10

ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด

ระยะทางกรุงเทพเชียงใหม่ จะว่าไกลก็คงไกล จะว่าใกล้แค่อึดใจก็ว่าใช่ เหมือนกับความรู้สึกเมื่อได้ใกล้ชิดกับหญิงสาว ระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงบนเครื่องบินช่างน้อยเกินไปเมื่อเธอปล่อยกายผ่อนคลายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ทุกลมหายใจและการขยับทำให้หัวใจผู้ชายอย่างเขาอดสั่นไหวไม่ได้ เธอช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าตั้งแต่เครื่องบินเริ่มทะยานขึ้นสู่ฟ้า จนกระทั่งลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ เขาสามารถเฝ้ามองเธอได้โดยไม่จำเป็นต้องละสายตา อาการว้าวุ่นปั่นป่วนเมื่อตอนได้พบบิดาและคู่ควงเบาบางลง จนคิดได้ว่าเขาต้องปล่อยวางในบางเรื่องที่คนผู้นั้นกระทำต่อตนเอง

                สักวันตาเฒ่านั่นคงได้รับบทเรียนบ้าง...คิดแล้วก็อดขบขันกับสีหน้าของหญิงสาวที่สงสัยใคร่รู้ไม่ได้ โชคดีที่เธอหลับ ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องนั่งตอบคำถามเกี่ยวกับครอบครัวตลอดทางก็เป็นได้

                เหมือนกับหญิงสาวจะมีลางสังหรณ์บางอย่าง เธอลืมตาและสะดุ้งรู้สึกตัวก่อนที่ล้อเครื่องบินกระทบจะพื้นรันเวย์เพียงไม่นาน ภัทรียาสะลึมสะลือปะปนกับงุนงง ขณะที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างจ้องมองและหัวเราะอย่างขบขัน

                “ตายแล้ว นี่ฉันหลับตลอดทางเลยเหรอ” เธอหันซ้ายขวา ปรับสายตาให้คงที่

“ใช่ หลับน้ำลายไหลเหมือนโดนป้ายยาเลย” เขาตอบ

                “น้ำลายไหลด้วยเหรอ” เธอรีบยกฝ่ามือขึ้นเช็ดริมฝีปากที่เผยอเพราะหลับลึก

                “แอบถ่ายรูปไว้หลายรูปเลย”

                “คุณภาคย์...” ภัทรียาเสียงเขียว บุ้ยปากใส่คนล้อเลียน “...แกล้งฉันดีนัก เดี๋ยวจะหาทางแก้แค้น”

                “พร้อมเสมอ” เขาหัวเราะอีกครั้ง “ถึงบ้านแล้วดีใจไหม”

                “นิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวฉันพาคุณเที่ยวเอง ถ้าไม่กลัวโดนสาดน้ำนะคะ” เธอยิ้ม

แม้ยังคงสะลึมสะลือแต่เมื่อเครื่องบินลำใหญ่เคลื่อนที่สนิทกับลานจอด อาการกังวลทั้งหลายจึงแล่นเข้าสู่ห้วงความคิด เธอไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าหม่อมหลวงภาคย์จะวางแผนการท่องเที่ยวครั้งนี้ไว้อย่างไร ยิ่งกำแพงที่เขาก่อตัวเมื่อเดินทางจากกรุงเทพฯ กำลังหนาขึ้น แต่เธอต้องการทะลายกำแพงระหว่างเขาและเธอหรือไม่? นั่นยังเป็นเรื่องที่ต้องขบคิด

เอาใจเขามาใส่ใจเรา...คำพูดของเพื่อนสนิทเตือนสติภัทรียา แม้สายตาเหมือนเหม่อลอยในขณะที่รอคอยกระเป๋าสัมภาระจากสายพาน แต่หัวใจเธอยังคงกระวนกระวายกับภาพชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึมที่กำลังจ้องหากระเป๋า

บางทีเธอควรปลอบใจเขา แต่จะปลอบใจอะไร อย่างไร

“ฉันเสียใจด้วยนะคะที่คุณพ่อของคุณ...” ซ้อมพูดไปก็รู้สึกกระดากปาก ก็เขาไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลยนี่นา แล้วเธอจะไปเสนอความคิดเห็นอะไรได้...คิดมากไปก็เท่านั้น เธออยากเดินไปตีผู้ชายที่เพียรพยายามเอาชนะเธอให้หายหมั่นไส้ คนอะไรต้องการให้เธอเปิดใจกับเขา แต่เขากลับปิดบังซ่อนเร้นเรื่องราวในชีวิต

 สมองหญิงสาวดูเหมือนจะแล่นมากกว่าปกติเมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดบ้านเกิด ความงดงามของภูเขา อากาศแจ่มใส กับแสงแดดแรงกล้ายามสายกลางเดือนเมษายน ทำให้ภัทรียาสดใสกว่าที่เคย ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มขับเคลื่อนรถยนต์ที่ติดต่อเช่าไว้มาจอดรับ หญิงสาวจึงได้แต่รอคอยจังหวะที่เขาไม่สามารถหลบเลี่ยงเธอ ทันทีที่เข้าไปนั่งด้านข้างคนคิดมาเยอะจึงรีบฉวยโอกาสยิงคำถามทั้งหมดที่ต้องการรู้ออกไปทันที

“คุณภาคย์คะ ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณค่ะ”

“จังหวะพูดเมื่อกี้นี้เหมือนจังหวะเพลงน้องพลับเลย คุณครูครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณครูครับ” ชายหนุ่มย้อนติดตลก

