4
ท้องถนนเมืองกรุงยามค่ำหนาแน่นด้วยยวดยานพาหนะ คนที่ห่างเหินจากเมืองหลวงไปนานถอนใจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยขณะขับรถไปตามถนนสายหลักอย่างถนนวิภาวดีรังสิต ครั้นข้ามสะพานเข้าไปในเขตท่าอากาศยานดอนเมือง กองทัพก็ถอนใจเฮือกใหญ่ เห็นรถเยอะคนเยอะแล้วพานหงุดหงิด ปวดหัวทั้งที่สมัยยังหนุ่มก็เคยท่องเมืองกรุง โดยเฉพาะย่านสถานบันเทิงจนปรุ น่ากลัวจะแก่แล้วจริงๆ ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาพลางยิ้มขำตัวเอง
สตรีร่างเพรียวระหงดูเฉิดฉายในชุดเครื่องแบบพนักงานต้อนรับของสายการบินแห่งหนึ่งซึ่งยืนคอยท่าอยู่แล้วก้าวฉับๆ เข้ามาเมื่อกระบะคันคุ้นตาจอดเทียบริมฟุตพาท หญิงสาวก็เปิดประตูขึ้นไปและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย รถก็เคลื่อนตัวออกทันที
“อาร์มผอมไปนะ งานยุ่งเหรอ” เสียงหวานใสชวนสนทนา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงระยับกระจายแทรกในความเย็นฉ่ำของแอร์รถยนต์
กองทัพแอบสูดหายใจเข้าไปในปอดลึกๆ ก่อนหัวเราะหึๆ ในลำคอ ซึ่งเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าหัวเราะเพราะอะไร
ก็...ตามประสาผู้ชาย...ใครล่ะไม่ชอบ
“อืม” ชายหนุ่มตอบเพียงสั้นๆ ในคอเพราะเพ่งสมาธิกับการขับรถบนท้องถนนที่รถขวักไขว่ตรงหน้า
อดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อ ‘แฟนเก่า’ โทร. มาชวนกินข้าว ความจริงแล้วเขาก็ไม่คิดว่ามธุรสจะโทร. มาเพราะนับตั้งแต่เลิกกันไปเมื่อสองปีก่อน หญิงสาวก็ขาดการติดต่อไป ขณะที่เขาเองแรกๆ แม้จะเจ็บเพราะความที่คบกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่ด้วยภาระงานทำให้ไม่มีเวลาคร่ำครวญ จนสุดท้ายก็รู้สึกเฉยๆ ไปเอง บางทีก็รู้สึกว่าเป็นโสดก็ดี ทำอะไรก็คล่องตัว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครคอยห่วงอยู่ข้างหลัง
คนนั่งข้างๆ ก็อดที่จะนึก ‘เสียดาย’ ลึกๆ ในใจไม่ได้ กองทัพเป็นผู้ชายที่พร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติ เหมาะแก่การครอบครองเคียงข้าง แต่เขาไม่สามารถ ‘ให้’ และ ‘ทำ’ ในสิ่งที่เธอต้องการได้
มื้อค่ำหลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน มธุรสเลือกร้านอาหารกึ่งผับที่มีเพลงฟังสบายๆ แน่นอนว่าราคาไม่ได้สบายกระเป๋าไปด้วย ช่างสิ...ใครแคร์ ในเมื่อเธอมีเงินจ่ายสำหรับการซื้อความสุขที่แม้จะเป็นความสุขฉาบฉวยก็ตาม รสนิยมอีกเหมือนกันที่เธอกับกองทัพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้กองทัพจะเป็นลูกนายทหารผู้ใหญ่ในกองทัพ แต่ชายหนุ่มทำตัวติดดินมาก ขับรถกระบะ กินข้าวข้างทางได้ ถึงจะชอบกินเหล้าเที่ยวผับ ก็เป็นผับแบบที่เธอเคยค่อนขอดในใจว่า ‘โลว์คลาส’ ไม่ใช่ผับที่ต้องจ่ายค่าเมมเบอร์แพงระยับแบบที่นักธุรกิจหรือคนมีเงินนิยมกัน
มธุรสเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความเสียดาย
นายทหารหนุ่มหน้าตาดีมากด้วยความสามารถ อนาคตไกล บิดามีตำแหน่งใหญ่โตในกองทัพ บ้านมีฐานะ การแต่งงานกับกองทัพย่อมหมายถึงการมีชีวิตที่สุขสบาย มีหน้ามีตาในสังคมทหาร แวดวงคุณหญิงคุณนาย เธอพร้อมที่จะออกงานเคียงคู่เขาในฐานะภริยานายทหารหนุ่มอนาคตไกล
แต่กองทัพกลับไม่ ‘เดิน’ ในเส้นทางที่เธอต้องการ ชายหนุ่มหันหลังให้ความซิวิไลซ์ของเมืองหลวงไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง วันว่างจากการ ‘บิน’ เธอเคยไปหาเขาถึงปัตตานี หวังแสดงตัวให้ใครก็ตามรู้ว่าผู้ชายคนนี้มี ‘เจ้าของ’ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอต้องแกร่วอยู่บ้านพักคนเดียวเพราะกองทัพทำงานติดพัน และพอชายหนุ่มได้พัก เธอก็หวังจะไปดินเนอร์’ กันสองต่อสอง กลับกลายเป็นว่าเขาพาไปนั่งสังสรรค์บ้านเพื่อนสนิท ที่แม้จะรู้จักภรรยาของเพื่อนมาตั้งแต่สมัยที่อีกฝ่ายยังเรียนโรงเรียนนายร้อย แต่เธอไม่ชอบวิถีชีวิตแบบนี้ ลูกเต้าร้องกระจองอแง ตะโกนคุยกันหัวเราะเสียงดัง ไร้รสนิยม
เธอเคยชวนให้กองทัพย้ายเข้ากรุงเทพฯ หรือย้ายกลับลพบุรีเหมือนเดิม แต่ชายหนุ่มบอกเพียงแค่ว่าชาวบ้านที่นี่ยังต้องการกำลังทหารมาดูแลรักษาความสงบ
‘หวานก็ต้องการอาร์มเหมือนกัน’ หลังๆ เริ่มเสียงดัง
‘หรือหวานจะลาออกจากงานไหม มาเป็นแม่บ้านให้อาร์มอย่างเดียวก็ได้ อาร์มเลี้ยงหวานได้ อืม...ก็ดีเหมือนกันนะ กลับมาอยู่ที่นี่ ใกล้บ้านด้วย’ กองทัพยังพยายามที่จะหาทางออกด้วยความใจเย็น
พื้นเพของมธุรสเป็นคนปัตตานีโดยกำเนิด อยู่กับแม่และพี่สาวสองคน พ่อเป็นตำรวจ แต่เสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเล็กด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
‘หวานจะไปหาแม่ตอนไหนก็ได้ หรือจะรับแม่มาอยู่ด้วยก็ได้ เวลาอาร์มไม่อยู่ หวานจะได้ไม่เหงา’
‘หวานเบื่อที่นี่!’ ยามนั้นมธุรสเหมือนฟิวส์ขาด ‘หวานเบื่อความเงียบเหงา! หวานไม่อยากให้อาร์มอยู่ที่นี่! หวานกลัวต้องเสียอาร์มไปเหมือนอย่างที่หวานเคยเสียพ่อ ถ้าไม่มีอาร์มแล้วหวานจะอยู่ได้ยังไง’
กองทัพนิ่งเงียบ แต่สีหน้าและแววตาบอกว่าเขาไม่อาจทำอย่างที่เธอต้องการได้
สุดท้ายมธุรสก็เลือกที่จะยุติความสัมพันธ์
ช่วงที่ผ่านมามธุรสยอมรับว่ามีผู้ชายมากหน้าหลายตาดาหน้าเข้ามาให้เธอเลือก หลายคนคุณสมบัติเหนือกว่ากองทัพมากมาย แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครเติมเต็มความต้องการทางด้านจิตใจให้เธอได้เหมือนกองทัพ หรือเธอจะย้อนกลับมาทางเดิม ทนอยู่ปัตตานีให้อีกฝ่ายคลายใจ แล้วค่อยขอร้องให้บิดาของเขาย้ายชายเขาเข้าเมืองหลวง
มธุรสแอบวางแผนในใจ ดวงตาเป็นประกายวาววับยามแอบมองชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งกำลังเพลินกับการละเลียดเบียร์ มารยาหญิงที่มีถ้าลองงัดออกมาใช้จะได้ผลไหมนะ คน ‘เคยๆ’ กันอยู่ ครั้นแล้วหญิงสาวก็ลอบถอนหายใจยาวเพราะรู้นิสัยอีกฝ่ายดี กองทัพเป็นคนที่คำไหนคำนั้นจริงๆ
