6

ร่างกายเป็นของหนู ใครก็ห้ามจับ


 

บทที่หก

ร่างกายเป็นของหนู ใครก็ห้ามจับ

 

ครั้งนี้อิงวาดโชคดี เพราะทางนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์เกิดปัญหาภายใน เกิดการแย่งผลประโยชน์ของผู้บริหาร ทำให้ทางนั้นตัดสินใจจบปัญหาด้วยการจ่ายเงินหนึ่งแสนเหรียญชดเชยให้แก่ อดัม ลูอิส รวมถึงจ่ายค่าดำเนินการให้แก่อิงวาดเป็นเงินหนึ่งหมื่นเหรียญตามที่เรียกร้อง ทั้งที่แท้จริงแล้วค่าดำเนินการนี้คือสิ่งที่ไม่จำเป็น

เพราะงานของเธอคืองานการกุศล

เจสัน ฟอร์ด คือผู้รับมอบอำนาจจากนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ให้มีอำนาจลงนามเซ็นเอกสารทุกอย่าง เช่นเดียวกับอิงวาดที่อาศัยสัญญาซึ่งอดัมเซ็นไว้ว่าให้เธอมีอำนาจทุกอย่างในการลงนามแทนเขา ทั้งคู่จัดการเซ็นเอกสารเพื่อจบปัญหานี้ 

อิงวาดฉีกยิ้มกว้างกับงานแรกซึ่งจบอย่างสวยงาม เก็บแฟ้มเอกสารและเช็คสองใบเข้ากระเป๋า ดวงตาเหลือบมองเจสันผู้นั่งกอดอกมองเธอ แววตาของเขาไม่ได้หยามเหยียด แต่ระยิบระยับประหนึ่งเด็กชายเจอของเล่นใหม่ 

เธอไม่สนใจสายตานั้น สะพายกระเป๋า เอ่ยลาตามมารยาท “ขอตัวนะคะ”

ยังไม่ทันขยับเท้า เจสันก็ลุกขึ้นขวางประตูทางออก “ตอนนี้ผมกับคุณไม่ได้ทำสงครามกันแล้ว ถ้ายังไง...ดินเนอร์กับผมไหม”

คำชวนของเขาทำให้คนถูกชวนขำ เลิกคิ้วหนึ่งข้าง “ฉันไม่ใช่ทนาย และไม่ได้จบจากฮาร์เวิร์ด”

“ผมก็แค่...”

“ขอตัวนะคะ” 

หญิงสาวเบี่ยงตัวผ่านช่องประตูที่เหลือ ไม่สนใจแววตาเสียดายของคนที่มองมา เธอกดลิฟต์ลงสู่ชั้นล่าง อมยิ้มเมื่อนึกถึงคำชวน นี่เป็นเรื่องปกติของสหรัฐอเมริกา ทุกคนสวมหัวโขนทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แยกแยะว่านั่นคือเรื่องงาน แต่เมื่องานจบ การปะทะและการเกลียดกันระหว่างทำงานก็แทบจะสลายลงทันที

ด้วยเหตุนี้เขาจึงชวนเธอออกเดตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะยามนี้เธอและเขาถอดหัวโขนเรื่องงานแล้ว

สองเท้าก้าวเข้าไปในห้องโดยสารเมื่อประตูลิฟต์เปิด ดวงตาเรียวยาวเห็นภาพสะท้อนตัวเองในกระจก อมยิ้มขำ ตามด้วยการปล่อยเสียงหัวเราะ 

เสื้อยืดสีส้ม กางเกงลายดอก รองเท้าสาน ผมขมวดเป็นมวยยุ่งเยิง หน้าก็ไม่แต่ง เขา...คงสมองไม่ปกติแน่ๆ เลยชวนเธอออกเดต! 

ชั่วเวลาแห่งการมีความสุขกับชัยชนะถูกขัด โทรศัพท์มือถือส่งเสียงแจ้งข้อความเข้า มือขาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ข้อความจากแม่...

‘สุขสันต์วันเกิดนะลูก ขอให้หนูประสบความสำเร็จทุกสิ่ง[ตัวเอียง]

ข้อความสั้นๆ แต่ทำให้ดวงตาเรียวยาวแดงก่ำ น้ำตาคลอก่อนจะไหลออกทางหางตา เธอเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา สูดหายใจเข้าลึก ตั้งใจแน่วแน่กับตัวเอง 

ดาวบนฟ้าดวงนั้น ไม่ว่าจะไกลสักแค่ไหน เธอจะปีนป่ายเพื่อคว้ามา!

