5
อัศวินียืนมองหน้าจอ รอจนแน่ใจว่ากระเป๋าเดินทางที่เธอโหลดใต้ท้องเครื่องไม่มีปัญหา จึงเดินปะปนผู้คนมากมายเข้าไปในโซนผู้โดยสารขาออก สัมภาระติดตัวของเธอมีเพียงกระเป๋าผ้าแคนวาสประดับดอกกุหลาบป๊อปอัปสามมิติแบรนด์ที่ชื่นชอบ ใส่โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเครื่องสำอางเล็กๆ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ผู้หญิงทั่วไปนิยม
วันนี้เธอเลือกเดินทางตอนสายเพื่อหลีกเลี่ยงความหนาแน่นของผู้โดยสารตอนเช้า กระนั้นแล้วท่าอากาศยานก็ยังมีผู้โดยสารมากมายมาใช้บริการ แผนการเดินทางในวันนี้คือปรมัตถุ์และปฏิสังขรณ์จะมารับที่หาดใหญ่ และพาไปส่งโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมปฐมนิเทศบุคลากรในวันรุ่งขึ้น
นาฬิกาข้อมือเรือนเล็กที่พี่ชายคนรองและพี่สะใภ้ซื้อให้เป็นของขวัญตอนเรียนจบบอกเวลาว่าอีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเดินทาง หญิงสาวจึงแวะร้านกาแฟภายในสนามบิน สั่งกาแฟร้อนมาจิบและเปิดสมาร์ตโฟนท่องโลกโซเชียลสลับกับคุยไลน์กับกลุ่มเพื่อนและครอบครัวฆ่าเวลาด้วยความเพลิดเพลิน จึงไม่ทันสังเกตชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันในชุดกางเกงยีน เสื้อยืดสีดำ และแว่นกันแดดสีดำที่เดินตามมาได้สักพัก
กองทัพกวาดสายตาหาทำเลที่นั่ง ประจวบเหมาะกับที่มีคนลุก เขาจึงถือโอกาสนั่งเก้าอี้ในตำแหน่งที่หันหลังให้หญิงสาวผู้นั้นพอดี กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงอ่อนๆ โชยปะปนในอากาศ คละเคล้ากับกลิ่นกาแฟชวนให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ท่าจะอยู่กลางดงกระสุนและหลุมระเบิดนาน พอเข้าเมืองมาเจอผู้หญิงหน่อยก็ระริกระรี้เหมือนสุนัขเดือนสิบสอง
กองทัพอมยิ้ม ก่อนส่ายหัวไปมาด้วยความขันตัวเอง นับตั้งแต่เลิกรากับมธุรส เขาก็ยังไม่คิดที่จะสานสัมพันธ์กับใคร เพราะลำพังแค่ทำงานก็ยุ่งจะตาย พอถึงวันพักก็หมดเวลาไปกับการเที่ยวหัวหกก้นขวิดกับเพื่อนฝูงโดยไม่ต้องเกรงใจใคร อยากกินตามประสาคนหนุ่มที่ยังมีเลือดเนื้อมีความต้องการก็ซื้อเอา ไม่มีอะไรผูกมัด ใช้ชีวิตหนุ่มโสดแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน แต่ดวงหน้าจิ้มลิ้ม รอยยิ้มกว้างแจ่มใส โดยเฉพาะลักยิ้มมุมปากของหญิงสาวที่นั่งข้างหลังทำให้อดที่จะยิ้มกริ่มไม่ได้
น่ารัก
แม้จะนั่งหันหลังให้ แต่เขาก็ยังจำได้ติดตา หญิงสาวร่างเล็กแบบบาง ดวงหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย สิ่งที่เด่นชัดที่สุดบนใบหน้าเห็นจะเป็นดวงตากลมโตคู่นั้นที่เป็นประกายแจ่มใสวิบวับ คล้ายลูกแก้วกลมๆ วิ่งวนไปมา เหมือนเด็กซุกซนที่คิดอะไรสนุกๆ ในหัวตลอดเวลา ไม่มีเค้าของคนอกหักช้ำรักหรือเคียดแค้นชิงชังใครจนชายหนุ่มเองก็นึกแปลกใจ
