5

บทที่ 5

 

5

เลศยาจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะมีไข้สูง คุณหมอไม่อนุญาตให้กลับบ้าน ช่วงนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เลศยาต้องถูกเจาะเลือดไปตรวจเพื่อผลที่แน่ชัดทางการรักษา

หนูน้อยร้องไห้จ้า ดิ้นหนีเข็มแหลมของพยาบาลสาว เมื่อเริ่มโตขึ้นจึงเรียนรู้แล้วว่าความเจ็บปวดและหวาดกลัวนั้นเป็นเช่นไร เลศยาไม่ชอบเข็มฉีดยา คงเป็นนิสัยที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเพราะลลนาเองก็เป็นเช่นนั้น โดยปกติรัชชานนท์จะช่วยหลอกล่อให้เลศยายอมสงบและให้ความร่วมมือกับพยาบาล แลกกับของเล่น ขนมอร่อย แต่ลลนาไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียนิสัยด้วยของล่อตาล่อใจพวกนั้น

“ให้ผมช่วยนะครับคุณรัน”

คัมภันคงเห็นว่าลลนาไม่สามารถรับมือได้ตามลำพัง เขาจึงอุ้มเลศยาที่กำลังร้องไห้จ้าไปจากหล่อน โอบศีรษะให้เด็กกลัวเข็มซบลงบนบ่า กล่อมจนลูกสาวของหล่อนสงบลง ท่าทางเขาดูคล่องเชียว หล่อนไม่ได้ยินว่าเขาคุยอะไรกับเลศยาบ้าง แต่หนูน้อยพยักหน้าเชื่อฟัง และไม่มีเสียงร้องไห้ให้ได้ยินอีกเลย 

“คนเก่งของลุงพร้อมแล้วใช่ไหมครับ”

เลศยาพยักหน้า ยื่นแขนข้างขวาให้พยาบาลสาว แต่อีกข้างยังกอดคอและซบหน้ากับไหล่ของคัมภันนิ่ง

เขาใช้วิธีเล่านิทานเรื่องปูเสฉวนให้เลศยาฟัง ในขณะที่พยาบาลก็ทำหน้าที่ของตนได้จนเรียบร้อยดี

ลลนายืนมองภาพนั้นแล้วย้อนถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่า ทำไมเรื่องแค่นี้หล่อนจึงจัดการเองไม่ได้ หล่อนไม่ได้อิจฉาคัมภันเพราะเลศยาสนิทสนมและไว้ใจเขาอย่างรวดเร็ว แต่ความรู้สึกหนึ่งมันเกิดขึ้นในใจของหล่อนแล้ว

ลูกสาวโหยหาคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ และนั่นคือสิ่งที่ลลนาหวาดกลัวเหลือเกิน

ในยามที่เลศยานอนเพ้อเพราะพิษไข้ หล่อนได้ยินคำว่า ‘พ่อจ๋า’ จากปากจิ้มลิ้มนั่น หรือโลกของเลศยาจะเปลี่ยนไป โลกที่เคยมีแค่แม่รันกับน้องไลท์กำลังจะถูกแทรกกลางด้วยคนที่หล่อนไม่เต็มใจให้ก้าวเข้ามาในชีวิตหรือ

ลลนาเชื่อมาตลอดว่าหล่อนสามารถเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม เชื่อว่าสามารถเติมเต็ม เป็นได้ทั้งพ่อและแม่ หล่อนคงจะเชื่อต่อไปแบบนั้นถ้าบดินทร์ฉัตรไม่กลับเข้ามาอีกครั้ง การปรากฏตัวของเขาลดทอนความมั่นใจเดิมของหล่อนจนแทบไม่เหลือเลย

 

เลศยาหลับไปหลังจากพยาบาลเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า และป้อนยาลดไข้ แต่ลลนายังนั่งคอตกอยู่ข้างเตียงลูกสาว

คัมภันไม่รู้ว่าหล่อนกังวลเรื่องอะไร แต่อาการห่อไหล่ บางคราวกัดเล็บ สักพักก็ถอนหายใจ บ่งบอกว่าสภาวะอารมณ์ของหล่อนแปรปรวน และสมองกำลังทำงานหนักหน่วง

“หิวหรือเปล่าครับคุณรัน เดี๋ยวผมลงไปซื้ออะไรให้ทาน”

ทุ่มกว่าแล้ว ลลนายังไม่ยอมขยับไปไหน เมื่อครู่หล่อนโทร. รายงานพัทนีว่าต้องอยู่เฝ้าไข้เลศยา และคัมภันเองก็ได้รับคำสั่งจากพัทนีให้อยู่ดูแลลลนากับลูก

“ฉันยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ คุณลงไปหาอะไรทานเถอะค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าที่ท้ายรถมาให้ด้วย คุณจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็พักผ่อน”

คัมภันจำได้ ตอนถามลลนาเกี่ยวกับกระเป๋าเป้สีสวยใบย่อมที่ท้ายรถ หล่อนคาดการณ์ได้แม่นยำว่าวันนี้ลูกสาวอาจไม่ได้กลับบ้าน ทุกครั้งที่พาลูกมาโรงพยาบาล ลลนาจะเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่เสมอ

“ฉันขอโกโก้ร้อนสักแก้วแล้วกันค่ะ ขอบคุณนะคะ”

 

คัมภันกลับมาที่ห้องพักพิเศษของเลศยาอีกครั้งพร้อมข้าวของพะรุงพะรังและโกโก้ร้อนตามคำสั่ง เขาวางเป้ของลลนาลงบนโซฟา วางถุงข้าวกล่องและอื่นๆ ลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า

“ทานข้าวก่อนครับคุณรัน ผมซื้อมาเผื่อคุณด้วย”

คัมภันหยิบข้าวกล่องออกจากถุง วางซองน้ำปลาพริกและช้อนส้อมพลาสติกเอาไว้บนฝากล่อง ก่อนหันไปบอกลลนาว่ามีเมนูอะไรให้เลือกบ้าง ให้สิทธิ์หล่อนเลือกระหว่างกุ้งผัดบรอกโคลีกับผัดผักบุ้งหมูสับ และเขาทายถูก หล่อนเลือกกุ้งผัดบรอกโคลีตามที่เขาคิดไว้แต่แรก

“น้องไลท์เป็นไงบ้างครับ ไข้ลดรึยัง”

คัมภันไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเขากับหล่อนอึมครึมจนเกินไปนัก จึงชวนคุยเรื่องเลศยา ข่าวบ้านการเมือง และลอบสังเกตอารมณ์ของลลนาผ่านน้ำเสียง สีหน้า และตาคู่สวยนั่น

เขาไม่กล้าบอกลลนาว่าพบใครที่ชั้นล่าง โชคดีที่บดินทร์ฉัตรจำเขาไม่ได้จึงเดินเลยไปอย่างไม่สนใจ ถ้าผู้ชายคนนั้นจงใจมาที่นี่ ก็ไม่เป็นผลดีต่อลลนากับลูกเลย

“หน้าฉันมีอะไรรึเปล่า”

คัมภันสะดุ้ง รีบก้มหลบตาคู่สวย เขาเพียงแค่มองเพลิน ไม่ได้ตั้งใจจะจ้องนานจนผิดสังเกต เวลาลลนายิ้มโลกพลันสดใส เขาจึงเผลอไปอย่างไม่ทันระวังตัว

“ผมแค่ฟังเพลิน ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณรันพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะลงไปข้างล่างสักพัก”

คัมภันไม่อยากอยู่เกะกะตาหล่อน คิดว่าลลนาต้องการเวลาส่วนตัว เขาเองก็อยากลงไปตรวจตราให้แน่ใจว่าบดินทร์ฉัตรไม่ได้ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้แล้วเช่นกัน

“คุณจะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยมารับ”

“ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่ดีกว่า คุณพัดสั่งไว้ ผมต้องทำตามคำสั่ง”

คัมภันยิ้มให้แล้วเดินเลี่ยงออกจากห้องไป เขาไม่ไว้ใจให้ลลนากับลูกอยู่กันตามลำพัง ค่ำคืนนี้แม้หมดเวลาเยี่ยมไข้ก็ยังวางใจไม่ได้ว่าพรุ่งนี้บดินทร์ฉัตรจะไม่กลับมา

 

ลมนอกระเบียงเย็นสบาย แต่ในหัวใจของปาลิดาร้อนรุ่มเหลือทน วันนี้ทั้งวันหล่อนติดต่อสามีไม่ได้เลย โทรศัพท์แสนแพงที่เขาซื้อให้ค่าของมันไม่ต่างจากก้อนดินไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่เคยใส่ใจรับสายจากภรรยาคนนี้ ทั้งที่ควรจะชินเสียแต่ใจหล่อนยังไม่ชิน

นับแต่แต่งงานกัน หล่อนมีแค่ทะเบียนสมรสกับลูกในท้องเท่านั้นที่ยืนยันได้ว่าบดินทร์ฉัตรคือสามี ชีวิตเขาให้ความสำคัญแก่งานเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนภรรยากับลูกมักรองจากนั้นเสมอ 