 

ศูนย์วิจัยโคลัมบัส 

ท่ามกลางความวุ่นวายของบุคลากรในชุดสครับ11 บุรุษร่างสูงใหญ่เดินอ้าปากหาวผมยุ่งออกมาจากห้องเฝ้าติดตามอาการ เขาสวมชุดสครับสีดำอันเป็นสีประจำแผนกวิสัญญี ที่คอคือผ้าปิดปาก มือใหญ่ขยี้ตาซึ่งผ่านการอดนอนมากว่าสามสิบหกชั่วโมง 

“หมอฟิลลิปให้มารับแฟ้มการรักษาห้อง 3A ครับ” เขาเอ่ยกับพยาบาลพลางหาว พยาบาลสาวชาวเอเชียอมยิ้มเขินแล้วส่งแฟ้มให้ 

รอยรับแฟ้มมาเปิดดู ยังไม่ทันหันหลังกลับเข้าห้องสังเกตการณ์ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกจากเพื่อนสนิทผู้สวมเสื้อยืดกางเกงยีน บอกชัดว่ากำลังออกเวรเรสซิเดนต์

“เฮ้ย ไอ้รอย”

คนถูกเรียกมองเพื่อนรักด้วยแววตาอิจฉา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ว่าไง”

การสนทนาเป็นภาษาไทยทำให้คนที่อยากสอดรู้แสดงสีหน้าผิดหวัง ชายหนุ่มทั้งสองไม่สนใจสีหน้าเหล่านั้น ธามดึงแฟ้มจากมือเพื่อน แล้วเคาะลงบนมือตัวเองเป็นจังหวะ

“มึงเจอสาวคนนั้นรึยัง แม่ดอกไม้ส้ม”

คำถามนั้นคล้ายเครื่องกำจัดความง่วง รอยส่ายหน้าพร้อมคว้าแฟ้มกลับ “เสือก!”

ธามหัวเราะขำกับการถลึงตาของเพื่อนรัก ก่อนจะมองเลยไปด้านหลัง ตามด้วยการชูมือเรียกคนที่เดินมาพอดี เขาคือเตรัณย์ หมอรุ่นพี่ประจำแผนกวิจัยพันธุกรรม

“พี่เตครับ”

ผู้ถูกเรียกเงยหน้าจากแฟ้มในมือ แล้วเดินมาหาสองหนุ่มรุ่นน้องคนไทย เตรัณย์สวมชุดสครับสีเขียว บนศีรษะคือหมวกสีเดียวกับชุด เขาเพิ่งออกมาจากห้องเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ชายหนุ่มหยุดยืนข้างรุ่นน้อง มองทั้งสองคนด้วยแววตาถามว่ามีอะไร 

รอยเตรียมเดินหนี ทว่าธามดึงแขนเพื่อนไว้

“พี่เตครับ ไอ้รอยมันยังตามหาสาวคนนั้นไม่เจอเลยพี่”

คำเย้าแหย่ของธามทำให้บังเกิดสีแดงระเรื่อบนแก้มคนถูกแซ็ว ขยับปากด่าเพื่อนอีกรอบ “เสือก!”

เตรัณย์หัวเราะน้อยๆ กอดอกมองรุ่นน้องผู้บังเกิดความรู้สึกศรรักปักอกกับสาวปริศนา เรื่องนี้เขาได้รับฟังมาจากธามเมื่อสองปีก่อน ในวันแรกที่ทั้งสองคนมาแนะนำตัวกับเขาว่าเป็นคนไทย 

เรื่องของรอยกับหญิงสาวปริศนาทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า ช่างคล้ายคลึงกับเรื่องของตัวเอง...