“คุณภาคย์! มุกนี้ไม่ผ่าน เพลงนี้มันก็เก่าตั้งแต่ฉันเรียนประถม ฉันสังเกตว่าคุณต้องมีอะไรปิดบังฉันแน่ ๆ” หญิงสาวเม้มปากแน่น จ้องใบหน้าใต้แว่นดำของชายหนุ่มที่เสแสร้งมีสมาธิกับการขับรถ

“จะถามอะไรก็ถามมา”

“คุณแน่ใจนะว่าคุณตั้งใจคบฉันจนถึงขั้นแต่งงาน” เป็นครั้งแรกที่ภัทรียาต้องการความมั่นใจ

“ใช่สิ เราคุยกันไปเมื่อวันก่อนแล้วไง”

“คุณรู้จักฉันดีแค่ไหนคะ” หัวใจหญิงสาวเพิ่มจังหวะการเต้น เพราะเธอต่างหากที่แทบไม่รู้จักตัวตนเขา และเธอต้องการรู้ ก่อนที่ความรู้สึกจะถลำลึกเกินกว่านี้

“ดีสิ ถ้าไม่รู้จักน้ำผึ้งดี ผมจะเอ่ยปากได้ไงว่าชอบคุณ”

“คุณอาจจะไม่รู้จักฉันเลยก็ได้นะ”

“ลองถามอะไรก็ได้เกี่ยวกับตัวคุณมาสิน้ำผึ้ง อะไรก็ได้” ริมฝีปากบางยกยิ้ม ใบหน้าใต้แว่นแสดงออกถึงความยโสจนน่าหมั่นไส้

“ฉัน...” พยายามนึกหาข้อมูลที่ชายหนุ่มด้านข้างไม่ควรรู้ “...ฉันเป็นคนยังไง”

หม่อมหลวงภาคย์เม้มริมฝีปากใช้ความคิด แต่เพียงไม่นานเขาก็เผยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “ปกติแล้วน้ำผึ้งเป็นง่าย ๆ ไม่คิดอะไรมาก โดยเฉพาะกับเพื่อน แต่กับผม คุณจะค่อนข้างระวังตัว อย่างที่คุณเคยบอกว่าคุณไม่ถูกกับผู้ชาย แต่ผมคิดว่าการที่คุณไม่ถูกกับผู้ชายก็เพราะคุณไม่กินเส้นกับคุณพ่อ และพี่ชายที่ทำอะไรก็ได้ดีกว่าคุณไปทุกอย่าง คุณเลยคิดว่าคุณพ่อไม่รักคุณ คุณเลยอยากพิสูจน์ตัวเอง แต่ด้วยความที่เป็นคนเอาแต่ใจ ใครแรงมาก็เลยแรงกลับ ทำธุรกิจแบบหุนหัน เลยทำให้ร้านเจ๊งไม่เป็นท่า”

ภัทรียาสูดลมหายใจสงบสติอารมณ์ ผู้ชายปากเสียเหมือนกำลังตบหน้าเธอด้วยคำพูด แถมเป็นเรื่องที่จริงทั้งหมด

“แต่อย่างที่บอกน้ำผึ้งเป็นคนง่าย ๆ แล้วยังใจดี คิดว่าคนอื่นเป็นคนดี ยกเว้นกับผม คุณไม่เคยไว้ใจผมสักครั้ง แม้แต่เมื่อกี้ตอนที่ผมบอกว่าติดต่อรถเช่าไว้เรียบร้อย คุณยังเถียงอยากออกค่าเช่ารถ ทั้งที่คุณก็รู้ว่าผมจ่ายให้คุณได้โดยไม่เดือดร้อน”

“ฉันไม่ใช่ไม่ไว้ใจคุณ แต่ฉันเกรงใจ...ฉัน...” หญิงสาวก้มหน้าลง ความรู้สึกนี้คือกำบังที่ทำให้เธอยากจะเรียนรู้ส่วนลึกในหัวใจชายหนุ่ม “ฉันแค่คิดว่า ถ้าเราคบกันเป็นแฟน ฉันก็ไม่อยากเอาเปรียบคุณ ไม่อยากให้ใครมาว่าฉันได้ว่าพึ่งพาคุณทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องงาน แล้วยังจะเรื่องเล็กอื่นๆ อีก”

“ผมให้น้ำผึ้งเอาเปรียบได้ แต่ยังไม่อยากเอาเปรียบน้ำผึ้ง ถ้าตัดคำว่าเปรียบไปก็อยากอยู่” คนเจ้าเล่ห์หัวเราะ

ตาคนนี้...ภัทรียากลอกตาใส่ผู้ชายนิสัยไม่ดี ก่อนตีสีหน้าเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น “ตกลงคุณคิดว่าคุณรู้จักฉันดีใช่ไหมคะคุณภาคย์”

“ใช่”

“แต่ฉันแทบไม่รู้จักคุณเลย”

“เหรอ ทำไมน้ำผึ้งถึงคิดว่าไม่รู้จักผมล่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ส่งรอยยิ้มชวนให้คนเห็นหัวใจสั่น

“ฉันเพิ่งสังเกตว่าคุณชอบทำหน้าเครียดเวลาอยู่เฉย ๆ แต่เวลาอยู่กับฉันคุณเหมือนคนยิ้มเก่ง”

“ไม่ดีเหรอครับ ชอบให้ผมยิ้มกับคนอื่นพร่ำเพรื่อหรือไง”

“คุณภาคย์อย่ากวนสิ ฉันถามคุณอยู่นะ”

