ตอนที่ 1
พราวตะวันมั่นหน้า
24 ธันวาคม ใกล้เวลาเลิกงาน
ทันทีที่ฉันลงจากรถมินิคูเปอร์คันเก่ง รปภ.ประจำตึกก็สะดุ้งโหยง รีบยกหูโทรศัพท์ด้วยท่าทางลนลาน คงจะรายงานให้คนบนตึกรู้ว่าเจ้านายที่ลาพักร้อนและบอกว่าจะเข้าออฟฟิศอาทิตย์หน้าตอนนี้กำลังมุ่งตรงไปที่ลิฟต์
ฉันแลตาผ่านแว่นกันแดด สงสัยยามวัยชราจะสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตเลยรีบวางหูและยกมือตะเบ๊ะ ก่อนจะวิ่งนำหน้าไปกดลิฟต์ให้
“สวัสดีครับ ผมไม่นึกว่าคุณพราวจะกลับมาก่อน...” รปภ. พูดยาว ฉันรีบกดปิดประตูลิฟต์ด้วยความรำคาญ
อะไรกันนักหนา ก็แค่ ‘พราวตะวัน’ ประธานบริษัทกลับเข้าออฟฟิศก่อนกำหนด ก็ทำตัวตื่นเต้นไปได้ ตอนแรกกะจะไปพักผ่อนที่โรมสักอาทิตย์ แต่อยู่ไปสองวันก็เบื่อเลยรีบบินกลับมาทำงานดีกว่า ฉันมองนาฬิกาข้อมือ ตัวเลขหยุดไว้ที่บ่ายสามเป๊ะ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เวลาที่จะกลับมาเนอะ
ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก ฉันเงยหน้าก่อนจะเดินสับเท้าไปตามทางเดิน แปลกใจที่ระหว่างทางไปยังห้องทำงานซึ่งปกติจะคลาคล่ำไปด้วยพนักงานที่วุ่นวายกับการทำงาน ตอนนี้กลับว่างเปล่าไร้เงาผู้คน รวมทั้ง ‘ปาลิดา’ เลขาฯ หน้าห้องที่ต้องรีบกุลีกุจอมาต้อนรับตั้งแต่หน้าลิฟต์
ฉันเหลียวซ้ายแลขวา ชักสังหรณ์ใจบางอย่าง จะว่าทุกคนกลับไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องก็ยังเปิดค้างไว้อยู่ ฉันค่อยๆ เดินสำรวจ ในความเงียบงันได้ยินเพียงเสียงรองเท้าส้นสูง Prada ของตัวเองกระทบพื้น ผสมกับเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะแม่เลขาฯ หน้าห้องดัซึ่งงเป็นระยะ พลันก็เจอแม่บ้านที่กำลังเก็บขยะเดินออกมาจากห้องทำงานฉันพอดี
“คะ...คุณพราว” อีกฝ่ายทำท่าตกใจยิ่งกว่าเจอเสือ
“ทุกคนอยู่ไหนกันหมด” ฉันกอดอกถามเสียงต่ำ ก่อนจะถอดแว่นกันแดดและมองหน้าแม่บ้านนิ่งๆ
“ยะ...อยู่ที่ห้องประชุมค่ะ” คนตรงหน้าตอบเสียงสั่น
“มีประชุมอะไร” ฉันพยายามนึก แต่เมื่อเห็นป้าแม่บ้านหน้าเสียและกำลังตบปากตัวเอง ก็พอจะเดาได้ว่า มันต้องเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้
ที่นี่มันออฟฟิศพีตะวัน (P-TAWAN) กรุ๊ป แบรนด์เสื้อผ้าระดับไฮ-เอนด์ที่มีโชว์รูมทั้งในปารีสและมิลาน มีทีมพีอาร์อยู่ในแอลเอ แถมยังวางขายในรีเทลทั่วโลกกว่าห้าสิบแห่งในทุกทวีป และฉันก็เป็นเจ้าของ ในเมื่อทุกคนกำลังมีลับลมคมใน ท้าทายฉันขนาดนี้ ย่อมได้...
