“สำหรับผู้ชายแล้วอะไรคือเดตเหรอนิ้ง”
ภัทรียาจ้องหน้าเพื่อนรักที่กำลังป้อนข้าวลูกชายวัยสามขวบด้วยสายตาที่มุ่งมั่นตอนนี้เธอเหมือนคนเพ้อเจ้อ ทั้งวันเฝ้าคิดถึงคำชวนของหม่อมหลวงตาหวานให้ว้าวุ่น อีกทั้งหยุดยาวตั้งสี่วัน เขาจะพาเธอไปขึ้นเหนือล่องใต้ ตลอดสี่วันเลยหรือไร แล้วคำว่าเดตของเขาจะมีความหมายอื่นแอบแฝงให้มากความไหม นั่นทำให้สมองน้อย ๆ ของภัทรียาคิดไม่ตก ดังนั้นหลังเลิกงานเธอจึงรีบขึ้นแท็กซี่มาหาเพื่อนรักที่อาจจะพอให้คำตอบได้บ้าง
“นี่แกมาหาฉันซะเย็นขนาดนี้เพราะอยากถามเรื่องเดตนี่นะผึ้ง” นุสราย้อน
“อะไยคือเดะแม่” เด็กน้อยที่นั่งอยู่ด้านข้างถามเสริม
“เดตลูก...” สาวลูกสองตอบเด็กชาย และหันขวับจ้องหน้าภัทรียา “แกจะไปเดตกับใคร ที่ไหน ยังไง เล่ามาให้หมดผึ้ง”
“ก็คุณภาคย์นั่นแหละ สงกรานต์ร้านปิด”
“แล้วไงต่อ พูดมาให้หมดผึ้ง แล้วแกไปตกลงคบกันตอนไหน ยังไง เขาจีบแกจริง ๆ ใช่ไหม ฉันว่าแล้ว แค่เห็นเขามองแกฉันก็ว่าเขาต้องชอบแกแน่ ๆ”คนคอยลุ้นชี้ช้อนเปล่าใส่หน้าหญิงสาว
“เออ ฉันคบกับเขา นี่แหละที่ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อนิ้ง”
“ก็เดินหน้าสิ ไม่เห็นจะยาก ในเมื่อเขาชอบแก แกชอบเขา ทำให้เกิดคำว่าเรารักกันไม่เห็นเสียหาย”
“พูดไปแก ถ้ามันง่าย ๆ แบบนั้นฉันคงไม่ถ่อมาหาแกถึงบ้านหรอก นี่ฉันไม่รู้จะทำตัวยังไงจริง ๆ นะ แค่อยู่ใกล้เขาตัวฉันมันก็สั่น มือไม้เย็นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ภัทรียาโอดครวญ
นุสราขมวดคิ้วเหมือนจะออกความคิดเห็น ก่อนเรียกพี่เลี้ยงเด็กที่เล่นอยู่กับลูกสาวคนโตให้พาหนุ่มน้อยคนรองไปเล่นที่อื่น แล้วเดินไปหยิบขวดน้ำดื่ม แก้วสองใบวางตรงหน้า นั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะข้างกินข้าวตัวเดิม ตั้งท่าจริงจังพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อนผู้ไร้ประสบการณ์
“นางสาวภัทรียาคะ ฉันถามคำนึง แกคิดอะไรมากมายของแกเนี่ย ตอนที่เลือกคบพี่ปิ่นแกไม่เห็นคิดอะไรมากมายเลย”
“ก็เพราะไม่คิดมาก ฉันเลยต้องมานั่งกลุ้มแบบนี้ไง เมื่อวานก็มาขอยืมเงินฉันที่ร้าน ทั้งที่เป็นคนบอกเลิกฉันไปเองแท้ ๆ” ภัทรียาเท้าคางลงบนโต๊ะ ถอนหายใจอย่างหมดแรง
“อ้าว แล้วแกให้ไปหรือเปล่า อย่าให้เชียวนะคนแบบนี้กรวดน้ำคว่ำขันกันไปแล้วอย่ายุ่งอีก ผู้ชายดี ๆ อย่างหม่อมหลวงสุดหล่อรออยู่ทั้งคน แกห้ามใจอ่อนนะ”
“ไม่ได้ให้ ฉันไล่เขากลับไป” หญิงสาวตอบ แล้วจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แต่มีคนในร้านแอบถ่ายรูปฉันกับพี่ปิ่น แล้วส่งไปให้คุณภาคย์ เออ...เขายังไม่บอกฉันเลยว่าใครเป็นคนส่งให้”
