3

3

3

 

บุรุษร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีกากีรัดรูปทรงอันล่ำสันสาวเท้ายาวๆ ลงจากตึกกองบัญชาการภายหลังการประชุมที่แสนจะเคร่งเครียดเสร็จสิ้นลง ดวงตายาวรีเหลือบมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบห้าโมงเย็น กลินท์ถอนหายใจยาว คงขับรถกลับถึงยะลาหรือถึงฐานปฏิบัติการไม่ทันก่อนค่ำแน่ๆ แม้จะนึกห่วงลูกน้องที่ฐาน แต่นายตำรวจหนุ่มรู้ดี...ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงบนเส้นทางที่ลดเลี้ยวไปตามไหล่เขา ซึ่งบางช่วงบางตอนเป็นป่าสวนยางสลับกับผืนป่าหนาทึบอันเป็นชัยภูมิที่เจ้าหน้าที่ถูกลอบทำร้ายบ่อยครั้ง

คืนนี้คงต้องค้างในเมืองต่ออีกคืน ว่าแต่...คืนนี้จะค้างที่ไหนดี

‘ซิลค์คิดถึงพ่อซันจังเลย’ เสียงแจ้วๆ ของลูกชายวัยห้าขวบเศษผ่านเข้ามาในห้วงความคิดทันที พร้อมกับดวงหน้าเล็กๆ ที่ถอดพิมพ์พ่อออกมาไม่ผิดเพี้ยนเด่นชัดในห้วงคำนึง 

กลินท์เผลอยิ้มยามเมื่อนึกถึงลูกชายที่มักฉีกยิ้มกว้างแจ่มใสเป็นนิตย์ คล้าย...ใครบางคน 

‘พ่อซันของซิลค์หล่อและยิงปืนเก่งที่สุดในโลกเลย ปังๆๆ’ เด็กชายกวินชอบคุยให้ใครๆ ฟังอย่างนั้น แล้วก็ทำท่าจับปืนของเล่นมาตั้งท่ายิงตามที่พ่อเคยสอน ครั้นแล้วร่างค่อนข้างจ้ำม่ำก็ยืนตรงแน่ว ยกมือขวาขึ้นตะเบ๊ะ พยายามที่จะแขม่วพุงเต็มที่ยามเอ่ยด้วยเสียงขึงขังว่า

‘โตขึ้นซิลค์จะเป็นตำรวจพลร่มเหมือนพ่อซัน พันตำรวจตรีกวิน...ครับ’

กลินท์อดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อคิดถึงลูกชายผู้เป็นยอดดวงใจของพ่อ 

“ซัน!”

เสียงนั้นทำให้นายตำรวจหนุ่มหันกลับไปมอง ก่อนคลี่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเมื่อเห็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ 

“อ้าว...ปืน มากับเขาด้วยเหรอ ไม่เห็น ถามไอ้ดอน มันบอกว่าไปประชุมที่สุราษฎร์”

“เพิ่งกลับมา แล้วก็มาประชุมนี่ต่อ มึงรีบไปไหนไหม กินข้าวด้วยกันสักมื้อสิ ค่ำแล้ว คงกลับยะลาไม่ทัน” พ.ต.ต. ปรมัตถุ์เอ่ยชวน 

“เอาสิ กินข้าวเสร็จแล้วจะไปค้างกับเจ้าซิลค์หน่อย” กลินท์เอ่ยพลางคลี่ยิ้มอบอุ่นอันเป็นภาพที่คนรอบข้างชินตา 

เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนสนิทว่าเด็กชายกวินนั้นติดพ่อมาก นายตำรวจหนุ่มพาลูกไปให้แม่เลี้ยงที่สกลนครบ้านเกิดตั้งแต่แบเบาะ พอโตรู้ความก็ร้องตามจะกลับใต้กับพ่อ แม้พ่อจะอธิบายว่าไปอยู่ที่ยะลากับพ่อไม่ได้ แต่เด็กชายขออยู่กับทวดที่สงขลาก็ยังดี พอใครๆ ถามว่าทำไมไม่อยู่กับย่าแตงที่สกลนคร เด็กชายก็ตอบซื่อๆ ตรงไปตรงมาว่า

