วเอ่ยต่อ

“เท่าที่ฉันทราบ แม้การบริจาคอสุจิจะถูกกฎหมายในอเมริกา แต่ก็มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่คัดค้านเรื่องนี้ อ้อ...กลุ่มคนเหล่านั้นก็มีนักสิทธิอยู่ด้วย คงจะสนุกไม่น้อยถ้าพวกเขาได้เอกสารชุดนี้ไป”

“คุณปล่อยเอกสารไม่ได้ คุณลูอิสมีสัญญารักษาความลับอยู่”

อิงวาดยักไหล่ แสร้งทำสีหน้าฉงน

“เอ๊ะ สมองอันชาญฉลาดแห่งความเป็นทนายของคุณไม่ได้จำหรือคะ ที่ฉันบอกคุณว่าสัญญาเป็นโมฆะตั้งแต่คุณลูอิสถูกละเมิดความเป็นมนุษย์และเมื่อเขาถูกคุกคามทางเพศ อันที่จริงฉันไม่ได้จบโรงเรียนกฎหมาย แต่มั่นใจว่าโรงเรียนกฎหมายทุกแห่งน่าจะสอนกฎหมายสิทธิมนุษยชนให้คุณนะคะ เอ๊ะ มันยังไงกัน ไม่ได้สอน? ไม่ได้จำ? หรือจำไม่ได้?”

เจสันมีท่าทางบอกชัดว่าหัวเสีย เขาผสานมือกุมแน่น ลุกขึ้นยืน มือล้วงกระเป๋า “ผมขอเวลา...”

“ฉันให้เวลาคุณหนึ่งชั่วโมงในการตกลงกับทางนั้นว่าจะจ่ายด้วยตัวเลขเท่าไหร่ อ้อ...ดิฉันขอคิดค่าเหนื่อยของดิฉัน อยู่ที่...” เธอเอียงคอคิด กะพริบตาปริบๆ ตามด้วยการคลี่ยิ้มกว้าง เอ่ยเสียงอ่อนหวาน

“คิดที่หนึ่งหมื่นเหรียญละกันค่ะ ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงสัญญาจบ ข้อตกลงนี้ไม่วางบนโต๊ะ เรื่องนี้จะถูกนำส่งสำนักงานอัยการรัฐนิวยอร์ก ทุกสื่อมวลชนจะต้องรับรู้ว่าทางนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ทำให้ชายหนุ่มผู้มีร่างกายแข็งแรงต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะความเครียดที่ถูกละเมิดความเป็นมนุษย์ และเอเจนซี่ของคุณ...เตรียมตัวถูกยึดใบอนุญาตได้”

ร่างสูงเพรียวขยับตัว ไขว่ห้างฉีกยิ้มหวาน นิ้วแตะขมับ “ก็ลองคิดดูละกันค่ะ รายได้ที่จะเสียมันมากกว่าการตัดสินใจจ่ายเพื่อปิดคดีนี้ไหม”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น