บทที่ ๓
“เสร็จแล้วจ้ะของโปรดซี ขอโทษที่ให้รอ...”
เสียงพูดชะงักไป เมื่อคนที่เพิ่งทำอาหารเสร็จโผล่หน้าออกมาจากห้องครัวพร้อมจานใส่แพนเค้กที่เพิ่งทอดจากกระทะ แล้วพบว่าคนที่อยู่ในห้องรับแขกนอนเหยียดยาวบนโซฟาหลับไปแล้ว คราแรกหญิงสาวจะเข้าไปปลุก แต่เมื่อเดินมาใกล้ เห็นหลับสนิทก็เปลี่ยนใจ เอาแพนเค้กเข้าไปเก็บ แล้วไปหยิบผ้ามาห่มให้น้องซึ่งนอนตะแคงข้าง ทำให้แขนข้างหนึ่งตก หญิงสาวค่อยๆ จับไหล่กึ่งกดกึ่งผลักเบาๆ ให้อีกฝ่ายนอนหงาย คนหลับพลิกตัวตาม ทำท่าเหมือนจะตื่นแต่ก็หลับต่อ ท่าทางบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์นั้นเรียกรอยยิ้มให้ฟ้ารดาอีกครั้ง ขณะที่เธอนึกย้อนกลับไปตอนที่คุยกันหน้าบ้าน
‘ฟาง...เป็นอะไร ทำไมมองผมแล้วทำหน้าเศร้าด้วย ผมไม่ชอบให้ฟางทำหน้าแบบนี้ ไม่ดีใจที่ผมกลับมาเหรอ...จอนนี่ดูฟางสิ แปดปีนี่ไม่เปลี่ยนเลย ก็รู้อยู่ว่ามีอะไร แต่พอถามก็ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนเลย ผมดีใจจริงๆ นะที่ได้กลับมา ผมจะมาอยู่กับฟาง ได้ไหม ฟางบอกว่าถ้าผมอายุยี่สิบสามก็คือโตเป็นผู้ใหญ่ ผมรอให้ตัวเองโตพอที่ฟางและคนรอบตัวฟางจะไม่ใช้คำว่าเด็กมาตัดสินความคิดผม ผมนับวันรอ ผ่านวันเกิดก็บินตรงมาหาฟางเลย ไม่แวะที่ไหน...เพื่อมาเจอฟางตามสัญญา’
แวบแรกนั้นฟ้ารดาเห็นแววตาของกนธีเปลี่ยนไป มันดูไม่คุ้นเคย ไม่ใช่แววตาของน้องชายที่รู้จัก มันมีความสุขุมแน่วแน่ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทวงถามสัญญา และมีการข่มขู่อยู่ในนั้น แต่ก็แค่แวบเดียวจนอาจเป็นเธอที่คิดไปเอง เพราะเวลานี้แววตาของคนที่ยังอุ้มจอนนี่อยู่ก็เป็นอย่างที่เคยเป็น ดวงตาที่มีรอยยิ้มสดใสอย่างเมื่อแปดปีก่อน เป็นคนที่ไม่มีพิษมีใครกับใคร เป็นคนที่ติดพี่ฟางที่สุด
‘ซี...’
คนถูกเรียกละสายตาจากแมวจอนนี่ที่เขาลูบหัวอยู่ รอฟังสิ่งที่เธออยากจะพูด อยากจะถาม ฟังอย่างตั้งใจ ไม่รีบเร่ง มีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก คิ้วข้างหนึ่งยกขึ้นเล็กน้อย นั่นคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยในสายตาฟ้ารดา
‘สบายดีใช่ไหม ซีมีความสุขดีใช่ไหม แปดปีที่ผ่านมาซีเป็นยังไงบ้าง บอกพี่ฟางได้ไหม’
สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังได้ยินคำถาม นั่นคือสิ่งที่ฟ้ารดารู้สึกได้ กิริยาหลุบตาลงต่ำหลังรู้คำถามคือการคิดคำตอบ คิดเพื่อพูดความจริง หรือคิดหาคำพูดที่ควรพูดล่ะ การพยักหน้าเพียงครั้งเดียวบอกอะไรไม่ได้...เพราะเป็นการเลี่ยงตอบ แต่เธอก็ไม่มีโอกาสตั้งคำถามใหม่เมื่ออีกฝ่ายตัดบท
‘ผมหิวแล้ว ฟางเข้าบ้านเถอะ ทำอะไรให้กินหน่อยครับ ผมอยากกินแพนเค้กร้อนๆ ฝีมือฟาง’
มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในหัวฟ้ารดาเวลานี้ น้องมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร มาบ้านนี้ถูกได้อย่างไร ไปเอาที่อยู่บ้านเช่านี้มาจากไหน ทำไมอยู่ๆ จึงได้ปรากฏตัวขึ้น จากคำพูดก่อนหน้านี้ น้องบอกว่าบินตรงมาหาเธอเลย ถ้าอย่างนั้นทำไมของที่ติดตัวมาจึงมีแค่กระเป๋าเป้ใบเล็กๆ ที่เวลานี้ถูกทิ้งไว้บนพื้น หญิงสาวเอื้อมไปหยิบมันขึ้นเพื่อจะวางให้เรียบร้อย
เบาหวิวเลย นั่นบ่งบอกว่าในกระเป๋าไม่น่าใส่อะไรไว้มากมาย
น้องมาจากญี่ปุ่นไม่ใช่หรือ มาแต่ตัว...หรือแวะที่พักอื่นก่อน
อยากรู้...ว่าตลอดแปดปีที่ผ่านมาน้องอยู่อย่างไร
ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวแบบไหน พวกเขาดีกับน้องไหม
นั่นคือสิ่งที่อยากรู้และห่วงมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ ได้แต่พูดปลอบใจตัวเองไปวันๆ ไม่มีที่ไหนจะดีเท่าการได้กลับไปอยู่กับคนในครอบครัว แม้เธอคิดว่าน้องคือครอบครัว แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอและน้องถูกแยกจากกัน...ทั้งที่มันคือสิ่งสุดท้ายที่เธออยากทำ แต่ก็ต้องทำเพราะเล็งเห็นปัญหาที่จะตามมา ปัญหาที่เด็กสิบเจ็ดในเวลานั้นมองไม่เห็นทางออกและวิธีจัดการ จึงเลือกจะปล่อยมือน้อง ปล่อยมือที่เธอกุมอยู่ในเวลานี้
‘พี่ฟางขอโทษนะซี ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่ฟางจะไม่เลือกอย่างนั้น ไม่เลือกแก้ปัญหาโดยการให้ซีไปอยู่กับคนอื่น ไม่ใช่ทำเพื่อซี แต่พี่ทำเพื่อตัวเอง พี่ไม่อยากอยู่โดยไม่มีซีอีกแล้ว กลับมาได้ไหม กลับมาเป็นพี่น้องกันอย่างเมื่อก่อน มาเป็นครอบครัว...ถึงไม่มีพ่อแม่ แต่พวกเราจะมีกัน มีพี่ฟางเจ้าซีเหมือนเดิม’
“ฟาง...”
เสียงเรียกทำให้คนที่ก้มหน้าปาดน้ำตาตกใจเล็กน้อย รีบปรับสีหน้า ยิ้มให้คนที่เพิ่งตื่น
“ร้องไห้เหรอ”
“เปล่าจ้ะ แค่ฝุ่นเข้าตาน่ะ พี่กำลังจะมาปลุกซีไปกินแพนเค้ก...”