‘ถ้าซิลค์อยู่สกลก็นานกว่าพ่อซันจะว่างไปหาซิลค์ได้ แต่ถ้าอยู่สงขลา พ่อซันแวะมาหาซิลค์ได้บ่อยๆ’ 

ลับหลังพ่อยามถูกถามถึงแม่ เด็กชายกวินฉีกยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเล็กๆ ที่แก้มซ้าย ตอบตามประสาเด็ก แต่ดูเป็นเด็กที่รู้เรื่อง เกินอายุจริงว่า

‘ซิลค์กลัวแม่เหนื่อยดูแลซิลค์เพราะซิลค์ซน ชอบเล่นแรงๆ ซิลค์ก็เลยชอบเล่นกับพ่อซันมากกว่า’

ความช่างพูดและรอยยิ้มสดใสของเด็กชายทำให้คนที่อยู่รอบข้างต่างหลงไปตามๆ กัน บรรดาแม่บ้านของผองเพื่อนซึ่งรู้ถึงความหลังของผู้ให้กำเนิดเด็กชายกวินเคยแอบกระซิบกันลับหลังว่า

‘ช่างพูดแล้วก็ร่าเริงสดใสเหมือนน้องมิ้วเลย’

“หลานเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันเกือบเดือนเลย”

“สบายดี อยู่ที่บ้านคุณทวด ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอมก็เหงาหน่อย นี่ก็โทร. อ้อนคิดถึงพ่อทุกวัน อยากให้พ่อมาหาเร็วๆ”

น้ำเสียงยามเอ่ยถึงลูกชายเต็มไปด้วยความรักจนคนฟังอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วกลินท์เป็นคนที่สุขุม สุภาพ พูดน้อย และใจเย็น แต่เมื่อใดก็ตามที่พูดถึงลูกชาย เจ้าตัวจะยิ้มและพูดได้ยาวขึ้น

“นี่ฟ้าก็บ่นๆ คิดถึงเจ้าซิลค์เหมือนกัน ช่วงนี้ยังไม่ได้นิเทศนักศึกษาที่วอร์ดก็จะยังไม่ยุ่งเท่าไหร่ ถ้าช่วงนี้หลานปิดเทอมอยู่ก็รับมาด้วยสิ กูกับฟ้าเลี้ยงเอง ฟ้าก็คงหายเหงาไปเยอะ วันไหนมึงเข้ามาในเมืองก็จะได้เจอลูกบ่อยๆ ด้วยไง”

ก่อนหน้านี้เด็กชายกวินเคยร้องตามพ่อกลับยะลา แต่ด้วยฐานปฏิบัติการที่อยู่กลางป่าแวดล้อมด้วยภยันตรายทำให้กลินท์ไม่อาจพาลูกไปอยู่ด้วยได้ ด้วยความสงสารหลาน ช่วงปิดเทอมก่อนปฏิสังขรณ์จึงอาสาขอรับหลานมาอยู่บ้านพักในเมืองยะลาด้วย ทำให้เด็กชายกวินติด ‘พ่อปืนและอาฟ้า’ แจ 

“เกรงใจ” กลินท์เอ่ยสั้นๆ 

ปฏิสังขรณ์เป็นเพื่อนสนิทของอัศวินี ภายหลังสำเร็จการศึกษาก็แต่งงานและย้ายตามสามีมาอยู่ที่ใต้ ปฏิสังขรณ์เป็นอาจารย์พยาบาล ไม่ต้องอยู่เวรเช้า บ่าย ดึกเหมือนพยาบาลทั่วไปจึงทำให้มีเวลาเป็นส่วนตัวพอสมควร บ่อยครั้งที่เห็นภรรยาเพื่อน กลินท์ก็อดที่จะนึกถึง ‘เธอ’ ไม่ได้ ถ้าวันนั้นไม่เมาจนขาดสติ ระหว่างเขากับอัศวินีก็คงไม่กลายเป็นเส้นขนานเหมือนทุกวันนี้ นึกถึงทีไรก็เจ็บและจุกในอกทุกครั้ง