ความสัมพันธ์ระหว่างเราเริ่มต้นไม่ดีนัก สำหรับบดินทร์ฉัตรแล้วคือความผิดพลาด แต่ผู้หญิงที่รักเขา ปาลิดายอมรับว่าตั้งใจให้เรื่องราวในคืนนั้นบานปลาย บดินทร์ฉัตรไม่ได้เมามายจนไร้สติ และหล่อนคงหยุดเขาได้ถ้าคิดจะทำ แต่ร่างกายหล่อนยินยอม ด้วยหวังว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งจะพันธนาการเขาไว้กับหล่อนได้

ทุกเรื่องดำเนินไปตามที่หล่อนคาดฝันภายใต้ความเห็นพร้อมของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย งานวิวาห์ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อหล่อนตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์ เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน คือความตั้งใจของผู้ใหญ่ทั้งสองตระกูล พ่อแม่หล่อนหน้าชื่นตาบานเมื่อได้บดินทร์ฉัตรเป็นลูกเขย แต่หารู้ไม่ว่าบางคราวลูกสาวต้องนอนสะอื้นอย่างเดียวดายบนเตียงนอนใหญ่ที่สามีไม่เคยเหลียวแล

‘ผมต้องทำงาน คุณก็เห็นว่าผมยุ่งแค่ไหน’

ทุกครั้งที่หล่อนรบเร้าขอแบ่งเวลาให้ครอบครัวบ้าง เขามักจะอ้างด้วยประโยคเดิมๆ ที่เอือมจะฟัง บ่อยครั้งที่ทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องเล็กน้อย หล่อนเลือกเป็นฝ่ายเงียบและทน เก็บความเจ็บนั้นมาแอบร้องไห้ ปาลิดาไม่กล้าปรึกษาใครแม้แต่คนในครอบครัว ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับบดินทร์ฉัตรสั่นคลอนเพียงใด

‘ความผิดผมเหรอ’

ครั้งหนึ่งเขาเคยตั้งคำถาม แต่ปาลิดาตอบไม่ได้ หล่อนรู้อยู่แก่ใจว่าบดินทร์ฉัตรไม่พร้อมจะมีครอบครัว ร้ายกว่านั้น คือเขาไม่เคยรักหล่อนเลย แต่จำใจรับผิดชอบความผิดพลาดตามความต้องการของพ่อแม่

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าที่สามีที่ดีคืออะไร แม้จะปรนเปรอให้หล่อนได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ แต่มันแค่วัตถุไร้ค่าไม่ต่างจากโทรศัพท์แสนแพงที่ยังวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ ความสุขสบายทางกายของหล่อนกับลูก เขาดูแลได้ไม่เคยบกพร่อง แต่ลืมดูแลจิตใจอ่อนแอของภรรยาคนนี้ ที่เฝ้ารอให้เขาโอบกอด และสัมผัสหล่อนสักครั้งด้วยความรู้สึกที่มากไปกว่าความใคร่

ปาลิดาลูบท้องนูนที่ลูกชายวัยห้าเดือนกำลังเติบโตตามพัฒนาการ หล่อนพยายามไม่ทุกข์กับเรื่องของสามีเพราะสภาพจิตใจของแม่ส่งผลถึงลูกได้ ทุกวันนี้หล่อนยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง และใช้เวลาส่วนใหญ่กับหนังสือคุณแม่มือใหม่ ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แอบหวังว่าเมื่อลูกคลอด สามีจะหันมาใส่ใจหล่อนกับลูกของเขาบ้าง

โทรศัพท์บนโต๊ะมีสายเรียกเข้าให้หัวใจปาลิดาลิงโลด หน้าอิ่มใสมีรอยยิ้มกว้าง ก่อนรอยยิ้มจะจางเมื่อชื่อ ‘คุณแม่’ โดดเด่นอยู่บนหน้าจอ บดินทร์ฉัตรไม่เคยคิดถึงหล่อนกับลูกเลย ดึกป่านนี้แล้วเขาก็ยังไม่โทร. มา

“ค่ะแม่”

“อย่าลืมกินยาให้ครบนะปัน อาหารเสริมที่เพื่อนแม่เอามาฝากก็ดีมาก ได้กินไปบ้างรึยังลูก”

“เรียบร้อยค่ะ ปันกำลังจะเข้านอนพอดี”

“แล้วพ่อฉัตรจะกลับเมื่อไหร่ ได้บอกรึเปล่า ทำไมรอบนี้ลงระยองนานจัง เป็นอาทิตย์แล้วนะ”