“ก็ถามสิ ผมรอตอบอยู่เนี่ย” คนกวนประสาทหัวเราะ

“คุณทำงานอะไร คุณไม่ได้ทำงานที่ร้านอาหารของคุณลุงคุณชายแน่ ๆ การแต่งตัวของคุณอีก ถึงฉันเพิ่งสังเกตแต่เห็นได้ชัดว่าคุณใส่เสื้อผ้ามียี่ห้อ นาฬิกาของคุณอีก ราคามันพอกับหนี้ที่ฉันติดคุณพ่อ อีกอย่าง! คนปกติที่ไหนแค่เดินทางมาเชียงใหม่ต้องนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ คุณเป็นใครกันแน่ คุณภาคย์” นี่เธอควรจบคำถามแบบนี้หรือ? เหมือนโคนันจับผู้ร้ายยังไงไม่รู้

หม่อมหลวงหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก ใช้สายตาหวานซึ้งเหลือบมองเธอ และหัวเราะลั่น “เนี่ยนะที่อยากรู้ ข้อมูลพวกนี้ของผมมีในอินเตอร์เน็ตเยอะแยะ น้ำผึ้งไม่เคยสนใจค้นเลยหรือไง”

“คุณดังเหรอ” ถามไปก็เหมือนตบหน้าตัวเอง เพราะเธอไม่เคยสนใจค้นหาตัวตนเขาจริงจังเลยนี่นา

“ไม่หรอก แค่ข่าวในสังคมธุรกิจ ถ้าใครไม่ได้สนใจก็คงไม่รู้จักหรอก น้ำผึ้งรู้จักบริษัทพีพีเอ แลนด์ แอนด์ แอคเซ็ต บ้างไหม”

คนฟังได้แต่ส่ายศีรษะ “ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยค่ะ แต่ถ้าไปถามคุณพ่อคุณแม่คงพอรู้จัก”

“คุณพ่อผม หม่อมราชวงศ์ภัทรพลที่คุณเจอนั่นแหละ ท่านร่วมกันลงทุนกับคุณแม่ผม ช่วยกันตั้งบริษัทพัฒนาที่ดิน ทำเป็นหมู่บ้านบ้าง เป็นคอนโดมิเนียมบ้าง ตอนนี้ผมเลยทำหน้าที่เป็นรองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ช่วยคุณพ่ออีกที พอนึกภาพออกไหม”

ภัทรียาขมวดคิ้วคิดตาม “พวกอสังหาริมทรัพย์เหรอคะ”

“ประมาณนั้น นั่นคืองานที่ผมต้องทำจริงจัง แต่ผมชอบเข้ามาช่วยคุณลุงตรวจสอบบัญชีที่ร้านมากกว่า ได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่สำคัญได้เจอน้ำผึ้งด้วย” เขาตอบยิ้ม

“แสดงว่าคุณภาคย์ก็ต้องทำงานหนัก” เธอเอ่ย นึกถึงภาพที่ชายหนุ่มมักแวะเวียนมาพบเธอช่วงค่ำหลังเลิกงาน สีหน้าเขามักอ่อนล้า แต่ทุกครั้งจะต้องมีรอยยิ้มให้เธอเสมอ

“ไม่เท่าไหร่หรอก อยากรู้อะไรอีกครับ”

“ถ้าฉันเสิร์ชชื่อคุณในกูเกิ้ลจะเจออะไรบ้างนะ” หญิงสาวนึกสนุกหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋าสะพาย กดชื่อชายหนุ่มลงไปในเว็บไซต์ค้นหาอย่างรวดเร็ว

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยเสิร์ชเหรอ”

“ไม่เคยค่ะ ฉันเคยเสิร์ชแค่ชื่อร้านอาหาร เจอแต่ชื่อคุณลุงแต่ไม่เคยเห็นชื่อคุณ ตอนนี้ก็เพิ่งคิดได้ว่าฉันน่าจะทำความรู้จักคุณภาคย์ให้ดีขึ้นเหมือนกัน”

“ทำไมล่ะ”

“อ้าว ก็ฉันคบกับคุณไง ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับตัวเองด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มรู้แล้วว่าฉันหนีคุณไปไหนไม่พ้น ทางที่ดีฉันต้องเรียนรู้คุณเอาไว้เยอะ ๆ คุณจะได้ไม่มาว่าฉันได้ว่าฉันไม่ใส่ใจคุณ”

“เหรอ งั้นอ่านไป” ชายหนุ่มยังคงยิ้ม พยักหน้ารับความเห็นของหญิงสาว

“อุ๊ย คุณภาคย์! คุณเคยเป็นหนึ่งในยี่สิบหนุ่มโสดในฝันด้วยเหรอ ฉันต้องเซฟรูปเอาไว้แล้ว” คนเพิ่งเห็นรูปเมื่อสิบปีที่แล้วของชายหนุ่มหัวเราะคิก

“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าผมนิสัยหล่อแค่ไหน”

“ฉันเคยบอกคุณหรือยังคะว่า คุณเนี่ย ทั้งปากเสีย ทั้งหลงตัวเอง” ภัทรียายังคงยิ้ม สายตาจดจ่อ สนุกสนานกับข้อมูลหน้าจอโทรศัพท์

“แต่น้ำผึ้งก็ชอบผมเพราะนิสัยสองข้อนี้”

ฟังแล้วหญิงสาวถึงทำจมูกย่น ส่ายศีรษะ แต่ไม่มีการยอมรับหรือปฏิเสธจากปาก ทำให้คนที่ยากจะเอาสมาธิไปอยู่กับการขับรถหัวเราะกับตัวเองอย่างมีความสุข