ปรมัตถุ์สังเกตสีหน้าค่อนข้างเครียดคล้ายมีเรื่องให้คิดของคนเป็นเพื่อน เดาเอาว่าน่าจะไม่พ้นเรื่องครอบครัว จึงตัดสินใจเอ่ยต่อด้วยถือว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

“เจ้าซิลค์เขาไม่สนิทกับแม่เลยเหรอ”

“อืม...คงเพราะไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ก็เลยไม่ค่อยสนิทกัน” กลินท์เอ่ยถึงภรรยาเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ด้วยไม่ต้องการรื้อฟื้นความทรงจำที่บั่นทอนความรู้สึก 

กระนั้นแล้วภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งลูกยังแบเบาะก็แจ่มชัดจนนายตำรวจหนุ่มเผลอเม้มริมฝีปากเมื่อนึกถึงวันที่เขามีภารกิจติดพันในป่า กว่าจะรู้ว่าภรรยาคลอดก็ผ่านไปหลายวันแล้ว พอรู้ข่าวก็รีบกระหืดกระหอบมาสงขลาด้วยความตื่นเต้น 

ทารกเพศชายในห่อผ้าซึ่งพี่เลี้ยงอุ้มมาให้คนเป็นพ่อเชยชมนั้นตัวเล็กนิดเดียว ปากแดงๆ เหมือนลูกนกร้องเสียงจ้าด้วยความหิว แต่คนเป็นแม่กลับทิ้งลูกให้อยู่กับพี่เลี้ยง แล้วออกไปเที่ยวนอกบ้านกับเพื่อนหน้าตาเฉยแม้ว่าเพิ่งคลอดก็ตาม พร้อมเอ่ยข้อความทิ้งเอาไว้หวังให้เข้าหูคนเป็นพ่อ

‘ก็พ่ออยากให้คนไหนเป็นแม่ก็พาไปให้เขาเลี้ยงสิ รักกันมากไม่ใช่เหรอ’

กลินท์อดทนอดกลั้นข่มใจด้วยความสงสารลูก แต่ภรรยาก็ไม่ได้สนใจที่จะเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจพาลูกชายกลับบ้านที่สกลนคร มีคุณย่าของเด็กชายเป็นผู้เลี้ยงดูด้วยความรักระคนสงสารหลานที่เกิดมาอาภัพนัก 

ครั้นแล้วดวงหน้าจิ้มลิ้มของใครบางคนก็แทรกเข้ามาในห้วงคำนึง

‘ถ้าพี่สะใภ้มีน้อง น้องมิ้วขอ...เป็นอานะคะ’

กลินท์ยังจำได้ดีถึงดวงตาแดงก่ำและเสียงสั่นเครือ กระนั้นเธอก็ยังยิ้ม...ยิ้มทั้งที่ปากสั่น น่าเสียดายที่ทุกอย่างไม่สามารถหวนคืนมาเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว

อัศวินีเป็นเพื่อนสนิทของกวินตราหรือแซน น้องสาวของเขา ก่อนหน้านี้หญิงสาวก็เคยไปมาหาสู่ที่บ้านเป็นประจำตั้งแต่ยังเป็นเพื่อนน้องสาวเขา จนกระทั่งเลื่อนฐานะมาเป็นว่าที่สะใภ้ และถึงแม้ความสัมพันธ์จะจบลง แต่แม่เล่าให้เขาฟังว่าอัศวินียังคงแวะเวียนมากราบสวัสดีในฐานะผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติ

เด็กชายกวิน หรือน้องซิลค์ซึ่งผู้เป็นพ่อ ‘จงใจ’ ตั้งชื่อให้ ‘พ้อง’ กับคนที่เป็นอดีตถูกย่าแตงสอนให้เรียกอัศวินีว่าอามิ้ว แต่พอโตขึ้นได้ยินย่าเรียกว่า ‘น้องมิ้ว’ เด็กชายกวินก็เลยรวบสองคำมารวมกันกลายเป็น ‘อาน้องมิ้ว’ ซะเลย แม่บอกว่า แม้จะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เด็กชายกวินก็ดูจะปลื้มอาน้องมิ้วมาก ถึงขนาดบอกให้ ‘อาแซน’ พาอาน้องมิ้วมาเที่ยวบ้านบ่อยๆ

กลินท์จิบเบียร์เย็นเฉียบ รสชาติขมเฝื่อนผ่านลำคอ ไม่ได้ต่างจากชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมานัก...จะโทษใครได้ ก็ตัวเองทำตัวเองทั้งนั้น!