รีสอร์ตเล็กๆ ที่ระยอง บดินทร์ฉัตรเพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายเมื่อสองปีก่อน เพราะเห็นว่าทำเลงามกลางแหล่งท่องเที่ยวจะสร้างรายได้ดีแก่เขาได้

ปาลิดาเคยไปที่นั่นสามสี่ครั้งสมัยแต่งงานใหม่ๆ ช่วงแรกนั้นสามีหล่อนทุ่มงบบูรณะรีสอร์ตใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนระบบบริหารงานให้มีระเบียบมากยิ่งขึ้น ระยะหลังมานี้งานที่รีสอร์ตลงตัวดีแล้ว ปาลิดาไม่เห็นปัญหาหรือเหตุจำเป็นใดที่บดินทร์ฉัตรจะต้องอยู่ที่นั่นนานนับสัปดาห์ แต่ความสงสัยของหล่อนไม่อาจแพร่งพรายได้ จึงจำต้องปดเพื่อความสบายใจของมารดาอีกครั้ง

“เห็นว่าคงอีกสักพักน่ะค่ะ งานมีปัญหานิดหน่อย”

“งั้นช่วงนี้ปันลงมาอยู่บ้านเราก่อนไหม แม่เป็นห่วง กำลังท้องกำลังไส้ อยู่คนเดียวอันตรายนะลูก”

“คนเดียวที่ไหนกันคะ เด็กรับใช้เต็มบ้านเลย”

ปาลิดายิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงกังวลของแม่ที่เถียงหล่อนอยู่เป็นนิตย์ เข้าใจว่าแม่เป็นห่วง แถมเห่อหลานคนแรกเสียยิ่งกว่าใคร ท่านจ้างเด็กรับใช้เพิ่มอีกคนเพื่อคอยดูแลหล่อน และในอนาคตยังคิดจะจ้างพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มสำหรับหลานชาย

“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่บ้านนะคะ ปันอยากกินข้าวซอยที่พ่อหิ้วมาฝากจากเชียงใหม่”

ปาลิดาหัวเราะเบาๆ ฟังแม่ค่อนขอดว่าพ่อซื้อของฝากมาให้ลูกสาวราวกับจะรับประทานอาหารเหนือกันตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ลืมซื้อเมล็ดกาแฟยี่ห้อโปรดที่แม่ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องหามาให้ได้ ปาลิดาได้ยินเสียงหัวเราะของพ่อแว่วอยู่ไม่ไกล และคาดว่าหลังวางโทรศัพท์จากหล่อน แม่จะบ่นพ่ออีกรอบเรื่องลืมซื้อเมล็ดกาแฟ

หล่อนเชื่อว่าพ่อไม่ได้ลืม และพรุ่งนี้คงได้เห็นแม่นั่งยิ้ม จิบกาแฟแสนอร่อยที่ชงจากเมล็ดกาแฟชั้นดียี่ห้อโปรดปราน แม่ของหล่อนโชคดีนักที่ได้ครองคู่กับผู้ชายที่รักไม่เคยเปลี่ยน ปาลิดาเองก็แอบหวังว่าสักวันสามีจะรักหล่อนให้ได้เหมือนอย่างที่พ่อรักแม่

 

ผลการตรวจเลือดของเลศยาไม่พบเชื้อไข้เลือดออก หนูน้อยเป็นไข้หวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เช้านี้อาการของเลศยาดีขึ้นมากจนแม่รันโล่งใจ

คัมภันได้เห็นรอยยิ้มสดใสของลลนาอีกครั้ง หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยเล่านิทานเรื่องลูกหมูสามตัวให้ลูกสาวฟัง  เป็นภาพน่ารักที่เขาเผลอยิ้มตาม

“หมาป่ามาแล้วค่ะ”

เลศยายิ้มกว้างเมื่อคัมภันเดินเข้าไปใกล้ เขาจึงต้องสวมบทหมาป่าใจร้ายตามจินตนาการของหนูน้อยไปโดยปริยาย

“เดี๋ยวข้าจะพังบ้านของเจ้า จะกินคุณยายของเจ้าด้วย”

คัมภันทำเสียงใหญ่ กางนิ้วมือทั้งสิบราวอสูรร้าย เขาปั้นหน้าให้โหดสมกับบทหมาป่า แต่ลลนากลับหัวเราะลั่น

“ผิดเรื่องแล้วคุณ หมาป่ากินคุณยายนั่นมันหนูน้อยหมวกแดงนะคะ”

เขาปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ แต่กลับรู้สึกดีเมื่อต้องกลายเป็นตัวตลกของลลนา เขาอยากให้หล่อนยิ้มให้มาก หัวเราะให้มาก เพราะโลกใบนี้ดูสดใสขึ้นมากเหลือเกิน

“เอาใหม่ค่ะ แอกชัน!”