“เราเชื่อในพรหมลิขิตไหม” 

คำถามของเตรัณย์ทำให้รอยถอนหายใจ

“มันไม่ใช่พรหมลิขิตพี่ คือ...ผมไม่ได้มีอาการรักแรกพบ ไม่ใช่ว่าจะหยุดโลกทั้งใบ มันเป็นแค่ความรู้สึกที่แบบ...” ชายหนุ่มถอนหายใจอีกรอบ มือเกาผมยุ่งของตน 

“พี่คิดดูนะ ท่ามกลางสีฟ้าของโคลัมบัส ผู้หญิงคนนั้นใส่ผ้าถุงลายดอก ดอกแบบดอกอะพี่ ดอกใหญ่มาก เสื้อคอกระเช้าสีส้มแปร๊ด ยังไม่พอนะ ดอกไม้บนหัวอีก ดอกนี่ใหญ่กว่าหน้าผม มันคือภาพที่ผมเห็นแล้วติดตา มันสลัดไม่หลุด มันคาใจ แต่มันไม่ใช่รักแรกพบแบบพี่กับภรรยา”

เตรัณย์พยักหน้ารับรู้ ตบไหล่รุ่นน้อง “งั้นก็เลิกสนใจ ลองเดตกับคนอื่นดู มองหาดอกใหญ่ๆ ดอกใหม่ เดี๋ยวก็ลืมดอกนั้น”

ธามหัวเราะกับคำแนะนำ ตามด้วยตบไหล่เพื่อนอีกข้าง “กูไปละ ง่วง ระหว่างนี้มึงก็ใช้สีส้มแปร๊ดช่วยขับไล่ความง่วงมึงละกัน”

รอยยกมือไหว้ลาเตรัณย์ แม้ว่าเขาจะย้ายถิ่นฐานมาอยู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุสิบห้า จนตอนนี้อายุยี่สิบหก แต่ก็ไม่เคยลืมธรรมเนียมไทย แม้ส่วนใหญ่จะไม่สนใจนักก็ตาม ชายหนุ่มเดินถือแฟ้มกลับไปที่ห้องเฝ้าติดตาม มือเอื้อมจะเปิดประตู แต่ก็ชะงัก เปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา 

ภาพที่เปิด คือภาพของหญิงสาวดอกไม้ส้มผู้มีนามว่าอิงวาด ริมฝีปากคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงวันนั้น ตามด้วยการกด ‘Delete’ แล้วก็เป็นเช่นทุกครั้ง เมื่อต้องกดยืนยัน เขากลับกดยกเลิก เอ่ยด้วยเสียงเจือหัวเราะ 

“ผมน่ะเก็บภาพคุณเอาไว้ดูแก้ง่วง ได้ผลยิ่งกว่ากาแฟซะอีก” 

 

ผลงานจากเดือนที่แล้วที่อิงวาดทำเงินเข้าเอชอาร์ซีได้หนึ่งหมื่นเหรียญทั้งที่เป็นคดีแรก ทำให้ชื่อของอิงวาดถูกพูดถึง แต่ก็มีข้อเสีย คือสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้ร่วมงานอีกสี่สิบเจ็ดคน

ทว่าหญิงสาวไม่สนใจ มือข้างหนึ่งคว้าเจลลีบีนเข้าปาก อีกข้างเปิดแฟ้มงานใหม่ที่ได้รับ ดวงตาเรียวยาวกวาดมองเนื้อหา ตามด้วยการขมวดคิ้ว 

วิทยากรอธิบายด้านสิทธิในร่างกายของตัวเองให้เด็กอายุ 2-5 ขวบ[ตัวเอียง]

หญิงสาวยัดเจลลีบีนเข้าปากอีกหนึ่งกำ หวังให้รสเปรี้ยวช่วยขับไล่ความง่วง แต่ตัวหนังสือบนหน้ากระดาษก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ที่เธอตกใจไม่ใช่เรื่องการเป็นวิทยากร แต่ตกใจอายุของผู้เข้ารับฟัง เพราะอายุสองถึงห้าขวบช่าง...เด็ก...เด็กมาก! 

คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่ถือแฟ้มลุกไปถามว่าเหตุใดจึงเด็กเพียงนี้ นั่นเพราะสามวันที่แล้ว รัฐนิวยอร์กได้ประกาศเพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการป้องกันคดีละเมิดและคุกคามทางเพศต่อเด็ก ซึ่งมีอัตราสูงขึ้นจากปีที่แล้วถึงสิบเปอร์เซ็นต์

'ท่าน' ทั้งหลายจึงมีคำสั่งว่า ให้เริ่มต้นมอบความรู้ให้แก่เด็กๆ หญิงสาวเกาศีรษะตามด้วยการกุมขมับ อยากจะรู้ยิ่งนักว่าใครเป็นคนคิดให้เริ่มตั้งแต่สองขวบ 