“แล้ววางแผนจะมีน้องเมื่อไหร่” กลินท์เบนประเด็นไปที่เรื่องของเพื่อน เพราะยิ่งพูดเรื่องตัวเอง...ยิ่งเจ็บปวด...ร้อนรน...ทุรนทุรายในอกทุกครั้งยามนึกถึงเจ้าของร่างแบบบาง หน้าตาจิ้มลิ้มผู้ซึ่งตราตรึงในหัวใจจนยากจะหาใครมาแทนที่ได้

“อยากมีเหมือนกัน แต่ฟ้าขอทำงานให้ครบสองปีก่อน จากนั้นก็จะเรียนโท พอจบโทโน่นแหละถึงจะมี” 

สองหนุ่มสนทนากันเรื่อยเปื่อย ปรับทุกข์กันตามประสาเพื่อนสนิท จนได้เวลาพอสมควรจึงแยกย้ายกัน ปรมัตถุ์ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างระมัดระวัง แววตาแฝงความห่วงใย

“น้องมิ้วจะมาต้นเดือนหน้านะซัน”

กลินท์ยิ้ม สบตาคนเป็นเพื่อนด้วยความซึ้งใจก่อนตบบ่าอีกฝ่ายหนักๆ “ขอบใจมากนะ ขอบใจสำหรับความหวังดีของเพื่อน แต่...”

แล้วชายหนุ่มก็เงียบไปเพียงเท่านั้น

 

ดึกแล้ว...แต่นายตำรวจหนุ่มก็ยังไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เด็กชายกวินหลับไปแล้วหลังจากที่เล่นกับพ่อจนเพลียหลับไปเอง กลินท์ค่อยๆ ขยับตัวลุกจากเตียงไปยืนริมหน้าต่าง ทอดสายตาฝ่าความมืดออกไปอย่างไร้จุดหมาย บ้านเรือนไทยหลังใหญ่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ 

ถือเป็นความโชคดีที่แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับภรรยาจะไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่คุณย่าทิพย์ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณย่าของภรรยา และเป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาเขตรั้วแห่งนี้ก็ยังให้ความรักความเมตตากับเขาตั้งแต่วันแรกตราบจนถึงปัจจุบัน  

ตระกูลของภรรยาเขาเป็นคหบดีเก่าของเมืองนี้ ลูกหลานส่วนใหญ่ล้วนมีอำนาจและชื่อเสียงเงินทองเป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด แต่กลินท์ก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร นอกจากพูดคุยทักทายตามมารยาทในฐานะ ‘หลานเขย’ เท่านั้น เขาไม่คิดจะอาศัยบารมีใครเพื่อผลประโยชน์ใดๆ อยู่แล้ว

รถยนต์แล่นเข้ามาจอดบริเวณบ้าน ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบ้านพร้อมกับเสียงรายงาน

‘น้องซิลค์หลับไปแล้วค่ะ คืนนี้คุณพ่อมาค้างด้วย ดีใจใหญ่’

แม้หญิงสาวจะเดินเสียงเบาเพียงใด แต่วิสัยของตำรวจทำให้หูไวเป็นพิเศษ เสียงฝีเท้ามาหยุดหน้าห้องนอนลูกชาย เสียงเดินวนไปวนมาคล้ายตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็เดินจากไป 

กลินท์ถอนใจยาว เขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าภรรยาเปิดประตูเข้ามาแล้วจะคุยอะไรกัน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันนั้นตั้งแต่เมื่อไร เพราะเจอหน้าทีไรการะบุหนิงก็จะหยิบยกเรื่องเดิมๆ มาประชดประชัน กระแนะกระแหน หรือชวนทะเลาะ ก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายจนคร้านที่จะตอบ เพราะยิ่งต่อความยาวสาวความยืดก็ยิ่งไม่จบ สุดท้ายกลินท์เลยตัดปัญหา...ต่างคนต่างอยู่ไป