“เป็นอะไรไปหวาน เงียบไป ไม่สบายหรือเปล่า หืม?” เสียงห้าวทุ้มเอาใจใส่เหมือนเช่นวันวานที่ผ่านมา
น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ ถ้าปล่อยให้หลุดมือไปอีกครั้ง
หญิงสาวแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกภายในก่อนปรับเสียงให้สดใส “หวานสบายดี แต่คงเพลียๆ กับการเดินทาง นี่หวานยังนึกอยู่เลยว่าจะลาออกดีไหม”
“อ้าว! ทำไมล่ะ อาร์มก็เห็นหวานชอบเดินทาง พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตาก็ดูมีความสุขดีแล้วไม่ใช่?” น้ำเสียงไร้แววประชดประชัน คล้ายถามสารทุกข์สุกดิบตามประสา ‘เพื่อน’ มากกว่า
“แต่ก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้พออายุมากขึ้นเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยกับการเดินทาง อยากทำงานที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีเวลาพักเหมือนคนทั่วไปบ้าง อาร์มจำโรสได้ไหม ที่แต่ก่อนอยู่ฝ่ายต้อนรับที่การท่าฯ ตอนนี้โรสก็ออกแล้ว ไปสมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาในมหา’ลัย หวานก็นึกๆ อยู่เหมือนกันว่าจะไปดีไหม”
“หวานก็ลองพิจารณาดู อาร์มว่าก็น่าสนใจดีนะ อย่างหวานนี่ถ้าเป็นอาจารย์สงสัยจะมีนักศึกษาหนุ่มๆ มาขายขนมจีบเยอะแน่เลย อีกหน่อยน่ากลัวหวานจะได้กินเด็ก” น้ำเสียงมีแววล้อเลียน ใบหน้าพราวระยับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม
“แน้...อาร์มน่ะ อย่ามาว่าหวานนะ” มธุรสแสร้งทำเสียงกระเง้ากระงอด พลอยให้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
หนุ่มสาวรับประทานอาหาร ผลัดกันคุยสลับกับหัวเราะเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่เคยตัดความสัมพันธ์กัน จวบจนดึกดื่นกองทัพถึงไปส่งเธอที่คอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทว่าปฏิเสธ ‘คำเชื้อเชิญ’ ของอีกฝ่ายไป
ร่างแบบบางในชุดนอนสายเดี่ยวผ้าซาตินเรียบลื่นนอนคว่ำหน้ากับหมอนหนุนใบใหญ่ในห้องนอนส่วนตัว คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เธอจะได้นอนที่บ้าน พรุ่งนี้เธอต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพยาบาลวิชาชีพในดินแดนปลายด้ามขวานห่างจากเมืองหลวงของประเทศพันกว่ากิโลเมตร
ก่อนหน้านี้แม่โทร. มาจากบ้านที่ธาตุพนม จะนั่งเครื่องไปส่งและอยู่เป็นเพื่อนสักระยะ แต่เธอไม่อยากให้แม่ลำบาก และที่สำคัญเธออยากจะลอง ‘ยืน’ ด้วยตัวเองดูบ้าง พอบอกแม่ว่าปฏิสังขรณ์และปรมัตถุ์จะมารับที่สนามบินและคอยดูแลระหว่างที่เธออยู่ที่โน่น น้ำเสียงของแม่ฟังดูเบาใจขึ้น
เมื่อตอนหัวค่ำปฏิสังขรณ์โทร. มาคุยตามประสาเพื่อนรักที่คบกันจนรู้ใจ
...