เธอถอนหายใจอีกรอบ ไม่ตั้งคำถามว่าทำไมเธอถึงได้รับหน้าที่นี้ เพราะรู้ดีว่าในใบประวัติของตัวเอง เธอลงข้อมูลว่าเคยเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และมีหนังสือรับรองจากเหล่าผู้ปกครองที่เธอเลี้ยงลูกให้ ทั้งเด็กช่วงวัยแบเบาะ เด็กเล็ก จนถึงเด็กแปดขวบ

ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่เข้าใจเด็กและอยู่กับเด็กได้ เพราะเด็กก็คือเด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็ก การที่เอชอาร์ซีเลือกคนที่มีประวัติใกล้ชิดเด็กและเคยทำงานกับเด็กมาก่อน คือทางที่ปลอดภัยที่สุด

หน้าที่นี้จึงตกมาถึงเธอ

อิงวาดเริ่มต้นทำงาน คือการวางแผนงานและคิดหาทางว่าจะทำเช่นไรให้เด็กๆ ซึ่งอยู่ในวัยซุกซนฟังสิ่งที่เธอพูด ตามด้วยการโทร. นัดหมายเวลากับโรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็กๆ ต่างที่มีรายชื่อในแฟ้ม 

ดูเหมือนว่าเดือนกรกฎาคมนี้ หน้าที่เดียวของเธอคือการเป็นวิทยากร หน้าที่นี้เหมือนจะง่าย แต่แท้จริงแล้วยาก เพราะคนที่เธอต้องรับมือด้วยคือเด็ก! 

 

อิงวาดคิดว่าเดือนมิถุนายนผ่านไปไวแล้ว เดือนกรกฎาคมเวลายิ่งเดินไวกว่า เข้าสู่วันสุดท้ายของเดือน และสถานเลี้ยงเด็กสุดท้ายตามรายชื่อในแฟ้ม 

สถานเลี้ยงเด็กแห่งนี้มีชื่อติดอันดับต้นๆ ของแมนฮัตตัน เท่าที่เธอหาข้อมูล ค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กเล็กราคาสูงถึงเดือนละสามพันสองร้อยเก้าสิบเหรียญ ยังไม่รวมค่ากิจกรรมและค่าอื่นๆ แล้วยังมีค่าแรกเข้าที่ทำให้เธอขนลุก ยิ่งได้เดินเข้าสู่สถานรับเลี้ยงเด็กก็ยิ่งเข้าใจว่า 

ที่นี่...คือที่สำหรับลูกคนมีเงิน อย่างที่เธอแน่ใจว่าถ้าเธอมีลูก ลำพังเงินเดือนของเธอคงไม่สามารถส่งลูกเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ 

ไม่ไกลออกไป สตรีวัยกลางคนชาวตะวันตกเดินเข้ามาต้อนรับ อิงวาดจับมือเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม 

“สวัสดีค่ะ ดิฉันมาจากเอชอาร์ซี อิงวาดค่ะ”

เจ้าของสถานที่ฉีกยิ้มกว้าง “ดิฉันมิแรนด้า เป็นครูใหญ่ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ ต้องขอบคุณคุณอิงวาดมากๆ ที่มาให้ความรู้แก่เด็กๆ”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิงวาดได้ยินประโยคนี้ เธอเพียงยิ้มรับ ขนลุกต่อการคาดเดาถึงหายนะที่อาจเกิดขึ้น จากสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งเดือน บางครั้งดีจนน่าตกใจว่าฝัน บางครั้งก็เลวร้ายจนเธอผวาการมีลูก เด็กที่น่ารักก็น่ารักจนอยากท้องในทันที เด็กที่... เฮ้อ...เอาเป็นว่าเด็กบางคนก็ทำให้เธอนอนฝันร้าย  

ที่เลวร้ายนั้นเลวร้ายแค่ไหนน่ะหรือ...ก็เด็กชายคนหนึ่งเกิดปวดอุจจาระระหว่างฟัง อยากจะทดสอบว่าอุจจาระคือของของเขาหรือไม่ ใครมาจับได้หรือไม่ เลยนั่งยองๆ ถ่ายอุจจาระรดกางเกงโดยไม่ยอมขอเข้าห้องน้ำ แล้วนำอุจจาระมาป้ายแขนเธอ ถามเธอว่า

“จับได้ไหม”

เด็กชายคนนั้นถูกครูลงโทษให้นั่งสำนึกผิดที่มุมห้อง อันเป็นวิธีการลงโทษขั้นพื้นฐานของอเมริกา เพราะที่นี่ห้ามตีและรณรงค์ห้ามด่า ส่วนเธอทำได้เพียงยิ้มและเอ่ยว่าไม่เป็นไร ยังไม่ทันจบเรื่อง เด็กๆ ตัวน้อยก็เริ่มพากันร้องไห้ สาเหตุเพราะมีหนึ่งคนร้อง คนที่เหลือเลยร้องตาม! 