“ต้องเป็นคนที่ไม่ชอบแกแน่ ๆ มีใครในร้านที่ไม่ชอบแกล่ะ”
“ที่นึกออกก็คุณอร ผู้จัดการร้าน แต่เขาไม่รู้สักหน่อยว่าฉันกับพี่ปิ่นเคยเป็นอะไรกัน” บอกไปพลางก็พยายามคิดถึงความเป็นไปได้ที่อรวสาจะแอบถ่ายภาพหาเรื่อง “ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน”
“อย่าตัดความน่าจะเป็นแก แล้วคุณภาคย์ว่าไงบ้าง”
“จะว่าไงล่ะ ก็ทะเลาะกันสิ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องฉัน...” ภัทรียาไม่อธิบาย แต่อาการหน้าแดงคงทำให้เพื่อนสนิทจับทางได้
“ฉันอะไรน้ำผึ้ง อย่าบอกนะว่ามีตบจูบ” ถามไปนุสราก็หัวเราะไป
“ไม่ถึงขนาดนั้นนิ้ง ไม่เอาแล้วแก...กลับมาเรื่องเดตก่อน ฉันต้องทำยังไงดี เขาไม่ยอมบอกว่าจะพาไปที่ไหน ฉันกลัวนะนิ้ง”
“กลัวอะไร แกก็โทรไปถามเขาสิ อ้างไปก็ได้ว่าจะได้เตรียมเสื้อผ้าถูก เผื่อเขาพาไปเล่นสงกรานต์ที่ทะเล ภูเขา เอ...หรือเขาจะพาแกไปหมกตัวอยู่ในโรงแรมตลอดวันหยุด” เพื่อนตัวดีหัวเราะลั่น ทำตาโตกลั่นแกล้ง
เหมือนภัทรียาจะเห็นภาพวาบหวิวตามไปกับคนมีสามี เธอปัดมือปฏิเสธแข็งขัน “ไอ้บ้า เขาไม่คิดทำอะไรแบบนั้นหรอก” แต่นั่นแหละที่ทำให้เธอต้องนั่งกลุ้ม
“เหรอ...อย่าคิดว่าผู้ชายเขาไม่คิดล่ะ”
“เขาอาจจะไม่คิดก็ได้ ฉันเพิ่งบอกเขาว่าฉันไม่ชินกับที่ต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ชาย”
“เขาต้องทำบางอย่างเพื่อให้แกชินแน่นอน” เพื่อนสนิทสวนกลับ
“โอ้ย...นี่แหละ ฉันไม่รู้จะทำไงดีนิ้ง” คนกลุ้มกุมขมับแล้วถอนใจ
“แกก็ถามเขาไปเลยตรง ๆ สิ โทรศัพท์ก็มีใช่ไหม กดไปถามเลยไม่เห็นจะยาก” นุสราเขย่าแขนหญิงสาว “โทรตอนนี้เลย ฉันฟังด้วย”
“เอางั้นเหรอ” ภัทรียาหรี่ตามองเพื่อน ใช่สมองใคร่ครวญอยู่ไม่นานแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสะพายขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“กดเลย เปิดลำโพงด้วย ฉันจะได้ช่วยคิด”
“แล้วฉันจะถามอะไรเขานิ้ง” คนซื่อบื้อขอความเห็น ถึงในหัวเต็มไปด้วยคำถาม แต่ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรถามออกไปหรือไม่
“ถามไปเลยน้ำผึ้ง แกเป็นแฟนเขาแล้วนะ ไม่ใช่แค่คนรู้จัก คนเป็นแฟนกันมีสิทธิถามกันตรง ๆ มีสิทธิรู้ด้วยว่าเขาทำอะไร อยู่กับใคร”
“เอางั้นเหรอ” หญิงสาวเปิดล็อคหน้าจอ เข้าโปรแกรมโทรศัพท์ เลื่อนหาชื่อชายหนุ่ม
ทำไมแต่ก่อนไม่เคยรู้สึก การกดหมายเลขโทรศัพท์ของหม่อมหลวงภาคย์เคยง่ายดาย ผิดกับเวลานี้ที่กังวลไปร้อยแปดจนระทึกในหัวใจ