‘แกตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมมิ้ว’
‘ก็คิดว่า...คิดดีแล้วแหละแก มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันอยากไปจริงๆ อยากใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด’
‘แล้วพี่ซัน?’ ปฏิสังขรณ์หยั่งเสียงมาตามสาย
อัศวินียิ้มแปร่งปร่า เม้มริมฝีปากคล้ายระงับความเจ็บแปลบในส่วนลึก ก่อนฝืนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า
‘สายน้ำไม่มีวันไหลกลับ พี่ซันก็คืออดีต ถึงวันหนึ่งที่ผ่านมาเราจะเคยมีความฝันเรื่องทำงานในพื้นที่ด้วยกัน สร้างอนาคตร่วมกัน แต่สุดท้ายก็ต้องอยู่กับความจริง แม้ความฝันจะจบลง แต่อุดมการณ์และความตั้งใจของฉันก็ยังเหมือนเดิม’
‘แล้วพี่เบียร์ว่ายังไงบ้าง’ ปฏิสังขรณ์ถามถึงพี่ชายเพื่อนซึ่งก่อนหน้านี้เคยค้านหัวชนฝาให้น้องล้มเลิกความตั้งใจ
‘พี่เบียร์ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่ค่อยอยากให้ไป’ หญิงสาวเข้าใจดีถึงความห่วงใยของพี่ชาย เหตุผลหลักคงไม่ใช่แค่ห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่น่าจะห่วงเรื่องหัวใจมากกว่า
‘พี่เบียร์เคยอยู่ในพื้นที่หลายปี แถมยังอยู่ในพื้นที่สีแดงจัดอย่างบันนังสตาอีก รู้เห็นอะไรมาเยอะ พี่เบียร์คงห่วงแก’ ปฏิสังขรณ์พยายามชักจูงให้มองในแง่ดี
อัศวินียิ้มบางๆ เพื่อนรักของเธอสมกับเป็นอาจารย์จิตเวชจริงๆ มีความประนีประนอมสูง ก่อนย้อนถามไปว่า
‘แล้วถ้าถามแกในฐานะที่ตอนนี้ทำงานในพื้นที่ แกคิดว่ายังไงบ้าง’ ก่อนหน้านี้เธอก็พยายามติดตามข่าวสารจากสื่อต่างๆ แต่ก็เห็นเพียงภาพความรุนแรงในพื้นที่เท่านั้น
‘อืม...จะว่าไปแล้วถ้าได้ไปสัมผัสจริงๆ สถานการณ์ก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะทีเดียวหรอกนะ เพียงแค่ต้องเพิ่มความระมัดระวังก็เท่านั้นเอง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาออกนิเทศนักศึกษาที่ฝึกจิตเวชชุมชน มีโอกาสออกไปเจอชาวบ้านพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกัน พอได้สัมผัสจริงๆ ทำให้รู้ว่าชาวไทยพุทธกับไทยมุสลิมเป็นมิตรกันดีมากเลยนะ ไปมาหาสู่กัน บางหมู่บ้านที่มีทั้งคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิมอยู่ด้วยกัน เวลาเลือกผู้นำหมู่บ้านก็จะผลัดเปลี่ยนกันเป็น เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่ล้วนแต่เป็นการสร้างสถานการณ์ก่อให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา เอาเรื่องรัฐปัตตานีในอดีตมาปลูกฝังเยาวชนในทางที่ผิดๆ ซึ่งถ้าวิเคราะห์จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ถ้ากลุ่มก่อความไม่สงบจุดไฟให้เกิดความแตกแยกตรงนี้ได้สำเร็จ พวกเขาก็สบาย แค่ปลุกปั่นนิดๆ พลังมวลชนก็ลุกฮือขึ้นมาก่อให้เกิดเหตุลุกลามใหญ่โตได้เหมือนกรณีตากใบ’
ปฏิสังขรณ์วิเคราะห์ในฐานะที่มีประสบการณ์สัมผัสโดยตรงกับคนในพื้นที่
‘เท่าที่รู้มา ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดความสงบในพื้นที่ไม่ใช่เหรอ’ อัศวินีย้อนถามตามข้อมูลที่เธอศึกษามาพอสมควร