ในขณะที่ ‘ใครอีกคน’ แม้อายุใกล้เคียงกัน มีสถานะเป็นลูกสาวคนเดียวและคนเล็กของบ้านเหมือนกัน แต่วุฒิภาวะต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงพยายามไม่ยกเอาผู้หญิงสองคนมาเปรียบเทียบกัน แต่ลึกๆ ก็อดที่จะคิดไม่ได้ เธอผู้นั้นมีความร่าเริงสดใส ช่างเจรจา ทำให้คนรอบข้างพลอยได้ยิ้มได้หัวเราะไปด้วย นอกจากนี้หญิงสาวยังเป็นคนช่างสังเกตและใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างเสมอ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที 

‘น้องมิ้วจะมาต้นเดือนหน้า’

ข่าวที่ได้รับวนเวียนในหัว ภาพของเธอก็ยังคงเด่นชัดในความทรงจำทั้งยามหลับและยามตื่น ถึงสถานะจะเปลี่ยนไป ทว่าความรู้สึกที่มีให้ไม่เคยเปลี่ยนตาม ตรงกันข้าม...กลับมากขึ้นทุกวันโดยไม่มีเหตุผล แต่ก็ต้องรักษาระยะห่างด้วยรู้ตัวดีว่าไม่คู่ควรกับความรักของเธออีกต่อไปแล้ว

นายตำรวจหนุ่มถอนใจยาวเมื่อบอกตัวเองว่า...ครั้งนี้...ก็เช่นกัน

 

“เตียงสี่คุณศรณีย์นะคะ เคสนี้รับใหม่ตอนหกโมงเช้า มาจากปัตตานี คนนำส่งเป็นหัวหน้าของสามี ให้ประวัติว่าสามีเป็นทหารถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต คนไข้เป็นลมไป พอฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้สลับกับเหม่อ เป็นมาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้วนะคะ อืม...คนไข้ไม่มีญาตินะคะ มีลูกสาวคนเดียวอายุสี่ขวบ เวรดึกบอกว่าเมื่อคืนไม่ยอมหลับเลย ร้องไห้แล้วก็พูดคนเดียว พูดถึงสามีที่เสียชีวิต พี่พิมพ์โทร. รายงานเคสหมอโย่งทราบแล้วนะคะ 

“เมื่อเช้าดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลได้ แต่ไม่เรียบร้อย แล้วก็ช้า...ต้องกระตุ้น ทานข้าวได้ เข้ากลุ่มได้นะคะ แต่ช้าอีกเหมือนกัน ต้องกระตุ้น สนใจสิ่งแวดล้อมน้อย ฝากเวรบ่ายออบเซิร์ฟต่อด้วยนะคะ หมอโย่งจะแวะมาดูอีกทีราวๆ หนึ่งทุ่ม” พยาบาลสาวเวรเช้าผู้เป็นหัวหน้าเวรส่งเวรต่อให้เวรบ่ายที่กำลังจดข้อมูลสำคัญลงสมุดรับเวรอย่างขะมักเขม้นด้วยเสียงหวานใส 

ครั้นจบประโยค มือก็หยุดตวัดปากกา มองผ่านกระจกใสออกไปที่สนามหญ้ากว้างเบื้องหน้า ภาพที่เห็นจนชินตาคือคนไข้หญิงในอิริยาบถแตกต่างกัน บางคนนั่งคุยกับเพื่อนผู้ป่วยด้วยกัน แต่บางคนก็แยกตัว ไม่คุยกับใคร แต่ทั้งนี้...แม้จะให้คนไข้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์นอกหอผู้ป่วยเป็นการผ่อนคลาย แต่ก็มีผู้ช่วยพยาบาลคอยดูแลใกล้ชิด เจ้าหน้าที่ในหอผู้ป่วยจะจำชื่อจำหน้าคนไข้ได้ทุกคน เพราะคนไข้ฝ่ายจิตจะอยู่โรงพยาบาลครั้งละนานๆ ดังนั้นเมื่อมีผู้มาใหม่จึงสังเกตได้ไม่ยาก