เธอคงไม่รู้หรอกว่าเธอส่งผลต่อหัวใจเขามากเพียงใด และเธอจะรู้ไหมว่าแม่สาวพูดน้อย ถามคำตอบคำในวันนั้น กับสาวสวยร่าเริงในวันนี้ ทำให้เขาประทับใจมาก มากจนอยากรวบรัด เร่งเร้า หลอมอารมณ์เธอให้หวั่นไหว และสอนบทเรียนที่เธอจะล่องลอยระเริงรื่นไปบนวิมาน

อย่างที่ทอมหน้าไหนก็ไม่มีทางทำได้

ใช่! เขาลืมเรื่องทอมนั่นไปเลย ว่าแต่เจ้านั่นกลับมาป้วนเปี้ยนกับภัทรียาอีกทำไม แต่จากที่เห็นเธอไม่น่ากลับไปสนใจเจ้านั่นอีก ก็แน่ละ...เธอมีผู้ชายหล่อรวยนิสัยดีอย่างเขาอยู่แล้ว จะไปสนใจทอมแก่ไร้ความจริงใจอย่างนั้นทำไม เพราะหมดทริปนี้กลับไป เขาก็จะสมหวังในสิ่งที่ตั้งเป้าไว้

หวังว่าเธอคงไม่ว่าอะไรหรอกนะ...

                

                รถยนต์แล่นออกจากตัวเมืองเข้าสู่ถนนสายรองไปครึ่งชั่วโมง จากพื้นที่ซึ่งมีตึกสองข้างทาง เปลี่ยนเป็นต้นไม้น้อยใหญ่เขียวชอุ่ม แสงแดดและอุณภูมิเดือนเมษาทำให้พื้นถนนสายยาวเกิดเป็นภาพราวกับว่ามีแอ่งน้ำขังอยู่เป็นช่วง แม้รถยนต์ในช่วงเทศกาลจะค่อนข้างหนาแน่น แต่บรรยากาศแสนสบาย และเนิบช้าของเชียงใหม่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ พลอยให้คนใจเย็นผ่อนคลายกว่าเมืองใหญ่

                ภัทรียานั่งมองทัศนียภาพสองข้างทางด้วยใจที่สงบ อาการตื่นเต้น ระแวดระวังที่เคยเกิดขึ้นหายใปหมดสิ้น อาจเพราะความคุ้นชินกับสถานที่ที่เธอเรียกว่าบ้าน

                “ผ่านโค้งข้างหน้าคุณภาคย์ชิดซ้ายเตรียมเลี้ยวนะคะ” เธอบอกเป็นอัตโนมัติ

                คนขับรับเพียงพยักหน้า แต่เขาไม่ทำตามอย่างที่หญิงสาวบอก กลับเร่งความเร็วผ่านเส้นทางที่เธอแนะนำไปอย่างรวดเร็ว

                “คุณ! เลยบ้านฉันแล้ว” เธอหันหลังมองบ้านหลังใหญ่บนอาณาเขตกว้างที่ค่อย ๆ เล็กลงจนลับสายตา

                “ใครบอกว่าจะให้น้ำผึ้งนอนที่บ้านล่ะ” เขาตอบ

                เธอควรรู้แต่แรก...ภัทรียาถึงกับกุมขมับ “เราจะไปนอนที่ไหนคะ”

                “ผ่านสี่แยกหน้าก็ถึงแล้ว รับรองน้ำผึ้งต้องชอบ”

                และเป็นอย่างที่หม่อมหลวงนิสัยเสียได้กล่าวไว้ เมื่อรถยนต์แล่นผ่านป้ายทางเข้าของโรงแรมระดับห้าดาว เข้าสู่พื้นที่ส่วนบุคคลที่สองข้างทางปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่จัดแต่งไว้อย่างดี สลับกับซุ้มประตูไม้สูงลวดลายตามแบบล้านนา สองด้านประดับด้วยตุง (ธง) สีแดงปักดิ้นทองที่ปลิวสะบัดล้อเล่นกับลมที่พัดอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่พื้นที่

                “ถึงแล้ว” คนช่างจัดการบอกเมื่อรถยนต์จอดสนิทในโรงจอดรถมีหลังคา

                “ค่ะ” เธอตอบพลางเปิดประตูออกไปยืนสูดอากาศภายนอก

                แล้วต้องทำยังไงต่อ? สมองภัทรียาต้องการคำตอบของตนเองเดี๋ยวนี้! เธอเดินออกห่างชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยกับพนักงาน นำหน้าเข้าไปยังโถงล็อบบี้โรงแรมที่สร้างด้วยไม้สักตามสถาปัตยกรรมล้านนา ผสมผสานกับความทันสมัยของตัวตึกสีขาวหรูหรา อีกทั้งความสงบร่มรื่น และกลิ่นหอมเย็นของดอกไม้สดที่ประดับประดาโดยรอบยิ่งมีผลต่อการทำงานของสมองหญิงสาว

                “สวยจัง...” แล้วแบบนี้เธอจะฉุดรั้งสติสัมปชัญญะให้อยู่กับตัวได้ยังไง

                ภัทรียารับแก้วทรงสูงใส่น้ำมะตูมเย็นฉ่ำจากพนักงานต้อนรับในชุดไทยล้านนาด้วยรอยยิ้ม พยายามระงับตัวเองไม่ให้มือสั่น

                “นั่งรอผมตรงนี้ก่อนก็ได้” ชายหนุ่มที่เพิ่งตามเข้ามาบอก ในขณะที่เขาเลยผ่านเธอไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งพนักงานต้อนรับสองคนยกมือไว้อย่างสุภาพ

