บทนำ

บทนำ

ทันทีที่เสียงเพลงจากชมรมร้องเพลงประสานเสียงดังก้องทั่วหอประชุม เป็นสัญญาณว่ากิจกรรมฉลองคริสมาสต์ประจำปีของโรงเรียนเซนต์บีเวอร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นักเรียนทุกระดับชั้นต่างรีบมาจับจองที่นั่งเพื่อรอชมการแสดงจากชมรมต่างๆ ในเทศกาลสำคัญนี้

ด้านหลังเวที อิงฟ้า สาวน้อยมัธยมศึกษาปีที่สี่สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อคลายความตื่นเต้น มือทั้งสองชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะตัดสินใจชะโงกหน้าออกจากผ้าม่านสีแดงสด 

“คนเต็มห้องแล้วแก” เธอหันมาบอกเพื่อนอีกสองคนที่มีอาการประหม่าไม่แพ้กัน

“ทำไงดี ฉันตัวสั่นไปหมดแล้ว” เจ้าจันทร์ สาวตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเอ่ย 

“เราถอนตัวไม่ทันแล้วใช่มั้ย” ปลาดาว สาวมาดทอมบอยหน้าซีด เธอไม่อยากขึ้นเวทีแล้ว จนอิงฟ้าต้องรีบยกมือเป็นเชิงห้าม

“หยุด! ใช่ว่าจะมีแต่แกสองคนที่กลัว ฉันก็กลัวเหมือนกัน แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราจะถอยไม่ได้ แค่เดินผ่านหลังม่านนี้ไปแล้วแสดงตามที่ซ้อมมาให้เสร็จ ชีวิตใหม่ของการเป็นสาวฮอตประจำโรงเรียนก็ไม่ไกลเกินฝัน” 

อิงฟ้าปลุกใจเพื่อน นี่เป็นโอกาสสำคัญที่เธอและเพื่อนร่วมแก๊งในชมรมวาดภาพลุกขึ้นมาทำอะไรที่ท้าทาย การเปลี่ยนโฉมครั้งนี้จะทำให้ทุกคนในโรงเรียนหันมายอมรับว่ากลุ่มของพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงเฉิ่มเชยอีกต่อไป

ที่สำคัญ พวกเธอก็มีดีพอที่จะทำให้ให้ผู้ชายในโรงเรียนต้องหันมามอง

“แล้วยายคนที่คิดโพรเจกต์ไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ” เจ้าจันทร์ถามถึงพราวตะวันหัวโจกที่เป็นคนคิดการแสดง รวมไปถึงชุดที่พวกเธอสวมอยู่นี้

“พวกแกไม่คิดว่าชุดของพวกเรามันโป๊ไปหน่อยเหรอ” 

ปลาดาวไม่มั่นใจที่ต้องใส่ชุดเกาะอกแซนตี้สีแดงโชว์เนื้อหนังมังสา กระโปรงสั้นเต่อ รองเท้าบูตสุดเซ็กซี่ ซึ่งพราวตะวันบอกว่า การเต้นประกอบเพลง “Jingle Bell Rock” ได้แรงบันดาลใจจากฉากในหนังเรื่องดังอย่าง Mean Girls

แล้วทำไมต้องเป็นเรื่อง Mean Girls ปลาดาวเองก็สงสัย จริงๆ เธออยากจะเต้นเพลง “ชะชาช่าท้ารัก” เพลงจากละครดังมากกว่า แต่ก็ถูกพราวตะวันร้องอี๋ บอกว่าเชยไป ไม่แซ่บ

“ไม่โป๊หรอก พวกเราอายุสิบหกแล้วนะ มั่นใจในตัวเองหน่อย” คนที่ทุกคนกำลังถามหาปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเห็นเหล็กจัดฟันอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ที่ไม่คุ้นก็คือใบหน้าของพราวตะวันที่แต่งแต้มจนเพื่อนๆ อ้าปากค้าง แก้มแดงเข้ม เปลือกตาสีฟ้าน้ำทะเล ปากสีชมพูแปร๋น