...หรือว่ายายเปี๊ยกจะลืม ‘แฟนเก่า’ ได้สนิทใจแล้วจริงๆ
...แล้วเจ้าหล่อนจะลงใต้ไปทำไม เพื่ออุดมการณ์แค่นั้นเหรอ
...ไม่น่าใช่
คิ้วเข้มขมวดมุ่น ดูลักษณะของเจ้าหล่อนออกจะคุณหนู ใช้ของแบรนด์เนมทั้งตัว แม้จะสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าริ้วขาวเล็กๆ แขนยาวพับแขนเหนือข้อมือเรียบร้อย สวมเพียงรองเท้าผ้าใบสีขาวแบบเรียบๆ แต่กลับดูดีมีเทสต์ ต่างกับบางคนซึ่งถึงแม้จะใช้ของแพงทั้งตัว แต่ก็เข้าข่ายมีเงินแค่ไหนก็ซื้อรสนิยมไม่ได้
แม่เจ้า...เหมือนจะไปถ่ายแบบ ไม่ใช่ไปทำงานพื้นที่ชายแดน ดูยังไงก็ไม่ใช่ลักษณะของคนกินอุดมการณ์เป็นที่ตั้ง
กองทัพสูดกลิ่นกาแฟเข้าปอด ซึมซับกลิ่นหอมของกาเฟอีน ก่อนจิบสัมผัสความร้อนและรสชาติ แม้จะยอมรับว่ากลิ่นและรสสัมผัสดีกว่ากาแฟซองที่กินกันตายยามอยู่ฐานปฏิบัติการหลายขุม แต่ก็ยังบ่นในใจ
กาแฟห่าอะไรวะ แพงฉิบหาย แก้วหนึ่งซื้อข้าวกินได้ทั้งวัน
พอนึกแล้วก็อดที่จะยิ้มด้วยความขบขันไม่ได้ สมัยก่อนตอนเป็นนักเรียนนายร้อยและคบหากับมธุรส เขาก็เคยเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวังวนติดหรู ใช้ของแบรนด์เนม เที่ยวผับ กินข้าวร้านอาหาร แต่ถึงวันหนึ่ง...ด้วยวัยที่เปลี่ยน หน้าที่การงาน สถานะทางการเงินของข้าราชการทหาร หลายสิ่งประกอบกันทำให้ความคิดความอ่านเริ่มเปลี่ยนตาม
จากสมัยหนุ่มแน่นเคยเที่ยวผับย่านทองหล่อ รัชดา พอจบมาทำงานที่ลพบุรี ถึงเย็นวันศุกร์ก็ตั้งวงก๊งเหล้ากับเพื่อนฝูง รุ่นพี่ รุ่นน้องหลังบ้านพักนั่นละ เมาแล้วก็บ้านใครบ้านมัน ใครกลับไม่ไหวก็ถูกเพื่อนฝูงลากเข้าไปนอนในบ้าน ส่วนวันไหนที่ไม่มีนัดก็อาศัยฝากท้องร้านข้าวในกองพัน หรือไม่พรรคพวกเพื่อนฝูงก็ชวนกันขับรถออกไปกินข้าวโต้รุ่งในเมือง เบียร์คนละกระป๋องสองกระป๋อง ถึงเวลาก็แยกย้ายกันเข้าบ้านนอน
และถ้าจะว่าไปแล้ว...แม้วิถีชีวิตจะเปลี่ยน แต่กลับมีความสุขกว่าตอนใช้ชีวิตแบบเดิมมากมาย ไม่ต้องวิ่งตามกระแสสังคมหรือแฟชั่น เป็นความสุขแบบเรียบง่าย สุขตามอัตภาพของการเป็นข้าราชการ
ในขณะที่การเป็นแอร์โฮสเตสของมธุรสทำให้มีรายรับมากกว่าเขาหลายเท่าตัว สังคมของเธอเป็นสังคมอีกแบบที่ไม่ใช่เลิกงานสี่โมงครึ่ง เดินตลาดนัด กินข้าวบ้าน หรือขับอีโคคาร์แบบที่เขาเป็น ด้วยวิถีชีวิตที่ต่างกันด้วยกระมังที่ทำให้เขากับเธอมาถึงทางแยก แม้จะคบกันมากว่าสิบปีก็ตาม