                หลังจากนั่งรอจะเกิดอะไรขึ้น? นี่เธอกำลังนั่งรอผู้ชายเช็คอินโรงแรม? เธอจะต้องนอนกับผู้ชายในโรงแรมอย่างนั้นหรือ? สองต่อสอง! ไม่มีคนอื่น! เหมือนโลกจะถล่ม ดินจะทลาย หญิงสาวผู้ขาดความมั่นใจได้แต่คิดกังวล กลัวสายตาของใครต่อใครที่เดินผ่านเข้ามาภายในล็อบบี้ที่เห็นเธอมากับผู้ชายเพียงลำพัง กลัวยิ่งกว่านั้นว่าหากพบเจอคนรู้จัก แล้วเขาจะเอาเรื่องที่พบเธอไปบอกบิดามารดา

                “โอ๊ย! ทำไงดี เอาไงดี” ภัทรียาครวญ ก้มมองมือทั้งสองข้างที่กำลังสั่น ความคิดในหัวตีกันมั่วไปหมด

                “ได้ห้องแล้วครับ”

                มือใหญ่ที่สัมผัสไหล่ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว หันหวับมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “คุณภาคย์...คือฉัน...”

                “ครับ” เขาตอบใจเย็น สังเกตอาการผิดปกติของภัทรียาได้ตั้งแต่เธอลงจากรถยนต์

                “ฉันกลัว คุณจองห้องสองห้องไม่ได้เหรอ”

                “กลัวอะไรน้ำผึ้ง” ชายหนุ่มเอื้อมมือดึงมือเล็กกว่าที่เย็นเฉียบมากุมไว้ “บอกแล้วไงว่าเราต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผมไม่ทำอะไรน้ำผึ้งหรอก ถ้าน้ำผึ้งไม่ยินยอม”

                “ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันกังวลไปหมดทุกอย่าง กลัวว่าถ้าเจอคนรู้จักแล้วเขาเห็นฉันเข้าโรงแรมกับผู้ชาย เขาจะเอาไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ฉันคงไม่มีหน้ากลับมาอยู่เชียงใหม่”

                “หือ” ภาคย์เลิกคิ้วสงสัย “นี่โรงแรมห้าดาวนะ มีแต่นักท่องเที่ยวทั้งนั้น อีกอย่างใครจะคิดยังไงก็เรื่องของเขาไม่ใช่หรือไง เราสองคนรู้ดีที่สุด และถ้าน้ำผึ้งยังกังวลอีกผมหาหมวกกับแว่นตาดำให้เอาไหม”

                “บ้าเหรอคุณ ฉันก็แค่คิดกังวล แต่เราไม่แยกห้องกันจริง ๆ เหรอ” คนหวั่นใจยังมิวายตื๊อ

                “ไม่แยก ห้องที่นี่คืนละตั้งสามหมื่น ผมไม่เปิดอีกห้องให้คุณไปนอนกลิ้งโดยไม่มีผมเด็ดขาด อีกอย่าง คุณบอกว่าผมใช้เงินเก่ง ผมเลยคิดว่าเราก็ต้องประหยัดเงินเอาไว้แต่งงานด้วย”

                “สามหมื่น! ห้องพักอะไรคืนละสามหมื่น” หญิงสาวตาโต

                “ไปดูไหมล่ะ รถกอล์ฟรออยู่ตรงนั้นแล้ว” ชายหนุ่มตัวดียักคิ้ว เดินหันหลังนำหน้าหญิงสาวที่ยืนแข็งเป็นหิน

                มีหรือภัทรียาจะปฏิเสธเขาได้ เธอเดินตามต้อย ๆ ไปที่รถกอล์ฟของทางโรงแรมซึ่งมีไว้รับส่งแขกที่ต้องเดินทางในอาณาเขตกว้างใหญ่ ที่แบ่งโซนห้องพักออกเป็นสัดส่วน เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้มาเยือน เมื่อหญิงสาวผู้ไหวหวั่นได้นั่งชมเส้นทางชุ่มชื่นที่เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ และต้นไม้ใหญ่ให้สบายตา อาการในอกก็ทุเลาลง จนกระทั่งรถกอล์ฟคันเล็กจอดสนิทเบื้องหน้าบ้านเรือนไทยทรงทันสมัยที่มีกลิ่นไอล้านนา พนักงานในชุดไทยสองคนที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าบ้านจึงพร้อมใจกันยกมือไหว้ และเปิดประตูไม้บานใหญ่ออก เผยความงดงามของพื้นที่ส่วนตัวภายในบ้าน พร้อมยกกระเป๋าลงจากรถ จัดวางเรียบร้อย ยกมือไหว้อีกครั้งและจากไปอย่างรวดเร็ว

                เหลือเพียงหญิงสาวที่ยังคงตะลึงกับการต้อนรับอลังการ และที่พักสุดหรู หากมากับเพื่อนสาว ๆ ป่านนี้เธอคงชวนเพื่อนวิ่งไปสำรวจสถานที่ ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน แต่...ภัทรียาแหงนมองสีหน้าของชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ใจลึก ๆ ยังไม่คลายความกังวล

                “ชอบไหม” เขาถาม

                “ค่ะ” เธอตอบ ก้าวนำหน้าคนตัวใหญ่กว่า กวาดสายตาสำรวจห้องโถง บนเพดานสูงประดับด้วยไฟโคมที่ทำจากหวายสานทรงกลมห้อยเรียงลงมาตามลำดับจากใหญ่มาเล็กเกือบสิบดวง

                “โซฟาสวย อยากถ่ายรูปไหม”