“เออ กดเลย” ไม่เพียงแต่พูดเปล่า นุสราจัดการกดโทรออกให้คนขี้ขลาดเรียบร้อย พร้อมสั่งเสียงแข็ง “อย่าวางนะแก”
“แกดุเหมือนสามีแกขึ้นทุกวันนะนิ้ง” ภัทรียาหยอกเพื่อน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อสัญญาณรอสายดังขึ้น
หัวใจภัทรียายังไม่ทันได้ระงับความตื่นเต้น เมื่อเสียงรอสายครั้งที่สองจบลง ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งหนึ่งของคลื่นความคิดถึงก็ตอบรับ
“ว่าไงครับน้ำผึ้ง คิดถึงผมเหรอ” คนปลายทางถามน้ำเสียงสดใส
“กรี๊ด แค่รับสายก็หวานแล้ว” นุสราพยายามปิดปากตัวเองไม่ให้เสียงลอดเข้าไปด้วยอาการลุ้นสุดตัว
“ทำอะไรอยู่คะ ยุ่งอยู่หรือเปล่า” ภัทรียาตั้งใจปรับเสียงให้เป็นปกติ ไม่อยากถูกจับได้ว่าต้องอาศัยตัวช่วยเพื่อให้เกิดความกล้า
“ไม่ครับ เพิ่งกินข้าวกับคุณแม่เสร็จ กำลังจะจัดกระเป๋า น้ำผึ้งล่ะกินข้าวหรือยัง”
“ค่ะ คุณภาคย์คะ...”
“ถามเลย ๆ” เพื่อนตัวดีขยับปากช่วยลุ้น
“ครับ”
แค่คำตอบรับหัวใจเธอก็เจียนละลาย แล้วแบบนี้จะทนอยู่ใกล้ชิดตลอดสี่วันได้อย่างไร “เออ...เราจะไปที่ไหนกันเหรอคะ ฉันจะได้จัดกระเป๋าถูก”
“จัดชุดใส่สบาย ๆ ไปแค่สองสามชุดก็พอ ผมไม่พาน้ำผึ้งไปขายหรอก”เขาตอบ
“ชัดเจน เขาต้องวางแผนอะไรแน่ ๆ” นุสราวิเคราะห์พร้อมส่งเสียงให้เบาที่สุด
“ไปเล่นน้ำสงกรานต์เหรอ” ภัทรียาไม่ทันฟังเพื่อนสนิท เธอเริ่มถามไปตามสัญชาตญาณเมื่ออาการตื่นเต้นเริ่มลดลง
“อยากเล่นไหมล่ะ”
“อยาก ๆ” คนด้านข้างพยักหน้าแทน
“ไม่ซ้อนหลังกระบะ หรือมอเตอร์ไซด์ใช่ไหมคะ ถ้าแค่เดิน ๆ สาดน้ำก็พอไหว”
“แต่ผมไม่อยากเล่น” หม่อมหลวงเริ่มกวนประสาท
“แล้วถามทำไมคะ ตกลงจะต้องเตรียมเสื้อใส่เล่นสงกรานต์หรือเปล่า”
“เลือกโป๊ ๆ นะ ผมชอบ”
“คุณภาคย์” ภัทรียาอยากตีเพื่อนตัวดีที่ตอนนี้ลงไปนั่งปิดปากแสดงอาการเขินอยู่ที่พื้น ทั้งที่เธอคือคนควรอาย “ฉันไม่แต่งตัวโป๊”
“นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เป็นหรือไงแก” นุสราเสนอ พยักหน้าเห็นด้วยกับชายหนุ่ม
“ว้า...”คนปลายสายลากเสียงยาว “...งั้นแบบนี้ น้ำผึ้งเตรียมเสื้อผ้าที่คิดว่าใส่สบายหน้าร้อนก็พอ”
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันคะ”
“เชียงใหม่บ้านคุณไง สงกรานต์ทั้งที ผมก็อยากไปไหว้คุณพ่อคุณแม่น้ำผึ้ง”
“หา!!!” คนที่ร้องเสียงดังกว่าภัทรียาก็เพื่อนเธอนั่นแหละ
“ตกใจอะไร”คนปลายสายถาม