ฉันตัดสินใจสวมแว่นกลับตามเดิม แล้วหมุนตัวมุ่งไปที่ห้องประชุม
เดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังมาจากด้านใน เป็นไปได้ว่าพวกพนักงานจะแอบจัดงานเลี้ยงปีใหม่โดยไม่บอกฉัน
ในใจรู้สึกโมโห ทั้งๆ ที่เคยห้ามแล้วนะว่าห้ามจัดงานเลี้ยงในออฟฟิศ มันทำให้เสียภาพลักษณ์ของแบรนด์
ให้ตายเถอะที่นี่คือพีตะวันนะ ไม่ใช่บริษัทปล่อยสินเชื่อเงินกู้แถวชานเมือง นี่ถ้าเปิดแล้วเจอว่าเป็นปาร์ตีหมูกระทะฉันด่าแหลกแน่!
ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป เสียงเพลงก็ดังปะทะหน้า พนักงานทั้งหมดอยู่ในห้องนี้และกำลังสนใจบนเวทีซึ่งมีชายหนุ่มคู่หนึ่งกำลังร้องเพลงด้วยกัน
ฉันถอดแว่นตาเพื่อเพ่งมองให้ชัด นั่นมัน‘ชินทัศ’ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดสุดหล่อ กำลังถือช่อดอกไม้สีแดงมอบให้ชายหนุ่มอีกคนที่ทำท่าเขินอายตอนที่เสียงเพลงจบลงพอดี
คนในห้องส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด ยังไม่มีใครสังเกตว่าตอนนี้ประธานบริษัทก็อยู่ในห้องด้วย ฉันกอดอกรอดูท่าทีต่อไป
ชินทัศยิ้มหวาน ถือไมโครโฟนและพูดกับทุกคนด้วยท่าทีเขินๆ
“ผมรู้จักกับน้องพอร์เช่ได้ก็เกือบสามเดือนแล้ว ไม่มาก ไม่น้อย โอกาสดี วันนี้วันคริสต์มาสอีฟ ก็เลยชวนน้องพอร์เช่มาร้องเพลงที่ออฟฟิศของเราเพื่อเซอร์ไพรส์ทุกคน”
มีเสียงปรบมือพร้อมกับเสียงผิวปากดังเป็นระยะ ชินทัศยังคงเขินอาย ก่อนจะทำท่าเหมือนรวบรวมความกล้าอีกครั้ง
“และพี่ก็อยากจะบอกน้องว่า...”
“รักพอร์เช่!”
ฉันสะดุ้งเมื่อพนักงานสาวคนหนึ่งที่ยืนข้างฉันตะโกนขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงกรี๊ด ไม่นานในห้องประชุมก็ส่งเสียงพร้อมกันว่า ‘บอกรักๆ’ อยู่อย่างนั้น
ฉันมองชินทัศแล้วไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ใช่ เขาอาจจะเป็นเกย์หนุ่มรูปงาม มีมนุษยสัมพันธ์ดี ข่าวว่าเขาเป็นคู่จิ้นกับนักร้องหนุ่มคนดังที่เคยแสดงซีรีส์วาย มีแฟนคลับล้นหลาม แต่สิ่งที่ชินทัศทำก็ไม่น่าอภัยเท่าไหร่
“พี่อยากขอพอร์เช่เป็น...”
“หยุด!” ฉันตัดสินใจตะโกนสุดเสียงแล้วเดินแหวกกลุ่มคนเข้าไปหาชินทัศ ทุกสายตาจ้องมาทางฉันด้วยความตกใจ
“นี่มันอะไรกัน!”
คนในงานมองหน้ากับเลิ่กลั่ก แล้วอยู่ๆ ปาลิดาเลขาฯ สาวผมสั้นที่แต่งตัวเท่ไม่เหมือนใครก็ปรี่เข้ามาก่อนใคร
เพราะมัวแต่อยู่ในห้องประชุมนี่เอง รปภ.ด้านล่างถึงติดต่อเธอไม่ได้
“คะ...คุณพราว ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้าไงคะ ทำไมไม่บอกฉันก่อนจะได้ส่งคนไปรับ”
“ฉันถามว่าทำอะไรกัน!” ฉันขึ้นเสียง พนักงานหลบตากันเป็นแถว
“คือว่า เราแค่มีปาร์ตีกันเล็กๆ ในวันคริสต์มาส พี่ชินเชิญน้องพอร์เช่มาร้องเพลง ก็เลยใช้โอกาสนี้เซอร์ไพรส์สารภาพรักค่ะ” เลขาฯ สาวกระซิบความลับสำคัญ คงกะจะให้ฉันเห็นดีเห็นงามด้วย
แต่ไม่มีทาง...