                เธอมองตาสายตาชายหนุ่มไปยังเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ออกแบบทันสมัยเข้าชุด สลับกับสีขาวของผนัง และสีเขียวของอุปกรณ์ตกแต่ง

                “ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตอบไปอย่างนั้น แม้ใจอยากนั่งสะบัดผมให้เขาถ่ายภาพ แต่เธอไม่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์อย่างที่เขาต้องการเด็ดขาด

ภัทรียาเดินต่อไปยังทางเดินเชื่อมระหว่างปีกด้านขวาของบ้านที่มีแผ่นกระจกบานใหญ่คลุมเส้นทางระเบียง เผยให้เห็นต้นไม้ใหญ่สีเขียวสดชื่นปกคลุมโดยรอบ ทำเอาคนชอบบรรยากาศสงบร่มรื่นถึงกับเผลอยิ้ม อยากนั่งจิบชาที่โต๊ะด้านข้าง และปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลาย

“สวยนะเนี่ย” คนเดินตามหลังส่งเสียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้ม

“ค่ะ” อย่าทำให้ใจสั่นมากไปกว่านี้เลย ภัทรียาทำเป็นไม่สนใจ เปิดประตูไม้ที่อยู่สุดทางเชื่อม

ภาพเตียงไม้ขนาดคิงไซส์ประดับด้วยเสาสูงถูกวางไว้กึ่งกลางห้องกว้าง ทำให้เธอหยุดชะงัก ไม่อยากเข้าไปสำรวจห้องนี้เสียอย่างนั้น เธอเบนตัวย้อนกลับไปทางเดิมโดยไม่สนใจว่าคนตัวใหญ่กว่ายังคงเดินเข้าไปด้านในห้อง

บ้านใหญ่ขนาดนี้หวังว่าจะมีอีกห้องนะ หญิงสาวคิดอย่างมีความหวัง ย้ายตัวไปยังปีกด้านซ้ายของที่พัก ซึ่งเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำกลางแจ้งส่วนตัว และเมื่อเปิดประตูที่อยู่สุดทางเดินภัทรียาก็ถึงกับยิ้มกว้าง โล่งใจอย่างที่ยากจะอธิบาย

“ว้าว ห้องนอนห้องนี้สวยกว่าห้องที่แล้วอีก” เสียงคนเดินตามหลังทำให้เธอสะดุ้งเป็นครั้งที่สองของวัน

“งั้นคุณภาคย์นอนห้องนี้แล้วกันค่ะ ฉันนอนห้องโน้นเอง”

“เอางั้นเหรอ” หม่อมหลวงหนุ่มได้แต่อ้าปากค้างเมื่อหญิงสาวขยับตัวเข้าเกาะแขน ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณนะคะ คุณภาคย์ที่เข้าใจฉัน ฉันนึกไว้แล้วเชียวว่าสุภาพบุรุษอย่างคุณคงไม่บังคับฝืนใจฉันตั้งสามคืน ขอบคุณจริง ๆ ฉันรับรองว่าตลอดสี่วันนี้ฉันจะเป็นเด็กดีว่าง่าย คุณอยากไปไหนฉันก็พร้อมเป็นไกด์ให้คุณ อยากกินอะไรเป็นพิเศษฉันจะจัดหาให้คุณทุกอย่างเลย” ภัทรียายังคงส่งยิ้มกระจ่าง

“จริงเหรอ” ชายหนุ่มถาม เหมือนสมองถูกช็อตไปชั่วครู่

“ค่ะ ฉันจะพยายามเอาใจใส่คุณเยอะ ๆ อย่างที่คุณเอาใจใส่ฉัน” พูดจบคนร่าเริงต่างจากเมื่อครู่หน้ามือเป็นหลังมือก็วิ่งพลิ้วไปลากกระเป๋าสัมภาระของตนเองเข้าห้องที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

เหลือเพียงชายหนุ่มที่ทำได้เพียงกำหมัดชกลมอันว่างเปล่าอย่างผิดหวัง และเดินคอตกลากกระเป๋าเข้าห้องพักไปอย่างเดียวดาย

 

ที่พักราคาแพงหูฉี่นี้มีห้องนอนมากเกินความจำเป็น

“หม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย ทำไมนายถึงชุ่ยแบบนี้” เขาบ่นเงาสะท้อนที่ผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้งอย่างหงุดหงิด

ใช่ว่าเขาจะคาดหวังสิ่งอื่นสิ่งใดจากหญิงสาว นอกจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น แต่ไม่คาดคิดว่าจะต้องนอนห่างไกลกับหญิงสาวเกินช่วงตัวขนาดนี้ คิดแล้วคนพลาดก็ยิ่งโกรธตัวเอง หรือมีคนอื่นที่เขาควรโกรธมากกว่าตัวเอง คิดแล้วชายหนุ่มจึงกดเครื่องมือสื่อสารอย่างรวดเร็ว

“ไงไอ้หม่อม” คนปลายสายทักทายกลับมาอารมณ์ดี ต่างจากคนทางนี้โดยสิ้นเชิง “ห้องพักถูกใจมึงไหม กูเลือกบ้านหลังที่ดีที่สุดในโรงแรมให้มึงเลย”

“ดีที่สุดเหรอวะไอ้กร” ตอบไปก็นึกโมโหกรธวัช เพื่อนเก่าเจ้าของโรงแรมหรู ที่อุตส่าห์ไว้ใจให้เลือกห้องพัก

“อ้าว เสียงแบบนี้ มึงไม่พอใจตรงไหนบอกกูได้เลยไอ้หม่อม”

