บทที่ ๔
โดนตัวแล้ว!
ไม่ทันกาลแล้ว!
ซวยแล้ว!
นั่นคือสิ่งที่สองบอดีการ์ดเห็นผ่านประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้ขณะที่ฟ้ารดาเข้าไปปลุกคนบนเตียงนอน สิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการสัมผัสคือคนหลับจะรู้สึกตัว สะดุ้งแล้วโต้ตอบรุนแรง ไม่ซัดหมัดใส่ก็อาจถึงขั้นถีบคนที่มาสัมผัสตัว โดยไม่สนไม่มองด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็โดนมานับต่อนับ นั่นคือเหตุผลที่ผู้ชายคนนี้จะไม่นอนอยู่กับคนที่ไม่รู้จักตัวเขาดีพอ ไม่เคยหลับอยู่ข้างคนอื่น ครั้นจะเดินทางก็พยายามไม่หลับ เขียนป้ายเตือน บอกพนักงานไว้ หรือเดินทางพร้อมกับคนติดตาม เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการโดนสัมผัสตัวตอนหลับ แล้วสะดุ้งตื่นด้วยความหงุดหงิดพร้อมจะหลุดทำร้ายคนอื่น
“ไม่ตื่น พี่เห็นเหมือนผมไหม ซาคาอิซังยังหลับต่อ”
“หรือว่าเหนื่อย ก็เลยหลับสนิท” โทคิโอะเปรยๆ ไม่เชิงตั้งคำถาม “ไม่น่า ซาคาอิซังรู้สึกตัวเร็วจะตายเวลามีคนโดนตัว คราวโน้นฉันแค่จับผ้าห่ม ยังไม่ทันโดนตัวจังๆ ด้วยซ้ำยังโดนชก”
นารูโตะพยักหน้า เพราะตัวเองก็เคยเจอลักษณะเดียวกัน “ผมแค่แตะไหล่ ลืมตามาก็ขึ้นเข่าใส่ท้องผมเลย แถมวันนั้นก็นอตหลุด หงุดหงิดทั้งวัน ทำงานด้วยยากสุดๆ”
เขย่าตัวด้วย! นั่นคือสิ่งที่ทั้งสองเห็นและไม่อยากเชื่อสายตา แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากกว่านั้นคือ คนบนเตียงทำแค่พลิกตัวหนีมือที่กำลังปลุกและเสียงเรียกชื่อ คำเรียกที่ทำให้สองหนุ่มมองหน้ากันอีกครั้งอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะรีบแอบอยู่ข้างประตู เฝ้ามองเงียบๆ เมื่อคลายกังวลแล้ว คงไม่ต้องห่วงว่าซาคาอิจะทำอะไรฟ้ารดา เพราะถ้าจะทำจริง คงจัดการไปตั้งแต่โดนเขย่าตัวปลุกแล้ว
“ซี...ซีคับ ตื่นก่อนนะ ไว้ค่อยนอนต่อ มารับโทรศัพท์ก่อน คุณพ่อซีโทร. หานะ...เจ้าซี”
คนนอนบนเตียงยังไม่ลืมตา ไม่ขยับตัว บ่งบอกว่ายังไม่ตื่น คราวนี้ฟ้ารดาจึงขยับขึ้นไปนั่งบนเตียง จะได้ปลุกคนที่หลับอยู่กลางเตียงได้ถนัด ยังคงไม่เห็นว่ามีสองคนแอบอยู่ข้างประตู เฝ้ามองด้วยความรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นภาพคนเข้าใกล้ซาคาอิซังของพวกเขาตอนหลับได้โดยไม่เป็นอันตราย
“เจ้าเด็กน้อยขี้เซา” ฝ่ามือเล็กๆ นั้นประกบแก้มคนที่ยังไม่ยอมตื่น ขณะคนที่จะปลุกก้มหน้าลงเรียกชื่อ เมื่อไม่มีปฏิกิริยาก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “โตขนาดนี้ก็ยังเป็นเด็กขี้เซาไม่เปลี่ยนเลยนะ”
‘ฟาง ตื่นแล้วไปปลุกน้องให้แม่ก่อนนะลูก วันนี้พ่อป่วยลุกไม่ไหว เดี๋ยวแม่ลงไปเตรียมอาหารเช้าให้นะ ปลุกให้ตื่นภายในหนึ่งนาทีนะ อย่านานกว่านั้น ไม่งั้นวันนี้พวกเราไปทำงานกับไปเรียนสายแน่ๆ’
‘หนึ่งนาทีไม่ไหวหรอกค่ะ ห้านาทียังไม่รู้จะตื่นไหม ฟางแบกซีไปโยนลงอ่างน้ำเหมือนพ่อไม่ได้ด้วยนะ ปลุกหนึ่งนาทีมีแต่พ่อนนท์ที่ทำได้’
‘งั้นแม่ให้ฟางสามนาทีในการปลุกน้อง ให้ไว!’
ครอบครัวพรหมสุรินทร์จะวุ่นวายเป็นพิเศษถ้าคนปลุกเจ้าเปี๊ยกของบ้านไม่ใช่พ่ออานนท์ เพราะวิธีปลุกเจ้าซีที่ง่ายที่สุดคือการแบกไปวางลงอ่างแล้วเปิดน้ำใส่ เพราะเจ้าตัวขึ้นชื่อเรื่องหลับลึก หลับสนิทและขี้เซาสุดๆ ต่อให้ยอมลืมตาขึ้นมามอง อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็หลับสนิทต่อได้ มีเพียงการเปิดน้ำใส่เท่านั้นที่จะทำให้ตื่นเต็มตา พอตื่นมาก็จะงอแงบ่นว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ นั่นทำให้ฟ้ารดาเคยชิน จึงไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนเท่าไรนักเมื่อมาอยู่ข้างเพื่อนบ้านที่ทำเสียงดังกันทุกเช้า มันกลับทำให้เธอคลายคิดถึงครอบครัวที่เวลานี้เหลือแค่น้องชายขี้เซา
คราวนั้นที่โดนสั่งให้ปลุกน้องสามนาที เธอคิดว่าทางออกสุดท้ายคือ ถ้าลากน้องออกจากเตียงไม่ได้ ก็จะใช้น้ำในแก้วนี่แหละปลุกน้องแทน แต่สุดท้ายฟ้ารดาที่ไม่เคยจะใจร้ายกับน้องวางก็แก้วน้ำลง เข้าไปปลุกไปดึงน้องใหม่ ด้วยตัวเริ่มจะเท่าๆ กันทำให้ทานแรงน้องไม่ไหว ล้มลงไปทับตัวน้อง เรียกซ้ำก็ไม่ยอมลุก ด้วยความจนใจไม่รู้จะทำอย่างไรเลยก้มลงเป่าลมใส่หูคนขี้เซาหวังปลุก แต่อีกฝ่ายก็แค่พลิกตัวหนี จึงหมั่นไส้ขบใบหูเข้าให้เสียเลย
‘พี่ฟาง! ทำอะไรกับหูผม! กัดหูเลยเหรอ ปลุกผมดีๆ ก็ได้’ คนตกใจตื่นโวยวายขณะที่มือกุมหูตัวเอง มองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ สีหน้าเหมือนคนโดนผีหลอก ‘พ่อนนท์ไปไหน ทำไมพี่ฟางต้องมาปลุกผม’
‘พ่อนนท์ไข้ขึ้น เร็วเข้า สายแล้ว รีบไปอาบน้ำนะ ถ้าไม่รีบพี่จะไปช่วยอาบให้เลย แม่ให้พี่มาจัดการคนขี้เซา ไม่ต้องมาทำหน้างอหน้าหงิกใส่เลย พี่จะรีบไปอาบน้ำเหมือนกัน’
‘พี่ฟางอย่าทำอย่างนี้อีกนะ! แค่ปลุกไม่ต้องกัดก็ได้ ผมตกใจหมด’ ขณะบ่นก็ยังเอามือปิดหูตัวเอง คงตกใจจริงๆ ‘ปลุกธรรมดาก็ได้ ห้ามกัด!’