“ฉันไม่ได้ตกใจ แต่คุณภาคย์คะ เราจะไปเชียงใหม่ช่วงสงกรานต์ไม่ได้นะคะ คุณรู้ไหมว่าที่นั่นวายป่วงแค่ไหน อีกอย่างใครบอกว่าฉันจะให้คุณไปพบคุณพ่อคุณแม่”
“ผมนี่แหละจะไปพบ เอาแบบนี้น้ำผึ้ง พรุ่งนี้ผมไปรับที่คอนโดตอนเจ็ดโมงเช้า เครื่องที่จองไว้ออกเก้าโมง สิบโมงเราก็ถึงเชียงใหม่แล้ว ไม่ต้องตื่นเต้นไป ใจเย็น ๆ พรุ่งนี้เจอกัน” หม่อมหลวงหนุ่มอธิบายชัดเจน
เล่นเอาคนฟังอ้าปากค้างเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ตัดไปเรียบร้อย โดยเฉพาะนุสราที่นั่งลุ้นอยู่ด้านข้าง “ไอ้ผึ้ง เอาแล้ว”
“นิ้ง! ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่อยากกลับบ้าน” ภัทรียาร้องครวญ เริ่มคิดถึงบรรยากาศครั้งล่าสุดที่เธออยู่พร้อมหน้ากับบิดามารดา
“ไม่อยากให้คุณภาคย์ไปเจอพ่อแม่เหรอ ทำไมล่ะแก”
“เปล่า ฉันไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่เจอคุณภาคย์ต่างหาก ไม่อยากนึกถึงตอนที่สองคนนั้นเจอคุณภาคย์ โอ้ย...มีหวังท่านต้องจับฉันใส่กระสอบแล้วรีบมัดปากถุงส่งให้คุณภาคย์แน่เลย ท่านยิ่งอยากให้ฉันหาแฟนผู้ชาย แล้วรีบ ๆ แต่งงานมีลูก จะได้ไม่ฝันว่าจะเปิดร้านเบเกอรี่อีกไงนิ้ง”
“อ้าว แล้วไม่ดีตรงไหน” นุสราถามงง “แกก็มีงานทำที่ร้านท่านลุงของคุณภาคย์แล้วนี่ ยิ่งถ้าแกแต่งงานกับหลานชายท่าน ร้านนี้ก็คงไม่หนีไปไหนหรอก”
“นิ้ง...อย่าคิดแบบนั้นสิแก ฉันไม่เคยอยากได้อะไรของคนอื่นนะ เพราะแบบนี้ฉันยิ่งกลัวว่าพ่อกับแม่จะคิดไปไกล” เพราะรู้จักบิดามารดาเป็นอย่างดี ยิ่งชายหนุ่มออกตัวเร็วว่าต้องการพบหน้าสร้างสัมพันธ์ นั่นหมายความว่าจินตนาการของผู้อาวุโสทั้งสองคงไม่หยุดที่เธอกับเขาคบหาแค่ขั้นคนรัก
นุสราใช้ความคิดก่อนถามคำถามที่หญิงสาวยากจะตอบ “ตกลงแกชอบคุณภาคย์จริงหรือเปล่า ทำไมมีเรื่อง มีข้ออ้างนู่นนี่เยอะแยะไปหมดเลย พ่อแม่จะตกลงอะไรก็เรื่องของเขา ส่วนแกนะ...ถ้าแกชอบเขาจริง ๆ แกก็ต้องเอาใจใส่เขาบ้าง เรียนรู้ว่าเขาต้องการอะไร และแกก็แค่ทำตามที่แกต้องการสิผึ้ง บอกเขาในสิ่งที่อยู่ในใจแก เรียนรู้สิ่งที่อยู่ในใจเขา”
“เรียนรู้เหรอนิ้ง ฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย”
“นั่นไงผึ้ง คนคบกันก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่แกคบคุณภาคย์เป็นแฟนจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าคบแกก็ต้องชัดเจน มองสิว่าแกชอบเขาตรงไหน เขาชอบแกตรงไหน ฉันว่าเขาเองก็จริงจังกับแกนะ แล้วสักวันถ้าต้องแต่งงานเขาคงแต่งกับแกแหละ ว่าแต่แกเถอะ แกจะกลัวอะไรผึ้ง”
นั่นสิ...แล้วเธอกำลังกลัวอะไร?
เพราะคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจทำให้ภัทรียายากจะข่มตาหลับตลอดคืน ส่งผลให้เช้านี้สมองที่ควรกระฉับกระเฉงเพื่อต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มรูปงามนั้นด้อยประสิทธิภาพลง เห็นได้ชัดจากที่เธอเผลอหลับไปขณะนั่งรถยนต์จนตัวเอียงซบไหล่ชายหนุ่มอย่างไร้สติ ซ้ำร้ายกว่านั้นยังต้องให้เขาปลุกตื่นเมื่อถึงสนามบินอีก
“เมื่อคืนนอนน้อยเหรอ” หม่อมหลวงภาคย์เอ่ยถามขณะที่กำลังดึงมือเธอให้เดินตามเข้าไปด้านในอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ
“นอนไม่ค่อยหลับค่ะ” เธอตอบตามตรง
“ตื่นเต้นที่จะมาเที่ยวกับผมใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย “เรื่องธรรมดา น้ำผึ้งไม่เคยได้ไปไหนกับคนหล่ออย่างผม ก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา”
“หลงตัวเอง” พูดไปอย่างนั้น แต่สิ่งที่ชายหนุ่มบอกกลับเป็นเรื่องจริงที่ทำให้กังวล โดยเฉพาะเช้านี้หม่อมหลวงตัวดีช่างดูอ่อนเยาว์ ด้วยเสื้อผ้า และทรงผมที่ไม่ได้จัดแต่งจนเนี้ยบเช่นปกติ “ฉันนอนดึก เมื่อวานเลิกงานฉันแวะไปบ้านนิ้งมา เลยคุยกันดึกไปหน่อย”
“ตอนโทรหาผมก็อยู่กับคุณนิ้ง มิน่าล่ะได้ยินเสียงใครแว่ว ๆ ที่แท้มีลูกคู่ อยากรู้จังว่าคุณนิ้งแนะนำอะไรน้ำผึ้งมาบ้างนะ” เขาถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบ พลางนำเธอเดินต่อไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบิน
ด้วยเช้านี้เป็นวันแรกของวันหยุดเทศกาล จึงทำให้ผู้คนในสนามบินค่อนข้างหนาแน่นกว่าช่วงวันปกติ จนสองข้างทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน การแทรกตัวผ่านไปตามทางค่อนข้างยาก แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยอมไม่ปล่อยมือจากเธอ
“นิ้งบอกว่า ให้พยายามทำตัวตามสบายค่ะ” ภัทรียาตอบเมื่อได้พื้นที่ยืนต่อคิวสำหรับเช็คอินขึ้นเครื่อง
“ทำได้ไหม” ชายหนุ่มถาม เสยผมที่ปรกใบหน้าขึ้น
“ไม่ค่อยได้” แค่มองภาพเขาเสยผมก็ทำให้หัวใจเธอสั่น แล้วถ้าต้องอยู่ใกล้ชิดกันตลอดสามสี่วัน มีหวังหัวใจเธอคงวายตายได้ง่าย ๆ
“ค่อย ๆ ฝึกไป ผมจะช่วย” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มพราว ก้มศีรษะลงมากระซิบข้างหู “อยากให้ผมทำอะไรให้ บอกได้ทุกอย่างนะ”
เกลียดเขาก็เพราะความปากดีนี่แหละ ใบหน้าหญิงสาวร้อนจัด อยากข่วนปากผู้ชายนิสัยไม่ดีให้หยุดกลั่นแกล้ง “พอเลยคุณ ช่วยหยุดปากเสียก่อนเถอะ” เธอตีไหล่เขาเบา ๆ
“เรื่องนี้ท่าทางจะยาก พอ ๆ กับให้ผมหยุดดูดีนี่แหละ” ชายหนุ่มยักไหล่ ฉวยโอกาสโอบเอวเธอเสียอย่างนั้น
“หลงตัวเองที่สุด นิสัยแบบนี้ฉันถึงไม่อยากไว้ใจคุณ” แต่ทำให้ภัทรียาหัวเราะออกมาได้อย่างสบายใจ
“นิสัยหล่อใช่ไหม”
“ไม่ใช่ นิสัยไม่ดี”