‘แต่ก็ต้องไม่ลืมนะว่าแม้คนส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดความสงบในพื้นที่ แต่แนวร่วมในแต่ละหมู่บ้านก็ยังหาสารพัดวิธีการที่จะชักจูงเยาวชนให้เข้าร่วมขบวนการ ถ้าคนไหนไม่ยอม บางทีก็โดนยิงทิ้งซะเฉยๆ หรือบางคนพ่อแม่ก็ให้ไปอยู่ที่อื่น แล้วชาวบ้านก็น่าสงสารเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่ก็รู้หมดแหละว่าในหมู่บ้านตัวเองใครเป็นยังไง แต่พูดไม่ได้ เหมือนยืนอยู่ระหว่างแนวร่วมกับรัฐ ถ้าให้ข้อมูลกับทางราชการก็จะถูกเพ่งเล็ง เผลอๆ โดนฆ่าตายไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างอีก แต่ถ้าไม่ให้ข้อมูลก็โดนฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐสงสัยว่าเป็นแนวร่วมหรือเปล่า ถึงได้บอกไงว่าคนที่น่าสงสารที่สุดคือชาวบ้านทั่วไป’
‘แกรู้อะไรเยอะดีจังเลยนะฟ้า’
‘ก็ฉันมีโอกาสพานักศึกษาเข้าไปฝึกงานในชุมชน คลุกคลีกับชาวบ้านน่ะสิ ถ้าเป็นพยาบาลอย่างพวกเราหรือหมอเขาจะให้ความร่วมมือดีมากเพราะพวกเราช่วยเหลือทุกคนไม่มีการยกเว้น ไม่มีแบ่งแยกฝ่ายแบ่งแยกพวก ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกมิ้ว แต่ต้องระวังตัวหน่อย ทำตัวให้เป็นมิตรกับชาวบ้าน รักษาความเป็นกลางในฐานะที่เราเป็นบุคลากรสาธารณสุข แค่นี้ก็อยู่ในชุมชนได้แล้ว’
‘แสดงว่าถ้าฉันเข้าไปทำงานในพื้นที่ก็ต้องเน้นเรื่องสุขภาพจิตชุมชนด้วยใช่ไหม เพราะเท่าที่ฟังๆ ดูเหมือนชาวบ้านค่อนข้างจะประสบกับปัญหาความเครียดจากสถานการณ์ในพื้นที่’ อัศวินีวิเคราะห์ต่อ
‘ใช่แล้ว ตอนนี้หน่วยงานสาธารณสุขทุกภาคส่วนก็กำลังร่วมมือกันรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการส่งเสริมสุขภาพจิต’
อัศวินีพยายามวาดภาพสังคมที่เธอต้องเข้าไปคลุกคลีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับรู้มาจากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์หรือออนไลน์ล้วนมีแต่ความรุนแรง ขัดกับที่ได้ยินจากเพื่อนสาวโดยสิ้นเชิง
อืม...ฟังเป็นข้อมูลนำเข้า อีกไม่นานเธอก็จะได้เจอด้วยตัวเอง
อีกมุมของเมืองหลวง กองทัพนอนจิบเบียร์คนเดียวในโรงแรมที่พัก แม้มธุรสชวนให้ค้างที่คอนโด แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ เพราะจากท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกดูก็รู้ว่าคงไม่จบเพียงแค่การนอนอย่างเดียวแน่ๆ ครั้นกลับมาถึงโรงแรมก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามา ขัดกับบุคลิกสบายๆ ที่แสดงออกเมื่อตอนค่ำอย่างสิ้นเชิง
น่าแปลก...เวลาเกือบสิบปีที่คบกันทำให้ชายหนุ่มเคยคิดว่าจะลืมมธุรสได้ยาก กลับกลายเป็นว่าดวงหน้าจิ้มลิ้มพร้อมรอยยิ้มแจ่มใสของใครบางคนกลับลอยขึ้นมาแทนอย่างง่ายดาย
กองทัพหลับตานิ่งๆ ครู่ใหญ่ พอจิตใจที่ฟุ้งซ่านเริ่มสงบลงก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา เขาก็เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดหยุมหยิมเหมือนผู้หญิง กระเป๋าสตางค์จึงไม่มีรูปแฟนหรือรูปใคร นอกจากเงินสดและบัตรสำคัญ แต่ก็มีข้อยกเว้นโดยที่ชายหนุ่มเองไม่ได้ตั้งใจ...และไม่รู้ว่าทำไมยังเก็บรูปถ่ายใบนั้นเอาไว้จนถึงทุกวันนี้