ฟ้ารดาได้แต่ขำคนคิดว่าโดนกัดหู เธอไม่ได้เฉลยสิ่งที่ทำในวันนั้น นับตั้งแต่คราวนั้น เธอก็รู้วิธีปลุกน้องชายให้ตื่นได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที แค่ก้มลงเป่าหูสักสองสามปรู๊ด คนขี้เซาก็สะดุ้งตื่น ไม่ต้องถึงขั้นต้องขบติ่งหูอย่างที่ทำคราแรกสักที แต่ถ้าไม่รีบมากก็จะไม่ทำอย่างนั้น เพราะรู้ว่ามันจะทำให้คนหลับสะดุ้ง แล้วก็จะหน้ามุ่ยอยู่นานกว่าจะยอมยิ้มให้เธอ เวลานี้เธอจึงยังพยายามปลุกน้องดีๆ เรียกชื่อ เขย่าตัว สัมผัสใบหน้า
“เจ้าซี...ซีคับ ขอร้องตื่นเถอะนะ” เสียงเรียกดังขึ้น ตบสองแก้มคนที่ยังหลับตาเบาๆ ขณะที่นั่งคุกเข่าทับส้นตัวเองอยู่บนเตียง ชะโงกหน้าหาคนที่เธอพยายามปลุก “ถ้ายังไม่ตื่นจะปลุกแบบที่ซีไม่ชอบนะ...ซีคับ”
คำพูดนั้นทำให้หน่วยซุ่มดูสถานการณ์อยู่หูผึ่ง โผล่หน้าออกมามองมากขึ้น เพราะอยากรู้ว่าการปลุกอย่างที่ไม่ชอบคืออะไร เท่าที่พวกเขารู้มาคือ ทุกการปลุก ซาคาอิซังของพวกเขาก็ไม่เคยชอบอยู่แล้ว คนเราจะขี้เซาขนาดไหน ปลุกกันขนาดนี้ก็น่าจะตื่นได้แล้ว มันชวนให้คิดไปว่าความจริงคือตื่นแล้ว แต่แกล้งหลับ
นั่นหมายความว่า ผู้หญิงคนนี้โดนตัวได้โดยไม่โดนดี!
ถ้ามองว่าเป็นคนในครอบครัวก็ดูไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่
พี่สาวที่โตด้วยกันมา...แม้จะรู้ว่าไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่ก็คือ ‘พี่’
แต่การแกล้งหลับต่อ แกล้งคนปลุก ‘พี่น้อง’ ทำกันแบบนี้คือปกติ?
นี่มันไม่น่าจะใช่ความปกติของพี่และน้องธรรมดา แต่มันคือ...คู่รัก
“ไม่ได้ผลเหรอ” เสียงพึมพำอย่างผิดหวังของหญิงสาวบนเตียงที่ทำบางอย่างไปเรียกความสนใจจากคนเฝ้ามองให้กลับมาที่เธอ “งั้นอย่ามาโทษพี่นะ เจ้าเด็กขี้เซา”
ตื่นแล้วจริงๆ!
นารูโตะและโทคิโอะเห็นผ่านมือของคนถูกปลุก มือที่อยู่ลับหลังสายตาของหญิงสาวที่ก้มลงไปทำอะไรบางอย่างกับคนหลับ ทำสิ่งที่เธอคิดว่าจะปลุกน้องชายจอมขี้เซาได้ หารู้ไม่ว่าเจ้าดื้อของเธอน่าจะตื่นนานแล้ว แต่ยังแกล้งหลับต่อ เพื่อเหตุผลบางอย่างที่สองบอดีการ์ดก็ไม่อยากคาดเดา แต่หน้าที่ของพวกเขาตรงจุดนี้คงหมดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาเป็นหน่วยซุ่มแอบดู ‘คนรัก’ จะสวีตกัน
“ซีจ๋า ตื่นได้แล้ว พี่ฟางกัดหูซีสองรอบแล้วนะ ถ้ากัดอีกทีคราวนี้จะลงเขี้ยวแล้วนะ จะกัดให้หูหลุดเลย”
ยังไม่มีปฏิกิริยารับรู้ใดๆ คำขู่ว่าจะกัดก็แค่ขบใบหูเบาๆ ไม่ได้กล้าทำจริง เป่าหูไปก็แล้ว เริ่มจะจนใจ
“ถ้าไม่ยอมตื่นอีก พี่ฟางจะเอาน้ำมาราดแล้วนะ...ซี ตื่นสิคับ ซีต้องไปรับโทรศัพท์คุณพ่อนะ...ขอร้องละ ทำยังไงจะตื่นเนี่ย...เอ๊ะ!”
ฟ้ารดาใจหายวาบเมื่อถูกรั้งตัวจนหน้าคะมำลงไปจูบแก้มคนที่ลืมตามองเธออยู่ มองนิ่งๆ ตีเนียนเหมือนเพิ่งตื่นไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วลืมตาตื่นมาเจอคนหอมแก้มเขาอยู่
“ฟางทำอะไร จะลักหลับผมเหรอ”
“ปละ...เปล่า ใครจะทำอย่างนั้นล่ะ”
“ก็ฟางไง เห็นอยู่ว่าหอมแก้มผม ไม่ต้องปฏิเสธเลย”
กนธีทำเป็นขรึมใส่ ก่อนจะยิ้มกว้าง หัวเราะสีหน้าเหลอหลาของพี่สาว บ่งบอกว่าเขาแค่แกล้งเย้าเธอ ทำให้โดนค้อนใส่วงใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมให้หญิงสาวลุกออกจากตัว ฉุดแขนและรั้งเอวเธอไว้ ใบหน้าทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ
“ฟางหนอฟาง ทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วย อย่างฟางไม่มีมาลักหลับผมหรอก มีแต่ผมแหละจะลักหลับฟาง หรือถ้าฟางจะทำจริง ผมก็เต็มใจ โอ๊ย!” ความทะเล้นและแววตายียวนยั่วเย้านั้นทำให้โดนฟาดเผียะใหญ่ “ทำไมต้องตีแรงด้วย เจ็บง่ะ”
“ยังจะเล่นอีก ตื่นได้แล้ว ไปรับโทรศัพท์เร็วเข้า”
“โทรศัพท์ใคร ผมปิดเครื่องไว้...” พูดออกไปแล้วเหมือนจะนึกได้ “อย่าบอกนะว่า...”
ฟ้ารดาพยักหน้า “คุณนารูโตะกับคุณโทคิโอะรออยู่ข้างล่างจ้ะ มาขอให้พี่ช่วยปลุกซี บอกว่าคุณพ่อของซีโทร. หา น่าจะมีธุระด่วน”
ฟ้ารดาสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของน้องชาย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุก ยังคงรั้งตัวเธอไว้ มองตาแต่ไม่พูดอะไร
“ซี...ปล่อยพี่ได้แล้ว แล้วรีบลงไปรับโทรศัพท์ เดี๋ยวคุณพ่อโทร. มาอีกรอบ อย่าให้ท่านรอ...ไปจ้ะ ลุกได้แล้ว อย่าทำหน้าอย่างนี้สิ ตื่นมาต้องยิ้มสิจ๊ะ หรืออารมณ์เสียที่พี่ปลุกแบบนี้ แต่จะว่าไปไม่ได้ตื่นเพราะพี่ขบหูเป่าหูซะหน่อย ไม่เห็นต้องทำหน้ายุ่งเลย”
“ผมตื่นเพราะฟางนั่นแหละ วันนี้ผมจะหน้ายุ่งทั้งวันเลย ฟางต้องรับผิดชอบด้วย!”
บ่นแล้วก็พลิกตัวจับพี่สาวลงนอนหนุนหมอน แล้วตามลงไปกอดเธอ ซบหน้ากับซอกไหล่เหมือนเด็กที่เข้าไปกอดอ้อนผู้ใหญ่ สัมผัสที่ทำเอาคนโดนกอดตกใจตัวแข็งทื่อไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตั้งตัวได้ ห่อตัวด้วยความรู้สึกประหม่า แม้เมื่อก่อนน้องชายจะทำอย่างนี้บ่อยๆ เป็นปกติ แต่คราวนี้มันให้ความรู้สึกต่างไปคนละเรื่อง
“ทำไมผมต้องถูกฟางปลุกเพราะเรื่องไร้สาระนี่ด้วย เจ้าพวกนั้นก็เตือนแล้วว่าห้ามมายุ่ง ไม่ต้องมากวนก็ยังมากวน! ผมง่วง ผมยังนอนไม่เต็มอิ่มเลยนะฟาง ปลุกผมทำไมเนี่ย ผมจะนอนต่อ จะนอนกอดฟางไว้แบบนี้ ห้ามโวยวายด้วย! ฟางสัญญากับผมแล้ว อย่าผิดสัญญากับผม ผมเกลียดคนที่สัญญาแล้วทำไม่ได้!”