ยิ่งได้ยินคำว่า ‘เซอร์ไพรส์’ ในใจของฉันก็เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาหยิก มันทั้งเจ็บ ทั้งรำคาญ
“เซอร์ไพรส์บอกรักงั้นเหรอ” ฉันเสียงสั่น
“ใช่ครับ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรเสียหาย” ชินทัศผายมือเป็นเชิงว่าตัวเองไม่ผิด
ฉันเม้มปากเดินไปที่หน้าเวที “หนึ่ง เธอเป็นถึงระดับผู้จัดการ กล้าดียังไงถึงแอบจัดปาร์ตีโดยที่ฉันไม่รู้ และสอง ใครอนุญาตให้ใช้ที่ทำงานมาเป็นที่บอกรักกัน สะเหล่อที่สุด”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้น ฉันเหลือบไปเห็นว่าผู้จัดการพานักร้องหนุ่มลงเวทีไปแล้ว คงเหลือแต่ชินทัศที่จ้องฉันเหมือนไม่พอใจเช่นกัน
“ตอบทีละข้อแล้วกันนะครับ ที่เราจัดงานปาร์ตีนี้เพราะผมเคยขอคุณแล้ว แต่คุณไม่อนุญาต แต่คุณพราวคิดดูสิ นี่มันเทศกาลคริสต์มาสสิ้นปีนะ บริษัทไหนก็จัดงานเลี้ยงกันทั้งนั้น คุณจะขวางโลกไปทำไม และข้อสอง ผมคิดว่าการได้แสดงความรักต่อคนที่เรารักเป็นเรื่องน่ายินดี ไม่น่าจะเสียหายอะไร”
“แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ทุกคนในโลกนี้ไม่ได้อยากรู้” ฉันเถียง
“ผมรู้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายซะหน่อย นอกเสียจากว่าคุณมีอคติกับเกย์อย่างผม”
ชินทัศไม่ยอมแพ้ ฉันสูดลมหายใจลึก
“เรื่องนี้คุณต้องรับผิดชอบ พรุ่งนี้มาเขียนใบลาออกซะ” ฉันเอ่ยเด็ดขาดจนคนในห้องสะดุ้ง
“คุณพราว ไล่ออกมันจะแรงเกินไปหรือเปล่าคะ” ปาลิดาว่า น้ำเสียงอ้อนวอน
“ชินทัศไม่มีคุณสมบัติที่จะทำงานกับ P-TAWAN ต่อไปแล้ว เชิญ”
ชายหนุ่มจ้องหน้าฉัน ก่อนจะยิ้มมุมปาก “ไร้เหตุผลที่สุดพราวตะวัน คุณมันคนไร้หัวใจ สมแล้วที่ต้องขึ้นคาน เพราะไม่มีใครเอา”
พูดจบเขาก็เดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือให้กำลังใจ
“ถ้าใครไม่พอใจ อยากจะลาออกไปกับชินทัศก็ตามใจนะ ฉันไม่ห้าม” ฉันพูดเสียงดังจนทำให้เสียงปรบมือเงียบลง จากนั้นก็ยักไหล่และเดินออกไปราวกับนางแบบที่เดินชุดฟินาเล่
จะด่าว่าโสด ขึ้นคาน หรืออะไรก็เชิญ...ก็ในเมื่อโสดแล้วชีวิตมันดี๊ดี คนอย่างฉันจะแคร์ไปทำไม
หลังจากนั่งสงบนิ่งอยู่ในห้องทำงานได้สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หน้าจอโชว์หราว่าเป็นสายป่าน เพื่อนหนุ่มตุ้งติ้งที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของดาราชื่อดังมากมาย
“มันเกิดอะไรขึ้นยายพราว นี่มันร้ายแรงถึงขั้นต้องให้ลาออกเลยเหรอ”
คนที่โทร. มาคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แน่ละ คลิปที่ฉันไปล่มงานเซอร์ไพรส์คู่จิ้น ชินทัศ-พอร์เช่ ป่านนี้คงถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ
“ชินทัศผิดอะไรมากมายขนาดนั้น”
“เขาทำผิดมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาชอบเขียนคำว่านะคะ เป็นนะค่ะ” ฉันตอบแบบทีเล่นทีจริง พร้อมกับหมุนเก้าอี้ ทอดสายตาชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างจากห้องทำงาน
สายป่านเงียบไปประมาณสิบวินาทิ “อะไรนะ! แกไล่ชินทัศออกเพราะใช้คำว่า คะ ค่ะ ไม่ถูก แค่เนี้ยะ”
“แค่เนี้ยะได้ไง เป็นถึงระดับผู้จัดการฝ่ายการตลาด ใช้ภาษาไทยผิดเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่เยาวชนนะ ฉันเห็นหลายครั้งแล้ว ในไลน์กลุ่ม ในกระดาษโน้ต ฉันเห็นก็หงุดหงิด แล้วแกรู้ปะ ขนาดการ์ดที่ติดช่อกุหลาบที่มอบให้แฟนเด็กบนเวทีเมื่อกี้ ฉันก็ยังเห็นว่าชินทัศเขียนลงท้ายว่า รักตลอดไปนะค่ะ โอย...จะบ้าตาย นี่ยังใจดีนะให้ออกเอง ไม่ได้ไล่ออกเสียหน่อย” ฉันอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ แต่เอาเข้าจริงๆ คนอย่างฉันจะทำอะไรกับใคร ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผลหรอก
ฉันได้ยินคนปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แกนะแก รู้ปะ ตอนนี้แกกลายเป็นคนดังในโลกโซเชียลแล้วนะ แฮชแท็กแอนตี้พีตะวันติดเทรนทวิตเตอร์อันดับหนึ่ง และก็มีบางส่วนบุกไปช็อปที่พารากอนเพื่อกดดันให้แกออกมาขอโทษพอร์เช่และชินทัศ ไอ้พวกนักข่าวก็ดันรับลูกออกมาเล่นข่าวนี้กันใหญ่”
ชินทัศและนักร้องหนุ่มคนนั้นมีแฟนคลับเยอะพอสมควร การที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อแนวทางของสาววายกลุ่มนั้นย่อมเหมือนการไม่รักประเทศ และตอนนี้ฉันคงเป็นคนทรยศมาตุภูมิ
“ช่างปะไร ฉันไม่สนหรอกย่ะ ลูกค้าส่วนใหญ่ของฉันก็ไม่ได้ง้อกลุ่มแฟนคลับนักร้องคนนี้อยู่แล้ว ทำมาเป็นเซอร์ไพรส์กันในที่ทำงาน น่ารักตายละ” ฉันแบะปาก
“ยายพราว หรือว่าแกยังมีปมกับเรื่องการเซอร์ไพรส์อยู่วะ”
สายป่านถามตรงจนฉันชะงัก จะว่าไปเรื่องที่เกิดขึ้น เสี้ยววินาทีก็ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องตัวเองกับไอ้รุ่นพี่มาร์ค ที่เคยสร้างความอับอายให้ชีวิต
เหตุการณ์หลอกให้สารภาพรักครั้งนั้น นอกจากฉัน อิงฟ้าและเจ้าจันทร์ก็ตกอยู่ในเกมของเพื่อนในกลุ่มของนายสหรัฐเช่นกัน พวกเขาเข้ามาจีบและเร่งทำคะแนนให้เป้าหมายหลงรัก เพราะรางวัลเดิมพันสำหรับคนชนะคือการได้คบกับสาวฮอตของโรงเรียนอย่าง มิเชล หว่อง และดันเป็นฉันที่หลงกล สารภาพรักหนุ่มหล่อก่อนใครเขา
พอทุกอย่างถูกเฉลย ฉันและเพื่อนๆ ก็กลายเป็นตัวตลก ขณะที่ไอ้ผู้ชายพวกนั้นโดนครูตำหนิเล็กน้อย แต่กลับได้รับคำชื่นชมว่าเป็นหนุ่มเจ๋ง แถมนายนั่นยังได้คบกับยายมิเชลอย่างออกหน้าออกตา ควงมาเยาะเย้ยฉันอยู่บ่อยๆ