“ไม่ใช่ไม่พอใจ แต่สงสัยว่าทำไมมึงให้บ้านใหญ่ขนาดนี้ กูมากันแค่สองคนกับแฟนเท่านั้นเอง” แถมยังถูกเธอทิ้งให้นอนคนเดียวอีกต่างหาก คนถูกทิ้งให้อยู่ลำพังนั่งลงที่โซฟาหน้าเตียง มองห้องกว้างที่เหลือเฟือเกินความจำเป็น

“อ้าว ก็มึงอยากได้ห้องที่ดีที่สุด ในงบประมาณที่ให้มาก็บ้านนี้แหละ ทำไมวะ หรือแฟนมึงมีปัญหา”

“ไม่มีหรอก แต่มึงนี่แหละที่จะมีปัญหา”

“อ้าวเฮ้ย มีไรวะ อย่าเพิ่งโมโหดิไอ้หม่อม มีอะไรพูดดี ๆ น้ำไม่ไหล ไฟดับ หรือมีเสียงรบกวนบอกกูก่อน”

“เฮ่อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว “...ไม่มีอะไรแล้วกันไอ้คุณกร ถือว่ากูไม่ได้โทรหา”

เขาไม่ควรถือโทษกับเพื่อนเก่า จะผิดก็ที่ตัวเขาเองไม่ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการห้องนอนเดี่ยว บางทีเขาอาจเป็นพวกคิดทำชั่วไม่ขึ้นก็ได้

“อ้าว ทำเสียงเซ็งใส่กูอีกไอ้หม่อมนี่ เอางี้ เดี๋ยวกูเลี้ยงมื้อค่ำมึงกับแฟนแล้วกัน ถือโอกาสไถ่โทษที่กูก็ไม่รู้ด้วยแล้วกันว่ะ”

“เออก็ได้” เขาตอบ อารมณ์ยังคงขุ่นมัว

“แล้วมึงจะเที่ยวที่ไหนบ้าง ให้กูหาคนขับรถให้ไหม”คนเป็นเพื่อนเสนอ

“ไม่เป็นไร กูเช่ารถมาแล้ว ตั้งใจจะเที่ยวไปเรื่อย ๆ ไม่เฉพาะเจาะจงอะไร”

“เออดี นาน ๆ ทีได้พักบ้างไอ้หม่อม ไว้เจอกันเย็นนี้”

“เออ แล้วเจอกัน”

หลังวางสายจากกรธวัช เพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมฯ อารมณ์ที่ขุ่นมัวเมื่อครู่ก็จางลง เขาเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะออกไปเรียกหญิงสาวที่อยู่อีกปีกหนึ่งของบ้านพักให้มาอยู่ใกล้กัน ถึงเวลานอนจะไม่ได้ใกล้ชิด แต่อย่างน้อยขอให้ได้ใช้เวลาวันหยุดกับเธออย่างคุ้มค่าก็แล้วกัน

แต่ก่อนที่เขาจะออกไปด้านนอก เสียงเคาะประตูก็ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะเอื้อมจะลูกบิดประตูดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง

อย่างน้อยเธอก็มาง้อเขาก่อน

“ว่าไง” หม่อมหลวงภาคย์เปิดประตูตอบรับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง อยากให้หญิงสาวสังเกตอาการขุ่นมัวและง้อให้เขายิ้มแต่เหมือนภัทรียาไม่ได้สังเกตเห็นความรู้สึกชายหนุ่มเลย เธอยืนนิ่งด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไร ก่อนจะทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้น

“ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะคะ มีธุระอะไรคุณภาคย์โทรหาฉันได้ ฉันเอามือถือไปด้วยค่ะ”

อ้าว...

หม่อมหลวงหนุ่มเกือบร้องออกมาด้วยอาการผิดหวัง เขาจ้องเจ้าของดวงตาใสแจ๋วที่มองเขาเหมือนไม่เคยใส่ใจความรู้สึก

“ทำไมจะไปคนเดียว” เขาถาม

“ฉันเห็นคุณเงียบไป นึกว่านอนหลับไปแล้ว” เธอตอบ

นี่เธอไม่เข้าใจเขาเลยสักนิดใช่ไหม คนอารมณ์แปรปรวนง่ายนึกโกรธ ใจเขาคิดถึงแต่เธอ แล้วทำไมเธอจึงเห็นแก่ตัวหลงลืมเขาทุกครั้ง “ไม่ได้หลับ อยากออกไปไหนเดี๋ยวผมไปด้วย”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันแค่ออกไปแถวนี้เอง” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย ทั้งที่ไม่อยากทำให้เขารำคาญ แต่สีหน้าหงุดหงิดเหมือนคนถูกรบกวนทำให้เธอเริ่มหวั่นใจ

“ผมจะไป” เขาตอบเสียงแข็ง

ภัทรียาเม้มริมฝีปากอย่างขัดเขิน ยากที่ตัวเธอจะรู้ว่าในใจชายหนุ่มคิดอย่างไร แต่จากที่เคยคบหาคนรักเก่า เขามักจะรำคาญเวลาที่เธอเดินเล่นปล่อยอารมณ์อยู่เสมอ

“ก็ได้ค่ะ คุณอย่ารำคาญฉันก็แล้วกัน”

นี่เธอต้องการกวนตะกอนอารมณ์ให้ขุ่นมัวมากไปกว่าที่เป็นอยู่หรือไง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างอดกลั้น

“ผมจะรำคาญก็เพราะแบบนี้ ทำตัวให้เป็นธรรมชาติเหมือนคนปกติไม่ได้หรือไง หรือผมมันน่ารังเกียจนัก คุณถึงต้องทำท่าทางประหลาดทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน”