ฟ้ารดาค่อนข้างประหลาดใจกับท่าทางหัวเสียของคนที่กอดเธอแน่น เขาใช้คำว่า ‘เกลียด’ แทน ‘ไม่ชอบ’ เมื่อก่อนเจ้าซีก็จะบ่นอย่างนี้เวลาโดนปลุก แต่จะไม่ใช้น้ำเสียงตะคอก ไม่ทำหน้าเหมือนหงุดหงิด ไม่ได้ดูรุนแรงอย่างนี้ หญิงสาวรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายผ่านแรงกอด จึงตบไหล่สลับลูบแขนปลอบโยนอย่างใจเย็น รอจนอีกฝ่ายนิ่งไปจึงหันกลับไปคุยด้วย
“ซีคับ ไปรับโทรศัพท์หน่อยนะ ไว้รับสายเสร็จ เราไปซื้อดอกไม้ไปไหว้พ่อกับแม่กัน...นะจ๊ะ”
“ก็ได้ เพราะเป็นฟางขอหรอกนะ” เขาตอบในที่สุด แต่น้ำเสียงยังขุ่นมัว “แล้วจากนั้นเรากลับบ้านนะฟาง กลับบ้านเรา”
“บ้านเรา?” ฟ้ารดาหน้าเสียจนกนธีสัมผัสได้ “ซี พี่ฟางขอโทษ”
เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของครอบครัว
อะไรที่ทำให้พี่สาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้...ฟางร้องไห้?
นั่นคือสิ่งที่เขาจะไม่ทน! พวกนั้นเป็นต้นเหตุของการพลัดพราก
เคยยอมให้เพราะคิดว่ามันจะจบ แต่ก็ไม่ มันไม่เคยจบ!
“พวกป้าใช่ไหม” น้ำเสียงยามถามแข็งขึ้น สีหน้าของคนถามเปลี่ยนไป “พวกนั้นทำอะไร! พวกเขาสัญญาแล้วว่าจะไม่ก่อเรื่องให้ฟางอีก พวกนั้นทำอะไรอีก! ฟางตอบมา!”
เสียงตะคอกสุดท้ายนั้นดังสะท้านไปถึงข้างล่าง เสียงที่ทำเอาโทคิโอะซึ่งกำลังคุยสายอยู่ตกใจ ส่วนนารูโตะซึ่งกำลังจิบกาแฟอย่างสบายใจก็ถึงกับสะดุ้ง สำลักจนไอโขลกๆ รีบวางถ้วยกาแฟวิ่งขึ้นไปข้างบน เพราะรู้แล้วว่าคนบนนั้นอาจต้องการความช่วยเหลือ เมื่อสถานการณ์บ่งบอกว่าซาคาอิเหมือนจะเปลี่ยนโหมดไปแล้ว
นั่นบ่งบอกว่าอาจเป็นอันตรายต่อฟ้ารดา เพราะแปดปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยเจอน้องชายในโหมดนี้ โหมดที่พวกเขาถูกสั่งมาดูแลไม่ให้ซาคาอิทำเรื่องที่เป็นภัยต่อคนอื่นและตัวเอง ซึ่งเจ้าตัวอาจยังไม่ตระหนักถึงอันตรายนี้ เพราะคิดแต่ว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
“ครับท่าน เสียงซาคาอิซัง” โทคิโอะบอกคู่สายเป็นภาษาญี่ปุ่น “ผมขอตัวไปดู...ขอบคุณครับ ไว้ได้เรื่องอย่างไรผมจะรีบเรียนท่าน...ครับ ทราบแล้วครับ ผมจะดูแลซาคาอิซังอย่างดี...ครับ”
“พูดสิฟาง พวกนั้นทำอะไรบ้านเรา!”
ฟ้ารดาสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงตะคอกของคนที่บีบต้นแขนเธอแน่น ก่อนจะเขย่าตัวเธอเมื่อยังไม่ได้คำตอบ
“ไม่พูดใช่ไหม! ไม่บอกใช่ไหม! ได้! ผมจะไปทำให้พวกมันบอกเอง พวกนั้นไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้กับฟาง ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรฟางอีก! ทำไมฟางถึงต้องยอมให้พวกมันทำอย่างนั้น ให้พวกมันเอาบ้านไปทำไม ทำไม!”
ในขณะที่คนคาดคั้นจะเอาคำตอบไม่ได้คิดจะตำหนิคนที่เขาเขย่าตัวสักนิด แต่ด้วยการแสดงออก ด้วยคำพูดและคำถามที่คาดคั้นมันทำให้เธอตีความตรงข้าม เธอรู้สึกว่าถูกน้องชายตำหนิ ถูกน้องชายต่อว่าความไม่ได้เรื่องของเธอที่ปกป้องสมบัติชิ้นเดียวของครอบครัวไว้ไม่ได้ ทั้งที่เป็นพี่สาวที่เขาคาดหวังไว้ว่าจะทำได้ แต่ก็ทำให้ผิดหวัง
“พี่...พี่ขอโทษ...พี่ฟางขอโทษ...”
คำขอโทษเหมือนจะไม่ได้ผ่านเข้าไปในหัวอีกคนสักนิด เหมือนกับว่าทุกคำพูดของฟ้ารดามีคลื่นความถี่ต่างกับสิ่งที่เขาอยากได้ยิน เมื่อเธอไม่พูดสิ่งที่เขาอยากฟัง สิ่งเหล่านั้นก็เหมือนสะท้อนออกไป สื่อไม่ถึงเขา ทำให้เขาเจอเพียงความว่างเปล่า เจอเพียงน้ำตาของพี่สาวที่ไหลรินผ่านแก้ม
“พี่ไม่ดีเอง พี่ฟางขอโทษ ที่ทำให้ซีผิดหวัง...”
คนที่บันดาลโทสะควันออกหูยังคงไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงวิ้งๆ ในหัว แต่สายตาจับอยู่ที่คนที่เขาเขย่าตัว ไม่คิดว่ามันจะแรง ไม่คิดว่าจะคาดคั้นให้เธอเจ็บปวด แค่อยากได้คำตอบที่อยากรู้ อยากรู้ว่าคนพวกนั้นทำอะไร เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของครอบครัว
“ไปกับผม! ไปเอาบ้านเราคืนกับผม” เขาบอกพลางกระชากตัวเธอลงจากเตียง จะลากออกไปจากห้อง “ผมจะเอาบ้านเรากลับมา ไปกับผม ฟาง! ไปสิ! เดินสิฟาง...ทำไม จะปกป้องพวกนั้นอีกเหรอ จะปกป้องทำไม! ไม่ต้องกลัวพวกนั้น ผมอยู่นี่แล้ว...ไปกับผม!”
สิ้นเสียงฟ้ารดาก็ถลาตามแรงกระชากแขนของคนที่มุ่งแต่จะเดินออกจากห้อง จนไม่รู้ว่าพี่สาวยังคงช็อก ก้าวขาไม่ออก ทำให้เธอล้มไปตามแรงฉุด เสียงเข่ากระแทกพื้นดังตึงเมื่อแขนเธอหลุดจากมือคนที่เหมือนยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ผิดกับนารูโตะที่ตกใจกับภาพที่เห็น ภาพที่ตีความได้เพียงอย่างเดียวคือ เกิดเรื่องแล้ว!
“ซาคาอิซัง!”
เจ้าของชื่อหันขวับไปทางต้นเสียง แววตากร้าวพร้อมเอาเรื่อง
“ซาคาอิซัง!”
‘ซาคาอิซัง? ไม่ใช่ ตอนนี้เราคือเซย์จิ คือกนธี คือซี เราไม่ใช่ซาคาอิไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่มาหาฟางเราคือซี จะเป็นซาคาอิต่อหน้าฟางไม่ได้!’
สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองทำให้ซาคาอิมีท่าทีเปลี่ยนไป ค่อยๆ กลับไปเป็นกนธี กลับไปเป็นผู้ชายที่จะไม่ใช้แววตากร้าวกระด้างมองใคร จะไม่โกรธรุนแรง ไม่ขบฟันแน่น ทำหน้าตาน่ากลัว หน้าตาที่กำลังสะท้อนบนกระจกในเวลานี้
ใช่...ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นผู้ชายที่ไม่ใช้แววตาเย็นชาแข็งกระด้างมองใคร นี่คือซี คือคนที่เขาอยากกลับไปเป็น ต้องกลับไปเป็น เพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลับมาที่เดิมที่คิดถึงไม่ได้
“คุณฟาง เป็นอะไรไหมครับ”
น้ำเสียงห่วงใยของนารูโตะเรียกสายตากนธีให้หันไปมอง จึงเห็นภาพฟ้ารดานั่งอยู่กับพื้น มือจับเข่า สีหน้าเหยเก
“ซาคาอิซังทำอะไรลงไปครับ!”