หม่อมหลวงภาคย์หัวเราะในลำคอแล้วขยับเอียงตัวให้ใกล้ชิดหญิงสาวมากขึ้น “บางทีผมก็นิสัยไม่ดีบ้าง เป็นบางครั้งเท่านั้นเอง”
อย่างเช่นครั้งนี้
ชายหนุ่มก้มมองหญิงสาวที่กำลังหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาตอบข้อความจากเพื่อนสนิท สมองครุ่นคิดลำดับแผนการที่จัดเตรียมเมื่อเดินทางไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ หวังว่าเธอคงไม่รู้ตัวว่าเขาต้องการพบบิดามารดาเธอเพื่ออะไร แต่ถ้าไม่ฉกฉวยช่วงเวลานี้ไว้ รุกและผู้มัดเธอให้เร็วที่สุด ผู้หญิงเปี่ยมเสน่ห์ตรงหน้าอาจหลุดมือไป ต่อให้เธอจะเกลียดเขา แต่อย่างน้อยเขาไม่มีทางเกลียดตัวเองที่ตัดสินใจ...บางทีอนาคตเขาคงไม่เป็นอย่างบิดามารดาก็ได้
เขาไม่ควรคิดมากไป
“คุณภาคย์ ถึงคิวแล้วค่ะ” ภัทรียาดึงชายเสื้อชายหนุ่มเป็นสัญญาณ “เราเข้าแถวถูกเที่ยวบินใช่ไหมคะ เอ...หรือเราจะตกเที่ยวบินแล้วอยู่เที่ยวกรุงเทพฯ”
“ถ้าตกเที่ยวบินนี้ ผมจะพาคุณไปหมกตัวในโรงแรมสามคืน ไม่ให้ออกไปไหน บางทีหมดสงกรานต์คุณอาจจะรักผมหัวปักหัวปำ”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างผู้ชนะพลางเดินไปยังเคาน์เตอร์เช็คอิน ปล่อยให้ภัทรียาได้แต่กางนิ้วอยากข่วนใบหน้าหล่อ ๆ ให้เป็นริ้ว หรืออย่างน้อยให้ข่วนปากให้หายเสียก็ยังดี เธอทิ้งระยะยืนห่างชายหนุ่มระหว่างที่รอคอยให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋ว และโหลดสัมภาระ สายตากวาดมองแถวยาวที่อยู่ด้านข้าง ก่อนเงยหน้าอ่านป้ายเคาน์เตอร์
“คุณภาคย์! ไปแค่เชียงใหม่ คุณจองที่นั่งชั้นธุรกิจทำไม”
คนถูกเรียกหันมองเธอเหมือนแปลกใจ “นั่งสบายกว่า” เขาตอบ
“นั่งแค่ชั่วโมงเดียวเนี่ยนะ”
“น้ำผึ้งมีปัญหาเหรอ ผมเปลี่ยนเป็นเฟิร์สคลาสได้นะ”
“คุณจะบ้าเหรอ” ภัทรียาตาโต ดึงแขนชายหนุ่มแล้วขยับปากกระซิบ “ราคามันแพงกว่าชั้นประหยัดตั้งสิบเท่า”
“ไม่เป็นไร ผมรวย”
“แต่ฉันไม่มีเงินจ่ายคืนคุณ”
“ใครบอกให้จ่าย ผมชวนคุณไปเดต หมายถึงผมดูแลคุณได้น้ำผึ้ง” ชายหนุ่มตอบ หันหลังกลับไปรับบัตรโดยสารจากพนักงาน
เธอควรเอะใจตั้งแต่แรก นี่เธอจะต้องติดหนี้บุญคุณเขาไปอีกแค่ไหน ทรียาคิดโกรธตัวเองที่มัวแต่พะวักพะวงเวลาใกล้ชิดกับชายหนุ่ม จนลืมสังเกตรายละเอียดรอบตัว และตอนนี้คนตัวสูงก็เดินนำหน้าไปอย่างอารมณ์ดี จนถึงห้องพักสำหรับผู้โดยสารชั้นพิเศษ ภัทรียาจึงได้โอกาสตอบแทนชายหนุ่มด้วยการเดินไปชงกาแฟร้อน ตักข้าวต้ม ขนมปัง นำมาเสิร์ฟให้ถึงโซฟา และดูเหมือนหม่อมหลวงตาหวานท่ามากจะยินดีให้เธอบริการ เขาเอาแต่นั่งอมยิ้มสลับกับรับประทานอาหาร
“ยิ้มทำไม” เธออดไม่ได้ที่จะค่อนขอด เขินอายที่ถูกจับจ้องจนทำตัวไม่ถูก
“ชอบเวลาที่น้ำผึ้งเอาใจใส่ผม” เขาตอบ ยกกาแฟขึ้นมาจิบ