“ค่ะ...แม่ขา...มิ้วอยู่ที่สนามบินแล้วค่ะ”
เสียงคนที่นั่งข้างหลังคุยโทรศัพท์เบาๆ ทำให้นายทหารหนุ่มหลุดจากภวังค์ ยายเปี๊ยกพูดเพราะแฮะ นี่ถ้ามีลูกสาวมาจ๊ะจ๋าคะขาแบบนี้สงสัยเขาจะไปไหนไม่รอดเหมือนกัน พลันกองทัพก็สะดุ้ง ก่อนเผลอยิ้มด้วยความขบขันตัวเองที่คิดไปถึงไหนต่อไหน
“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวน้องไปถึงแล้วจะรีบโทร. หาค่ะ...ใช่ค่ะ เดี๋ยวพี่ปืนกับยายฟ้าจะมารอรับไปส่งโรงแรมที่จะปฐมนิเทศพรุ่งนี้ค่ะ”
กองทัพแสร้งทำเป็นจิบกาแฟราคาแพง หูก็เงี่ยฟังเสียงสนทนา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะ ‘สอน’ หรือกำชับให้ดูแลตัวเอง หญิงสาวเอ่ยตอบเป็นระยะ ก่อนจะให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะ
“ไม่ต้องห่วงน้องนะคะ สัญญาว่าจะไม่ออกไปเที่ยวซุกซนนอกเขตโรงพยาบาล วงเล็บ ถ้าไม่จำเป็น อิๆๆ...คิดถึงแม่นะคะ คิดถึงพ่อด้วย คิดถึงทุกๆ คนที่บ้านเราด้วยค่ะ...ขอบคุณค่ะแม่ขา...รักนะคะหม่ามี้คนดี คริๆ จุ๊บๆ ค่ะ”
ก็ท่าทางขี้อ้อน ดูแจ่มใสมีชีวิตชีวาซะขนาดนี้ ถึงว่าแฟนเก่ายังฝังใจและดูท่าจะลืมไม่ลงง่ายๆ นายทหารหนุ่มอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
สักพักเสียงสนทนาก็เงียบไป กองทัพแสร้งทำเป็นหันไปมองข้างหลังเนียนๆ เหมือนมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย จึงได้เห็นหญิงสาวที่นั่งด้านหลังเสียบหูฟัง สักพักก็ได้ยินเสียงครวญเพลงสุนทราภรณ์หงิงๆ เบาๆ
แม่เจ้า! หน้าตาออกจะดี แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูทันสมัย แต่แม่เจ้าประคุณดันร้องเพลงสุนทราภรณ์!
อีกคราที่ชายหนุ่มนึกประหลาดใจก่อนเปลี่ยนเป็นความขบขันกับความย้อนแย้งในตัวเองของหญิงสาวที่เป็น ‘เป้าหมาย’ นี่เธอยังมีอะไรให้เขาประหลาดใจอีกไหม ถ้าจะว่าไปแล้ว...อัศวินีก็ดูเป็นผู้หญิงที่มีอะไรน่าค้นหาเยอะเหมือนกัน
อัศวินีเสียบหูฟังฟังเพลงจากแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดร่วมกับเล่นเฟซบุ๊ก พอเบื่อๆ ก็สลับไปอ่านนิยายตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย
“...เกียรติตำรวจของไทย เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคง ต่างซื่อตรง พิทักษ์สันติราษฎร์นั้น...”
เพลงมาร์ชพิทักษ์สันติราษฎร์! ร่างบางสะดุ้งนิดๆ เมื่อเสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หัวใจเหมือนจะเต้นแรงขึ้นเมื่อกล่องความทรงจำของหัวใจถูกกระตุ้นเตือนด้วยเสียงเพลงที่คุ้นเคย แถมยังแอบลุ้นนิดๆ เพราะเสียงเรียกเข้านี้มีไม่กี่คนหรอกที่ใช้ หนึ่งในนั้นก็คือ...