โทคิโอะซึ่งตามขึ้นมาทีหลัง เห็นสีหน้าเอาเรื่องของนารูโตะที่ตวัดตามองซาคาอิก็เดาได้ว่าคงเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเข้าไปรั้งต้นแขนคนที่ก่อเรื่อง เพราะเข้าใจว่ายังไม่สงบ แต่เมื่อร่างสูงโปร่งนั้นถลาตามแรงที่เขากระชากแขน จึงรู้ว่าเรื่องจบแล้ว ยิ่งเห็นสีหน้าเหมือนคนโดนผีหลอกของตัวต้นเรื่อง ก็มั่นใจว่าสลับโหมดแล้ว เพราะถ้าเป็นซาคาอิซัง จะไม่มีทางทำหน้าเหมือนเด็กที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำผิดร้ายแรงอย่างตอนนี้
“ฟาง...” กนธีสะบัดแขนออกจากมือโทคิโอะ ถลาลงไปหาฟ้ารดา จึงเห็นรอยแตกที่เข่าซ้ายหญิงสาว “เป็นอะไร ฟางล้ม? เพราะผม? ผมทำฟางเจ็บเหรอ”
ฟ้ารดาไม่เข้าใจคำถามของคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับแววตาของคนที่มองแผลที่ขาเธอไม่ยอมวาง แววตาที่ดูต่างจากผู้ชายเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ อยากพูดว่าเหมือนเป็นคนละคน คนนั้นดูน่ากลัว ดูอารมณ์รุนแรง ดูเหมือนมองเธออย่างคนไม่รู้จัก
“ผมทำฟางเจ็บเหรอ” เมื่อไม่ได้คำตอบจากฟ้ารดาก็หันมาหานารูโตะ “ผมเป็นซาคาอิเหรอ”
นารูโตะเบือนหน้าไปสบตาฟ้ารดา ก่อนจะมองข้ามไหล่กนธีไปที่โทคิโอะซึ่งพยักหน้าให้ราวจะบอกว่าให้พูดความจริงออกไปเลย ถึงตอนนี้บอดีการ์ดหนุ่มจึงได้พยักหน้า แล้วคำตอบนั้นก็ทำเอาคนก่อเรื่องหน้าซีด มีอาการเหมือนคนพูดไม่ออกครู่หนึ่ง หลบสายตาฟ้ารดาและทุกคน
บรรยากาศดำเนินไปอย่างน่าอึดอัดเช่นนั้นครู่ใหญ่
“ซี...” ฟ้ารดารีบคว้าแขนน้องไว้ก่อนที่เขาจะผละออกไป “พี่ไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ ซีไม่ได้ทำหรอก พี่ขยับตามซีไม่ทันเอง ซีไม่ได้ตั้งใจ แผลแค่นี้เอง เช็ดน้ำเกลือ ทาเบตาดีนก็หาย...ไม่เป็นไรนะ ซีช่วยพี่ทำแผลหน่อยนะ...ได้ไหม...นะจ๊ะ ช่วยทำแผลให้พี่หน่อยนะ”
“ฟาง...” คนที่รู้ว่านั่นคือคำปลอบพูดได้เพียงเท่านั้นจริงๆ “ผมทำฟางเจ็บนะ”
“เพราะอย่างนั้นซีถึงต้องช่วยทำแผลให้ไง ไม่ต้องทำหน้าเหมือนฟ้าจะถล่มก็ได้ แค่เข่าถลอกเลือดซึม ไม่ร้ายแรงขนาดนั้น ทำอย่างกับไม่เคยทำพี่เป็นแผล ตอนเด็กซีก็เคยชนพี่ล้มเข่าแตกแบบนี้เลย หนักกว่านี้ด้วย จำไม่ได้เหรอ”
กนธีนิ่งไปอย่างครุ่นคิด “ทำไมผมจะจำไม่ได้ ตอนนั้นแม่โกรธมากที่ผมซนจนได้เรื่อง แม่เลยตีผม แล้วฟางก็มาห้ามจนโดนหวายแม่ฟาดโดนตรงนี้แตกเลย”
ตรงนี้ คือหางคิ้วที่กนธีเอื้อมมือขึ้นไปแตะ “ผมทำให้หน้าฟางมีแผลเป็นถึงตอนนี้เลย”
แผลเป็นนี้คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของกนธี...ในวันที่พ่อแม่คิดว่าลูกทั้งสองหลับกันหมดจึงคุยกันอย่างไม่ทันระวัง กนธีที่สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายแล้วกระหายน้ำจึงลงมาข้างล่าง แอบได้ยินบทสนทนาของพ่อแม่เข้าโดยบังเอิญ
‘คุณก็เหลือเกิน เรื่องแค่นี้ก็ต้องตีเจ้าซีด้วย รู้อยู่ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจ เป็นไงล่ะ ยายฟางจะปกป้องน้อง ยิ่งเข้าไปขวาง หน้าลูกสาวคุณโดนฟาดเลือดอาบ คุณเนี่ยนะเอมิ คุณนี่แหละสมควรโดนฟาดคนแรกเลย ทำเรื่อง! ยังจะยิ้มอีก ไม่เครียดรึไง หน้ายายฟางบวมแล้ว รอยแตกเย็บตั้งห้าเข็ม ไม่เล็กเลยนะ เกิดเป็นแผลเป็นน่าเกลียดขึ้นมา ไม่มีคนมาขอลูกเราไปเป็นเจ้าสาวทีนี้ละจะยุ่ง’
‘ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าซีต้องรับผิดชอบ ต้องรับยายฟางเป็นเจ้าสาว’
‘เอมิ! พูดอะไร! เดี๋ยวลูกก็มาได้ยินหรอก’
‘จะมาได้ยินอะไรกัน หลับไปหมดทั้งพี่ทั้งน้องแล้ว คนพี่หลับเพราะฤทธิ์ยา ส่วนเจ้าซีก็หลับเพราะร้องไห้สงสารพี่ แล้วที่ฉันพูดก็ไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเจ้าซีต้องรับผิดชอบ ฉันจะให้แต่งงานกันเลย...ทำไม ก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ซะหน่อย’
‘เอมิ!’
‘ทำไมต้องทำเสียงเข้มด้วย มันเรื่องจริง สักวันพวกเขาก็ต้องรู้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ความคิดที่จะไม่ให้บอกลูกว่าตาซีลูกติดฉัน ยายฟางลูกติดคุณ มันไม่ใช่ความคิดฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คุณเองไม่ใช่เหรอนนท์ที่สะกดจิตฉันให้เชื่อตามคุณ ยอมทำตามความต้องการของคุณ แต่สำหรับฉัน เรื่องที่ว่าเขาไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกันต่างหากที่คือความจริง’
‘คุณไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมทำตามความต้องการของผม ขอบใจนะเอมิ ขอบคุณที่ตามใจความเอาแต่ใจของผม’
‘ฉันเข้าใจคุณ ลูกสาวคุณเป็นผู้หญิง คุณก็ต้องห่วงมากกว่าฉัน’
‘ไม่ใช่ว่าผมจะ...’
‘คุณเป็นพ่อ ไม่ต้องคิดมากค่ะ ถ้าเจ้าซีเป็นผู้หญิง ฉันก็อาจจะทำเหมือนคุณ ไม่ต้องคิดมากหรอก ยิ้มได้แล้ว แล้วฉันก็ไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้ายายฟางไม่มีคนมาขอเป็นเจ้าสาวจริงๆ ฉันจะให้เจ้าซีรับผิดชอบพี่สาวคนนี้ไปทั้งชีวิตเลย...ทำไมคะ ยิ้มทำไม’
‘ผมว่าต่อให้คุณไม่บอก เจ้าซีก็พร้อมจะรับผิดชอบพี่ฟางไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว ติดพี่ขนาดนั้นไปไหนไม่รอดอยู่แล้วละ กลัวแต่โตมาจะหวงพี่สาวจนไม่ยอมให้หนุ่มคนไหนมาเข้าใกล้น่ะสิ ตอนนี้เจ้าซีอาจจะไม่มีพิษมีภัยกับใคร แต่ยังไงก็ลูกคุณ ผมว่าเจ้าซีต้องร้ายได้คุณแน่ๆ’
‘ร้ายแน่ๆ เจ้าซีน่ะ ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ที่ร้ายไม่ใช่เพราะได้เลือดแม่ แต่คนฝั่งพ่อเจ้าซี เขาร้าย...’
“ซาคาอิซัง” เสียงเรียกของนารูโตะรั้งสติกนธีกลับมา “เอ่อ...คุณซีไปทำแผลให้คุณฟางก่อนเถอะครับ”
“ให้ซีรับสายคุณพ่อก่อนก็ได้ค่ะ” ฟ้ารดาเหมือนนึกเรื่องนี้ได้ เพราะนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอขึ้นมาปลุกชายหนุ่มจนเกิดเรื่อง “คุยกับคุณพ่อก่อนค่อยไปทำแผลให้พี่ก็ได้จ้ะ ไม่เป็นไร รับสายก่อนเถอะนะ ไว้เราค่อยคุยกันนะจ๊ะ ไม่ต้องห่วง พี่ฟางไม่เป็นไร ไว้เสร็จแล้วเราค่อยไปไหว้พ่อกับแม่กันนะ”
เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน นั่นคือสิ่งที่สองบอดีการ์ดเห็นตรงกัน...
แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลให้ซาคาอิซังของพวกเขาได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
“แล้วพี่จะเล่าเรื่องบ้าน...”
“ผมไม่อยากฟัง” เขาพูดสวนขึ้นก่อนที่ฟ้ารดาจะได้เอ่ยเรื่องที่จะทำให้เขาโกรธออกมา “ผมจะไปคุยกับพ่อข้างล่างนะ เดี๋ยวผมมาทำแผลให้”
พูดจบกนธีก็ลุกออกไป ก่อนที่ฟ้ารดาจะเข้าไปรั้งตัวไว้ โทคิโอะก็ห้ามเธอไว้ก่อน นารูโตะสนับสนุนสิ่งที่รุ่นพี่ทำ ก่อนจะขยายความสาเหตุที่พวกเขาทำให้เธอฟัง
“เมื่อกี้คุณคงคุยกับคุณซีเรื่องบ้าน แล้วเธอก็หลุดโกรธใส่คุณใช่ไหมครับ” นารูโตะถาม ฟ้ารดาพยักหน้า ชายหนุ่มจึงยิ้มให้กำลังใจ “คุณซีเลี่ยงออกไปเพราะไม่อยากโกรธต่อหน้าคุณ ไม่อยากเป็นซาคาอิน่ะครับ คือเรื่องมันยาว ไว้พวกผมจะเล่าให้ฟัง แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ ในตัวผู้ชายคนนี้เหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัว คนหนึ่งคือคุณซี น้องชายคุณฟาง กับอีกคนคือซาคาอิซัง”
คำพูดนั้นทำเอาฟ้ารดาพูดไม่ออก อ้าปากจะถามแต่ก็เงียบไป อาจเพราะไม่รู้จะตั้งคำถามอะไร เพราะเธอรู้สึกงงไปหมด ยังไม่เข้าใจสิ่งที่นารูโตะอธิบาย คำอธิบายที่เหมือนตีความได้ว่า ในตัวน้องชายเธอมีวิญญาณคนชื่อซาคาอิมาสิงอยู่
“คุณซีเป็นคนสองบุคลิกครับ” โทคิโอะต้องออกหน้าอธิบายแทน “สองบุคลิกที่นิสัยต่างกันมาก เกิดขึ้นเพราะคุณซีถูกพาไปญี่ปุ่นแล้วต้องทำตัวเป็นแฝดพี่ที่เสียไป ผู้ชายคนนั้นชื่อซาคาอิ นิสัยตรงข้ามกับคุณซี เขาต้องเป็นผู้ชายคนนั้นมาตลอด ตลอดแปดปี...ที่คุณซีไม่มีความสุขเลย เพราะเฝ้าแต่รอวันที่จะกลับมาเป็นคนเดิม”
“พอถึงวันนั้นที่รอคอย...” นารูโตะเล่าบ้าง ดวงตาสะท้อนความเศร้าระคนหดหู่ “คุณซีก็พยายามกลับมาเป็นเด็กผู้ชายคนเดิมที่ไปจากเมืองไทยเมื่อแปดปีก่อน เป็นคนที่ร่าเริงสดใส แต่มันไม่ง่ายเลย ความจริงแล้ว...คำขอที่จะให้คุณซีเป็นซาคาอิซังน่าจะจบลงตั้งแต่จบปีที่สาม แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรอถึงแปดปี ทำไมถึงต้องทนคิดถึงบ้านถึงแปดปี...จึงได้ยอมกลับมา”
‘ยี่สิบสามปีเต็ม พ่อนนท์เคยบอกว่าผู้ชายจะเป็นผู้ใหญ่ตอนยี่สิบสามปีเต็ม จะรู้ว่ารักเป็นยังไง แปดปีจากนี้ห้ามติดต่อ ห้ามเจอหน้า ทำได้ไหม พิสูจน์สิ! รับคำท้า! ถ้าความรู้สึกซียังไม่เปลี่ยน พี่จะเชื่อว่าที่เราเป็นอยู่...ไม่ใช่รักของ...พี่น้อง’
“ถ้าคิดถึงบ้าน คิดถึงคุณฟางขนาดนี้ ก็น่าจะกลับมาหาตั้งนานแล้ว” โทคิโอะเปรยๆ สิ่งที่ไม่รู้ ขณะที่นารูโตะพยักหน้าสนับสนุนคำพูดนั้น แล้วหันมาตั้งคำถามกับฟ้ารดา
“คุณฟางรู้ไหมครับเพราะอะไร”
ฟ้ารดาอาจตอบคำถามไม่ออก พูดไม่ได้...
แต่สีหน้าของเธอก็พอจะทำให้บอดีการ์ดทั้งสองเดาคำตอบได้...
แล้วนั่นก็ทำให้พวกเขาเพิ่งรู้ตัวว่า...ทำพลาดอีกแล้ว!
“ขอบใจจ้ะ” ฟ้ารดาบอกคนที่นั่งทำแผลให้อยู่บนพื้น ขณะที่เธอนั่งบนโซฟา “ซียังมือเบาเหมือนเดิมเลย มือเบากว่าพ่อและแม่ จำได้ไหมจ๊ะ เมื่อก่อนเวลามีแผล พี่ฟางเลือกให้ซีทำแผลให้ก็เพราะมือเบานี่แหละ ล้างแผลให้ก็ไม่รู้สึกเจ็บมาก แม่เอมิมือหนักสุด”
ยังไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา คนที่รู้สึกแย่ทำเพียงเข้ามาโอบเข่าเธอไว้แล้วซบหน้าลงจ๋อยๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องน้องชายที่ยิ้มให้เสมอก็ไม่ยอมยิ้มอีกเลย ไม่ยอมพูดอะไรมากมายอย่างเมื่อก่อน นอกจากถามคำตอบคำ และพูดซ้ำๆ ว่าขอโทษ
“ซี ไม่เป็นไรหรอกนะ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”
“ผมสัญญานะฟาง ผมสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฟางอย่ากลัวผมนะ” สิ่งที่กวนใจกนธีในเวลานี้ไม่ใช่แค่เรื่องเขาทำให้พี่สาวเจ็บ “ผมจะระวัง จะคุมตัวเองให้ได้ ผมโกรธคนอื่น แต่ไม่ได้โกรธฟางนะ ผมไม่ได้โกรธพี่”
นารูโตะและโทคิโอะกลับไปแล้ว พวกเขายังไม่ทันได้เล่าเรื่องของผู้ชายที่ยังคงทำหน้าจ๋อยให้เธอฟังมากนัก นอกจากเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกว่า เธอทำผิดต่อน้องชายมากๆ เป็นต้นเหตุให้เขากลับมาบ้านไม่ได้ทั้งที่คิดถึง เพราะคำพูดที่เธอคิดเองง่ายๆ ตัดปัญหาทุกอย่าง เลือกทำสิ่งที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อน้องชายที่เธอรัก เธอเป็นต้นเหตุของการทำให้รอยยิ้มสดใสของน้องชายหายไป เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบ
“ผมป่วย...เป็นคนที่น่าจะมีมากกว่าสองบุคลิกในตัว”
คนพูดยังคงกอดเข่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟา ไม่เงยหน้าขึ้นมองเธอ แต่รับรู้ว่าเธอมองเขาอยู่ เธอลูบศีรษะเขาแสดงความอ่อนโยนไม่เปลี่ยน แต่เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คงทำให้เธอตกใจและกลัวเขาไม่น้อย
“สิ่งที่ผมเจอตอนไปอยู่ที่โน่นต่างกับที่เมืองไทย ผมต้องไปเป็นคนอื่น ไปเป็นพี่ชาย...ต้องเป็นให้เหมือน ต้องได้ ผมเป็นเขานานจนผมแทบจะจำความรู้สึกตอนเป็นตัวเองไม่ได้ แต่ผมไม่ได้อยากเป็นเขา ผมอยากเป็นซี เป็นคนที่รักฟาง ผมเลือกที่จะตัดขาดความจำที่ผมไม่ชอบ ตัดขาดจากตัวตนที่ผมไม่อยากเป็น...”