บทเรียนครั้งนั้นทำให้ฉันและเพื่อนๆ จำขึ้นใจ พวกเราตั้งมั่นที่จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนอีก จนถึงขั้นตั้งปฏิญาณในกลุ่มว่าจะขอโสดจนวันตาย แถมยังตั้งชื่อแก๊งใหม่อย่างเก๋ไก๋ว่า ‘แก๊งนารีงูพิษ’
คือถ้าย้อนเวลาได้ฉันก็อยากจะตบปากตัวเองเหมือนกันที่คิดชื่อแก๊งออกมาได้แสนเห่ย
“ว่าไง ทำไมถึงเงียบไปเลยยะ” ฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องอดีต จนสายป่านเรียกถึงได้สติขึ้นมา
“ไม่เกี่ยวหรอก ก็แค่ชินทัศกับฉันคงร่วมงานกันไม่ได้แล้วจริงๆ”
สายป่านเงียบ ก่อนจะปรบมือ “เริ่ด สมแล้วที่เป็นพราวตะวัน เหตุผลในการไล่ลูกน้องออกช่างเก๋ไก๋ ไม่มีใครเหมือน”
ฉันยักคิ้วหนึ่งข้าง กระตุกมุมปาก “ใช่มั้ยล่ะ ส่วนเรื่องแฟนคลับของนายแฟซ่า แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่สนอยู่แล้ว”
“จ้า...แม่คนเก่ง แม่คนสตรอง อ้อ และแฟนนายชินทัศเขาชื่อพอร์เช่ย่ะ ไม่ใช่แฟซ่า” ปลายสายว่า น้ำเสียงเหมือนหมั่นไส้ฉันเต็มประดา
ฉันหัวเราะร่วน ทั้งๆ ที่นึกในใจว่าคนบ้าอะไรชื่อพอร์เช่ จำยากชะมัด
“เออ แล้วคืนนี้อย่าลืมนะ” สายป่านย้ำ
“อะไรเหรอ” แน่ละ ฉันลืมอีกแล้ว
“ก็งานเลี้ยงเปิดผับใหม่ที่ฉันเป็นหุ้นส่วนไง เรียนเชิญคุณพราวตะวันให้เกียรติไปเป็นเซเลบในงานด้วยนะคะ”
ฉันนึกขึ้นได้ สายป่านร่วมหุ้นกับเพื่อนเก้งกวางเปิดผับใหม่แถวทองหล่อและจะเปิดตัวคืนนี้
“อ๋อ จำได้ละ ไม่พลาดแน่นอนจ้า” ฉันบอกก่อนจะวางสาย นึกถึงงานคืนนี้ คงจะมีหนุ่มๆ มากมายมาร่วมงาน แค่คิดก็มีความสุข
ชีวิตของฉันแม้จะไร้คู่ แต่ก็อยู่ได้ไม่เหงานะจ๊ะ
เวลาสองทุ่ม ฉันแต่งตัวด้วยชุดเดรสสั้นเกาะอกสีแดงสดปักเลื่อม คอลเล็กชันล่าสุดของแบรนด์ตัวเอง เสริมความเก๋ให้เข้ากับเทศกาลคริสมาสต์ด้วยกระเป๋าคลัตช์สีเขียว เดินเคียงข้างกับสายป่านซึ่งแต่งตัวล้ำนำแฟชั่นเช่นกัน
ตัวสายป่านเป็นคนภาคใต้ ในอดีตตัวสูง หุ่นล่ำ ผิวคล้ำ แต่ด้วยการศัลยกรรมและความมั่นใจก็ทำให้เพื่อนสาวของฉันดูดีขึ้น สายป่านเคยบอกว่า ถ้าพระเจ้าให้พรไม่ได้ เราก็ควรใช้เงินเนรมิตพรขึ้นมาเอง ทุกวันนี้สายป่านผิวพรรณเปล่งปลั่ง จากหุ่นล่ำกลายเป็นจ้ำม่ำน่าฟัด จะมีก็แต่การพูดจาเสียงสองที่ยังติดสำเนียงทองแดง ซึ่งสายป่านก็ไม่เคยแคร์
และเมื่อเราทั้งคู่เดินเข้าไปในร้าน สื่อมวลชนและแขกในงานต่างก็มองมาเป็นตาเดียว ฉันยิ้มและเชิดหน้า ราวกับมีไฟฟอลโลว์ดวงใหญ่ส่องมาที่ฉัน นักข่าวถ่ายรูปและพยายามจะถามเรื่องพิพาทระหว่างฉันกับชินทัศและนักร้องพอร์เช่ แต่ฉันก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบ เพราะสายป่านเตือนตั้งแต่ก่อนเข้างานแล้วว่าหากให้สัมภาษณ์ต่อเรื่องก็จะไปกันใหญ่ สมกับเป็นผู้จัดการดารา