เมื่อผู้กำกับสาวบอกบทเรียบร้อย นักแสดงจำเป็นจึงต้องแสดงฝีมือ เลศยาซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา สมมุติว่ามันคือบ้านอิฐแข็งแรงของลูกหมูตัวที่สาม ที่หมาป่าใจร้ายไม่อาจพังทลายเข้าไปได้

แต่คัมภันเล่นนอกบท เขาเปิดผ้าห่มให้เลศยากรีดร้อง เสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อหมาป่ามุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วขยำพุงหนูน้อยอย่างมันเขี้ยว

“บ้านเจ้าพังหมดแล้ว มาให้ข้ากินซะดีๆ”

หมาป่าอุ้มลูกหมูตัวที่สามออกมาจากบ้านแล้วชูขึ้นสุดแขน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของทุกคนกระจายเกลื่อนห้อง ก่อนทุกอย่างจะชะงักเมื่อประตูเปิดและผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัว

“พ่อจ๋า” เลศยาดิ้นลงจากอ้อมแขนคัมภันแล้ววิ่งไปต้อนรับบดินทร์ฉัตรด้วยรอยยิ้มกว้าง

เขามาพร้อมตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่นุ่งชุดกระโปรงบานลายสกอตสีแดง และดูเหมือนเลศยาจะดีใจเมื่อเห็นตุ๊กตามากกว่า เด็กหญิงกอดเจ้าหมีที่ตัวสูงเกือบเท่ากันเอาไว้แน่นเมื่อพ่อช้อนอุ้ม

“มาหาแม่ค่ะน้องไลท์ เราต้องเตรียมตัวกลับบ้านกันแล้ว”

รอยยิ้มน่ามองเมื่อครู่ไม่มีอีกแล้ว ลลนาสั่งลูกสาวเสียงเข้ม พ่อแม่กำลังฟาดฟันสายตาดุดันใส่กัน แต่หนูน้อยกลับส่งเสียงสดใสคุยกับตุ๊กตาหมีแจ้วๆ

“ไปกับพ่อก็ได้เนอะน้องไลท์ เดี๋ยวพ่อไปส่ง”

“ไม่ต้องค่ะ เรามีรถมา” ลลนาปฏิเสธเสียงแข็ง หักความหวังดีที่บดินทร์ฉัตรหยิบยื่นให้

คัมภันทำแค่เมียงมองอยู่ห่างๆ คนนอกเช่นเขาไม่ควรก้าวก่าย เว้นแต่มีคนจงใจดึงให้เข้าไปเกี่ยว

“เปลี่ยนหน้าไม่เคยซ้ำเลยนะ”

สายตาดูแคลนมองตรงมาที่คัมภัน บดินทร์ฉัตรจำเขาไม่ได้ แต่ยังปากเสียและไม่ให้เกียรติลลนาเช่นเดิม

คัมภันพยายามข่มใจให้นิ่ง เขาเชื่อว่าลลนากำลังทำเช่นนั้น เมื่อลูกสาวไม่ยอมห่างจากอกพ่อหล่อนก็ไม่เซ้าซี้ต่อ แต่หันไปสนใจข้าวของในห้องที่ต้องเก็บลงกระเป๋าของตัวเองแทน วันนี้คุณหมออนุญาตให้เลศยาออกจากโรงพยาบาล และลลนาคงไม่ต้องการเสียเวลาเผชิญหน้ากับบดินทร์ฉัตรสักวินาทีเดียว

เลศยาดิ้นลงจากอ้อมแขนของพ่อแล้วลากพี่หมีตัวใหญ่เดินกลับมาหาแม่รันที่กำลังคุยกับพยาบาลสาว คัมภันหลบตาบดินทร์ฉัตรที่ยังจ้องมาอย่างสงสัย คงเริ่มคุ้นตาบ้างแล้วว่าเคยเจอกันมาก่อน

คัมภันเกลียดสายตาดูแคลนคู่นั้น เขาแสร้งมองไม่เห็นแล้วเดินไปช่วยลลนาหิ้วกระเป๋า แต่เด็กหญิงเลศยากลับโถมตัวเข้ามากอดขาแล้วร้องขอให้เขาอุ้ม

“นายไม่มีสิทธิ์มาอุ้มลูกฉัน วางลงเดี๋ยวนี้!”