คิดแล้วอิงวาดก็สูดหายใจเข้าลึก บอกตัวเองว่าช่างเถอะ วันนี้วันสุดท้าย เธอมองครูใหญ่ที่เปิดประตูห้องประชุม รีบสวมหน้ากากพี่สาวใจดี ส่งยิ้มทักทายเด็กๆ ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กเรียงกันในห้อง 

เด็กๆ แต่ละคนมีท่าทางตื่นเต้น พูดคุยกันและไม่สนใจเธอ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อิงวาดวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ กวาดตามองเด็กๆ จำนวนราวสามสิบคน แต่ละคนแต่งตัวน่ารัก ทั้งเด็กหญิงชาย ทั้งเอเชียแท้ เอเชียผสม และตะวันตก 

“ทุกคนเงียบหน่อยค่ะ เด็กๆ เงียบหน่อย” ครูใหญ่เอ่ยเสียงดังพร้อมกับเขย่ากระพรวน 

คล้ายเด็กๆ ถูกฝึกว่าหากได้ยินเสียงกระพรวนให้เงียบ ทุกคนหันมองครูใหญ่ ถึงกระนั้นเด็กอายุราวสองสามขวบบางคนก็ไม่สนใจ แกล้งเพื่อนบ้าง จ้องหน้าอิงวาดบ้าง ดึงกิ๊บจากผมเพื่อนบ้าง และบางคนก็ลุกจากเก้าอี้นั่งลงกับพื้น บางคนก็นอนบนพื้นแล้วเริ่มร้องเพลง

ครูใหญ่มิแรนด้าผายมือมาทางอิงวาดผู้ส่งแฟลชไดรฟ์ให้แก่คุณครูอีกคนซึ่งนั่งอยู่หน้าแลปทอป เธอรีบก้าวออกมายืนด้านหน้า ยิ้มให้เด็กๆ 

“ทุกคนคะ วันนี้เรามีนักสิทธิมนุษยชนจากเอชอาร์ซีมาเยือน จะมาให้ความรู้แก่ทุกคน เด็กๆ ปรบมือต้อนรับคุณอิงวาดหน่อยค่ะ”

เด็กน้อยพากันปรบมือตามคำสั่ง บางคนก็งงว่าปรบทำไม บางคนหัวเราะขำ ส่งเสียงกรี๊ดประหนึ่งกำลังดูคอนเสิร์ต อิงวาดโบกมือทักทายทุกคน ดวงตาเรียวยาวสะดุดตากับเด็กหญิงผู้นั่งกึ่งกลางแถวหน้าสุด เธอเป็นเด็กหญิงหน้าตาบอกชัดว่ามีเชื้อสายเอเชีย ไม่แน่ใจว่ามีผสมตะวันตกหรือไม่ สวมชุดกระโปรงสีแดงลายดอกไม้เข้ากับอากาศวันนี้ที่ค่อนข้างร้อน มัดผมแกละผูกด้วยริบบิ้นสีเดียวกับชุด เด็กหญิงตากลมโต แก้มยุ้ย หน้าตาน่ารัก และส่งยิ้มกว้างตาหยีให้เธอ 

‘ลูกใครนะ...น่ารักจริงๆ’

ผู้กำลังคิดสะดุ้งเล็กน้อยจากการสะกิดของครูใหญ่ รีบเริ่มงานโดยการทำหน้าที่อธิบายสิทธิต่อร่างกายของตัวเองให้แก่เด็กๆ ส่วนคุณครูทั้งหลายเริ่มแจกขนมให้เด็กๆ เพื่อให้ทุกคนยอมนั่งนิ่งๆ เพราะรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้เด็กวัยนี้นั่งอยู่กับที่โดยที่ในมือว่างเปล่า

“สวัสดีค่ะทุกคน ฉันมาจากเอชอาร์ซี เป็นนักสิทธิมนุษยชน จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับร่างกายของเราค่ะ” 