สวยแบบแปลกๆ รวมๆ แล้วเหมือนนกแก้วมาคอร์...ปลาดาวคิด

“ยายพราว แกแต่งหน้าเข้มไปหรือเปล่า” อิงฟ้าถาม 

อีกฝ่ายหัวเราะและยักไหล่ มั่นใจว่าที่เพื่อนทักแบบนี้เพราะไม่อยากให้เธอสวยเกินหน้าแน่ๆ

“นี่ฉันก็ว่าแต่งเบาๆ แล้วนะ” พราวตะวันว่า เธอเคยได้ยินเพื่อนกะเทยที่แต่งหน้าให้พวกเชียร์ลีดเดอร์บอกว่า ให้แต่งเข้มไว้ก่อนเดี๋ยวอ่อนเอง เธอจึงเชื่อเช่นนั้น และตอนนี้ทั้งผิวหน้าผิวกายยังลงกากเพชรสะท้อนแสงระยิบระยับโดดเด่นจรัสแสง

“การแสดงชุด “Jingle Bell Rock” พร้อมนะครับ” 

ทีมงานหลังเวทีเดินเข้ามาถาม สี่สาวพยักหน้าก่อนจะจับมือกัน

“เอาละทุกคน วันนี้ไม่ว่าการแสดงบนเวทีจะเป็นยังไง พวกเราทุกคนจะเป็นคนใหม่ที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และฉันสัญญาถ้าหากฉันมีแฟน ฉันก็จะเป็นเพื่อนแกเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไป” พราวตะวันพูดชัดเจน

“ใช่ ฉันเองก็เหมือนกัน ถ้ามีหนุ่มหล่อของโรงเรียนมาขอฉันเป็นแฟนฉันก็จะไม่ลืมทุกคน” อิงฟ้าพูดบ้าง เจ้าจันทร์ก็พูดแนวเดียวกัน

“พวกแกพูดอย่างกับว่าจะมีคนมาจีบ” ปลาดาวขมวดคิ้ว ตั้งแต่คบกันมา แก๊งพวกเธอไม่เคยมีผู้ชายคนไหนในโรงเรียนชายตามองด้วยซ้ำ 

เพื่อนทั้งสามหัวเราะร่วนบอกว่าพูดเผื่อเอาไว้ เพราะนี่อาจจะเป็นการเปิดเผยเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ในตัว สาวเฉิ่มอาจจะเปลี่ยนเป็นสาวฮอต และแล้วเจ้าหน้าที่หลังเวทีก็ให้สี่สาวประจำจุดเตรียมตัว เมื่อทุกอย่างพร้อม เสียงเพลง “Jingle Bell Rock” ก็ดังขึ้น...

สี่สาวย่างกรายออกมาจากหลังม่านตามจังหวะดนตรีท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันของคนในห้องประชุม 

ว่านี่คือการแสดงของพวกสาวเฉิ่ม...

สี่นาที ทุกอย่างก็จบลง…

ปลาดาวยิ้มแห้งๆ เมื่อได้ยินเสียงปรบมือเปาะแปะไม่มากมายอย่างที่คิด และเมื่อกี้ตอนเปลี่ยนท่าเธอเผลอเต้นผิด แถมยังได้ยินเสียงโห่แซว ทันทีที่ม่านสีแดงรูดปิดฉากเพื่อนทั้งสามก็วิ่งจู๊ดลงเข้าไปหลังเวที ไม่มีใครรอใคร

“เดี๋ยวสิ พวกแกจะรีบไปไหนกัน ไม่รอดูการแสดงอื่นต่อเหรอ” ปลาดาวตะโกนถาม 

“ฉันมีธุระ แกจะอยู่ต่อก็เชิญ” พราวตะวันที่กำลังเติมแป้งเอ่ย ก่อนจะหยิบกระเป๋าและวิ่งออกไปทางประตูด้านหลัง 

ปลาดาวหันไปมองอิงฟ้า เพื่อนคนนี้ก็โบกมือลาและเดินออกไปเช่นกัน

“ตามสบายเลยนะ ยายดาว ฉันเองก็มีธุระ” เจ้าจันทร์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหายไปอีกคน

 เด็กสาวคิดว่าเพื่อนทั้งสามของเธอต้องมีความลับ แต่ในเมื่อไม่มีใครยอมบอกเธอจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และคิดว่าจะหนีไปนั่งเล่นเกมที่ห้องชมรม

พราวตะวันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครตามมาจึงคิดว่าทางสะดวก 

เธอหยุดที่ม้านั่งหินอ่อนข้างสนามบาสเกตบอล เหลียวซ้ายมองขวา เมื่อยังไม่เห็นคนที่นัดพบสาวน้อยจึงหยิบเอาตลับแป้งพัฟฟ์มาเปิดส่องกระจกเพื่อเช็กความเรียบร้อยอีกครั้ง

สวยแล้ว สวยที่สุด สาวน้อยให้กำลังใจตัวเอง 

แน่ละ...ถ้าไม่อย่างนั้น หนุ่มหล่ออย่างพี่มาร์คคงไม่นัดเจอเธอที่นี่

พราวตะวันหยิกแขนเรียกสติว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงธรรมดา เรียน ม. ปลายสายศิลป์ อยู่ในแก๊งสาวเฉิ่มที่ไม่มีใครสนใจจะถูกตาต้องใจหนุ่มหล่อระดับเทพบุตร นักกีฬาคนเก่งของโรงเรียนอย่าง พี่มาร์ค สหรัฐ

ยังจำได้ดี วันนั้นขณะที่เธอนั่งวาดภาพอยู่คนเดียวที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวาง อยู่ๆ เขาก็เดินยิ้มเข้ามาหา สนใจรูปที่เธอกำลังขีดเขียน พราวตะวันใจเต้นตึ้กตั้ก เป็นครั้งแรกที่ได้มองหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกันชัดๆ เขาตาโต จมูกโด่ง หน้าตาหล่อจัด...ถึงจัดมาก แถมยังตัวสูงเด่นเป็นที่สะดุดตา

พราวตะวันรู้สึกเหมือนอยู่ในวิมานสีชมพู ถ้ามันเป็นฝัน ก็คงเป็นฝันที่ดีที่สุดจนเธอไม่อยากตื่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสหรัฐก็มักมาหายามที่เห็นว่าพราวตะวันมานั่งที่นี่เพียงลำพัง

มีบางวันที่เขามานั่งพักเหนื่อยชวนคุยหลังเลิกซ้อมกีฬา หนุ่มหล่อตัวชุ่มเหงื่อเลิกชายเสื้อให้เห็นกล้ามท้องแกร่งและขอบกางเกงใน ขากางเกงกีฬาก็ร่นขึ้นจนเห็นต้นขาขาวๆ ทำเอาสาวน้อยวัยสิบหกเกิดอาการร้อนวูบวาบไปทั้งตัว 

หากนับดูก็เกือบจะครบหนึ่งเดือนแล้ว เวลาอาจน้อยนิด แต่พราวตะวันกลับรู้สึกเหมือนช่างยาวนานนับสิบปี จนมีบางคืนก็เก็บเอาไปฝันว่าการที่เธอและเขาได้พบกันเป็นความผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน

หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงงานวันคริสต์มาส สหรัฐซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการโรงเรียนชวนให้เธอและเพื่อนๆ ในแก๊งร่วมแสดงงานปีนี้

‘เป็นโอกาสดีนะที่น้องพราวและเพื่อนๆ จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลองสู้กับความกล้าในตัวสักครั้งสิครับ’ เขาเอ่ย 

พราวตะวันจ้องมองริมฝีปากสีแดงของเขาขยับราวกับหมาน้อยที่เชื่อฟังเจ้าของ 

นี่ถ้าเขาโยนลูกบอลให้เธอคงกระโดดงับพร้อมกับกระดิกหางดิกๆ

‘จริงๆ พี่ว่าน้องพราวก็เป็นคนน่ารัก อาจจะน่ารักกว่าพวกดาวโรงเรียนด้วยซ้ำ หากพี่มีแฟนพี่ก็อยากมีแฟนแบบน้องพราวนี่แหละ’ เขาเอ่ยคำหวานจนสาวน้อยบิดตัวเขินยิ้มไม่หุบ 