ตุ๊กตาหมีหล่นลงพื้นเพราะเลศยาตกใจเมื่อได้ยินเสียงดังของบดินทร์ฉัตร ลลนาหน้าเสีย รีบเข้ามาขวางเมื่อผู้ชายใจหยาบตั้งท่าระราน หล่อนดึงตัวลูกสาวไปอุ้มแทนแล้วบอกให้คัมภันรีบหิ้วกระเป๋าเดินตามออกไป

“พี่หมีของน้องไลท์” เลศยายังไม่ลืมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่

คัมภันเห็นบดินทร์ฉัตรคว้าขึ้นจากพื้นแล้วเดินตามมาห่างๆ

 

ลลนาไม่พูดอะไรอีกเลยเมื่อกลับขึ้นรถ หล่อนกำลังข่มอารมณ์ที่น่าจะร้อนเหลือทน มีแต่เสียงของเลศยาเจื้อยแจ้วไปตามประสาอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์

“คุณพ่อจะเอาพี่หมีมาให้น้องไลท์ไหมคะ”

“คงมาค่ะ” เสียงนั้นแผ่วเบา หัวใจลลนาคงร้าวเจ็บน่าดู

คัมภันแอบมองหน้าหมองของหล่อนผ่านกระจกมองหลัง เลศยายังเด็กเกินจะเข้าใจได้ จึงตั้งคำถามอีกหลายข้อเกี่ยวกับบดินทร์ฉัตร จนลลนาเลือกใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

“น้องไลท์เคยเห็นปูเสฉวนไหม อยากเห็นรึเปล่า”

“ไม่เคยเห็นค่ะ บ้านคุณลุงมีเหรอคะ”

คัมภันดึงความสนใจของเลศยาได้สำเร็จ หนูน้อยรีบลุกจากตักแม่รันแล้วมองมาที่เขา

“มีสิคะ เย็นนี้ลุงจะพาไปดู”

ลลนาสบตากับคัมภันเมื่อลูกสาวสนใจเรื่องปูเสฉวนมากกว่า หล่อนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หลับตาลงแล้วเอนหลังพิงเบาะ

เขาจึงต้องปดเลศยาว่าแม่รันเหนื่อยล้า ต้องการพักผ่อน เพราะเฝ้าไข้ลูกสาวมาตลอดทั้งคืน

เลศยานั่งลงแล้วยกมือป้อมขึ้นแตะหน้าผากลลนา ก่อนจะหันมากระซิบข้างหูคัมภันว่าแม่รันตัวร้อนนิดหน่อย ต้องให้กินยาแบบน้องไลท์จะได้หายดี มีลูกสาวน่ารักเปรียบดังแก้วตาดวงใจ เวลานี้ลลนาคงทุกข์หนักหนาเมื่อใครอีกคนคิดจะกลับมาช่วงชิง

คัมภันเข้าใจบดินทร์ฉัตรในฐานะพ่อที่ต้องการทวงสิทธิ์ในตัวลูก แต่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ดูเหมือนจงใจระรานมากกว่าปรองดองกัน เรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัวถ้าไม่หันหน้าเจรจาก็คงแตกหัก เพราะต่างฝ่ายต่างห้ำหั่นหาผู้แพ้ชนะ คัมภันเข้าใจลึกซึ้งในฐานะผู้แพ้ ซึ่งทุกวันนี้ยังถูกเงาในอดีตกรีดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ต้องการให้ลลนาตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับเขา แต่ก็ไม่ต้องการให้บดินทร์ฉัตรเป็นผู้ชนะในเกมชีวิตครั้งนี้

 

พัทนีต้องเป็นคนกลางในการเจรจาระหว่างลลนากับบดินทร์ฉัตร หลานสาวร้องขอเอาไว้ เพราะกลัวอารมณ์ของบดินทร์ฉัตรจะทำให้เรื่องบานปลาย คัมภันจึงอาสาดูแลเลศยาระหว่างที่พ่อแม่ยังหาข้อตกลงกันไม่ได้

ในห้องรับแขกของบ้านบรรยากาศอึมครึม ชั่วโมงหนึ่งแล้วที่ยังไม่มีข้อยุติ และพัทนีลำบากใจที่จะช่วยตัดสินเรื่องระหว่างคนสองคน

“คุณพัดเองก็เห็นว่าหลานคุณยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมเลย มีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอดแบบนี้ ลูกสาวผมจะปลอดภัยจริงๆ รึเปล่า”

ต่อหน้าผู้ใหญ่บดินทร์ฉัตรยังไม่ลดราวาศอก เขาตอกหน้าลลนาแรงๆ ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล คงเพราะเข้าใจลลนากับคัมภันผิดไป