ทันทีที่พูดจบ โพรเจกเตอร์ฉายภาพเด็กชายหญิงยืนคู่กัน มือขาวผายไปทางภาพ เด็กบางคนสนใจมอง บางคนแหย่กัน บางคนลูบพุงเพื่อน บางคนก็สนใจแต่การกินขนม

“ร่างกายของเราคือสิทธิ์ของเรา เด็กๆ รู้ไหมคะว่า ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องร่างกายของเรา หากเราไม่ต้องการให้เขาแตะต้อง”

“คุณแม่แตะได้ไหมคะ” คำถามดังมาจากเด็กหญิงอายุราวห้าขวบซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง ถามแล้วก็หัวเราะคิกคัก เด็กๆ คนอื่นเริ่มถามตาม เช่นเดียวกับกลุ่มเด็กสามขวบซึ่งนั่งอยู่แถวหน้า 

อิงวาดยิ้มหวาน พยักหน้าและส่ายหน้า “คุณแม่แตะได้ และแตะไม่ได้ค่ะ”

เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าโลกนี้มีแม่หลายประเภท ทั้งแม่ที่ดีและแม่ที่ไม่ดี แต่หากว่ากันตามกฎหมาย ร่างกายของใครก็เป็นของคนนั้น ถ้าเด็กไม่ต้องการให้แม่แตะต้อง แม่ก็ไม่มีสิทธิ์แตะ เว้นแต่ในกรณีถึงแก่ชีวิต  

 ยังไม่ทันที่เธอจะพูดต่อ เด็กชายผู้นั่งห่างจากเด็กหญิงคนเมื่อครู่ราวสามที่นั่งก็ตะโกน

“คุณแม่ตีไม่ได้ คุณพ่อตีไม่ได้ คุณครูก็ตีไม่ได้”

สิ้นคำชักนำ เด็กๆ พากันส่งเสียงพูดคุย เสียงกระพรวนดังขึ้น ความเงียบบังเกิดชั่วขณะ อิงวาดอาศัยจังหวะนี้รีบเอ่ยต่อ 

“ตามกฎหมายแล้วตีไม่ได้ แต่ฉันว่าคิดแบบนี้ดีกว่า ถ้าทุกคนเป็นเด็กน่ารักก็จะไม่ถูกตี เอาละ เรามาฟังกันต่อ ร่างกายของเราทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา ผม จมูก หรือแม้แต่น้องชายน้องสาว คนอื่นที่เรารู้สึกไม่ปลอดภัย หรือแม้จะเป็นญาติหรือคนใกล้ชิด ก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง”

“อะไรคือไม่ปลอดภัยคะ” คำถามดังมาจากเด็กหญิงคนเดิม 

คำถามนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เธอจึงตอบได้ทันที แม้ว่าคำตอบเหล่านี้จะไม่ใช่คำจำกัดความอย่างเด่นชัด และแม้ว่าเด็กๆ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม

“คือคนที่หนูไม่รู้จักหรือรู้จัก แต่เขาทำให้หนูกลัว คนแปลกหน้า คนที่หนูรู้สึกอยากวิ่งหนี หรืออาจเป็นคนที่...มองหนูด้วยแววตาไม่ใช่แบบที่คุณพ่อคุณแม่มอง”

อิงวาดทำหน้าที่ของตนไปเรื่อย ไม่ราบรื่นนักแต่ก็ไม่แย่ขนาดขนลุกอยากเก็บของแล้ววิ่งหนี คิดในแง่ดีว่ามันกำลังจะจบ และเงินที่จะได้รับจากที่ทำงานในเดือนนี้ก็มากกว่าการเป็นพี่เลี้ยง และไม่ต้องอยู่กับเด็กทั้งวัน

หญิงสาวชี้ไปทางภาพสุดท้าย นั่นคือเอ็นวายพีดีท่าทางใจดี ข้างๆ คือหมายเลข 911

“ไหนทุกคนบอกฉันอีกครั้งซิคะ ถ้ามีใครมาแตะต้องเรา มาจับเรา ทุกคนต้องทำยังไง”

มือเล็กหลายมือชูขึ้น ส่วนใหญ่มาจากแถวหลัง ส่วนเด็กน้อยแถวหน้า บางคนนั่งหลับ บางคนนอนอยู่กับพื้น บางคนแกะดอกไม้ที่กระโปรงตัวเอง และบางคนเช่นเด็กน้อยที่เธอสะดุดตา กำลังดึงริบบิ้นบนผมตัวเองเล่น 