ใต้ต้นตะแบกใหญ่...แลคล้ายภาพเขียนด้วยกลีบดอกสีม่วงร่วงหล่นเต็มผืนหญ้าเขียวขจี แซมด้วยกลีบดอกลีลาวดีสีขาวอมชมพู สตรีสาวรูปร่างผอมบางในชุดสีม่วงของโรงพยาบาลนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนพื้นหญ้านุ่ม ดวงหน้าที่แม้จะมองจากระยะไกลก็ยังเห็นความคมสวยตามแบบฉบับสาวใต้ แต่ท่าทางนั้นดูเหม่อลอย ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม มิไยที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้าที่นั่งทับส้นจะเพียรพยายามคุยด้วย แต่เธอก็ยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ทอดสายตาไปไกลด้วยท่าทางเลื่อนลอย มีบ้างที่ค่อยๆ หันมามองนายทหารหนุ่ม เอียงคอจ้องอย่างพินิจ ทว่าตาลอยๆ ปากขมุบขมิบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ และหันกลับไปอยู่ในอิริยาบถเดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้นั้นมีสีหน้าบอกว่ายอมแพ้ก่อนถอยออกมาช้าๆ 

“นายทหารคนนั้นใครคะพี่ ใช่ที่บอกว่าเป็นเจ้านายของสามีคนไข้ไหมคะ” พยาบาลเวรบ่ายถาม

“ใช่จ้ะ พันตรีกองทัพ นรารักษ์” หัวหน้าเวรก้มลงอ่านชื่อญาติคนไข้ ก่อนส่งเวรต่อไปว่า

“เวรดึกบอกว่าพอมาส่งแล้วก็รับเป็นเจ้าของไข้ ท่าทางรีบๆ เห็นบอกว่ามีประชุม อุตส่าห์เอาบัตรเอาหลักฐานอะไรต่างๆ มาให้เรา เขาบอกเองนะว่ากลัวเราคิดว่าพามาส่งแล้วก็จะหายเข้ากลีบเมฆไปเลย นี่ก็มาได้พักใหญ่แล้ว ซื้อของใช้ส่วนตัวกับพวกขนมนมเนยมาไว้ให้เต็มเลย”

“ไอ้เจ้ามิ้วเห็นยังคะพี่ว่ามีคนในเครื่องแบบหลุดลอดเข้ามาในโรงพยาบาล” เวรบ่ายถามยิ้มๆ 

เป็นที่รู้กันว่า ‘ไอ้เจ้ามิ้ว’ นั้นบ้าเครื่องแบบอย่างหนัก เจ้าหล่อนถึงกับประกาศว่าชีวิตนี้ถ้าไม่มีแฟนเป็นทหารหรือตำรวจจะยอมขึ้นคานแต่โดยดี 

หลายคนอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงแจ้วๆ ของคนที่ถูกเอ่ยถึงดังแว่วๆ มาจากทางห้องน้ำคนไข้ 

“โอ๊ย! รายนั้นหรือจะพลาด กลิ่นเครื่องแบบออกจะหอมหวนอย่างนั้น ขนาดเห็นในระยะไกลแถมสายตาสั้น คุณเธอก็ยังอุตส่าห์เห็นดาวบนบ่าอีกนะ มีการมากระซิบพี่อีก...คนนี้มงกุฎครอบดาวหนึ่งดวง ควรค่าแก่การพิจารณา แหม เห็นคนในเครื่องแบบหน่อยเป็นไม่ได้ งูบนหัวโผล่เชียว นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องพาคนไข้ทำกลุ่มทั้งบ่ายนะ มีหวังคุณเธอสร้างสะพานสัมพันธภาพผ่านคนไข้แล้วแหละ” คนพูดเล่ากลั้วหัวเราะด้วยความหมั่นไส้ระคนเอ็นดู