“ก็คุณจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้ฉันไปตั้งเยอะ ฉันก็อยากตอบแทนคุณบ้าง”
“อย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มกล่าว วางแก้วกาแฟลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่พอใจคำพูดเธอ
แต่จะทำอย่างไรได้ เธอรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ภัทรียาพิงตัวลงกับพนักโซฟา เบนสายตาหนีจากหม่อมหลวงหนุ่มอย่างจำยอม ภายในหัวใจหวั่นไหว แต่ยากจะยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นได้อย่างจนใจ
“ถ้าจะตอบแทน มีวิธีอื่นนะครับ”
เธอไม่กล้าถามต่อไปด้วยซ้ำว่าวิธีอื่นของเขานั้นหมายถึงวิธีใด หญิงสาวเลือกสงบปากแล้วตั้งสมาธิกับชามข้าวต้มดีกว่าจะต้องพลั้งพลาดกับวาจาตนเอง และเหมือนคนตรงหน้าจะล่วงรู้ความคิด เขาหัวเราะเบา ๆ กับแก้วกาแฟที่ยกขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนจะชะงักสายตากับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นด้านหลังเธอ
“อะไรคะ” ภัทรียาหันมองตามชายหนุ่ม
เมื่อผู้ชายวัยกลางคน ผมสีเทา รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายชุดเสื้อยืดคอปกสีชมพูอ่อนกับกางเกงยีนเข้ามายังส่วนพื้นที่พักผ่อน ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มให้กับผู้หญิงสาวสวย รูปร่างดี ที่สวมเสื้อสีและแบบเดียวกัน เพียงแต่ฝ่ายหญิงนุ่งกางเกงยีนขาสั้นอวดต้นขาขาวจัด
“ใครเหรอคะ” เธอถามชายหนุ่ม เมื่อเขารีบลุกยืน
“หม่อมราชวงศ์ภัทรพล ภาคินัย” เขาตอบ เสยผมที่ปรกใบหน้าขึ้น แววตาสงบราวกับท้องทะเลก่อนเกิดพายุ “ไปทักทายคุณชายกับผมหน่อยสิน้ำผึ้ง”
หม่อมราชวงศ์ภัทรพล...หญิงสาวขมวดคิ้วคิดตาม รู้สึกคุ้นกับใบหน้า และสายตาคมที่มองกลับมา
“สวัสดีครับคุณพ่อ ไม่นึกว่าจะบังเอิญขนาดนี้”
หา...คุณพ่อเหรอ ภัทรียาเกือบอ้าปากเมื่อชายหนุ่มเอ่ยทักทายผู้อาวุโส
“บังเอิญเกินไปหรือเปล่าภาคย์” ผู้อาวุโสตอบ สีหน้าเหมือนเบื่อหน่ายที่พบกับชายหนุ่ม
“ครับ คุณพ่อครับ นี่น้ำผึ้ง...น้ำผึ้ง นี่คุณพ่อของผม” เขาฉวยโอกาสโอบเอวหญิงสาว
คนไม่ทันตั้งตัวรีบยกมือขึ้นไหว้ทักทายทั้งสอง ไม่นึกว่าบิดาของหม่อมหลวงตาหวานจะหล่อเหลา มาดนุ่มราวกับพระเอกละครรุ่นเก่า อีกทั้งผู้หญิงที่ยืนเคียงยังดูสาวกระชากวัยจนเธอไม่อยากคิดว่าหล่อนคือมารดาของชายหนุ่ม
“ได้ยินชื่อมานาน ได้เจอตัวจริงเสียที หน้าตาน่ารักไม่เบานี่นา” คุณชายทักทายเธอ หันไปบอกหญิงสาวคนสวยข้างกายให้แยกไปหาที่นั่ง ก่อนกลับมาสนใจบุตรชายคนเดียวที่ยืนประจันหน้า “ภาคย์ แกไม่จำเป็นต้องไปเล่าเรื่องคุณหลินให้แม่แกฟังหรอกนะ แม่แกรู้อยู่แล้วว่าคุณหลินเป็นเลขาคุณประสงค์”
“ผมยังไม่ทันจะถามอะไรนะครับ คุณพ่ออย่าเพิ่งร้อนตัวสิ” ชายหนุ่มส่งยิ้มเย็น “ผมกับน้ำผึ้งเองก็ไม่อยากเอาเรื่องคนอื่นมาทำให้รกสมองเท่าไหร่”