“อะ สาวน้อย ไหนบอกฉันซิคะ” เธอชี้ไปทางเด็กน้อยช่างถามคนเดิม 

เด็กน้อยลุกขึ้นยืน ตอบเสียงดังท่าทางภูมิใจ “แม่บอกว่าให้บอกตำรวจค่ะ บอกแม่ บอกคุณครู โทร. 911”

คำตอบนี้ทำให้อิงวาดแน่ใจว่า บางครอบครัวเริ่มสอนลูกในเรื่องเหล่านี้แล้ว เธอปรบมือให้อย่างชื่นชมครอบครัวและเด็กหญิงตัวน้อย การปรบมือทำให้เด็กๆ พากันปรบมือตามอย่างไม่รู้ว่าปรบมือทำไม เด็กน้อยบางคนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระโดดปรบมือหัวเราะขำ

“เอาละ วันนี้ทุกคนเก่งมากเลย ขอบใจทุกคนมากๆ นะจ๊ะ แล้วอย่าลืมที่ฉันสอนวันนี้ ร่างกายของเราเป็นของเรา เราเท่านั้นที่มีสิทธิ์ ไม่ว่าใครก็แตะต้องไม่ได้ถ้าเราไม่ต้องการ” 

สิ้นคำพูด ครูใหญ่มิแรนด้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับปรบมือ “ปรบมือให้คุณอิงวาดด้วยค่ะทุกคน” 

เด็กๆ ปรบมือกันอีกครั้ง ตามด้วยการร้องดีใจเมื่อคุณครูอนุญาตให้ลุกขึ้นได้ และเริ่มถูกพากลับสู่ห้องเรียนของตน 

อิงวาดหยิบเอกสารขึ้นมาส่งให้ครูใหญ่มิแรนด้าเซ็นว่าเธอได้เข้ามาทำหน้าที่แล้ว ทั้งยังมีแบบประเมินความพอใจของคุณครูในห้องนี้ ประเมินว่าเธอให้ความรู้แก่เด็กๆ ได้เข้าใจเพียงใด 

อิงวาดเบนสายตาไปทางเด็กหญิงตัวน้อยผู้ยืนต่อแถวรอกลับห้อง ริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้าง โบกมือให้ เด็กหญิงโบกมือกลับ แล้วม้วนตัวบิดด้วยความเขิน ก่อนที่เพื่อนซึ่งต่อแถวด้านหลังจะจับกระโปรงเธอกางออกเพื่อดูลายดอกไม้บนกระโปรง โดยที่เจ้าตัวก็ช่วยเพื่อนดึงกระโปรงตัวเอง ทั้งยังพูดคุยอวดดอกไม้ 

หญิงสาวอมยิ้มขำความไร้เดียงสา ก่อนจะสะดุ้งเพราะอาการปวดท้องเฉียบพลัน ริมฝีปากบางเม้มแน่น พยายามไม่ร้องหรือนั่งงอตัว แต่เมื่อขยับมือกดนวด อาการปวดท้องก็หายไป เปลี่ยนเป็นเริ่มร้าวช่วงแผ่นหลัง

ยังไม่ทันที่เธอจะนวดหลัง เอกสารทั้งหมดก็ถูกส่งคืน เธอรับเอกสารที่เขียนเสร็จเรียบร้อยกลับ แล้วกัดฟันเดินตามครูใหญ่ซึ่งเดินไปส่ง เมื่อถึงหน้าสถานเลี้ยงเด็ก อาการปวดก็หายไปเช่นทุกครั้ง

มีการล่ำลาตามมารยาท ทันทีที่สองเท้าก้าวออกจากเขตสถานเลี้ยงเด็ก เธอก็รู้สึกเป็นอิสระ และรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นนางงามจักรวาล 

สวย...รักเด็ก!

“เอาเถอะ จบแล้ว” เธอเอ่ยเสียงใสอย่างคึกคัก ลืมอาการปวดเมื่อครู่ไปเสียสนิท เดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุด เพื่อส่งเอกสารสรุปงานที่ทำมาตลอดหนึ่งเดือนให้แก่มอลรีน พร้อมกับฝันถึงเงินเดือนที่จะได้รับในอีกไม่กี่วันข้างหน้า 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น