ฟ้ารดาเข้าใจความหมายของสิ่งที่กนธีพยายามอธิบาย อาจไม่ลึกซึ้ง แต่ก็รู้ว่ากลไกการป้องกันจิตใจตัวเองของคนเรา ทำให้เวลามีเหตุการณ์รุนแรงมากๆ มากระทบ จะเกิดการตัดขาดกับสิ่งกระทบนั้นเพื่อความอยู่รอด เมื่อไม่อยากรู้ก็จะไม่รับรู้ คนทั่วไปก็เกิดขึ้นได้ แค่มันอาจไม่ได้รุนแรงพอจะเป็นโรคหลายอัตลักษณ์ ผิดกับน้องชายของเธอที่เกลียดตัวตนหนึ่ง ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเป็น แต่ต้องเป็น
“ไม่เป็นไรหรอกซี” ฟ้ารดาตอบสิ่งที่คิด เธอรู้ว่าน้องชายกำลังสับสน เบื้องต้นของการจะทำให้เขาดีขึ้นคือยอมรับสิ่งที่เขาเป็น เพื่อจะช่วยให้ผู้ที่มีหลายอัตลักษณ์เกิดการยอมรับตัวเองได้ ถ้าปัญหาของกนธีคือการไม่อยากเป็นซาคาอิ เพราะกลัวตัวตนกนธีหายไป เธอก็ควรจะยอมรับสิ่งที่ซาคาอิเป็นก่อน แม้ยังไม่รู้แน่ว่าตัวตนนั้นจะเป็นอย่างไรแต่สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็คือสิ่งที่น้องชายเธอเป็นถึงแปดปี
“ไม่เป็นไรเลย ไม่ว่าในตัวซีจะมีบุคลิกคนอื่น มีตัวคนอื่นอยู่ แต่นี่ก็คือซี...เจ้าดื้อของพวกเรา ของแม่ พ่อ แล้วก็พี่ฟางนะ”
เป็นครั้งแรกที่กนธียอมเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เขายังไม่ยอมปล่อยเข่า
“ฟางไม่กลัวสิ่งที่ผมเป็นเมื่อกี้เหรอ มันไม่ใช่ตัวตนของเจ้าซีของฟางเลยนะ เขาร้ายกาจอย่างที่ฟางจินตนาการไม่ถึงเลยนะ”
ฟ้ารดาทำเป็นครุ่นคิด เพราะรู้ว่าน้องชายลุ้นคำตอบเธออยู่ “พี่เคยเรียนเรื่องคนป่วยหลายอัตลักษณ์มาบ้างนะ ระหว่างซาคาอิกับซี ใครเป็นบุคลิกหลัก”
“เมื่อก่อนซาคาอิ เมื่อหกเจ็ดปีก่อนผมต้องเป็นซาคาอิ แต่ระยะหลังตั้งแต่ผมเริ่มเข้ารักษา พบจิตแพทย์ตามคำแนะนำของอากิระซัง...นายของพี่รักยม”
“พี่รักยม? หมายถึงคุณนารูโตะกับคุณโทคิโอะเหรอจ๊ะ”
กนธีพยักหน้า ทำให้ฟ้ารดายิ้ม ส่งผลให้สีหน้าของคนที่ยังกอดเข่าเธอไว้ยิ้มตาม เพราะเดาสิ่งที่หญิงสาวคิดได้
“พวกเขารู้ความหมายใช่ไหม ทำไมเรียกรักยม แล้วอากิระซังเป็นใครกันจ๊ะ”
“เป็นยากูซ่าญี่ปุ่น”
กนธีขำสีหน้าตกใจของพี่สาว เพราะถ้าเป็นอย่างที่น้องชายพูด นั่นหมายความว่าน้องชายเธอมีลูกน้องยากูซ่าติดตาม มันจะตีความเป็นอะไรได้อีกนอกจากน้องชายเธอไปพัวพันกับคนที่มีภาพลักษณ์ไม่ค่อยดี
“ตกใจเหรอ ผมยังรู้จักมาเฟียด้วยนะที่เมืองไทย ฟางรู้จักคันธรสกรุ๊ปไหม”
ฟ้ารดารู้สึกคุ้นชื่อ “ที่เคยเป็นข่าวดังเมื่อสักสองปีก่อนรึเปล่า ที่มีตำรวจไปบุกจับสถานบันเทิงที่เจ้าของเขาโดนตั้งข้อหาฆาตกรรม รู้สึกจะชื่ออะไรนะ ปรมัตถ์ เจ้าของธุรกิจสีดำสีเทา ชื่อเดอะคิงส์อะไรสักอย่างใช่ไหม”
กนธีพยักหน้าแล้วยิ้ม “เดอะคิงส์คลับ ผมเป็นเมมเบอร์ด้วยนะ เป็นลูกค้าซูเปอร์วีไอพีเลย โอ๊ย ฟางตีผมทำไมเนี่ย เจ็บนะ”
“หมายถึงเมมเบอร์อาบอบนวดเหรอซี”
คำถามพร้อมท่าทางตาโตของหญิงสาวทำให้เจ้าดื้อหัวเราะ คนส่วนใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกับเดอะคิงส์คลับก็จะตีความหมายไปแนวๆ นั้น
“เป็นเด็กเป็นเล็กไปเที่ยวที่แบบนั้นเหรอ! ยังจะมาหัวเราะอีก น่าตีนัก”
“ผมทำมากกว่าไปเที่ยวอาบอบนวดอีกนะฟาง” เจ้าดื้อยังไม่หยุดแหย่พี่สาว แล้วรวบมือที่จะตีเขามากุมไว้ ยังคงทำหน้าทะเล้นยียวนใส่ “แล้วผมน่ะ ไม่ใช่เด็กแล้วด้วย บรรลุนิติภาวะแล้ว เที่ยวได้ โอ๊ย...พอแล้วฟาง ไม่ตีแล้ว เจ็บ แค่ล้อเล่นเอง แล้วเดอะคิงส์คลับก็ไม่ใช่อย่างที่ฟางเข้าใจหรอก เขาเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจให้บริการครบวงจร รูปแบบเมมเบอร์ลับ ไม่ใช่ใครจะเข้าได้นะ คนอาจจะไปเที่ยวสถานบริการในเครือเขาได้ แต่คนที่เรียกว่าเมมเบอร์เดอะคิงส์คลับต้องไม่ธรรมดา ต้องรวยมากๆ เท่านั้นถึงจะมีเงินจ่ายค่าบริการและค่าสมาชิก การที่โทคิโอะซังกับนารูโตะจังมาดูแลผมก็เพราะเป็นหนึ่งในบริการของเมมเบอร์ พวกเขาจะดูแลเราทุกอย่างทุกเรื่อง”
“เพราะงานเหรอ แต่ทำไมพี่ฟางรู้สึกว่าทั้งสองคนดูแลซีด้วยใจ พวกเขาดูห่วงซีจริงๆ”
กนธีก็รู้สึกอย่างนั้น “เพราะเขาสงสารผมมั้ง พวกเขาดูแลผมเสมอ รู้จักผม หมายถึงซาคาอิ คุณพ่อผมสนิทกับอากิระซัง พ่อฝากฝังให้พวกเขาดูแลผม เพราะผมมักไปก่อเรื่องให้พวกนี้ต้องคอยเคลียร์ให้เสมอ”
จากคำบอกเล่านี้ทำให้ฟ้ารดาคลายกังวลไปไม่น้อย เพราะเธอสัมผัสได้ว่า ‘คุณพ่อ’ ที่กนธีพูดถึงก็ฟังดูเป็นคนที่รักลูกชาย แล้วยังมีคนชื่ออากิระ นารูโตะ และโทคิโอะคอยดูแล ที่นั่นคงไม่เลวร้ายถึงที่สุด การได้รับรู้อย่างนั้นทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง ทว่าความรู้สึกผิดต่อน้องก็ไม่ได้ลดน้อยลง เธอทำผิดต่อน้องมากๆ ทั้งเรื่องคำท้าทายนั้น แล้วยังเรื่องที่ไม่สามารถรักษาบ้านที่น้องรักได้
“ฟางกลัวผมไหม” กนธีถามอย่างจริงจังหลังจากที่ฟ้ารดาเงียบไป “ฟางคิดว่าผมเป็นคนน่ากลัว เป็นคนบ้า เป็นผู้ป่วยจิตเภทที่ควรออกห่างไหม อย่ากลัวผมเลยนะ ผมดีขึ้น อาจจะยังไม่หาย แต่ผมเริ่มรับรู้สิ่งที่ซาคาอิทำ ไม่นานผมจะกำจัดซาคาอิไปจากตัวผมให้ได้ ผมสัญญา”
“ซี...ซาคาอิก็คือตัวซีนะ ไม่ว่าซีจะทำได้หรือไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะรักซีน้อยลงเลย เราก็ยังคงเป็นพี่น้อง” ฟ้ารดาใช้สองมือประคองหน้าน้องกลับมา เมื่อเขาจะเบือนหน้าหนี ด้วยสาเหตุที่ไม่ชอบใจคำว่า ‘พี่น้อง’ ที่เธอใช้ “ฟังพี่! เจ้าดื้อนี่ พี่ฟางยังพูดไม่จบ ห้ามหันหน้าหนีด้วย”
“เมื่อไหร่ฟางจะเลิกย้ำว่าพี่น้อง ผมทนคิดถึงฟางมาแปดปี ไม่ได้จะรักษาความเป็นพี่น้องหรอกนะ”
คราวนี้เจ้าดื้อตาขุ่น จะเรียกว่าเป็นซาคาอิก็ไม่ใช่ กนธีก็ไม่เชิง ทำให้ฟ้ารดาเริ่มไม่แน่ใจ จะขยับห่างแต่ก็ช้าไป เมื่อศีรษะเธอถูกรั้งให้ยังคงก้มหน้าเข้าหาอีกฝ่าย
“ฟางเป็นของผม! ผมไม่เป็นน้อง ไม่เอาพี่ จะเอาแฟน เอาคนรัก และฟางต้องเป็นให้ผม...ของผมคนเดียว”
พูดจบก็ตั้งใจจะจูบ แต่กลับถูกบีบจมูก เจ้าดื้อก็ร้องเสียงดังเกินเบอร์
“โอ๊ยยย ฟางทำอะไร! ปล่อย ผมเจ็บนะ คิดจะเบี้ยวผมเหรอ”
“ยังจะมาพูดอย่างนี้อีก เพราะซีพูดเล่นอย่างนี้นั่นแหละ พวกญาติๆ ถึงจับเราแยกจากกัน ห้ามพูดเล่นอย่างนี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นพี่ฟางจะใช้หวายฟาดเผียะๆ เหมือนแม่เอมิฟาดซีเลย...ไม่ต้องแย้ง! ไม่เถียงด้วย! ห้ามนะเจ้าซี!”
ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนพี่ชี้หน้าขู่เจ้าดื้อ ท่าข่มขู่ที่ไม่ได้ดูน่ากลัวสักนิดในสายตาคนอื่น รวมถึงเจ้าตัวดีตรงหน้าที่ทำท่าจะงับนิ้วพี่ จนต้องดึงมือออกแล้วรีบขยับลุกหนี
“ไปอาบน้ำได้แล้วจ้ะ จะไปไหว้สุสานพ่อนนท์แม่เอมิไม่ใช่เหรอ ให้เวลาสิบนาทีนะ”
“หนีได้ก็หนีไป จะหนีได้สักกี่น้ำ” คนโดนปฏิเสธบ่นไล่หลังพี่สาวที่วิ่งหนีขึ้นไปบนบ้าน ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเมื่อมีข้อความเด้งเข้ามาในห้องสนทนารวมที่ตั้งชื่อว่าพวกรักยม “กลับไปแล้วก็ยังมากวนนะ พูดไม่เข้าใจหรือไงว่าไม่ต้องห่วง”
นารูโตะ: ผมให้คนเอารถไปส่งให้หน้าบ้าน จะได้พาคุณฟางไปไหนมาไหนได้สบาย มีทั้งรถยนต์และบิ๊กไบค์ เดาไม่ถูกว่าคุณจะชอบแบบไหน เลยส่งไปทั้งสองแบบ ถ้ายังไม่ถูกใจก็บอกมาได้เลยนะครับ เดี๋ยวพวกผมจัดให้
โทคิโอะ: เรื่องบ้านอากิระซังรู้แล้ว และสั่งให้พวกผมเอาคืนมาให้ซาคาอิซังสบายใจได้นะครับ เที่ยวกับคุณฟางให้สนุก
ซาคาอิ: ขอบคุณครับเรื่องรถ
นารูโตะ: ยินดีครับ ขับรถระวังๆ ใจเย็นๆ นะครับ ถ้าเป็นไปได้ให้คุณฟางขับก็ดีนะ เท่าที่ผมรู้มาคุณฟางขับรถได้
ซาคาอิ: ฟางน่ะเหรอจะขับรถได้ ตอนเด็กพ่อกับแม่ให้เรียนยังไม่ยอมเลย รู้ได้ไง
นารูโตะ: เรซูเม่คุณฟางอยู่ในมือพวกผมอยู่ตอนนี้ อย่าเพิ่งขมวดคิ้วครับ พวกผมต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณฟางและรอบตัวคุณฟาง รวมถึงเรื่องบ้าน พวกผมจะเอาบ้านมาคืนคุณให้ได้ครับ อย่าห่วง
โทคิโอะ: ที่เรารู้ตอนนี้คือบ้านอยู่ในมือคนอื่นแล้ว คุณแขไข ป้าผู้ดูแลผลประโยชน์คุณฟางเซ็นขายไปก่อนคุณฟางจะบรรลุนิติภาวะ ผมมีชื่อคนที่ซื้อไป แล้วจะส่งให้ซาคาอิซังครับ
ซาคาอิ: ขอบคุณครับ แต่เรื่องบ้านผมอยากจัดการเอง พวกนั้นมองตาผมและให้สัญญาไว้ก่อนที่ผมจะตัดสินใจไป พวกนั้นผิดสัญญา ผมจะให้พวกนั้นชดใช้!
หลังส่งข้อความจบ สีหน้าของกนธีก็เปลี่ยนไป...เขาโกรธอีกครั้ง มือที่บีบโทรศัพท์แน่นยืนยัน รวมถึงกิริยาขบกรามจนขึ้นสัน และคงจะโกรธยิ่งกว่านี้ ถ้าไม่มีเสียงเรียกของคนที่ขึ้นไปบนบ้านก่อนหน้านี้ เธอย้อนกลับลงมาหาน้องชายพร้อมผ้าขนหนู แล้วก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อทันเห็นสีหน้าโกรธของน้องชาย แต่ก็เพียงแวบเดียว เมื่อตอนนี้กนธียิ้มพลางพยักหน้าให้พี่สาว
“เอ๊ะ เสียงรถใครมาจอดหน้าบ้านน่ะ พี่ไปดูก่อนนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกฟาง เดี๋ยวผมไปดู คงเป็นคนของพี่รักยมเอารถมาให้ผมใช้น่ะ”
ถึงอีกฝ่ายจะบอกอย่างนั้น แต่ฟ้ารดาก็ยังเดินตามน้องชายออกไปหน้าบ้าน แล้วก็ต้องทำตาโตเมื่อเห็นรถที่ว่า
“โอ๊ะโอ...รู้ใจจริงๆ พี่รักยม ว่าแต่ฟางชอบแบบไหน นี่หรือว่านี่”
ฟ้ารดาอาจไม่ใช่คนที่รู้จักรถมากมาย แต่เธอก็พอรู้ว่ารถสองคันสองแบบที่จอดอยู่หน้าบ้านเธอคือรถหรูราคาแพง ทั้งรถสปอร์ตสีดำและรถบิ๊กไบค์คันใหญ่สีแดงสดนั้น!