พี่ซัน...!
ตายแล้ว!...กลิ่นอายของอดีตแฟนเรา แต่ปัจจุบันเป็นสามีชาวบ้านนี่มันช่างรุนแรงจริงๆ เลย
ในขณะที่อัศวินีตื่นเต้นแกมขำความมโนของตัวเอง เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรปลายสายก็ไม่มีทางใช่คนที่แอบนึกถึงแน่ๆ คนนั่งด้านหลังก็หมั่นไส้แกมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ
ร้ายจริงแม่คุณ...เห็นหน้าใสๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจคงคิดถึงสามีชาวบ้านตลอดเวลา ถึงขนาดตั้งเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงของตำรวจ ฮึ! ไอ้ที่คิดว่าไม่ติดต่อกันนี่คงไม่ใช่แล้ว นี่คงแอบติดต่อกันตลอดเวลาสินะ!
เกือบจะวางใจ หลงหน้าใสๆ แล้วเชียว น้ำกรดแช่เย็นชัดๆ!
ในขณะที่เจ้าของโทรศัพท์พอเห็นรูปและชื่อที่ปรากฏหน้าจอ ความตื่นเต้นแกมแอบมีความหวังลึกๆ ก็ค่อยๆ จางลง
ก็รู้อยู่ว่าไม่มีทางที่จะเป็นสายจากพี่ซันแน่ๆ
อัศวินียิ้มเศร้าๆ ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นที่รู้ถึงความรักความหลังที่พังลงไม่เป็นท่า เธอจะยิ้มกว้าง หัวเราะแจ่มใส เสมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทำตัวให้ใครๆ คิดว่าเธอ ‘โอเค’ แต่ลึกๆ แล้วยามอยู่คนเดียวก็ยังเจ็บลึกมิรู้วาย แม้จะพยายามตอกย้ำกับตัวเองตลอดเวลา...ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีหรือไม่มีพันธะ...เธอจะไม่มีวันเดินย้อนกลับไปเส้นทางเดิมอีก แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังคาราคาซังในใจ
กลับตัวก็ไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เดินต่อไปก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
มันต้องมีสักวันสิที่เธอจะลืมอดีตได้สนิทใจ และเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน!
“ว่าไงจ๊ะคุณนายเพื่อน” น้ำเสียงที่ทักทายปลายสายก็ยังคงแจ่มใสเช่นที่ใครๆ คุ้นเคย
คนแอบฟังเผลอเลิกคิ้ว นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่รู้สึก ‘โล่งอก’ เมื่อเดาว่าปลายสายที่โทร. มาไม่ใช่ ‘น้องเขย’
“ถึงสนามบินหรือยังมิ้ว”
“ถึงแล้ว นี่กำลังนั่งจิบกาแฟชิลชิลอยู่” อัศวินีแจ้งเวลาเครื่องออกจากสนามบินต้นทางและถึงปลายทางอีกครั้ง ก่อนบอกว่า
“ไม่ต้องรีบนะฟ้า มีธุระอะไรก็ไปทำก่อนได้ เดี๋ยวถ้าไปถึงแล้วแกยังมาไม่ถึง ฉันก็จะไปนั่งเตร็ดเตร่เหล่มองผู้แถวสนามบินรอ อิๆๆ”
กองทัพแอบนิ่วหน้าเมื่อยายเปี๊ยกเอ่ยเสียงใสกับเพื่อน
“ย่ะ...แม่คู้น หาให้มันได้สักคนซะทีเถอะ อย่าดีแต่พูด” ปฏิสังขรณ์ค่อนขอดมาตามสายด้วยความหมั่นไส้
อัศวินีหัวเราะเบาๆ เสียงแจ่มใสทำให้คนแอบฟังก้มหน้าลงมองแก้วกาแฟซ่อนรอยยิ้ม นอกจากหน้าตาจะจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว สิ่งหนึ่งที่มัดใจกลินท์ไว้ก็คงเป็นความสดใสร่าเริงนี่กระมัง
“ก็ยังไม่เจอนี่นา...ผู้ชายในเครื่องแบบ dark, tall, man and handsome”
สเปกยายเปี๊ยกเป็นหนุ่มในเครื่องแบบ แล้วก็ต้อง dark, tall, man and handsome อย่างนั้นเหรอ กองทัพเลิกคิ้ว ก้มลงสำรวจตัวเองก่อนยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก หัวเราะหึๆ ในคอ
เดี๋ยวได้เจอแน่ๆ!