ฟ้ารดาชะงักไปเมื่อกนธีลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือข้างหนึ่งมาประคองแก้มเธอไว้ อุ้งมืออุ่นๆ ดูใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ช่วงแขนก็ยาวขึ้น ซึ่งก็ไม่แปลก ผ่านมาแปดปีแล้ว เด็กชายกนธีในวันก่อนโตขึ้นมาก เป็นชายหนุ่ม เป็นผู้ใหญ่ เขาไม่ใช่น้องซีตัวน้อยๆ ของเธอคนเดิม
“ซี?”
จูบ...เป็นอีกครั้งที่กนธีแสดงออก จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากพี่
จูบ...ที่คราวนี้ฟ้ารดาตกใจน้อยกว่าคราแรก
จูบ...ที่คนจูบแสดงออกว่าเขาต้องการปลอบอีกฝ่ายจริง ๆ
“ผมไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ ฟางไม่ผิด ไม่มีใครผิด พวกเราแค่ยังเด็ก ที่ผ่านมาฟางอาจจะไม่รู้ว่าผมอยู่ยังไง โตมายังไง มันไม่สำคัญ สิ่งที่จะสำคัญคือช่วงเวลาต่อจากนี้ ผมกลับมาแล้ว มาทวงสัญญาของผมที่เคยบอกฟางไว้...ถ้าผมทำได้ ฟางจะต้องเป็นของผม...ของผมคนเดียว!”
ฟ้ารดาอึ้งไปกับคำเน้นย้ำสุดท้าย ตีความสิ่งที่น้องจะบอก...
ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยได้ยินคำพูดแบบนี้...เป็นครั้งแรก
น้องเคยบอกไว้เมื่อแปดปีก่อน...บอกว่าเธอเป็นของเขาคนเดียว
แต่ทำไมพอถูกพูดซ้ำในวันนี้ เธอจึงรู้สึกต่างออกไป
คิดว่ามันไม่น่าจะใช่คำพูดที่น้องชายตัวน้อยพูดกับพี่สาว
ถ้านี่ไม่ใช่น้องชายเธอ คงคิดว่าเป็นคำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่จะประกาศความเป็นเจ้าของผู้หญิงที่เขารัก ผู้หญิงที่เขารักแบบคู่รัก แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เธอคงแค่คิดไปเอง ช่องว่างแปดปีคงทำให้เผลอคิดไปอย่างนั้น ไม่น่าจะมีอะไร น้องชายโตแล้ว น่าจะแยกแยะความรักของพี่น้องกับหนุ่มสาวได้แล้ว
“นิ่งไป แสดงว่ารับรู้แล้วนะ ตกลงตามนี้ ผมชัดเจนแล้วนะ” เจ้าตัวร้ายยิ้มตีมึนใส่อาการอึ้งของอีกฝ่ายเข้าข้างตัวเอง ขยับเข้าไปหอมแก้มพี่ซ้ายขวา แล้วก็รีบชิ่ง “ไหนแพนเค้กผม...แพนเค้กจ๋า ซีมาแล้ว มีกี่แผ่นนะ ทำเป็นคอนโดให้ผมรึเปล่า...ว้าว...ต้องอย่างนี้สิฟาง จะกินไม่ให้เหลือสักชิ้นเลย!”
คืออะไร ฟ้ารดายกมือกุมสองแก้มที่เพิ่งถูกจูบไป
อะไรคือตกลงตามนี้ ผมชัดเจนแล้วที่ว่าคือเรื่องไหน
“ฟาง กาแฟผมล่ะ ผมไม่กินนมตอนเช้าแล้วนะ ผมจะเอากาแฟ”
เสียงโวยวายดังแว่วมาจากโต๊ะกินข้าว ทำให้หญิงสาวต้องสลัดเรื่องงงๆ ออกจากหัว รีบตามน้องชายเข้าไป เห็นเขายืนกัดแพนเค้กเคี้ยวหนุบๆ โดยไม่ได้ใช้ช้อนหรือส้อม ซึ่งเป็นกิริยาที่เจ้าซีของเธอจะไม่ทำ
“ไม่เอานม ผมตัวสูงพอแล้ว ขอกาแฟดำ เข้มๆ เลย...อย่าบอกว่าเด็กกินกาแฟไม่ดี ผมโตแล้ว...กินได้แล้ว”
ฟ้ารดาค้อนเบาๆ ใส่คนที่ดักทางเธอ แถมหัวเราะใส่เธอด้วย
“จ้า เดี๋ยวพี่ชงให้ นั่งกินดีๆ สิซี อย่ายืนกินแบบนั้นไม่เรียบร้อย”
ไม่บอกเปล่า ฟ้ารดายังปรี่เข้าไปบังคับให้ทำตาม แย่งชิ้นแพนเค้กจากมือน้องกลับไปใส่จาน หยิบผ้ามาเช็ดมือที่เปื้อนให้ ทำอย่างที่เธอทำกับเด็กตัวน้อยๆ ซึ่งเด็กตัวไม่น้อยคนนี้ก็ดูจะไม่ยอม ยังคงต่อต้าน บอกว่ากินแบบนี้สะดวกดี จนถูกพี่ตีมือแถมบีบจมูกเจ้าดื้อ
“ถ้าไม่ฟังพี่จะไม่ให้กินเลย ใช้ช้อนส้อม”
“อะไรกันฟาง” คนจะกินแบบเดิมโวยวายเมื่อจานแพนเค้กถูกยกหนี แล้วคนยกก็ขู่ว่าถ้าไม่ทำตามจะเอาไปทิ้ง “โอเคๆ ใช้ช้อนส้อมก็ได้ วางลง นั่นแพนเค้กผม...นะ ขอผมเถอะ ผมหิวมากเลย”
พอได้สิ่งที่ต้องการก็ยิ้มกว้าง สองมือจับส้อมและช้อน ยอมเป็นเด็กดีของพี่ฟางอย่างที่เคยเป็น
แล้วนั่นก็ทำให้คนเป็นพี่ลืมตัว ก้มลงให้รางวัลเด็กน้อย
ก้มลงโอบไหล่เขา...พร้อมทิ้งจูบที่กลางกระหม่อม
“เก่งคับ งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวพี่ไปชงกาแฟให้”
ในขณะที่คนถูกจูบยิ้มกริ่มมีความสุขกับสัมผัสที่ได้รับ คนพี่ก็ความรู้สึกช้า เพิ่งมารู้ตัวเมื่อเข้าไปถึงห้องครัว
‘เมื่อกี้ทำอะไร ฟาง’
คิดได้อย่างนั้นก็หน้าร้อนผ่าว รู้สึกตกประหม่าแปลกๆ กับพฤติกรรมเคยชินที่ตัวเองทำ หวังว่าน้องจะไม่ได้คิดอะไร ด้วยความอยากรู้จึงแอบชะโงกหน้าไปดูคนที่กินแพนเค้กอยู่ด้วยท่าทางปกติ ออกแนวอารมณ์ดีด้วยซ้ำ ทำให้หญิงสาวถอนหายใจ ได้แต่พึมพำว่าคราวหน้าต้องระวังตัว
เจ้าซีโตเป็นหนุ่มแล้ว...จะทำอย่างนั้นไม่ได้
เป็นพี่ต้องระวังให้มากๆ เดี๋ยวทำน้องโกรธ
อย่าทำอะไรที่จะทำให้น้องรู้สึกไม่ดีนะฟาง!
“ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ”
กนธีที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำเดินตามเสียงฟ้ารดาขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน เข้าไปในห้องนอนที่ประตูเปิดทิ้งไว้ จึงเห็นว่าหญิงสาวคงขึ้นมาเตรียมห้องให้เขา ชายหนุ่มไม่ได้เดินเข้าไปหา แต่หยุดรออยู่หน้าประตู มองไปที่หญิงสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยความอยากรู้ว่าปลายสายเป็นใคร
“ฝากขอโทษท่าน ผอ. ด้วยค่ะ ส่วนเรื่องเอกสารพรุ่งนี้ฟางจะเอาไปให้ตั้งแต่เช้า...ขอบคุณนะคะพี่นาง...ค่ะ...ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ฟางก็คงไม่กล้ารบกวนลางานกะทันหันแบบนี้ค่ะ ไว้พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
‘ไปลางาน? เพื่ออยู่กับเรา? ดีใจจัง ดีใจวู้ย! ดีใจจัง!’
ใครบางคนแทบอยากกระโดดร้องเย้เมื่อเห็นพี่ให้ความสำคัญ แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นก็ทันคิดเข้าข้างตัวเองได้อีกรอบ จึงชะงักไป
ว่าแต่...จะมาดีใจอะไรกับเรื่องแค่นี้เจ้าซี ฟางเป็นของแกอยู่แล้ว ต่อไปแกก็จะให้ลาออกจากงาน เก็บฟางไว้คนเดียวอยู่แล้วนี่นา
ไม่เห็นจะต้องมาดีใจกับเรื่องแค่นี้เลย เพราะตอนนี้ฟางเป็นของแก!
“ฟาง...”
หลังวางสายฟ้ารดาก็จะเปลี่ยนปลอกหมอนต่อทันที จึงยังไม่ทันเห็นว่าเจ้าตัวร้ายมายืนมองอยู่ครู่ใหญ่แล้ว
“จะทำอะไร นี่ยังเช้าอยู่จะนอนแล้วเหรอ...งั้นมานอนกัน”
เมื่อคำว่านอนกันจบ กนธีก็กระโจนเข้าไปหาพี่สาว ล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน ความนุ่มฟูของที่นอนทำให้คนทั้งคู่เด้งดึ๋ง หมอนกระเด้งกระดอน คราแรกนั้นฟ้ารดาค่อนข้างตกใจ จะหันไปตำหนิคนที่ทำเธอใจหาย แต่เมื่อได้สบตาคนที่คร่อมอยู่บนตัวเธอ ได้เห็นรอยยิ้มใสๆ ของคนที่เข้ามากอดเธอไว้ ซุกหน้ากับไหล่ ทำท่าออดอ้อนเหมือนเจ้าซีตัวจิ๋วก็ทำให้เธอใจละลาย พี่ฟางคนนี้ก็เป็นอย่างเคย พี่ฟางไม่เคยดุใส่ ‘เจ้าซี’ ได้เลย
‘ฟางอย่าโอ๋น้องมากนักนะลูก ดุน้องบ้างก็ได้ เวลาเจ้าซีซน ฟางต้องดุน้องนะ’
‘ซีไม่ได้ซนอะไรนี่คะแม่ แล้วฟางไม่ชอบเวลาน้องทำหน้าเศร้า ฟางชอบให้ซียิ้ม น้องยิ้มแล้วเหมือนโลกสดใส ซีเขาน่ารักนะคะแม่ ฟางใจไม่แข็งพอที่จะดุหรอก แล้วอีกอย่างนะ ซีเป็นเด็กดี แค่บอกแค่คุยก็รู้แล้ว ไม่ต้องดุเขาหรอกค่ะ ใช่ไหมคะพ่อ’
‘คุณก็ไม่ต้องไปพยักหน้าสนับสนุนฟางเลยนะนนท์ เพราะมีคุณกับพี่ฟางตามใจ เดี๋ยวเจ้าซีก็นิสัยเสียหรอก นิสัยเสียเหมือนแฝด...’
‘คุณ...’ อานนท์สะกิดเตือนลับหลังสายตาลูกสาว อีกฝ่ายจึงรู้ว่าหลุด
‘นิสัยเสียเหมือนใครคะแม่ แฝดอะไรคะ’
‘แฝดอะไรลูก แม่บอกว่านิสัยเสียเหมือนแม่ เพราะแม่โดนพ่อตามใจ’
‘ใช่ลูก พ่อสปอยล์แม่เอมิเกินไป บางทีแม่เอมิก็จะมีความดื้อ จนพ่อต้องเรียกเจ้าดื้อเอมิจัง’
‘เมื่อกี้ฟางได้ยินเป็นแฝดจริงๆ นะ’
‘อย่ามาเบี่ยงประเด็น ทำตามที่แม่บอกด้วยนะฟาง อย่าตามใจเจ้าซีมาก เดี๋ยวน้องดื้อใส่ฟาง ไม่กลัวฟาง อย่าหาว่าแม่ไม่เตือนนะ’
‘ไม่หรอกค่ะ เจ้าซีของฟางไม่ดื้อหรอก เจ้าซีของฟางเป็นเด็กดี เด็กดีที่สุดในโลกเลยค่ะ’
เมื่อก่อนฟ้ารดาเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้ก็ยังเชื่อเช่นเดิม
ด้วยเหตุนี้เธอจึงยอมให้น้องนอนกอดอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่
“ซี...ปล่อยพี่ได้แล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วจะมาอ้อนแบบนี้”
คนโดนขอให้ปล่อยส่ายหน้าดุกดิก มือที่โอบตัวเธอไว้ยิ่งกระชับแน่นขึ้น แถมบอกว่าจะนอนกอดฟางแบบนี้
“ถ้าจะนอนก็ปล่อยพี่ก่อน พี่จะได้เตรียมที่นอนให้ เจ้าซี...ปล่อยได้แล้ว พี่จะลุก!”