“ฮาย...มายเฟรนด์ เวลคัม ทู มายพาร์ตี้” เสียงดังลากยาวมาจากแอ๊ดดี้ โฮโซหุ้นส่วนใหญ่ของผับเดินเข้ามาทักอย่างอารมณ์ดี
แอ๊ดดี้คงดีใจที่การมาร่วมงานของฉันทำให้ผับใหม่เป็นที่สนใจของทุกคนทันที สื่อมวลชนยกโขยงมาทำข่าวกันแน่น ไม่นับไอ้พวกจ้องจะถ่ายคลิปไปโพสต์ลงโซเชียลอีก
ใช่ เพราะฉันคือพราวตะวันแห่งพีตะวันกรุ๊ป เจ้าของฉายาตัวแม่ของวงการแฟชั่นเมืองไทยที่มีแบรนด์เสื้อผ้าระดับอินเตอร์ ระดับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องดังระดับโลกเลือกใส่ตอนเดินพรหมแดงในงานประกาศรางวัลแกรมมี่ และตอนเปิดตัวคอลเล็กชันล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว ฉันยังสร้างความฮือฮา ด้วยการเดินจิบไวน์เคียงคู่กับนายแบบที่สวมจีสตริงพร้อมกับโปรยเงินดอลลาร์บนรันเวย์ เก๋ไหมล่ะ
“ฉันอยากจะหยิกเธอนักยายพราว ที่กล้ามีเรื่องกับกลุ่ม LGBTQIA+ อย่างพวกเรา” แอ๊ดดี้หยอกเรื่องข่าว
ฉันโบกมือปัด “ข่าวลือน่ะแก คนอย่างฉันถ้าไม่มีเก้ง กวาง ทอม ดี้ ก็ไม่แข็งแกร่งมาจนถึงวันนี้หรอก”
ประโยคนี้ฉันพูดจริงนะ ตั้งแต่แก๊งนารีงูพิษก่อตัวขึ้น ยอมรับเลยว่าเพื่อนเกย์ในโรงเรียนก็ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ไม่น้อย ทั้งสายป่านที่สนิทกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย และอย่างปาลิดาดูเผินๆ ก็เหมือนทอมบอย แต่ฉันว่าน่าจะเป็นผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวแบบแฟชั่น Unisex มากกว่า
ตอนที่ตัดสินใจไปเรียนที่อังกฤษ ฉันต้องไปพักอยู่กับป้าลินดา ป้าแท้ๆ ที่เปิดกว้างเรื่องรสนิยมทางเพศ ป้าลินดาชอบแฟชั่น บุคลิกของท่านเต็มไปด้วยความสง่างาม ท่านแนะนำให้ฉันเรียนต่อคอร์สแฟชั่นดีไซน์เสื้อผ้าผู้หญิงที่ Central Saint Martins ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกับที่ จอห์น กัลลิอาโน และ อเล็กซานเดอร์ แมคควีน เคยมาเรียน ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนทำให้พราวตะวันเป็นสาวแกร่งแสนสตรองมาได้จนถึงวันนี้
และคุณป้าลินดาท่านนี้แหละที่บอกกับฉันว่า ผู้หญิงทุกคนมีเสน่ห์ ควรดึงเสน่ห์ออกมาให้ผู้ชายตามหา และปั่นหัวพวกเขาให้เต็มที่ ของดีในเรือนร่างจะโชว์ก็ต้องเลือกโชว์ส่วนใดส่วนหนึ่ง คิดจะเปรี้ยวก็ควรเปรี้ยวอย่างมีกาลเทศะ
“ฉันก็เข้าใจ คนอย่างพราวตะวันไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว ฉันชอบความเฟียซของเธอจริงๆ” แอ๊ดดี้ทำเป็นป้อยอ ซึ่งก็ถูกต้อง ฉันมันจำพวกไม่จำหมาเห่า แต่จำหมาที่มันกัดมากกว่า