“เปล่านะคะฉันแค่เกรงใจคุณ” เธอแก้ตัว ก้าวถอยห่างจากชายหนุ่มที่ยากจะเดาอารมณ์

“งั้นเหรอ ถ้าเกรงใจนักก็ทำอะไรตอบแทนผมสิ เลิกทำท่าเหมือนผมเป็นตัวเชื้อโรคที่คุณไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าแตะต้องเสียทีได้ไหม” ชายหนุ่มตะโกนใส่หญิงสาวที่ยังคงทำท่าราวกับรังเกียจ ด้วยท่าทีของเธอทำให้ชายหนุ่มเลือดขึ้นหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างใหญ่เอื้อมมือเข้าไปกระชากต้นแขนทั้งสองข้างเธอไว้ แล้วเขย่า ฉุดดึงให้ร่างบอบบางตามเข้าไปภายในห้องนอน

เรี่ยวแรงมหาศาลที่บีบเนื้อต้นแขนทำให้เธอเจ็บ น้ำเสียงและสีหน้าดุดันของชายหนุ่มยิ่งทำให้ภัทรียาหวาดหวั่น กลัวความเกรี้ยวกราดที่กำลังลากเธอไปตามที่เขาต้องการโดยที่เธอไม่สามารถฝืนแรงได้สักนิด

“คุณภาคย์! คุณเป็นอะไรไป” เธอร้อง เจ็บที่ต้นแขนและกลางอก ไม่เข้าใจสถานการณ์สักนิดว่าเพราะอะไรจึงทำให้ชายหนุ่มผู้อ่อนหวานโกรธกริ้วได้ขนาดนี้

“รังเกียจผู้ชายอย่างผมมากนักใช่ไหม” เขาตอบเสียงพร่าด้วยอารมณ์ดุดัน

ร่างใหญ่เหวี่ยงเธอด้วยกำลังแขนที่มีขึ้นไปนอนบนที่นอนกว้าง โดยไม่ปล่อยให้ได้หลบหลีกได้สักวินาที เขาก็ก้าวขึ้นคร่อมลำตัว ก้มลงจับข้อมือทั้งสองเธอเหยียดขึ้นเหนือศีรษะในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกดปลายคางเธอไว้ด้วยนิ้วแข็งกระด้าง ดวงตาที่เคยหวานใสจ้องมองหน้าเธอด้วยแววดุดันราวกับภายในกายกำลังมีไฟที่ลุกโชน

“คุณภาคย์ อย่า!” สมองอันน้อยนิดของภัทรียายากจะประมวลผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ทัน หญิงสาวรับรู้แค่เพียงอารมณ์น่ากลัวของชายหนุ่มที่กำลังจะคุกคามทำร้ายร่างกายเธอ โดยที่เธอไม่สามารถดิ้นรนปัดป้องได้

“อย่าอะไร มองหน้าผม ดูสิว่าผมมันน่ารังเกียจขนาดไหน เกลียดผู้ชายนักใช่ไหม แต่ผมนี่แหละที่จะทำให้คุณร้องคราง แล้วคุณจะอ้อนวอนขอร่างกายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำให้รู้ว่าร่างกายผู้ชายมันดีกว่านิ้วผู้หญิงหลายเท่า”

หัวใจหญิงสาวสั่นสะเทือนกับความรู้สึกที่ชายหนุ่มเปิดเผย แม้เธอไม่ได้รังเกียจเขาอย่างที่เข้าใจ แต่เธอกลับขื่นขมกับสัมผัสจาบจ้วงที่ชายหนุ่มกดลงบนริมฝีปาก รสจูบหนักหน่วงร้อนแรงกำลังก่อความเจ็บปวดกับเธอ แม้อยากจะขัดขืนแต่เรี่ยวแรงกลับเหือดหาย เหมือนลมหายใจและวิญญาณกำลังเขาดูดกลืนผ่านริมฝีปากที่พูดจาว่าร้าย ปลายลิ้นร้อนระอุกำลังสร้างความปั่นป่วนภายในช่องปากอย่างสุดจะทาน สับสนหวามไหวกับความปั่นป่วนที่ก่อเกิดจากฝ่ามือที่ลูบไล้ ความรู้สึกมากมายถาโถม ทั้งชิงชัง ทั้งชื่นชอบ หญิงสาวรู้สึกราวกับตัวเธอเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่เขากำลังต้องการ น้ำตาแห่งไหลริน เมื่อหัวใจครวญราวกับถูกระลอกคลื่นพันเกี่ยว ลมหายใจเธอกำลังจะขาดหายเพราะความรุ่มร้อนของรสสัมผัส กลิ่นเลือดจาง ๆ และความเจ็บปวดในหัวใจสะท้านสะเทือนในอกราวกับว่าเธอเองจำต้องเป็นฝ่ายยอมจำนนกับความรุนแรงที่เขามอบให้

เสียงสะอื้นที่แรกผ่านลำคอเรียกสติของชายหนุ่มจากอาการโกรธจนหน้ามืดเกือบย่ำยีหญิงสาวโดยที่เธอไม่เต็มใจให้ลุกขึ้น ปล่อยริมฝีปากจากกลีบปากอันหวานล้ำ ใบหน้าสวยแดงก่ำ รอยเลือดจาง ๆ เปรอะเปื้อนปากเธอที่เจ่อบวม น้ำตาที่ไหลอาบแก้มกำลังกระชากหัวใจชายหนุ่มให้หลุดลุ่ย

นี่เขาทำอะไรลงไป!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น