“ไม่เอา” พอพี่เสียงเข้มก็เปลี่ยนเป็นใช้เสียงสอง หรืออาจเรียกว่าเสียงสี่ ห้า หก ก็ได้เพราะมันดูงุ้งงิ้งเกินขนาดตัวและแรงที่ใช้ล็อกตัวพี่สาวไว้ “อย่าดิ้นสิฟาง ขอผมกอดหน่อย ผมคิดถึงฟาง แล้วก็คิดถึงแม่ด้วย ผมอยากกอดแม่ แต่แม่ไม่อยู่ด้วยแล้ว มีแค่ฟาง ผมแค่อยากกอดฟางแทนแม่...ก็ไม่ได้เหรอ”
ฟ้ารดาจำได้ว่าตอนที่เสียแม่และพ่อไปกนธีเสียศูนย์ไปพักใหญ่ น้องชายแทบไม่ยอมสื่อสารกับใคร หวาดผวาอุบัติเหตุ ฝันร้ายทุกครั้งที่หลับ เธอต้องอยู่ด้วย คอยกอดเป็นที่พึ่งทางใจให้น้อง ให้น้องได้กอดได้ซบไหล่เธออย่างที่น้องทำอยู่ในเวลานี้
“ไม่มีพ่อกับแม่แล้วนะฟาง ผมมีแค่ฟางคนเดียว”
ฟ้ารดาลูบหลังน้องขณะยอมกอดตอบ มองข้ามความไม่เหมาะสม เพราะสัมผัสความเศร้าในใจอีกฝ่ายได้
“ผมไม่มีใครแล้วนะ ผมมีแค่ฟาง ถ้าฟางไม่ใจดีกับผม ผมก็ไม่เหลืออะไรแล้ว อย่าใจร้ายกับผมนักเลยฟาง...เจ้าซีต้องการฟางนะ”
คนถูกอ้อนไม่ได้พูดอะไรกลับไป แต่เธอทำอย่างที่เคย นั่นคือเอื้อมมือไปกุมท้ายทอยน้องไว้ ลูบปลอบเพื่อส่งสัมผัสบอกไปว่า ‘พี่ฟาง’ ไม่เคยคิดจะใจร้ายกับ ‘เจ้าซี’ พี่คนนี้ยังคงเป็นพี่สาวที่พร้อมจะโอ๋น้องจนมักจะถูกคนรอบตัวเตือนเสมอ ทั้งเตือนแกมเอ็นดูและเตือนอย่างจริงจัง หนึ่งในคนที่จริงจังก็คือแม่เอมิของเธอ
“ไหนว่าโตแล้วไง ทำไมยังทำตัวขี้อ้อนเหมือนเด็กอีก เจ้าซีหนอเจ้าซี”
ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แปดปีที่ผ่านมา นี่คือน้องชายที่น่ารักคนเดิมของเธออย่างแน่นอน แม้จะอายุมากขึ้น ตัวใหญ่กว่าเธอมาก สูงกว่าเธอเกือบฟุต แต่สุดท้ายใจก็ยังคงเป็นน้องชายตัวน้อยๆ คนเดิม
“ผมก็เป็นเด็กแค่กับฟางคนเดียวนั่นแหละ”
“หือ?” ฟ้ารดาได้ยินไม่ถนัด “เมื่อกี้ซีว่าอะไรนะ”
“เปล่า...ฟาง ผมง่วงจัง ยังไงฟางก็ไม่ได้ไปทำงานแล้ว ขอนอนก่อนนะ นอนกอดฟางไว้แบบนี้” คนถูกขอว่าจะแย้ง แต่ก็โดนเจ้าตัวร้ายชิงพูดก่อน “เมื่อคืนผมก็ไม่ได้นอน ใจดีกับเจ้าซีหน่อยนะฟาง”
ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบ เจ้าซีตัวร้ายก็พลิกตัวไปนอนหนุนหมอน รั้งตัวพี่มากอดไว้ไม่ยอมปล่อย ในขณะที่อีกคนคอยระวังตัวตามประสาผู้หญิง
“นอนตื่นแล้วเราแวะไปหาพ่อแม่นะ เอาดอกไม้ไปไหว้สุสานพ่อกับแม่ด้วยกันนะฟาง”
“จ้ะ” เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของกนธีทำให้ฟ้ารดาใจอ่อน “ถ้าจะนอนก็นอนดีๆ ปล่อยพี่ก่อน เดี๋ยวพี่ใส่ปลอกหมอนให้เสร็จก่อน สัญญาว่าจะให้ซีกอดนอน...แทนหมอนข้าง”
“โอเค งั้นผมช่วยใส่ปลอกหมอนนะ” เมื่อพี่สาวพยักหน้าก็ดีดตัวลุก “จริงๆ แล้วไม่ต้องเตรียมห้องนอนให้ผมก็ได้นะ ผมใช้ห้องนอนเดียวกับฟางก็ได้...ผมไม่ถือ” พูดแบบนั้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทำตาใสใส่คนที่ค้อนให้เขา “แต่ฟางถือสินะ โห ตอนนี้ผมไม่ได้นอนดิ้นแล้วนะ ไม่นอนกรนด้วย มีนอนกัดฟันนิดหน่อยเอง”
“ไม่ต้องพูดมาก ยังไงพี่ก็ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับเราหรอก รีบใส่ปลอกหมอนเร็วเข้า มัวแต่พูด ง่วงไม่ใช่เหรอ”
“โอเค เรียบร้อยแล้ว” พูดเสร็จก็ตบหมอนเสียงดัง ทิ้งตัวลงนอนแล้วอ้าแขนรอให้พี่สาวทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แต่อีกฝ่ายยังคงทำแค่นั่งมอง แล้วเอื้อมมือไปจับแก้มน้อง มองด้วยรอยยิ้มราวกับชดเชยช่วงเวลาที่หายไปถึงแปดปี “เบี้ยวไม่ให้นอนกอดเหรอ...ก็ได้ งั้นเอาแบบนี้ก็ได้”
‘เอาแบบนี้’ คือการขยับมานอนหนุนตักเธอแล้วดึงมือไปกุมไว้ ซึ่งหญิงสาวก็เต็มใจให้ทำอย่างนี้ดีกว่าให้ลงไปนอนเป็นหมอนข้าง แม้จะบอกว่าพี่น้อง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องที่จากกันนานแปดปี แถมสุดท้ายคำว่าไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันก็ยังผุดขึ้นมาในหัวเสมอ
“มองพี่ทำไม จะนอนก็นอนได้แล้ว ง่วงไม่ใช่เหรอ”
“ฟาง...” กนธีเรียกอย่างอ่อนโยน “ผมรักฟางนะ เจ้าซีรักฟางมากๆ นะ ฟางรักเจ้าซีไหม”
ฟ้ารดาสบตาคนที่หนุนตักเธอ คนที่มีสีหน้าจริงจังขึ้น
คนที่ยังเฝ้ารอคำตอบจากเธอ และเร่งรัดด้วยการบีบมือเธอ
“รักสิ พี่ฟางรักเจ้าซี พี่ฟางรักน้องชายคนนี้ของพี่ที่สุดเลย...รักที่สุดในโลก”
คำบอกรักที่ฟ้ารดาคิดว่าจะทำให้น้องยิ้มได้ แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายถอนหายใจใส่เธอดังๆ แล้วก็พลิกตัวนอนตะแคง หนีคนพี่ไปเสียดื้อๆ
ฟางนะฟาง! น่าหงุดหงิดที่สุด!
ผมไม่ได้อยากเป็นน้องซะหน่อย!
“ซี...เป็นอะไรจ๊ะ งอนอะไรหนอ” ท่าทางอย่างนี้ฟ้ารดาเดาได้ทันทีว่าเธอคงพูดอะไรให้ไม่พอใจ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กดี เด็กใจดี ทำให้ไม่เอะอะโวยวายอะไร ได้แต่ทำอย่างที่ทำ ซึ่งเป็นท่าทางที่แสนจะน่ารักในสายตาเธอ จึงเข้าไปแหย่ เขี่ยแก้มยุ้ยๆ นั้นเล่น “เจ้าซีจ๋า...น้องชายพี่ฟางงอนเหรอคับ...ซีคับ คุยกับพี่ฟางก่อนสิ อย่าเพิ่งนอน อ้าปากหาวนี่ง่วงจริงหรือแกล้งง่วงนะ...ซีคับ”