“เข้าไปข้างในกันเถอะ วันนี้พวกเราเชิญแขกมาเพียบ ระดับคนดังทั้งนั้นจ้า” สายป่านกระดี๊กระด๊า คว้าแขนฉันเข้าไปในงานทันที
ในแสงสลัว ผู้คนเริ่มคึกคัก ไฟประดับหลากสีแต่งแต้มให้ราตรีนี้ช่างงดงาม ผับใหม่ของสายป่านและเพื่อนตกแต่งเป็นธีมยุค 70 สไตล์เรโทรผสมโมเดิร์น นำวัสดุพวกอิฐ ไม้ มาใช้ และยิ่งเปิดตัวช่วงเทศกาลปลายปี จึงตกแต่งร้านอย่างสวยเก๋และเพิ่มโพรโมชันดึงดูดใจมากมาย
ระหว่างเดินเข้าไปที่โต๊ะวีไอพีซึ่งอยู่ตรงมุมขวาของเวที คนในผับก็ต่างสะกิดกันให้มองฉัน ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบว่าพราวตะวันผู้ สวย รวย แซ่บ มาถึงแล้ว
ฉันเชิดหน้า เพื่อให้ทุกคนได้เห็นวงหน้าสวยที่ผ่านการเมกอัปด้วยฝีมือตัวเองสวยกว่าช่างแต่งหน้าดังๆ เสียอีก ก็แน่ละ ฉันรู้ว่าควรแต่งควรเสริมตรงไหนให้มีเสน่ห์ ฉันเป็นคนดวงตาหวาน คิ้วเรียวบางโก่งดังคันศร จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม แต่ก็มักขัดใจเวลาพวกเพจดังๆ ในโลกโซเชียลชมฉันว่าเป็นผู้หญิงเครื่องหน้าสวยมาก!
คนนะไม่ใช่ก๋วยจั๊บจะได้ใส่เครื่องบนหน้า
แม้จะทำเป็นวางมาดดี แต่ก็พอจะสังเกตเห็นแหละว่ามีหนุ่มหล่อมาร่วมงานมากมายสมกับที่สายป่านโฆษณาไว้
“ดูนั่นสิแก คุณชายนพคุณ หล่อสุภาพมาเชียว แล้วนั่นก็คุณอินทร์ ไฮโซเชียงใหม่ที่เคยกิ๊กกับแกอยู่พักหนึ่งไม่ใช่เหรอ” สายป่านหูตาแพรวพราว คอยสแกนหนุ่มแต่ละคนอย่างตั้งใจ
“ไม่เอาแล้วย่ะ ทำมาเป็นพูดจาคะขา ที่ไหนได้มีเมียแล้ว ฉันไม่อยากยุ่ง” คนอย่างฉันจะคลิกกับใครคนคนนั้นก็ต้องไม่มีพันธะด้วย
“ก็หาคนโสดสิคะ คุณพราวตะวันไม่คิดจะมีแฟนบ้างหรือไง” สายป่านมองค้อน
“ไม่เอาอะ ยังไม่อยากมีให้กวนใจ” ฉันยืนยันคอนเซปต์เดิม
สายป่านยิ้มอย่างเข้าใจ แต่พลันสายตาของฉันก็ดันไปมองผู้มาใหม่ที่ประตูทางเข้า เพื่อนสาวหันขวับไปมองตาม ก่อนจะถอนหายใจ
“ยายมิเชล หว่อง! มางานนี้ด้วยเหรอ” สายป่านพูดเหมือนเซ็งๆ คงเสียดายที่คิดว่าฉันจะเป็นคนที่เด่นที่สุดในงาน
“ระดับนางแบบชื่อดัง ไม่มางานนี้ด้วยสิแปลก” แกล้งพูดพร้อมกับยักไหล่ อันที่จริงเรื่องในอดีตฉันลืมทุกอย่างได้หมดแล้ว ยกเว้นยายมิเชลนี่แหละที่ยังมากวนใจฉันอยู่ตลอด
มิเชล หว่อง ลูกครึ่งไทย-ไต้หวันมีแววสวยตั้งแต่เด็ก หน้าตาเหมือนตัวการ์ตูนญี่ปุ่น ตอนฉันเป็นสาวเฉิ่ม แม่นั่นก็เป็นคนดังในโรงเรียน ได้เข้าวงการบันเทิงถ่ายโฆษณาเป็นว่าเล่น และพอตอนนี้ฉันออกจากรังไหมของยายขี้แพ้มาเป็นผีเสื้อด้านดีไซเนอร์ผู้ทรงเสน่ห์ มิเชลก็กลายเป็นนางแบบสุดโด่งดัง ที่เสื้อผ้าแบรนด์ดังต่างอยากได้ตัวมาเดินแบบสักครั้ง
แต่ไม่ใช่แบรนด์ P-TAWAN แน่นอน!