ระหว่างนั้นมีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ทำให้นายทหารหนุ่มสบถในใจด้วยความฉุนแกมขัน ห่า! ใครเสือกโทร. มาตอนนี้ อุตส่าห์ยอมเสียมารยาทแอบ ‘สืบข่าว’ ครั้นเห็นรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ นายทหารหนุ่มก็แทบจะแยกเขี้ยว พ.ต. ชเยศ เพื่อนรักอีกคนที่ทำงานในพื้นที่เหมือนกัน
“ห่า! เสือกโทร. มาอะไรตอนนี้วะมึง...ไอ้โป้ง กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม”
“เชี่ย! โทษทีเพื่อน...โทษที กูไม่รู้ว่ามึงเสือกเล่นจ้ำจี้ตอนกลางวันนี่หว่า งั้นมึงทำให้เสร็จก่อนแล้วโทร. กลับกูด้วย” ปลายสายรีบขอโทษขอโพยเสียงกลั้วหัวเราะ
กองทัพอดยิ้มขำไม่ได้ นี่เขาใช้คำพูดไม่ถูกใช่ไหม “เฮ้ย! ไม่มีอะไรโว้ย มึงมีอะไรว่ามา”
“ไม่อะ มึงทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยโทร. กลับ กูกลัวบาป เกิดจู๋จี๋กับเมียอยู่แล้วเดี๋ยวมึงมาขัดจังหวะ”
กองทัพหัวเราะเบาๆ “เออๆ กูพูดผิดเอง ตอนเรียนภาษาไทยครูสอนเสือกแอบหลับในห้องเรียน โทร. มามีไรมึงอะ”
“กูก็นึกว่ามึงทำเรื่องอย่างว่า ฮ่าๆๆ พูดแบบนี้กูคิดนะมึง” คนเป็นเพื่อนยังมิวายกระเซ้า
“คืองี้...ไอ้เบียร์มันโทร. หากู ฝากให้ช่วยดูแลน้องสาว น้องมันจะมาเป็นพยาบาลอยู่ที่ปัตตานี มันโทร. มาบอกให้กูช่วยดูแล ไอ้ห่า! ดูแลน้องเพื่อนไม่มีปัญหาหรอก น้องมันก็เหมือนน้องกู แต่กูอยู่ยะลา ไม่ได้อยู่ปัตตานี แล้วทำไมมันไม่โทร. หามึงวะ”
ตอนเรียนนายร้อยว่า ‘ซี้’ แล้วด้วยนิสัยใจคอคล้ายกัน ตอนที่บรมวิชชุ์มาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ก็ยิ่งซี้กันไปใหญ่ วันว่างกอดคอเที่ยว กินเหล้าสังสรรค์กันทุกครั้งที่มีโอกาส ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น
“เหอะ! อย่างมันจะมีอะไร นอกจากหวงน้องไม่เข้าท่า” กองทัพกระแทกเสียง บอกอย่างรู้ดีแกมหมั่นไส้คนที่ถูกพูดถึง
ในบรรดากลุ่มเพื่อนที่คุ้นเคยทั้งหมด กองทัพเป็นคนเดียวที่ยังโสด ขณะที่เพื่อนคนอื่นแต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว ถ้าเลือกที่จะฝาก ‘ปลาย่าง’ บรมวิชชุ์คงไม่ฝากกับ ‘แมว’ เป็นแน่
ชเยศหัวเราะเบาๆ มาตามสาย อดที่จะแซวไม่ได้ “รู้ใจกันดีจริงโว้ย! ฮ่าๆๆ เอ...หรือว่ามันไม่สนิทใจที่จะวานมึงด้วย” ตั้งข้อสันนิษฐานในประโยคท้าย