พราวตะวันอยากจะตีอกชกแขนเขา เริ่มมั่นใจว่าเขาต้องมีใจให้ตนแน่ 

‘นะครับ หากน้องพราวตกลงพี่เองก็มีเรื่องสำคัญจะบอกให้รู้’ 

นั่นไง...เขาต้องบอกรักเธอแน่ๆ เธอเคยดูหนัง พระเอกมักจะใช้โอกาสสำคัญนี้สารภาพรักกับนางเอก...นี่จึงเป็นสาเหตุที่พอแสดงบนเวทีเสร็จเธอต้องรีบวิ่งมาที่ม้าหินอ่อนตัวนี้ซึ่งเป็นที่นัดหมายของเธอกับเขา

“น้องพราว”

พราวตะวันหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกของชายหนุ่ม เธอยิ้มแก้มปริ เก็บอาการดีใจแทบไม่อยู่   ใช้มือน้อยจับปอยผมที่ปรกหน้าทัดหูเพื่อกลบอาการเขิน รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไปสบตาชายหนุ่มด้วยแววตาใสซื่อ

“พี่มาร์ค” 

หัวใจสาวน้อยเต้นรัวยิ่งกว่าระฆังคริสต์มาสที่ดันไปแขวนอยู่บนรถขายไอศกรีม หนุ่มลูกครึ่งมีดอกกุหลาบช่อโตซ่อนอยู่ด้านหลัง...ซึ่งเธอแกล้งทำเป็นไม่เห็น

“การแสดงเมื่อครู่น่ารักมาก น้องพราวเก่งที่สุดครับ” 

เสียงทุ้มของเขาช่างมีเสน่ห์ พราวตะวันบิดตัวเขินม้วนเป็นเลขแปด จังหวะนั้นเขาก็ยื่นดอกกุหลาบช่อโตให้

“พี่ให้ เป็นกำลังใจที่น้องพราวกล้าที่จะขึ้นเวที”

“พี่มาร์คไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้นะคะ” ตอบอย่างนั้นแต่เอื้อมไปรับช่อดอกไม้มาดม เธอวางแผนไว้แล้วว่าจะหอบดอกไม้ช่อนี้ไปทั่วโรงเรียน ใครถามว่าได้มาจากไหนก็จะทำเป็นอ้ำอึ้งให้ทุกคนอกแตกตายด้วยความสงสัย 

“ไม่ลำบากหรอก คนสวยก็ต้องคู่กับดอกไม้...”

พราวตะวันยิ้มเขิน อยากจะใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบไหล่เขานัก

“แล้วพี่มาร์ค มีอะไรจะบอกพราวเหรอคะ” เธอถามเรื่องสำคัญที่เขานัดมาเจอ

“เห็นน้องพราววันนี้แล้ว พี่ตัดสินใจแล้วว่าพี่...”

ใช่แน่ เขากำลังจะบอกรัก พราวตะวันอ้าปากค้างลุ้นด้วยใจระทึก พลันก็ได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากพุ่มไม้ เธอกำลังจะหันไปมองแต่ชายหนุ่มกลับตะโกนเสียงดัง

“พี่รักน้องพราว!”

ทุกอย่างแทบหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่สายลมที่พัดผ่านพราวตะวันก็ยังไม่รู้สึก ยังไม่ได้พูดอะไรสหรัฐก็เดินเข้ามาใกล้และกุมมือเธอไว้

“แล้วน้องพราวล่ะ รักพี่บ้างหรือเปล่า”

หย่านมแม่มาได้สิบห้าหนาว และตอนนี้เป็นสาวสิบหก พราวตะวันคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอกำลังเกิดขึ้น!