เคยมีพนักงานใหม่ตำแหน่งสไตลิสต์ที่ไม่รู้แรงลม เสนอความคิดในที่ประชุมอย่างภาคภูมิใจว่าถ้าเปิดตัวเสื้อผ้าซีซันใหม่อยากได้ มิเชล หว่อง มาเดินแบบ ลูกน้องคนนั้นก็โดนฉันมองด้วยหางตา และโดนย้ายให้ไปอยู่แผนกรับโทรศัพท์ในอีกวัน
หึ...จะมาทำงานกับฉันแต่ไม่รู้ใจกัน ไม่ไล่ออกก็บุญแล้ว!
มิเชลเดินนวยนาดทักทายคนในงานไปทั่ว จังหวะหนึ่งก็หันมาส่งยิ้มให้ฉัน
ยิ้มเหยียดนะ ไม่ใช่ยิ้มทักทาย...
แน่นอน ฉันก็ทำเป็นยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง และก็แกล้งเสมองไปทางอื่นเสีย เชิดมาเชิดกลับ ไม่โกง
“แกกับมิเชลนี่มีโอกาสจะได้เจรจาสงบศึกกันบ้างไหมยะ” สายป่านเอ่ยหลังจากเห็นท่าทีของฉันกับอริเก่า
“มีสิ แต่ต้องรอให้ฝนตกลงมาเป็นเพชรรัสเซียก่อนนะ” ฉันยิ้มประชด ทันใดนั้นเพื่อนตุ้งติ้งก็เบิกตากว้าง ก่อนจะสะกิดให้ฉันมองไปยังบาร์เครื่องดื่ม
“ดูนั่นสิแก ไม่นึกว่าเขาจะมาด้วย”
“ใคร” ฉันมองตามแล้วก็เห็นแต่ชายหนุ่มนั่งเรียงกันสามสี่คน
“ก็คุณฐากูรไง”
ฉันทวนชื่อ คุ้นๆ ว่าชื่อนี้สายป่านพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเขาเป็นนักธุรกิจไทยที่ค้าน้ำมันกับครอบครัวที่โมร็อกโก มาเมืองไทยไม่บ่อยนัก
“คนนี้ฉันเชียร์ให้แกรู้จักนะ เป็นผู้ใหญ่ โพรโฟล์ดี และดูอบอุ่น ที่สำคัญโสดแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์” สายป่านระริกระรี้
ฉันหันไปมองที่เคาน์เตอร์บาร์ตามที่เพื่อนสาวบอกอีกครั้ง สบตากับหนุ่มหล่อตัวสูง คิ้วหนา ใบหน้าคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน ตัดผมสั้นดูสะอาดตา
หล่อเหมือนที่สายป่านโฆษณาไว้ไม่ผิด การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูดี พูดแบบไม่อ้อมค้อมก็คือเหมาะกับฉันจริงๆ
“รีบหน่อยก็ดีนะยายพราว เพราะยายมิเชลก็จ้องคุณฐากูรตาเป็นมันเหมือนกัน”
ฉันรีบชายตามองไปยังศัตรูตั้งแต่อดีต มิเชลหันมาสบตาฉันเหมือนจะรู้ทันด้วย
เสียงกลองแห่งสงครามดังขึ้นแล้ว และครั้งนี้ฉันจะต้องไม่แพ้อีกเป็นอันขาด!
ความคิดเห็น |
---|