ด้วยความที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันทำให้รู้ดีถึงความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงตั้งแต่กลินท์คบหากับอัศวินี ซึ่งเป็นน้องสาวของบรมวิชชุ์ แล้วอยู่ๆ กลินท์ก็ต้องแต่งงานกับการะบุหนิงซึ่งเป็นญาติผู้น้องของกองทัพ
“เป็นได้” กองทัพตอบสั้นๆ เพราะกลัวคนที่นั่งหันหลังชนกันจะได้ยิน แต่เขาก็ได้ยินเธอคุยโทรศัพท์เบาๆ สลับกับหัวเราะคิกคัก
“แต่ว่า...กูว่าคนละส่วนกันนะมึง ไอ้เบียร์มันคงไม่คิดเรื่องที่มึงเป็นพี่เมียไอ้ซันหรอกมั้ง แต่เรื่องหวงน้อง...กูว่ามันคิด เชี่ยเบียร์ ทีมันยังมีเมียได้ แล้วทำไมมันต้องหวงน้องด้วยวะ จะหวงไว้ให้ขึ้นคานหรือไง” ชเยศนึกฉุนแกมขันเพื่อน
“แล้วโทร. หากูมึงต้องการอะไร” กองทัพเอ่ยตรงๆ เพราะไม่อยากคุยนาน
“กูใช้มึงต่อแล้วกัน กูกลัวไม่มีเวลาไปดูแลน้องเขา หรือดูแลไม่เต็มที่ ฝากดูแลน้องไอ้เบียร์ที แต่ก่อนอื่นเดี๋ยวกูจะชวนรุ้งไปหาน้องเขาที่ทำงานแล้วอาจจะนัดกินข้าวทำความรู้จักกัน มึงสะดวกไหม”
“ดูก่อน”
“ไอ้ห่า ลีลาเยอะชิบ”
กองทัพหัวเราะเบาๆ แต่ในใจลิงโลด อะไรจะง่ายดายเหมือนถูกจัดสรรมาแบบนี้นะ
“แล้วนี่...มึงกลับวันไหนวะอาร์ม”
“กำลังจะกลับแล้ว รอเครื่องออก”
“อ้าว! กลับเครื่องเหรอ แล้วรถล่ะ” ถามน้ำเสียงแปลกใจเพราะรู้ว่านอกจากเพื่อนมาประชุมแล้วยังภารกิจอื่นด้วย
“ให้ลูกน้องขับกลับสิ กูมีงานด่วน พี่จ๊อดโทร. ตามยิกๆ นี่พี่บลูก็โทร. มาให้แวะรับเสบียงที่สุราษฎร์ด้วย เสียดายไม่ได้เจอพี่บลูคนอะไรเทพบุตรฉิบ หายแต่น้องแม่ง! เลวโคตร” ยังมิวายกระแนะกระแหนด้วยความหมั่นไส้ ที่หมั่นไส้เพราะความหวงน้องของมันนี่ละ
ชเยศหัวเราะมาตามสายด้วยความขบขันทั้งคู่ ภายนอกเหมือนคู่กัด แต่เอาจริงๆ ทั้งบรมวิชชุ์และกองทัพสนิทกันมาก
‘พี่บลู’ หรือนาวาอากาศตรีบุรัสกรเป็นพี่ชายคนโตของบรมวิชชุ์ ประจำการที่กองบิน 7 สุราษฎร์ธานี กลุ่มเพื่อนสนิทต่างคุ้นเคยกับ ‘พี่บลู’ เป็นอย่างดี เพราะสมัยที่บรมวิชชุ์ยังอยู่ใต้ พอวันว่างก็เป็นต้องชักชวนเพื่อนกันเที่ยวด้วยความคึกคะนองตามประสาคนหนุ่มฉกรรจ์ และบ่อยครั้งที่จุดหมายปลายทางคือกองบิน 7 มากินอาหารทะเล หอยใหญ่ ไข่แดง พูดตรงๆ ก็คือมาเปลี่ยนสถานที่กินเหล้านั่นละ มาทีไรไม่เคยผิดหวัง พี่บลูเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี ปากก็บอกว่าเกรงใจพี่บลู...แต่ว่างเมื่อไรไม่เคยพลาด หลังๆ หิ้วเหล้ามาจากใต้เองด้วยความเกรงใจพี่บลูที่แม้ตนเองไม่ค่อยดื่ม แต่ก็ยังเตรียมไว้ให้น้องๆ เต็มที่