“วันนี้วันสุดท้ายแล้วใช่ไหมที่น้องจะมาทำงานที่นี่ เฮ้อ จะว่าไปแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะ ถึงจะอยู่กันแค่หกเดือน แต่น้องน่ารัก เป็นเด็กมีน้ำใจ พอไปทำงานที่ใต้คงคิดถึงน่าดู”

“นั่นสิ นี่พี่ก็เชียร์น้อง ถ้าใช้ทุนครบ ย้ายได้ ก็ให้เขียนขอย้ายกลับมาทำงานที่นี่” อรอนงค์ หัวหน้าหอผู้ป่วยเอ่ยขึ้นบ้าง

ก่อนที่พยาบาลจิตอาสาจะไปปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้นั้นต้องผ่านการฝึกประสบการณ์จากโรงพยาบาลทั้งฝ่ายกายและจิตเวชแห่งละหกเดือน รวมหนึ่งปี เพื่อให้เกิดความชำนาญในการให้การพยาบาลทั้งคนไข้ฝ่ายกายและจิต ซึ่งคนไข้ฝ่ายจิตมีโอกาสพบได้สูงกว่าพื้นที่อื่น อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่

“คุณทับทิม...คุณทับทิมจ๋า มาเร็ววว...อาบน้ำกันค่ะ จะได้สบายตัวนะคะ” เสียงแจ้วๆ ยังคงแว่วมา 

การดูแลให้คนไข้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลเป็นหน้าที่ของเวรเช้าก่อนลงเวร คนไข้คนไหนที่อาบได้เองก็ให้คำชม ถือเป็นการเสริมแรงทางบวกไป ส่วนคนไหนที่มีพฤติกรรมเชื่องช้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่ตนเองอย่างคนไข้ซึมเศร้า (Depression) ก็ต้องคอยกระตุ้น 

การดูแลคนไข้ฝ่ายจิตนั้นต้องอาศัยความใจเย็น เข้าใจ และเห็นใจคนไข้ ช่างสังเกต เก็บประเด็นคำพูด การแสดงออก ตลอดจนสีหน้าท่าทางเพื่อนำไปสู่การประเมินอาการ ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายกายพอสมควร จากลักษณะงานจึงทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลจิตเวชส่วนใหญ่มีความอ่อนโยน ละเอียดอ่อน ใจเย็น อารมณ์ดี และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

พอดูแลให้คนไข้อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็พอดีกับที่หัวหน้าเวรส่งเวรเสร็จ อัศวินีสวมเสื้อไหมพรมแขนยาวสีฟ้าสดใสที่แม่ถักให้เมื่อวันเกิดปีที่ผ่านมาทับชุดยูนิฟอร์มพยาบาลขาวสะอาดตาเตรียมลงเวรกลับบ้าน 

แม้จะส่งเวรเรียบร้อย แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังนั่งชุมนุมกันที่เคาน์เตอร์พยาบาล พอหญิงสาวเดินออกมาจากห้องพัก ทุกสายตาก็มองมาเป็นจุดเดียว 

ภาวินี รองหัวหน้าหอผู้ป่วยเดินเข้ามาสวมกอดเธอก่อนใครเพื่อน “จะไปอยู่ใต้แล้ว คิดถึงแย่เลยน้องมิ้ว” 

อัศวินีเองก็อดใจหายไม่ได้ กอดตอบรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกหวิวๆ ในใจไม่ต่างกัน แม้จะทำงานที่นี่ไม่นาน แต่ได้เจอทั้งหมอ พยาบาล ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก สอนงานด้วยความเอื้ออาทร บรรยากาศการทำงานมีความเป็นพี่เป็นน้องอบอุ่นเหมือนบ้าน ทำให้ก่อเกิดสายใยความผูกพันจนยากจะลืมเลือน

พี่ๆ คนอื่นต่างเดินเข้ามากอดพร้อมอวยพรยกใหญ่ บรรยากาศการจากลาเต็มไปด้วยความหงอยเหงา

“ถ้ามากรุงเทพฯ ก็อย่าลืมแวะมาที่วอร์ดหรือนัดเจอกัน กินข้าวกันนะน้อง” ภาวินีเอ่ยด้วยสีหน้าและแววตาอ่อนโยน