“ถ้าคุณหมายถึงผู้ชายที่ต่อยหน้าคุณวันก่อน คุณเข้าใจผิดแล้วละ เขาเป็นพนักงานที่นี่ และคงตกใจที่คุณทำร้ายเจ้านายของเขา”

พัทนีเห็นว่าบดินทร์ฉัตรยั้งคำที่กำลังจะพูดต่อ เขามองหน้าลลนาด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

“ผมก็แค่ห่วงลูกผม”

“ยายไลท์อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรต้องห่วง ฉันเคยบอกคุณแล้วว่ารันเลี้ยงลูกได้ดีแน่ๆ คุณควรจะวางใจ แวะมาเยี่ยมได้เป็นครั้งคราว แต่ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องพาแกไปอยู่ด้วย”

“ลูกอยู่กับฉันมาตั้งแต่เกิด คุณคิดว่าแกจะมีความสุขเหรอคะ ถ้าต้องห่างแม่ไปแบบนั้น คุณควรจะคิดถึงใจลูกให้มากกว่านี้”

“พูดเหมือนลูกอยู่กับผมแล้วจะไม่มีความสุขงั้นละ”

พัทนียอมรับว่าลลนาคุมอารมณ์ได้ดีกว่า พยายามต่อรองกันด้วยเหตุผล แม้บางคำบดินทร์ฉัตรดูไม่ให้เกียรติ แต่หลานสาวยังนิ่งได้จนพัทนีแปลกใจ

“ฉันแค่อยากให้คุณคิดให้มากกว่าแค่เอาชนะฉัน คุณไม่พอใจฉัน โกรธฉัน เกลียดฉัน คุณควรลงที่ฉัน มันไม่ถูกถ้าคุณจะดึงลูกเข้าไปเกี่ยว”

พัทนีพูดไม่ออก นางเห็นด้วยกับลลนา เลศยายังเด็ก ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องต่อรอง ถ้าบดินทร์ฉัตรรักลูกสาวของเขาจริง การพรากลูกไปจากแม่จึงไม่ใช่วิธีที่ควรกระทำ

“ลูกสาวผม ผมควรได้ทำหน้าที่พ่อบ้างไม่ใช่หรือครับคุณพัด”

บดินทร์ฉัตรไม่ตอบโต้ลลนา แต่หันมาถามความเห็นจากคนนอกที่ลำบากใจจะพูดอยู่เหมือนกัน

พัทนีอยากลุกหนีไปก็ทำไม่ได้ จึงต้องแสดงความคิดเห็นอย่างรักษาน้ำใจทั้งสองฝ่าย

“มันก็ถูกค่ะ ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณเสมอ รันก็ไม่ได้กีดกันคุณกับลูก ขออย่างเดียว แค่อย่าคิดพรากลูกไป เรื่องในอดีตก็ให้มันจบๆ แล้วเริ่มต้นใหม่ คิดซะว่าเพื่อยายไลท์ก็แล้วกันนะคุณฉัตร”

“พูดง่ายนะครับ ผมควรมีสิทธิ์ในตัวลูกผมมากกว่านี้”

“คุณแน่ใจเหรอว่าสิทธิ์ที่คุณร้องขอนั่นเพราะคุณห่วงลูกสาว”

บดินทร์ฉัตรเงียบ ไม่ตอบคำถาม อีกทั้งยังก้มหลบตา เท่านั้นก็เผยความในใจให้พัทนีรู้แจ้งแล้วว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออะไร

“ฉันไม่อยากให้เรื่องในอดีตที่ผู้ใหญ่เคลียร์กันไม่ลงส่งผลกระทบกับเด็กที่ไม่รู้อะไร ถ้าคุณรักลูกของคุณ คุณก็ควรจะมองที่ความสุขของลูกมากกว่าความสุขของตัวเองนะคุณฉัตร”

“ผมจะกลับไปคิดดูก็แล้วกัน ลาละครับ”

มองก็รู้ว่าบดินทร์ฉัตรยังไม่พอใจข้อสรุปในวันนี้ เขาเดินหน้าเครียดออกไปจากบ้าน ส่วนลลนา สีหน้ากังวลนั่นปิดไม่มิด พัทนีกอดหลานสาวเอาไว้ ลลนาเข้มแข็งเสมอมา หล่อนไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่ซบหน้าลงบนบ่าของป้าแล้วค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น

“รันทำดีแล้ว ป้าเชื่อว่าทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ด้วยดี”

 