น่าแปลก...พี่น้องนิสัยต่างกันลิบลับ บรมวิชชุ์...ตำรวจพลร่มคนน้องอุปนิสัยกวนประสาท เสียงดังเฮฮา กินเหล้าเหมือนเททิ้ง แต่บุรัสกร...นักบินหนุ่มคนพี่สุขุม สุภาพ ดื่มพอเป็นพิธี เป็นพี่ใหญ่ใจดีที่น้องๆ เคารพรัก โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าเพื่อนน้องซึ่งอยู่ทางใต้มีใครผ่านมาสุราษฎร์ฯ พี่บลูจะต้องให้แวะรับของฝากเสมอ
นายทหารหนุ่มลูกทัพบกอดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงความใจคอกว้างขวางของนักบินหนุ่มผู้เป็นพี่ชายของเพื่อน
“แค่นี้นะโป้ง กูอยู่ร้านกาแฟ ไม่ค่อยสะดวกคุย เกรงใจชาวบ้าน”
จริงๆ จะแอบฟังชาวบ้านคุยโทรศัพท์นั่นละ พอเพื่อนตัดสายไปก็ทันได้ยินหญิงสาวเอ่ยเบาๆ กับปลายสายของเธอเหมือนกัน
“แค่นี้นะแก อยู่ในร้านกาแฟ ไม่อยากคุยนาน เกรงใจคนอื่น”
เก็บค่าลิขสิทธิ์ดีไหมนะเพราะเขาพูดก่อน กองทัพนึกขำๆ ในใจ
“ได้ๆ เดี๋ยวเจอกันค่อยเมาท์มอย อ่อ...ลืมบอกไป พี่ปืนบอกพี่ซันอยู่นะว่าแกจะมาวันนี้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ซันจะมารอรับแกที่สนามบินได้หรือเปล่า กลัวจะติดงานด่วนอย่างเดียว เฮ้อ...ชีวิตตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจในพื้นที่แบบนี้เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้จริงๆ” คนพูดพยายามที่จะสมานรอยร้าวระคนรักษาความรู้สึกของเพื่อนรัก
คนทางนี้ได้แต่ยิ้มด้วยความสมเพชเวทนาตัวเองที่ยังไม่หลุดพ้นจากความรักครั้งเก่าสักที รสชาติของกาแฟที่จิบแม้ตอนแรกจะขม แต่ปลายทางของกาเฟอีนก็ยังให้ความหอมหวานซ่านลิ้น แตกต่างจากปลายทางความรู้สึกของเธอตอนนี้นัก ยังคงมีแต่ความขมขื่นเช่นเดิม
อัศวินีหัวเราะหึๆ ในคอ ไม่ตอบว่ากระไรกับประโยคนั้น เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรเธอก็คงไม่เจอกับเขาแน่ๆ หรือถ้าเขามาจริงๆ ก็อาจจะทำตัวเป็นขอมดำดินเหมือนเคย หลายปีที่ผ่านมากลินท์ก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้จนเธอเคยชิน
ไม่ติดต่อ ไม่เคยพบเจอ แต่ยังคงติดตามความเคลื่อนไหว ส่งของฝากแทนความห่วงใยเหมือนเคย
แบบนี้หรือเปล่านะที่ทำให้เธอเปิดรับใครคนใหม่เข้ามาในชีวิตไม่ได้เสียที เพราะพอทำท่าจะลืม...ก็เหมือนยังมีเงาของอีกฝ่ายคอยติดตามหลอกหลอนอยู่ร่ำไป
กองทัพไม่รู้ว่าเพื่อนเธอพูดอะไร แต่หลังจากวางสาย...หญิงสาวก็ดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
ความคิดเห็น |
---|