แสงสีนวลจากโคมไฟส่องให้เห็นรูปถ่ายใบเล็กของหญิงสาวในชุดฟ้าเอี๊ยมขาว สวมหมวกพยาบาลขาวปราศจากขีด อันบ่งบอกว่าเธอผู้นั้นเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปี 1 ข้างหลังรูปมีลายมือหวัดๆ หนักๆ ซึ่งกองทัพจำได้ว่าเป็นลายมือของกลินท์เขียนเอาไว้พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์
...Forever...
รูปใบนี้เองที่ทำให้การะบุหนิงอาละวาดอย่างหนักเมื่อไปเจอในกระเป๋าสตางค์ของกลินท์ และเขาก็เป็นคนเก็บรูปใบนั้นเอาไว้โดยที่ไม่มีใครรู้ ตั้งใจว่าจะโทร. ไป ‘เคลียร์’ กับเจ้าของรูป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้โทร.
เห็นรูปถ่ายใบนั้นทีไรกองทัพก็อดที่จะหมั่นไส้แกมมันเขี้ยวไม่ได้ มีความสุขจริงนะแม่คุณ...ยิ้มแป้นเชียว...ทำให้ผัวเมียทะเลาะกันได้
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาและกลินท์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แม้พ่อจะเป็นหนุ่มปักษ์ใต้ แต่ก็ไปประจำการที่ค่ายกฤษณ์สีวะราหลายปี จนพบรักและแต่งงานกับแม่ซึ่งเป็นสาวญ้อเมืองสกลนคร สาวญ้อที่ใครๆ ต่างเล่าลือว่าสวยพอๆ กับสาวภูไทแห่งเรณูนคร นครพนม บ้านตายายเขาอยู่ติดบ้านกลินท์ เล่นด้วยกัน สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งมาห่างกันไปก็ตอนเรียนมัธยมที่พ่อมาประจำการที่ปัตตานีนี่เอง
สุดท้ายเขาก็ยังทิ้งรูปถ่ายใบนั้นไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม จนมาเจอตัวจริงของเจ้าของรูปเมื่อตอนเย็นนี้เอง แม้จะไม่เคยเห็นตัวจริงของเธอ แต่เขาเคยเห็นจากรูปถ่ายที่กลินท์เก็บเอาไว้เป็นอย่างดีที่บ้านที่สกลนคร และได้ยินผ่านคำบอกเล่าของแม่แตง...แม่ของกลินท์ที่ดูท่าทางเข้ากันได้ดีกับสาวน้อยผู้นั้น ยังดีที่ผู้สูงวัยมีเหตุผล ไม่ยึดติดกับคนในอดีต และให้การต้อนรับ ‘สะใภ้คนใหม่’ เป็นอย่างดี
การะบุหนิงเป็นหลานสาวคนเล็กของตระกูล บิดามารดาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ลูกยังเล็ก หญิงสาวจึงตกอยู่ในความอุปการของคุณย่าทิพย์ บิดาของการะบุหนิงเป็นลูกคนเล็ก ส่วนบิดาของกองทัพเป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้องสี่คน ความที่เป็นกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก คุณย่าจึงสงสาร ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่เต็มที่ ใครๆ ก็เอาอกเอาใจ ญาติผู้น้องจึงติดนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรต้องได้ หลังเรียนจบก็ไม่ได้ทำการทำงานอะไร เฉิดฉายเป็นสาวสังคมเพราะเกิดมาในตระกูลเก่าแก่มั่งคั่งของจังหวัด กองทัพคิดจะปราบน้องให้รู้จักทำงานหรือทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเพราะเขาเองก็ยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาดูแลน้อง จนกระทั่งเธอได้มาเจอเพื่อนของพี่ชาย
...