“ไม่เลือกเหรอ งั้นผมเลือกนะ วันนี้วันจันทร์รถติด ไปแบบนี้ดีกว่านะฟาง”
รถทั้งสองคันถูกถอยเข้ามาจอดไว้ในบ้าน ก่อนที่หนึ่งในบอดีการ์ดจะเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาด้วย แล้วถามกนธีว่าจะให้เอาไปเก็บที่ไหน ชายหนุ่มบอกว่าเดี๋ยวจัดการเอง ให้พวกเขากลับกันได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้าอาชิโมโตะซังต้องการอะไรก็เรียกใช้ผมได้เลยนะครับ”
บอดีการ์ดที่เอารถมาส่งทั้งสองคนโค้งตัวเคารพทั้งกนธีและฟ้ารดาก่อนจะถอยออกไป มีรถอีกคันมารับพวกเขาออกไปจากบ้าน ทิ้งทั้งคู่ให้อยู่ลำพังอีกครั้ง แต่เหมือนจะไม่อยู่ลำพัง เมื่อเพ็ญศรีได้จังหวะโผล่พรวดออกมาจากประตูรั้วเล็กๆ ข้างบ้าน ถือวิสาสะเข้ามาในบ้าน
“สวัสดีค่ะน้องซี พี่ชื่อเพ็ญศรีนะคะ เป็นเพื่อนบ้านของน้องฟาง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
บอกพลางยื่นมือมาตรงหน้า แต่ดูจะไม่ทันใจ เจ้าหล่อนทำท่าจะถือวิสาสะเข้าไปจับมืออีกฝ่าย แต่เหมือนฟ้ารดาจะเดาทางพฤติกรรมเพ็ญศรีได้ก่อน จึงขยับออกมาขวางได้อย่างหวุดหวิด พร้อมกับยิ้มให้ทั้งสองคน แล้วเริ่มแนะนำตัวน้องชายให้เพ็ญศรีรู้จัก
“ซีจ๊ะ พี่เพ็ญเป็นเพื่อนบ้านเราจ้ะ ตลอดปีกว่าๆ ที่พี่มาอยู่ที่นี่ ได้พี่เพ็ญและครอบครัวช่วยเหลือไว้มากๆ เลย เป็นเพื่อนบ้านที่ดี มีอะไรก็แบ่งปันให้พี่เสมอ...ส่วนพี่เพ็ญก็คงรู้แล้วว่านี่ซี น้องชายฟางค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ แล้วรู้สึกเหมือนคุณป้าข้างบ้านพี่สาวทำท่าพร้อมจะพุ่งเข้ามาหาเขาได้ทุกเวลา จึงขยับออกห่างอีกก้าว ให้พี่สาวเป็นตัวกั้น เลิกคิ้วเบาๆ ในความล้นๆ ลนๆ แปลกๆ ของอีกฝ่าย แต่กระนั้นก็ต้องรักษามารยาท รักษาหน้าตาของพี่สาวที่มองมาเหมือนจะขอร้องเขาไม่ให้ถือสาป้าเพื่อนบ้าน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ขอบคุณที่ดูแลฟางให้ผมตลอดมานะครับ”
“เพื่อนบ้านกันค่ะ ก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ว่าแต่น้องซีเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นใช่ไหมคะ ไปทำอะไรที่ญี่ปุ่นคะ ไปเรียนเหรอ”
“ไปอยู่กับครอบครัวครับ ครอบครัวพ่อผมอยู่ที่ญี่ปุ่น”
“ครอบครัวพ่อผม? รู้สึกเหมือนจะเป็นคนละคนกับพ่อน้องฟาง เซนส์พี่ถูกงั้นเหรอคะ อ้อ แสดงว่ามีแม่คนเดียวกันแต่คนละพ่อ มิน่าหน้าตาไม่เหมือนกัน”
กนธีว่าจะอธิบาย แต่พี่สาวส่ายหน้าห้าม บวกกับเพ็ญศรีหันไปทำตาโตเมื่อเห็นรถสองคันที่จอดอยู่ในบ้าน พอสำรวจเสื้อผ้า ของใช้ นาฬิกา และกระเป๋าเดินทางที่อยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม ก็ตีราคาผู้ชายคนนี้ออกมาได้
“แสดงว่าพ่อน้องซีต้องรวยมากแน่ๆ ใช่ไหมคะ แหม...ถามว่าพี่รู้ได้ยังไงใช่ไหมคะ ก็ดูรถ ดูนาฬิกาของน้องซีไงคะ รวมกันนี่หลักสิบล้านได้มั้งคะ”
กนธีไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้ม แล้วหันมาหาฟ้ารดาเพื่อตัดบท “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะฟาง ขอตัวนะครับป้าศรี”
“โอ๊ย พี่ก็พอค่ะ ไม่เอาป้า” เพ็ญศรีโบกมือ ทำหน้าบิดเบี้ยวเหมือนเจอเรื่องที่รับไม่ได้ “แค่พี่ก็พอจ้ะ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมจะเรียกแบบไม่ให้เกียรติไม่ได้ แม่พวกเราอายุเท่าไหร่นะฟาง ตอนเสียสี่สิบเนอะ ตอนนี้แม่น่าจะสี่สิบแปด ผมเรียกป้าเพ็ญน่ะดีแล้วครับ ป้าแก่กว่าแม่ผมมาก ไม่งั้นถือว่าไม่ให้เกียรติ ไม่ดีครับ ไม่สุภาพ ไม่เหมาะอย่างยิ่ง”
“ซี!” พี่สาวรีบสะกิดน้องชาย ด้วยไม่รู้ว่าน้องชายแกล้งว่า ไม่ได้คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะอายุถึงขนาดนั้นจริง เธอรีบกระซิบบอก “พี่เพ็ญอายุเพิ่งจะสามสิบห้า รีบบอกว่าล้อเล่นเร็วเข้า”
เจ้าดื้อทำตาใสใส่ แล้วฟ้ารดาก็นึกว่าน้องจะทำตาม รีบหันมายิ้มให้คนหน้าเจื่อนที่โดนเด็กที่หล่อนต้องตาเพราะความหล่อความรวยหาว่าหน้าแก่
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ป้าเพ็ญ ไว้เจอกันครับ” พูดเสร็จก็ลากกระเป๋าเดินทางเข้าบ้าน แกล้งมองไม่เห็นอาการประท้วงและพยายามจะดึงตัวเขาไว้ของพี่สาว “ฟางก็รีบตามผมมานะ จะได้ไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เราต้องรีบไปไหว้พ่อแม่”
“เอ่อ...ขอโทษค่ะพี่เพ็ญ” ฟ้ารดายกมือไหว้ “เจ้าซีก็เป็นแบบนี้ค่ะ อย่าถือสานะคะ จริงๆ น้องแค่แกล้งอำน่ะค่ะ คงแกล้งอำพี่เพ็ญ เดี๋ยวเจอกันคราวหน้าเขาก็ขอโทษแล้วค่ะ”
เพ็ญศรียังหน้าชาแต่ก็ยิ้มรับหน้าเจื่อน ก่อนจะรีบปรับสีหน้า ทำท่าจะคุยต่อ
“ฟาง...มาช่วยผมรื้อกระเป๋าหน่อย เร็วเข้า ฟาง!”
เป็นอีกครั้งที่ฟ้ารดาค่อนข้างช็อกกับสิ่งที่น้องชายทำ กนธีไม่เคยเป็นอย่างนี้ ไม่เคยพูดหักหน้าใครอย่างที่เพิ่งทำกับเพ็ญศรี อีกทั้งยังเป็นเด็กมีมารยาทสุดๆ อย่าบอกนะว่านี่ก็เป็นหนึ่งในพฤติกรรมแย่ๆ ของบุคลิกซาคาอิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอคงเจองานหนักเสียแล้ว
“ฟาง! ผมรออยู่นะ ให้ไว อย่าเอาแต่คุย ไร้สาระ!”
“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่จะโดนถอนหงอกไปมากกว่านี้ ขอตัวนะคะ”
“พี่เพ็ญอย่าโกรธซีเลยนะคะ ปกติน้องฟางไม่เป็นอย่างนี้ พอดีวันนี้เขาคงเหนื่อยจากการเดินทาง แล้วคงเจ็ตแล็ก...”
“ฟาง! เครื่องทำน้ำอุ่นทำไมไม่ทำงาน ผมไม่อาบน้ำเย็นนะ ฟาง!”
“ค่ะๆ รีบไปเถอะค่ะ”
ถึงตอนนี้เพ็ญศรีถึงกับต้องรีบผลักฟ้ารดาให้รีบเข้าบ้าน ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินมุดรั้วออกมาอย่างคนที่เหมือนเพิ่งถูกลากไปตบกลางสี่แยก เดินมาครู่หนึ่งก่อนจะตั้งสติได้
“พี่น้องประสาอะไร นิสัยต่างกันอย่างกับนรกสวรรค์ หรือเพราะคนนึงพ่อจน อีกคนพ่อรวย ก็เลยนิสัยลูกคุณหนู เอาแต่ใจ ต้องใช่แน่ๆ แบบนี้น้องฟางคงลำบาก ว่าแต่ญาติหนูฟางรู้เรื่องนี้รึยังนะ รู้รึยังว่าไอ้เด็กแสบนี่กลับมา แสบขนาดนี้น่าจะแผลงฤทธิ์กับทางนั้นไว้ไม่น้อยแน่ๆ”
เพ็ญศรีพูดพึมพำอยู่คนเดียวพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา
“แบบนี้ต้องโทร. ไปสืบ!” โทร. ออกไม่ทันไรปลายสายก็รับ “ฮัลโหลค่ะ คุณพี่...เพ็ญเองค่ะ...เปล่าค่ะ ยังไม่มีข่าวคืบหน้าอะไรค่ะ ไม่มีค่ะ ไม่มีหนุ่มที่ไหนจะเข้าบ้านน้องฟางได้ เพ็ญรับประกันค่ะ แต่เพ็ญมีเรื่องจะถามหน่อยค่ะ ก็ไม่เชิงถามหรอกนะคะ แค่ปรึกษาหารือแล้วก็ส่งข่าวค่ะ...”
ความคิดเห็น |
---|