“อย่ากวนได้ไหมฟาง ผมง่วงแล้ว จะนอน ห้ามกวนนะ” สุดท้ายก็ต้องหันกลับมาลืมตามองคนที่เขานอนหนุนตัก ทำหน้ามุ่ยใส่พร้อมคิดในใจว่า ตอนนี้เหนื่อยยังไม่มีแรงพยศ ของีบสักตื่นก่อน เดี๋ยวจะคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอก “ผมง่วงจริงๆ นะ”
ถึงตอนนี้ฟ้ารดาก็ยิ้มหวานให้ ใช้มือปัดปอยผมออกจากหน้าผากน้อง
“ฝันดีจ้ะซี” บอกพลางก้มลงจูบหน้าผากคนงอแง “ฝันดีนะคับเจ้าซี”
ถึงตอนนี้คนจะหลับก็อมยิ้ม รั้งมือที่ประคองแก้มเขามากุมไว้ที่อก กิริยาอย่างนี้ของเจ้าดื้อบอกฟ้ารดาว่าอาการงอนเมื่อครู่หายไปแล้ว ครู่ต่อมาคนนอนหนุนตักก็ผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน โดยมีสายตาของคนที่รักเขามากเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง...มองเพื่อชดเชยวันเวลาที่หายไปถึงแปดปี
ขอบใจนะซี...ขอบใจที่กลับมาหาพี่ฟาง
ขอบใจที่ยังคงเป็นน้องชายที่น่ารักของพี่ฟาง
พี่สัญญาว่าจะเป็นพี่สาวคนดีคนเดิมของซี...เช่นกันจ้ะ
แม่ขา...ซีโตขึ้นแล้วเหมือนแม่มาก
ฟ้ารดารู้สึกอย่างนั้นเมื่อได้จ้องมองคนที่นอนหนุนตักเธออย่างพินิจใกล้ๆ แล้วไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเห็นว่าเธอมองอยู่ ภาพจำในหัวเธอคือ กนธีเป็นผู้ชายตัวบางๆ ต่างจากเธอไม่มาก เขาไม่ได้ตัวเล็ก แต่ไม่ใช่คนไหล่กว้างอย่างตอนนี้ อาจเพราะตอนนั้นยังไม่โตเต็มที่ การที่เป็นผู้ชายหุ่นไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง แถมผิวขาว ใบหน้าเล็ก ยิ่งทำให้โดนล้อ หาว่าไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัวบ้าง หาว่าติดพี่สาวจนเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วบ้าง บวกกับเป็นผู้ชายสุภาพเรียบร้อยยิ่งไปกันใหญ่
‘ไม่ต้องคิดมากหรอกซี ความเป็นลูกผู้ชายไม่ได้อยู่ที่การทำตัวห่ามๆ พูดห้วนๆ ทำตัวห้าวๆ ซะหน่อย ผู้ชายก็มีหลายแบบ ดูอย่างคุณพ่อเราสิ พ่อนนท์วันๆ ก็ใส่แต่ผ้ากันเปื้อน ทำงานบ้าน ไม่เคยพูดคำหยาบหรือสบถให้เราได้ยินเลย ซีคิดว่าพ่อนนท์ไม่เป็นลูกผู้ชายรึเปล่าล่ะ...เห็นไหม ซีเป็นลูกพ่อนนท์ แปลกอะไรที่ซีจะเหมือนพ่อ’
‘แต่ผู้หญิงเขาไม่ชอบคนอย่างพ่อนนท์ไม่ใช่เหรอฟาง เขาชอบนักกีฬา ชอบผู้ชายเท่ๆ อย่างพี่อาร์ทเขาก็เป็นนักบาส ยังเป็นประธานนักเรียนอีก สาวๆ ทุกคนก็ชอบเขาไม่ใช่เหรอฟาง...อะไร พยักหน้านี่รวมถึงฟางด้วยเหรอ แล้วทำไมไม่รับดอกไม้วาเลนไทน์ที่เขาให้ล่ะ ทำเป็นฟอร์ม ที่แท้ก็ดีใจใช่ไหมล่ะที่พี่อาร์ทมาชอบฟาง’
‘ดีใจสิ’ ตอบไปอย่างนั้นก็ได้เห็นอาการหน้าหงิกของเจ้าซี คนที่เธอรู้ดีว่าห่วงพี่สาวคนนี้มาก ‘แต่ดีใจได้ไม่ถึงเสี้ยวที่ได้การ์ดอวยพรจากซีหรอกนะ ที่บอกว่าดีใจเรื่องพี่อาร์ทก็เพราะรู้สึกว่าคนชอบดีกว่าคนเกลียด แล้วถ้าชอบที่ซีว่าหมายถึงชอบแบบคู่รัก เป็นแฟนกัน พี่ไม่ได้ชอบพี่อาร์ทแบบนั้น เราเด็กเกินไปที่จะมาคิดเรื่องพวกนี้ แล้วทำไมอยู่ๆ ซีมาคุยกับพี่เรื่องนี้ คุยแบบจริงจังด้วย...หรือว่าตอนนี้ซีมีความรัก ไปรักใคร’
‘ไม่ได้รักใครหรอก ก็วาเลนไทน์ เขาก็คุยกันเรื่องความรักไม่ใช่เหรอฟาง ทำไมต้องล้อผม’
‘ไม่ได้ล้อ ถ้าซีจะมีความรักพี่ฟางก็โอเคนะ ว่าแต่คนนั้นเป็นใคร น้องกุ้งคนนั้นโหดไป ซีไม่น่าจะชอบ งั้นน้องออย น้องหญิง...หรือไม่ก็น้องใบเตย’
‘ไม่ใช่ใครทั้งนั้นแหละ พวกเขาไม่มาชอบคนแบบผมหรอกน่า เขาชอบคนอย่างพี่อาร์ทโน่น ผู้หญิงทุกคนก็ชอบผู้ชายแข็งแรง มาดแมนอย่างพี่อาร์ทกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ คนอย่างผมจะมีใครมาชอบล่ะ’
‘อืม...ก็พี่ไง พี่ฟางไม่ได้ชอบคนอย่างพี่อาร์ทนะ พี่ชอบคนอย่างพ่อนนท์ คนอย่างซีของพี่ ผู้ชายแบบนี้น่ารักจะตาย ใจดี อบอุ่น พึ่งพาได้ จริงใจ ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบคนแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ’
‘ไม่จริงหรอก อย่ามาพูดปลอบใจผมเลย ไม่เห็นจะมีคนมาชอบผม’
‘อย่างน้อยก็มีแม่เอมิกับพี่ฟางไง หรือว่ายังไม่พอ ซีอยากให้คนชอบอีกเหรอ คนไหนนะ...น้อง...’
‘ไม่มีน้องอะไรทั้งนั้นแหละฟาง ไม่ต้องยิ้ม ผมน่ะ แค่ฟางกับแม่เอมิชอบผม ผมก็โอเคแล้ว โดยเฉพาะฟาง ถ้าฟางชอบผม ผมก็ไม่สนใครแล้ว’
‘ปากหวานนะเจ้าซี ทำเป็นพูดดีไปเถอะ เดี๋ยวโตขึ้นขี้คร้านจะลืมพี่ สนใจแต่สาวๆ น่ารักๆ ไม่สนใจพี่’
‘ไม่มีวันนั้นซะหรอก ผมน่ะไม่สนใจใครนอกจากฟางอยู่แล้ว...ไม่เชื่อก็คอยดู’
พ่อขาแม่ขา ตอนนี้เจ้าซีของพวกเราโตเป็นหนุ่มแล้วนะคะ แปดปีฟางไม่รู้ว่าน้องใช้ชีวิตยังไง จะโตมาเป็นผู้ชายแบบไหน แต่พอได้เจอ แม้จะเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ฟางก็มั่นใจว่า เจ้าซีของพวกเราเติบโตมาเป็นคนอย่างที่พวกเราหวังให้เป็น...เป็นคนอ่อนโยน น่ารัก และสดใส...เป็นคนที่ทำให้พวกเรายิ้มตามได้เสมอ น้องไม่ได้เป็นคนอย่างที่แม่เอมิต้องห่วง ไม่ได้เป็นคนนิสัยร้ายกาจเพราะถูกฟางตามใจ
‘แม่พูดจริงๆ นะฟาง อย่าตามใจน้องมาก ฟางอย่าสปอยล์น้องจนเคยตัว อย่าทำทุกอย่างให้ อย่าเอาแต่โอ๋ แม่ไม่อยากให้น้องเป็นอย่าง...หลานแม่ที่อยู่ญี่ปุ่น เขาถูกครอบครัวเลี้ยงมาอย่างตามใจ เลี้ยงเป็นคุณชาย มีทุกคนทำทุกอย่างให้ โตเท่าเจ้าซีของเราแต่นิสัยไม่ดีมากๆ เป็นคนร้ายกาจ ถ้าโดนขัดใจจะโมโหร้ายมาก แม่ไม่อยากให้น้องเป็นแบบนั้น’