‘เพื่อนพี่อาร์มคนนี้น้องเล็กขอนะคะ น้องเล็กชอบ...’
กองทัพรู้สึกอายเพราะคำพูดตรงไปตรงมาของน้องสาว จึงบอกปัดไปว่า ‘ไอ้ซันมันมีแฟนแล้ว น้องเล็กอย่าไปคิดอะไรเลย’
การะบุหนิงกลับบอกหน้าตาเฉยด้วยความมั่นใจในตัวเองและไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ‘มีแฟนแล้วก็เลิกได้ค่ะ กะอีแค่แฟน...และถึงจะเป็นเมียนะ แต่ถ้าน้องเล็กชอบซะอย่าง ใครก็ขวางไม่ได้หรอก’
แล้วหญิงสาวก็ปฏิบัติการจู่โจมด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าหน่วยรบพิเศษ แบบที่ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายคาดไม่ถึงและละอายใจเมื่อน้องสาวเล่าให้ฟังเองว่าทำยังไงบ้าง...กลินท์ถึงยอมแต่งงานด้วย
‘สุรากับนารีเป็นของคู่กันไม่ใช่เหรอคะ’
กลินท์มองเขาด้วยความหมางเมินและมึนตึงอยู่พักใหญ่ ขณะที่กองทัพเองก็รู้สึกผิดในฐานะที่คนก่อเรื่องเป็นน้องสาวของตัวเอง
กองทัพรู้ว่ากลินท์รักผู้หญิงคนนั้นมาก ก่อนคบหาเป็นแฟนก็รู้จักกันมาหลายปีทั้งในฐานะน้องสาวเพื่อนและเพื่อนน้องสาว ดังนั้นเมื่อฝ่ายชายมีเหตุให้ต้องแต่งงานกับหญิงอื่นโดย จึงไม่แปลกที่กลินท์จะไม่พอใจ
การแต่งงานที่ไม่ได้มีพื้นฐานจากความรัก ซ้ำร้ายฝ่ายหนึ่งก็ยังมีคนรักอยู่แล้ว ชีวิตคู่ของการะบุหนิงจึงไม่ได้สุขสมหวังเหมือนในนิยาย แม้จะทำให้กลินท์แต่งงานกับตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชายหนุ่มรักเธอได้ ในที่สุดการะบุหนิงก็จับได้ว่ากลินท์ยังคงมีเยื่อใยให้แฟนเก่า ติดตามข่าวคราวและคอยดูแลอยู่ห่างๆ ส่งของฝากให้หญิงสาวผู้นั้นเป็นประจำ
ยามอยู่ต่อหน้าญาติพี่น้องคนอื่นการะบุหนิงอาจจะเชิดหน้าไม่แคร์ใคร ไม่สนว่าใครจะซุบซิบลับหลังว่าอย่างไร แต่ยามอยู่กับ ‘พี่อาร์ม’ หญิงสาวปล่อยโฮทันที ‘พี่ซันเขายังไม่ลืมแฟนเก่า เขายังติดต่อกันอยู่ แล้วพี่ชายจะให้น้องเล็กทำยังไงคะ ฮือๆ’
แม้เขาเองจะละอายกับการบากหน้าไปคุยกับเพื่อนรัก แต่เมื่อคิดอีกที...ถึงจะรักแฟนเก่ามากแค่ไหน แต่เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ควรทิ้งอดีต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วเขาก็โดนตอกหน้าหงายกลับมา
‘ชีวิตกู มึงอย่ายุ่ง!’