“ว่าไงครับ หรือว่าคนอย่างพี่ ไม่ดีพอ” เขาตัดพ้อ และกำลังหมุนตัวกลับ

สาวน้อยรู้ทันทีว่ากำลังจะพลาดโอกาสสำคัญ

“รักค่ะ! พราวรักพี่มาร์ค รักมาตลอด”

สหรัฐหยุดกึก ค่อยๆ หันมาหาเธอด้วยสีหน้าตื่นเต้น “จริงเหรอ พี่ไม่ค่อยได้ยินเลย”

“พราวรักพี่มาร์คค่ะ!” เธอตะโกนสุดเสียง

“เย้! ขอบคุณมากๆ ครับน้องพราว” ชายหนุ่มร้องลั่นแถมกระโดดตัวลอย 

โถ...เขาคงรักเธอมากถึงได้ดีใจเป็นเด็กไปเลยแบบนี้

ระหว่างนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงโห่ร้องมาจากห้องประชุม และมีคนโผล่มาจากพุ่มไม้ข้างๆ   พวกเขาถือกล้องวีดีโอและไมโครโฟนครบครัน พราวตะวันจำได้ว่าเป็นนักเรียนชมรมสื่อใหม่ ซึ่งชื่นชอบการทำรายการเพื่อออกอากาศในโรงเรียน

“มะ...มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” พราวตะวันพยายามจะถาม แต่พิธีกรสาวที่จับไมโครโฟนก็สนใจพูดแต่กับหน้ากล้อง

“และผู้ที่ชนะในเกม หนึ่งเดือนพิชิตใจสาวเฉิ่ม ได้แก่ มาร์ค สหรัฐค่า!”

เทพบุตรของพราวตะวันชูแขนด้วยความสะใจ ยิ้มร่าให้กล้อง “กูทำสำเร็จแล้วโว้ย!”

“ดะ...เดี๋ยว นี่มันเกิดอะไรขึ้น”พราวตะวันเสียงสั่น

“มาร์คและเพื่อนในกลุ่มพนันกันว่า หากใครทำให้สาวเฉิ่มในโรงเรียนบอกรักได้เป็นคนแรกจะเป็นคนชนะเกมนี้” ตากล้องอธิบายหน้ามึนๆ

“มันคือเกมเหรอคะ” เธอยังไม่เชื่อสิ่งตรงหน้า

“ใช่ค่ะ วันนี้เป็นวันที่ผู้เข้าแข่งขันต้องทำยังไงก็ได้ให้เป้าหมายสารภาพรัก ซึ่งเราถ่ายทอดสดไปที่หอประชุมโรงเรียนตอนนี้ด้วย นอกจากเงินรางวัลที่เพื่อนๆ ในกลุ่มของมาร์คร่วมกันลงขันแล้ว ผู้ชนะจะได้ออกเดตกับ มิเชล หว่อง ดาวโรงเรียนของเราด้วยค่ะ”

สหรัฐยังดีใจไม่หยุด มีเพื่อนๆ หลายคนวิ่งออกมาจากหอประชุมและร่วมกอดแสดงความยินดีกับเขา

พิธีกรสาวหันมายื่นไมโครโฟนให้พราวตะวัน “ตอนนี้ผู้ชมที่ดูอยู่คงอยากรู้ว่าตอนที่พี่มาร์คบอกรัก น้องพราวรู้สึกยังไงบ้างคะ” 

คนถูกถามตัวสั่น พึมพำออกมา พิธีกรคนเดิมเงี่ยหูฟัง เมื่อจับใจความได้ก็หันไปมองกล้อง

“น้องพราวตะวันเข้มแข็งมากเลยค่ะเพื่อนๆ โดนแกล้งขนาดนี้ยังบอกกับพวกเราว่า I hear I hear เธอคงได้ยินคำว่ารักจากปากมาร์คแบบชัดเจนนั่นเอง”

ตากล้องเงยหน้ามองเพื่อนพิธีกร “กูว่าไม่น่าจะใช่ว่ะ น้องพราวพูดภาษาไทยนั่นแหละ แต่กำลังบอกว่า ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย ต่างหาก!”

“อ้าว งั้นเรอะ”

ผู้เล่นเกมจำเป็นน้ำตารินอาบแก้ม ยกมือขึ้นมากุมหน้า ตากล้องจึงซูมให้ผู้ชมในห้องประชุมได้เห็นภาพชัดๆ

“ฮือๆ”

โลกของสาวช่างฝันที่เคยสวยงามเริ่มพร่ามัวเลือนราง เสียงที่ได้ยินก็ค่อยๆ เบาลง พร้อมสติที่ดับวูบ 

ร่างกายคงรีบปิดสวิตช์เพื่อหนีจากโลกความจริงอันโหดร้าย...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น