ฟ้ารดาสัมผัสได้ว่าแม่เอมิห่วงเรื่องนี้มากจนคิดว่าห่วงเกินเหตุ นั่นเพราะฟ้ารดาไม่รู้ว่าที่เอมิห่วง เพราะเธอไม่อยากให้กนธีเป็นเหมือนพี่ชายแฝด แม้ไม่ได้บอกลูกเรื่องนี้แต่ก็พอได้ข่าวแฝดคนพี่มาบ้าง ได้รู้ว่าซาคาอิถูกปู่ตามใจจนกลายเป็นเด็กนิสัยไม่น่ารัก ร้ายกาจ
ด้วยความเป็นแฝด มีพื้นฐานหลายอย่างเหมือนกัน ยิ่งทำให้เอมิอดห่วงไม่ได้ว่าเด็กอ่อนโยนคนนี้จะไปเหมือนพี่ชาย แต่แม้จะห่วงลูกชายคนโตอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ มีแค่ลูกชายคนเล็กเท่านั้นที่พอจะดูแลได้ ชดเชยชดใช้กันไป เพื่อไม่ให้โทษตัวเองมากไปว่าไม่น่าปล่อยลูกให้คนอื่นดูแล น่าจะพยายามมากกว่านี้ที่จะให้ลูกแฝดได้อยู่ด้วยกัน นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เอมิอยากเลี้ยงฟ้ารดาและกนธีให้สนิทและรักกันมากๆ
‘แม่ไม่อยากให้ซีเป็นเด็กเอาแต่ใจ ไม่เห็นหัวคนอื่น ไม่อยากให้ตาซีเป็นแบบนั้น’
‘ไม่หรอกค่ะ ซีอ่อนโยน เขาไม่ทำตัวร้ายกาจใส่ใครหรอกค่ะ’
ฟ้ารดามั่นใจอย่างนั้น เธอเชื่อว่าคนอ่อนโยนอย่างกนธีไม่มีทางเป็นอย่างนั้น กระทั่งตอนนี้เธอยังมั่นใจ แม้จะมีหลายอย่างที่ดูเปลี่ยนไปบ้าง แต่เจ้าซีก็ยังเป็นเจ้าซีคนเดิม ยังคงเป็นเจ้าซีจอมขี้เซา ถ้าหลับแล้ว ต่อให้แผ่นดินไหวก็ไม่ตื่น แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังขยับตัวแผ่วเบาเมื่อหยิบหมอนมาสอดให้น้องชายหนุนแทนตักเธอ จัดท่าให้นอนสบาย ห่มผ้าให้อย่างอาทร ปล่อยให้น้องชายได้พักผ่อน แล้วเดินลงมาเพื่อทำงานบ้านที่ค้างไว้ต่อ
ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรไปรษณีย์ก็มาส่งของ เธอออกไปรับ ยังไม่ทันได้กลับเข้าบ้าน เพื่อนบ้านที่เพิ่งกลับมาจากส่งลูกๆ ที่โรงเรียนก็กวักมือเรียกก่อน
“น้องฟางๆ เดี๋ยวก่อนค่ะ คุยกันก่อน อย่าเพิ่งเข้าไป” เพ็ญศรีรีบลงจากรถจนไม่ทันได้ปิดประตูและดับเครื่อง พอเรียกแล้วฟ้ารดาหยุดรอจึงกลับไปดับเครื่องยนต์ แล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาเกาะรั้วบ้าน โดยมีฟ้ารดาเดินเข้าไปหา
“โอ๊ย เหนื่อยๆ นี่วันนี้น้องฟางไม่ไปสอนเหรอคะ มีธุระเหรอ ธุระกับหนุ่มหล่อซะด้วย แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะ บ้านพี่มีเด็กเล็กๆ จะทำอะไรก็อยากให้ระวังหน่อยค่ะ”
“ทำอะไร?” ฟ้ารดาสงสัย แต่เมื่อนึกไปว่าเมื่อเช้าเธอโดนจูบก็ใจหายวาบ “คือว่าเรื่องนั้น...”
“โอ้ อย่าเข้าใจผิด พี่ไม่ได้ตำหนินะคะ พี่เข้าใจหนุ่มสาวน่ะเนอะ เจอกันก็ต้องจูบทักทาย แต่ว่า...ก็อย่างที่บอก บ้านพี่มีเด็ก ระวังให้นี้ด...นึงนะคะ น้องฟางก็เป็นครูด้วยค่ะ คนอื่นมาเห็นเข้ามันไม่ดี พี่เตือนเพราะหวังดีนะคะ”
ฟ้ารดาอยากอธิบาย แต่อีกฝ่ายไม่เว้นช่องให้พูดแทรกเลย
“ว่าแต่คนนี้เป็นใครคะ ทำมาหากินอะไร ดูน้องฟางจะรักนะคะ ปกติกับหนุ่มคนอื่นไม่เคยเห็นให้เข้าถึงเนื้อตัวแบบนี้ คนนี้ท่าทางจะเป็นตัวจริงใช่ไหมคะ พี่เห็นแวบๆ หล่อเชียว ตัวสูงมาก ผิวก็ข้าวขาว ไม่แปลกที่น้องฟางจะรักจะหลง ดูอ่อนกว่าคนอื่นๆ นะคะ แค่เห็นก็สดชื่น...ไม่ต้องอายค่ะ พี่เข้าใจ”
ฟ้ารดารอจนอีกฝ่ายพูดจบ จึงได้บอก “คนนี้เป็นน้องชายฟางค่ะ น้องซี”
“น้อง?” ทำหน้าตาบ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อ น้องพี่ที่ไหนจะกอดกันกลมอย่างนั้น บรรยากาศที่หล่อนเห็นเมื่อเช้าก็ไม่ได้บอกสักนิดว่าเป็นพี่น้อง ดูอย่างไรก็เป็นคู่รักที่เพิ่งเจอกัน คิดถึงกันมาก “พี่ไม่เคยได้ยินว่าน้องฟางมีน้องชายด้วย คุณพี่แขไขไม่เห็นเคยพูดถึง ไม่เคยเห็นมาที่บ้านนี้ด้วยนี่ ใช่ไหมคะ หรือว่าพี่พลาดอะไร”
“ไม่เคยมาค่ะ ซีอยู่ที่ญี่ปุ่น เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า”
“แนะนำให้พี่รู้จักหน่อยสิคะ นะๆ แนะนำให้พี่รู้จักหน่อย พี่อยาก...” เพ็ญศรีคงซักไซ้เอาความกระจ่างต่อ ถ้าที่หน้าบ้านฟ้ารดาไม่มีเสียงกริ่งดังขึ้น “ใครมาน่ะ คราวนี้สองคนด้วย หนุ่มหล่ออีกแล้ว แต่สูทดูดีเชียว...อย่าบอกนะว่าน้องชายน้องฟางอีก แต่สองคนนั้นน่าจะเป็นพี่ชาย ถ้าใช่นี่ครอบครัวน้องฟางหน้าตาดีทุกคนเลยนะคะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ญาติฟางหรอกค่ะ” ฟ้ารดามองไปหน้าบ้าน ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนบ้านผู้ใคร่รู้ “ฟางขอตัวไปดูก่อนนะคะ”
“ค่ะ ไว้เดี๋ยวมาคุยกันใหม่นะคะ อย่าลืมแนะนำให้พี่รู้จักน้องซีนะคะ พี่อยากรู้จักมาก!”
“สวัสดีครับ คุณฟาง” ผู้ชายที่ดูอายุน้อยกว่าทักทายสาวเจ้าของบ้าน ซึ่งรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมทั้งคู่รู้จักชื่อเธอ “ผมชื่อนารูโตะ ส่วนนี่พี่โทคิโอะ เราเป็น...” ชายหนุ่มคนเดิมเหมือนจะแนะนำตัวเอง แต่ก็หยุดกะทันหัน เบือนหน้ากลับไปหาคนที่มาด้วยกัน “เราควรแนะนำตัวว่าเป็นใครดีพี่...การ์ด หรือคนรู้จัก หรือ...”