ลลนาวางทุกข์ไว้ที่รีสอร์ตแล้วข้ามถนนลงมาที่ชายหาด หล่อนยืนมองลูกสาววิ่งไล่จับกับคัมภันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะกังวานของผู้ชายสูงล่ำสะกดให้ต้องยิ้มตาม เขาคว้าตัวเลศยาไปกอดแล้วยกชูสูงขึ้นสุดแขน ก่อนจะหมุนตัวไปรอบๆ ให้หนูน้อยได้กางแขนราวกางปีกท้าลม

“แม่รัน” ลูกสาวหันมาเห็นแม่จึงร้องเรียก ครั้นคัมภันปล่อยลงพื้น หนูน้อยก็วิ่งเข้ามากอด แล้วเล่าเรื่องปูเสฉวนให้ฟังอย่างตื่นเต้น

“แม่รันไปดูสิคะ มีปูในเปลือกหอย” เลศยาจับแขนลลนาแล้วลากไปดู มีปูเสฉวนสองตัวในแก้วพลาสติกที่คัมภันยื่นมาให้

ลลนามองเจ้าปูตัวนิ่มที่โผล่แค่หัวกับขาสองคู่ออกมาจากเปลือกหอย ไม่ต้องดึงออกมาดูก็รู้ว่าปูเสฉวนอ่อนแอเพียงใด พวกมันก็เหมือนหล่อนในตอนนี้ ที่ต้องสวมเปลือกแข็งแกร่งซ่อนความเปราะบางเอาไว้ อย่าให้ใครได้เห็น

“ลุงภันบอกว่าเปลือกหอยคือบ้านของมัน”

หนูน้อยอธิบายแล้วชี้ให้แม่รันมองไปที่หาด ยังมีปูเสฉวนหลายตัวเดินอยู่ที่นั่น แบกบ้านน้อยใหญ่ของพวกมันไปอย่างไม่อ่อนล้า

หญิงสาวนึกถึงปัญหาหนักที่ยังวางลงไม่ได้ เหมือนเปลือกหอยที่ปูเสฉวนแบกไว้ ถ้าตอนนี้หล่อนอ่อนแอก็คงแพ้...เท่านั้นเอง

ลลนาย่อตัวลงนั่ง ปล่อยปูเสฉวนในแก้วลงพื้น มองพวกมันวิ่งจากหาดลงไปที่น้ำตื้นๆ

เลศยายังตามไปดูอย่างสนใจเรียนรู้ และไล่จับปูเสฉวนที่เดินบนหาดไปปล่อยลงน้ำ คัมภันเดินไปเล่นกับเลศยาอีกสักพัก ก่อนจะกลับมานั่งบนเก้าอี้ผ้าใบอีกตัวข้างลลนา

“น้องไลท์ยังเด็กเกินจะเข้าใจ แต่ผมเชื่อนะครับ ว่าเมื่อโตขึ้นแกจะเข้าใจเอง”

ลลนามองหน้าเกลี้ยงเกลาของเขาแล้วปล่อยสายตาไว้กับธรรมชาติรอบตัว หัวใจหล่อนล้า ดุจดวงอาทิตย์อ่อนแสงที่อีกไม่นานต้องจมลงใต้ผืนน้ำ

“ฉันเคยคิดว่าเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ แต่พอเขากลับมา ฉันกลับไม่ค่อยแน่ใจเลยค่ะ”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นล่ะครับ”

“คุณเองก็เห็น ยายไลท์ดูดีใจ ดูมีความสุขเวลาที่ได้เจอพ่อ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องผูกพันกับเขา”

“ดูนั่นสิครับ”

คัมภันชี้ให้หล่อนมองไป เลศยายังสนุกกับบรรดาปูเสฉวนและเปลือกหอยที่ริมหาด ลูกสาวหล่อนยิ้มกว้าง โบกมือทักทายคนรู้จักที่เดินเข้ามาใกล้ พูดคุยเสียงแจ้วๆ ด้วยท่าทางน่าเอ็นดู

“น้องไลท์ดูมีความสุขดี แล้วพ่อเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ ความผูกพันเกิดขึ้นได้ไม่ง่ายหรอกครับ ก็คงมีบ้างที่จะถามจะคุยถึงพ่อ เพราะวัยกำลังช่างคิดช่างถาม แต่ผมเชื่อว่าคุณเติมเต็มความสุขให้ลูกได้ อย่ากังวลไปเลยนะครับ คุณต้องเข้มแข็งเข้าไว้”

แววตาของคัมภันอบอุ่นนัก เขามองหล่อนแล้วยิ้มอ่อนโยน แม้จะทำให้ความกลัวในใจลดลงได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า หล่อนยังมีเขาเป็นที่ปรึกษาที่ดีอีกคน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น