กลินท์กลายเป็นคนเย็นชา แม้จะดูแลภรรยา แต่ก็ดูแลไปตามหน้าที่เหมือนหุ่นยนต์ ในที่สุดครอบครัวซึ่งไม่ได้กำเนิดจากความรักของทั้งสองฝ่ายก็ถึงกาลยุติเมื่อฝ่ายหญิงประชดความเย็นชาของสามีด้วยการออกย่ำราตรีเหมือนเมื่อยังสาว ปล่อยลูกชายแบเบาะไว้กับพี่เลี้ยง กลินท์ก็ไม่สนใจเช่นกัน หอบหิ้วลูกชายไปให้แม่เลี้ยงที่สกลนคร
เด็กชายกวินเป็นเด็กฉลาด เลี้ยงง่าย เข้ากับคนง่าย และติดพ่อเป็นที่สุด พอโตรู้ความก็ตามพ่อกลับมาอยู่ใต้ อยู่ในความดูแลของคุณทวดที่สงขลาเพื่อที่ว่าพ่อจะได้มาหาได้ง่ายขึ้น บางคราก็ไปอยู่กับครอบครัวเพื่อนพ่อที่ยะลา ในขณะที่ความสัมพันธ์กับผู้เป็นแม่ค่อนข้างห่างเหิน
การะบุหนิงเชิดหน้าทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม ‘น้องเล็กไม่หย่าให้หรอก เรื่องอะไรจะหย่าให้เขากลับไปหาแฟนเก่า ในเมื่อน้องเล็กไม่สมหวังก็อย่าหวังเลยว่าคนอื่นจะสมหวังด้วย!’
กลินท์ไม่ปริปากสักคำ ทะเบียนสมรสก็ยังเป็นเหมือนโซ่ตรวนผูกมัดคนทั้งคู่เอาไว้และคาราคาซังอยู่อย่างนั้น
จากข่าวทำให้กองทัพรู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังจะไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนใต้ เพราะเธอเป็นนักเรียนทุนพยาบาลจิตอาสา ซึ่งคงเป็นแผนที่วางไว้ตั้งแต่เริ่มคบหากับกลินท์ และทั้งสองก็ ‘น่าจะ’ วาดฝันอนาคตร่วมกัน แต่วันนี้...เมื่อสถานะความสัมพันธ์เป็นอื่นไปแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าเธอยังยืนยันที่จะเดินตามเส้นทางเดิมเพราะอะไร ทั้งที่ถ้าจะว่าไปแล้วแม่ก็เคยเป็นข้าราชการในกระทรวงฯ และน่าจะยังคงพอมี เส้นสาย’ ที่จะดึงลูกสาวให้ปฏิบัติงานที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่พื้นที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้ หรือถ้าจะใช้ทุนคืนก็ไม่น่าขัดสน พื้นฐานครอบครัวของบรมวิชชุ์แม้จะเป็นข้าราชการ แต่ก็มีที่ทางทำมาหากิน มีฐานะดีพอสมควร
เขาไม่รู้ว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์ความรักครั้งเก่าหรือไม่ แต่สำหรับกลินท์แล้ว...ทุกลมหายใจเข้าออกคือสตรีผู้เป็นหนึ่งนางเดียวในใจเท่านั้น แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งคู่จะขาดการติดต่อกัน ‘โดยตรง’ แต่กองทัพรู้ดีว่ากลินท์ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของเธอผู้นั้นทุกระยะ ในขณะที่อัศวินีแม้จะดูเฉยๆ แต่เขาไม่อาจเดาได้ว่า...การกลับมาอยู่ใกล้ชิดกันของคนทั้งคู่จะทำให้ถ่านไฟเก่ากลับมาลุกโชนอีกครั้งหรือไม่
นายทหารหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักใจระคนหงุดหงิด ครั้นจะไม่ยุ่งก็ไม่ได้เพราะนั่นก็ญาติผู้น้อง ให้ตายสิ! เขาไม่อยากจะยุ่งเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ
ความคิดเห็น |
---|