ฟ้ารดาอมยิ้ม เมื่อเห็นคนที่ชื่อโทคิโอะส่ายหน้าให้คนชื่อนารูโตะซึ่งยิ้มแห้งๆ ถอยหลังออกไป ปล่อยให้คนที่ดูสุขุมกว่าก้าวออกมาเป็นฝ่ายแนะนำตัวกับหญิงสาวที่พวกเขาแสดงออกด้วยอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ พวกผมเป็นคนที่ท่านพ่อของซาคาอิซังส่งมาดูแลความปลอดภัยให้ซาคาอิซังครับ” จะมีคนประเภทไหนกันที่ใช้คำว่า ‘ท่านพ่อ’ แทนที่จะใช้คำว่าพ่อหรือคุณพ่อ “พวกเราได้รับมอบหมายให้มาช่วยอำนวยความสะดวกทุกเรื่องให้ซาคาอิซังตอนอยู่เมืองไทยครับ”
“ซาคาอิซัง?” ฟ้ารดาไม่คุ้นชื่อนี้ แต่จากรูปการทำให้เธอลองเดาเรื่องราว “หมายถึงซีเหรอคะ”
“ครับ คุณซี” นึกได้ว่าหญิงสาวคงรู้จักชายหนุ่มในชื่อนี้ “เมื่อคืนพวกผมมาส่งคุณซีแล้วรอบนึง แต่โดนไล่กลับไปก่อน แล้วกำชับว่าไม่ให้มากวน จริงๆ ก็ตั้งใจทำตามคำสั่งนะครับ จะไม่กวนจนกว่าคุณซีจะเรียกตัว แต่บังเอิญว่าท่านพ่อของคุณซีอยากคุยสายด้วย ท่านพยายามโทร. หาแล้ว แต่เหมือนคุณซีจะปิดเครื่อง ท่านเลยมาเล่นพวกผม...พวกผมเลยต้องเสี่ยงตาย มากวน เสี่ยงจะโดนคุณซีเล่นงาน...ไม่ทราบว่าคุณซีอยู่ในบ้านใช่ไหมครับ รบกวนคุณฟางช่วยบอกให้ด้วยจะได้ไหมครับ”
“ซีอยู่ในบ้าน แต่เพิ่งหลับไปค่ะ” คำตอบนั้นทำเอาสองหนุ่มหน้าเครียด “งั้นเชิญเข้ามาในบ้านก่อนสิคะ เดี๋ยวฟางไปปลุกซีมาให้”
ฟ้ารดาสังเกตเห็นว่าผู้ชายทั้งสองคนดูสุภาพและดูเป็นมิตรจึงเปิดประตูให้ แต่ทั้งคู่ก็เกรงใจ บอกว่าไม่เป็นไร จะรออยู่ในรถข้างนอกก็ได้
“เข้ามาเถอะค่ะ ถ้าพวกคุณเป็นคนรู้จักซี ฟางก็อยากคุยด้วยค่ะ ฟางอยากรู้เรื่องราวของซีตอนเขาไปอยู่ที่ญี่ปุ่น”
คำพูดนั้นทำให้โทคิโอะและนารูโตะเบือนหน้าสบตากัน แววตามีคำถาม แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ทั้งคู่ก็เหลือบไปเห็นเพ็ญศรีที่พยายามชะเง้อมองพวกเขา สลับกับเหมือนจะเงี่ยหูฟังบทสนทนา ส่งผลให้ฟ้ารดาหันมองตามสายตาทั้งคู่ไป ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากยิ้มแห้งๆ
“คุณเพ็ญเพื่อนบ้านฟางเองค่ะ เธอจะดู...แปลกๆ หน่อยนะคะ แต่ก็ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอกค่ะ”
“คุณฟางรำคาญไหมครับ” นารูโตะเป็นฝ่ายถามอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งหญิงสาวก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “แต่ผมว่าซาคาอิซังเจอแบบนี้รำคาญแน่ๆ”
“ซีน่ะเหรอคะจะรำคาญ” เป็นอีกครั้งที่คำถามของฟ้ารดาทำให้สองหนุ่มเบือนหน้าสบตากัน แต่กระนั้นพวกเขาก็หันกลับมาพยักหน้า “ไม่หรอกค่ะ ซีไม่ค่อยอะไรกับใคร ถ้าไม่ขนาดจู่โจมเข้าถึงเนื้อถึงตัว คุณเพ็ญจะดูอยากรู้อยากเห็นหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะใช่คนที่ทำให้ซีรำคาญได้หรอกค่ะ”
อย่างน้อยกนธีที่เธอรู้จักก็เป็นอย่างนั้น แต่สายตาของบอดีการ์ดทั้งสองเริ่มทำให้เธอไม่แน่ใจ แล้วมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว ทำไมพ่อของน้องชายต้องส่งบอดีการ์ดมาดูแลถึงสองคน ที่ผ่านมาเธอไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวน้องชายเลย แล้วนี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้รู้
“ช่วยเล่าเรื่องซีให้ฟางฟังหน่อยได้ไหมคะ อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่พี่สาวอย่างฟางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องชายเลย แต่ฟางก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวซีที่ญี่ปุ่นเลย รู้แค่ตอนแรกๆ คนที่มารับตัวซีไปส่งข่าวมาว่าซีสบายดี มีชีวิตใหม่ที่ดี ไม่ให้ฟางเป็นห่วง”
เป็นอีกครั้งที่ฟ้ารดาเห็นคนทั้งสองสบตากันแล้วหันมามองเธอ
“พวกคุณอาจจะมองว่าฟางเป็นพี่สาวที่แย่ แต่ก็ช่วยเล่าเรื่องซีให้ฟางฟังเถอะนะคะ ขอร้องละค่ะ”
ฟ้ารดาเหมือนจะยกมือไหว้ แต่โทคิโอะห้ามไว้ เขาพยักหน้า นารูโตะก็เช่นเดียวกัน ทำให้เธอยิ้มกว้าง
“ขอบคุณนะคะ งั้นเชิญเข้าบ้านก่อนค่ะ...เชิญค่ะ”
“งั้นขอรบกวนด้วยนะครับ”
ทั้งสองหนุ่มพูดแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน พร้อมโค้งตัวต่ำให้เจ้าบ้าน ทั้งคู่พยายามมองข้ามสายตาใคร่รู้ของเพ็ญศรีที่แทบจะลอดรั้วเข้ามาดู แต่เหมือนยังไม่กล้ามาก แต่ถ้าไม่มีคนอื่นเห็นก็ไม่แน่ อาจจะแอบเข้ามาฟังก็เป็นได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นหล่อนคงได้เจอดีแน่ เพราะทั้งสองคนก็คงไม่ปล่อยให้ทำขนาดนั้น
“มีอะไรเหรอนารูโตะ” โทคิโอะถามเมื่อเห็นสายตาของรุ่นน้องให้ความสนใจตุ๊กตาที่บอร์ดหน้าประตู คำถามนั้นทำให้ฟ้ารดารอฟังคำตอบเช่นเดียวกัน “แกชอบตุ๊กตาแบบนี้ด้วยเหรอ นึกว่าชอบแต่พวกหุ่นยนต์หรือตุ๊กตายาง”
คำพูดนั้นทำเอาคนน้องผงะ ก่อนจะส่ายหน้าระอารุ่นพี่ซึ่งรีบค้อมศีรษะให้ฟ้ารดา ขอโทษที่ลืมตัวเล่นมุกแบบนั้นออกไป
“ผมว่าเคยเห็นแบบนี้มาก่อน บอร์ดสองบอร์ด ห้อยอยู่ข้างประตูและหน้าประตู มีตุ๊กตาสี่ตัว” นารูโตะบอกโทคิโอะ ก่อนจะหันไปหาฟ้ารดา “สองตัวที่ประตูคือคุณฟางกับซาคาอิซังใช่ไหมครับ แล้วสองตัวที่บอร์ดข้างประตูคงเป็นคุณพ่อกับคุณแม่พวกคุณ”
ฟ้ารดาพยักหน้า แล้วรอฟังสิ่งที่นารูโตะจะบอกพร้อมกับโทคิโอะ
“ผมเคยเห็นแบบนี้ที่บ้านซาคาอิซัง”
“บ้านหลังไหน ซาคาอิซังมีบ้านไม่รู้กี่หลัง”
“เดี๋ยวนะ ผมมีรูป...ถ่ายเมื่อสักสามสี่ปีก่อนได้” นารูโตะเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู “คงต้องหานานหน่อย อาจจะต้องโหลดจากคลาวด์ เข้าไปข้างในก่อนก็ได้ครับ”
ฟ้ารดาเชิญคนทั้งสองเข้ามานั่งในห้องรับแขก ถามทั้งคู่ว่าต้องการน้ำดื่มอะไร แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธว่ารับกันมาแล้ว ไม่นานนารูโตะก็เจอภาพที่หา โทคิโอะดูก่อน แล้วก็พยักหน้าเหมือนรู้แล้วว่าบ้านหลังไหน จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกส่งมาให้ฟ้ารดา
“นี่มัน...” เมื่อเธอเห็นรูปก็ตัวเย็นเฉียบ น้ำตาคลอเบ้า “นี่มันบ้าน...บ้านเรา...ไม่ใช่สิ บ้านนี้อยู่ที่ญี่ปุ่นเหรอคะ...งั้นก็ไม่ใช่บ้านเรา เป็นบ้านที่เหมือนบ้านที่ฟางกับซีเคยอยู่กับพ่อแม่...เหมือนมาก”
ต้องคิดถึงขนาดไหน จึงได้ทำบ้านแบบนี้ขึ้น...