“หรือถ้าย้ายกลับมา กลับมาอยู่ด้วยกันนะน้องมิ้ว” อรอนงค์สำทับบ้าง

“มาแน่นอนค่ะพี่ ถึงมิ้วจะอยู่ที่นี่ไม่นาน แต่พี่ๆ ก็น่ารักกับมิ้วมาก อบอุ่นเหมือนบ้าน ยังไงมิ้วจะไม่ลืมพี่ๆ ไม่ลืมที่นี่แน่นอนค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพลางยิ้ม ยกมือไหว้ลาพี่ๆ ทุกคนด้วยความอาวรณ์ไม่ต่างกัน

 

นายทหารหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดฟอร์มสีเขียวขี้ม้าถอนใจยาวด้วยความเวทนาภรรยาของลูกน้อง สามีเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ ญาติพี่น้องฝ่ายชายไม่ยอมรับการแต่งงานของคนทั้งคู่ตั้งแต่แรก พอถึงคราวเดือดร้อนมองหาใครก็ไม่มี ความที่ทำงานในพื้นที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจนเอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่งทำให้นายทหารหนุ่มไม่อาจวางเฉยนิ่งดูดายได้

มือใหญ่เอื้อมไปบิดกุญแจรถเตรียมเคลื่อนกระบะสี่ประตูสีบรอนซ์ออกจากโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนั้น แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะกับสตรีร่างแบบบางในชุดฟอร์มพยาบาลสีขาวสะอาดตาคลุมทับด้วยเสื้อไหมพรมสีฟ้าสดใสที่กำลังเดินทอดน่องตรงมาช้าๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตากลมโตเป็นประกายสุกใสเหมือนเด็กหญิงจอมซน 

แวบแรกที่เห็น...ความน่ารักสดใสทำให้รู้สึกคล้าย...หัวใจกระตุก ยิ่งไปกว่านั้น...เขาแพ้ผู้หญิงมีลักยิ้ม!

พ.ต. กองทัพ นรารักษ์ คลี่ยิ้มน้อยๆ พลอยให้ใบหน้าคมตาดุตามแบบฉบับหนุ่มใต้คลายความดุดันลงบ้าง ครั้นแล้วคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหน ไวเท่าความคิด...ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะถ่ายภาพไปเปรียบเทียบกับอีกภาพที่ ‘แอบ’ เก็บไว้เมื่อนานมาแล้ว

ครั้นพยาบาลสาวผู้นั้นเดินผ่านหน้าไป ชายหนุ่มก็มองตามด้วยความที่ยังกังขา พอเปิดโทรศัพท์ตั้งใจจะดูให้แน่ใจอีกครั้ง ชายหนุ่มก็นึกขันความสะเพร่าของตัวเอง 

เวร! ตั้งใจจะถ่ายภาพนิ่ง แต่ดันไปถ่ายวิดีโอซะอย่างนั้น

ปลายนิ้วแข็งแรงเคาะพวงมาลัยรถช้าๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนเปิดกระเป๋าสตางค์สีดำ ซอกกระเป๋ามีรูปถ่ายใบเล็กๆ แอบอยู่ รูปนั้นเหลืองซีดตามกาลเวลา แต่ก็ยังเห็นใบหน้าของสาวน้อยวัยแรกรุ่นในชุดฟ้าเอี๊ยมขาวอันเป็นชุดฟอร์มฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาพยาบาลชัดเจน หน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู แถมเจ้าหล่อนยังฉีกยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่มุมปาก จนทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มบางๆ 

ดวงตาคมกริบภายใต้คิ้วเข้มดกหนาทอดมองภาพถ่ายใบเล็กในมือ เปรียบเทียบกับคลิปวิดีโอสั้นๆ ในโทรศัพท์ ก่อนที่จะหันหลังกลับไปมองพยาบาลสาวผู้นั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ชายหนุ่มมองรถเก๋งสีขาวคันเล็กที่กำลังเคลื่อนออกจากลานจอดรถของโรงพยาบาล หัวคิ้วเข้มคลายออก ก่อนสบถ

“เวร! น้องไอ้เบียร์จริงๆ ด้วย”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น