“ทำให้ได้อย่างที่พูดเถอะ” หม่อมราชวงศ์ภัทรพลตอบ “อย่าให้เสียบรรยากาศเลยภาคย์ เดี๋ยวหนูน้ำผึ้งจะเบื่อเสียก่อน”
“เออ...ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวได้แต่ยิ้มงง ๆ
“ลุงดีใจนะที่เจอหนู ไปเที่ยวกันให้สนุกล่ะ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ ใจยังนึกสงสัยกับท่าทีหมางเมินของสองพ่อลูก
“ครับคุณพ่อก็เที่ยวให้สนุกครับ”ชายหนุ่มเสริม
“ฉันเที่ยวสนุกแน่ไอ้ภาคย์” ชายสูงวัยโบกมือราวกับไม่ยี่หระคำพูดของชายหนุ่ม ก่อนย้ายตัวเองไปนั่งกับหญิงสาวสุดเซ็กซี่ที่เลือกโซฟาอีกฝากหนึ่งของห้องพักผู้โดยสาร
“คุณพ่อก็แบบนี้” เขาเปรย “ขอโทษด้วยที่ทำให้น้ำผึ้งตกใจ”
“ไม่หรอกค่ะ แค่งงเท่านั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นเป็น...”
“แฟนมั้ง ช่างเขาเถอะ เรากลับไปกินข้าวต่อดีกว่า” ตอบแล้วชายหนุ่มจึงกลับไปนั่ง ลงมือรับประทานอาหารที่วางไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ความสงสัยยังคงเก็บอยู่เงียบ ๆ ภายในใจของภัทรียา ขณะที่ชายหนุ่มตรงข้ามทำท่าเหมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่เขากลับแสดงอาการเยือกเย็นเกินกว่าปกติ บางทีด้านในหัวใจลึก ๆ ของเขาอาจมีบางอย่างที่ซุกซ่อน...แต่นั่นแหละ เอาเข้าจริงแล้วเธอแทบไม่รู้จักตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้า เหมือนเขาตั้งใจแสดงเพียงสิ่งที่ต้องการให้เธอรู้เท่านั้น
“คุณภาคย์ ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยหลังจากสังเกตว่าเขาหยุดรับประทานอาหาร
“ถามอะไรครับ” เขาตอบ ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”
“คุณไม่ถูกกับคุณพ่อเหรอคะ” เธอไม่หยุดความตั้งใจ
“นิดหน่อย” เขาอมยิ้มขณะลุกยืนยื่นมือให้เธอสัมผัส
“ค่ะ” คงไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง ภัทรียาคิด แต่ไม่ถามในสิ่งที่เขายังไม่อยากให้คำตอบ
“เอาไว้คืนนี้ ผมมีเวลาตอบทุกคำถามของคุณเลย”
แน่ ๆ เขาต้องมีบางอย่างปิดบัง...ภัทรียาพยักหน้าตามคำของชายหนุ่ม ในใจยังคงค้างคากับกำแพงบาง ๆ ที่กั้นขวาง หญิงสาวเดินตามคนตัวใหญ่กว่าที่จูงมือไม่ปล่อยไปยังเส้นทางขึ้นเครื่องบิน ความกังวลจุดเล็ก ๆ ก่อขึ้นในความรู้สึก เหมือนยิ่งก้าวลึกเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มยิ่งซ่อนเร้นตัวตนที่เคลือบไว้ด้วยท่าทีสบาย ๆ
คงเป็นครั้งแรกที่เธอใส่ใจชายที่อยู่ข้างกาย และต่อจากนี้เธอจะพยายามให้มากกว่าเดิม ภัทรียาบอกตัวเองแล้วกระชับมือใหญ่อบอุ่นให้แน่นขึ้น อยากสังเกต ศึกษาเขาด้วยหัวใจ มากกว่าใช้สายตาที่มองเพียงวัตถุภายนอกราคาแพงที่เคลือบปกปิดไว้
ความคิดเห็น |
---|