ถ้าคิดถึงขนาดนั้น ทำไมไม่ติดต่อมา...
การกลับมาหาเธอมันคงง่ายกว่าไม่ใช่หรือ...
หรือเพราะคำท้าทายของเธอ...น้องจึงต้องกลับมาในวันนี้
“ซาคาอิซังพูดกับผมเสมอว่าคิดถึงคนที่เมืองไทย คิดถึงบ้าน แต่กลับไปไม่ได้จนกว่าจะครบแปดปี ก็เลยสร้างบ้านหลังนี้ขึ้น สร้างเหมือนหลังเดิมที่เคยอยู่” นารูโตะบอกสิ่งที่รู้
“ผมถามว่าทำไมต้องแปดปีก็ไม่เคยได้รับคำตอบ รู้แค่ว่าถ้าถูกถาม ซาคาอิซังจะเศร้าแล้วปกปิดด้วยการแสดงออกแรงๆ ใส่คนอื่น ออกกำลังกายแรงๆ ทำเรื่องท้าทายเสี่ยงตาย เล่นกีฬาเอกซ์ตรีม บางทีก็เลือดตกยางออก ติดบุหรี่ ทั้งดื่มหนัก แม้แต่เล่นยาก็เคยทำ ถึงระยะหลังจะเลิกและหลุดออกจากโลกอโคจรนั้นได้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังทำเรื่องอันตรายบ่อยครั้ง”
ดื่ม...ติดบุหรี่...เล่นยา? ฟ้ารดาเหมือนไม่รู้จักคนที่นารูโตะพูดถึงสักนิดเหมือนฟังเรื่องคนอื่น เธอมองภาพน้องชายอย่างที่นารูโตะเล่าไม่ออก
“เอาความจริงคือ พวกผมก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของซาคาอิซังมากนักหรอกครับ” นารูโตะพูดแล้วก็เริ่มงงตัวเอง หันไปหาโทคิโอะ “หรือว่ายังไง...พี่อธิบายดีกว่า ผมงง”
“แกเนี่ยน้า...” คนพี่ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันมาหาฟ้ารดาที่รอฟังเรื่องราวของน้องชายที่เธอไม่เคยรู้ “นารูโตะหมายความว่า พวกเราไม่ได้รู้เรื่องราวของคุณซีมากเท่าไหร่ครับ พวกเรารู้เรื่องของซาคาอิซังมากกว่า...พี่ชายแฝดของคุณซี ที่คุณซีถูกพาตัวกลับญี่ปุ่นก็เพื่อเป็นตัวแทนพี่ชายที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุตอนที่เธออายุสิบห้าปี”
“แฝด? ซีมีแฝด?”
เป็นอีกครั้งที่นารูโตะและโทคิโอะต้องประหลาดใจในท่าทางของฟ้ารดาที่เหมือนเพิ่งรู้เรื่องนี้ แต่กระนั้นทั้งคู่ก็พยักหน้า
“ที่พวกคุณบอกว่าซีถูกพากลับไปญี่ปุ่นเพื่อเป็นตัวแทนพี่ชายที่ตายคืออะไรคะ ตอนนั้นที่ซีต้องไป ก็เพราะพ่อของซีรู้ว่าแม่เอมิเสีย ก็เลยมารับซีไปไม่ใช่เหรอคะ”
หลังคำถามนั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบไปครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งนารูโตะและโทคิโอะจะได้ตอบคำถาม เสียงโทรศัพท์มือถือของโทคิโอะก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบออกมาดู
“ผมคงต้องรบกวนให้คุณฟางช่วยไปปลุกคุณซีแล้วละครับ” โทคิโอะบอกหญิงสาว สีหน้าเป็นกังวล “สายนี้คุณซีต้องรับเดี๋ยวนี้ครับ!”
“ท่านพ่อของซาคาอิซังครับ” นารูโตะขยายความ “รบกวนคุณฟางด้วยครับ!”
ฟ้ารดาอาจไม่รู้จักคนที่โทรศัพท์เข้ามา...
แต่เธอรู้สึกได้ว่าต้องรีบทำตามโดยเร็ว...
“เดี๋ยวครับ” นารูโตะเรียก “ตอนไปปลุก คุณฟางรู้ใช่ไหมครับว่าต้องระวัง ผมว่าให้ผมไปปลุกเองดีกว่านะครับ เกิดซาคาอิซังทำคุณเจ็บ...มันจะไม่ดี”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฟ้ารดาเข้าใจความเป็นห่วงของนารูโตะ “ฟางกับแม่แล้วก็พ่อโดนตัวซีได้ เขาไม่ผวามาทำร้ายหรอกค่ะ เรารู้ว่าควรแตะตัวซียังไง รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฟางไปตามซีลงมาให้”
สองหนุ่มเบือนหน้าสบตากัน ก่อนที่นารูโตะจะบอกอย่างประหลาดใจ
“มีด้วยเหรอ คนที่ไปโดนตัวซาคาอิซังตอนหลับ แล้วไม่เจอ...ดี”
“ไม่เคยมี” โทคิโอะบอกด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ฉันว่าตามขึ้นไปดูหน่อยดีกว่า เผื่อช่วยอะไรทัน”
“แต่คุณฟางว่าไม่เป็นไร...ไม่ใช่เหรอ...พี่”
“แล้วแกว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ” นารูโตะส่ายหน้า “งั้นพวกเราก็รีบตามไปห้ามให้ไวเลย!”
สิ้นเสียงสองหนุ่มก็รีบตามขึ้นไปบนบ้าน...ทันที!
ความคิดเห็น |
---|