4

บทที่ 4


 

4

บดินทร์ฉัตรขับรถกลับคอนโดเกือบไม่ไหว เพราะหูอื้อ ตาพร่า ใจปวดร้าว ไม่ใช่เพราะหมัดหนักหน่วงของเศษสวะคนนั้น แต่เป็นเพราะเขาทำตัวเอง ถ้าเขาตัดลลนาออกจากชีวิตได้ ลืมหล่อนกับลูกให้สิ้นจากใจเหมือนอย่างที่หล่อนทำ วันนี้เขาคงไม่ทรมาน

เขายอมรับว่ายังเกลียดหล่อน เกลียดเพราะหล่อนเคยหลอกให้รัก เกลียดเพราะหล่อนเหยียบย่ำหัวใจรักแท้ของเขา พูดได้เต็มปากว่า ‘เกลียด’ แต่ทำไมยังนึกถึงและอยากรู้ความเป็นไปของหล่อนกับลูกอยู่ทุกเวลา หัวใจเขาลิงโลดเหลือเกินเมื่อรู้ข่าวว่าหล่อนกลับมา และกลับมาพร้อมลูกน้อยที่แสนน่ารักของเรา

เมื่อเกลียดสิ่งใดก็ควรหลีกหนีให้ไกล หรืออยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้น แต่นี่เขาทำอะไร พยายามพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ๆ และรับรู้ทุกความเป็นไปของคนที่เกลียดอย่างนั้นหรือ

“โธ่โว้ย!”

ข้าวของบนโต๊ะราบเป็นหน้ากลองเพราะพายุอารมณ์ บดินทร์ฉัตรไม่สนแม้โทรศัพท์จะกระเด็นไปตกข้างโซฟา และกำลังบรรเลงริงโทนไพเราะ เขารู้ว่าใครรออยู่ที่ปลายสาย ปาลิดาตั้งค่าในโทรศัพท์ กำหนดริงโทนนี้ไว้เป็นพิเศษเพื่อบอกให้รู้ว่าหล่อนโทร. เข้ามาหา แต่กะจิตกะใจเขาในเวลานี้ยังพลุ่งพล่าน ไม่พร้อมสนทนากับใครทั้งสิ้น

เงาอดีตฉายภาพลลนาให้เห็น เขาเคยมีความสุขกับผู้หญิงที่รักมากที่สุดในห้องนี้ ยังจดจำทุกกิริยาของหล่อนได้ดีจับขั้วหัวใจ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่บทเริงรักที่เข้าขากันดียังไม่เคยจางไปไหน ยอมรับอย่างหน้าไม่อายว่ายังคิดถึง เขาคิดถึงลลนา แต่ไม่กล้ายอมรับว่ายังรักและอาลัยอาวรณ์

ชีวิตของเราทุกคนต้องก้าวเดินไปข้างหน้า แม้วันนี้เขาจะมีปาลิดาอยู่เคียงข้างในฐานะภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และอีกไม่เกินสี่เดือนนับจากนี้เขาจะมีลูกชายของตัวเอง ก่อนนี้เคยคิดอย่างน่ารังเกียจว่าปาลิดาแทนที่ลลนาได้ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่เลย ไม่มีใครแทนใครได้ และหัวใจเขาก็ยังมีเงาของลลนาตรึงแน่นอยู่ร่ำไป

“คุณกลับมาทำไม กลับมาทำร้ายผมอีกทำไม!”

เขาตะคอกใส่กรอบรูปของลลนาที่ตั้งโชว์รอยยิ้มสวยบนหัวเตียง ก่อนจะปัดมันกระเด็นตกลงไปด้านล่าง เสียงโทรศัพท์เงียบไปสักพักก่อนดังขึ้นมาอีกรอบ บดินทร์ฉัตรเริ่มรำคาญเสียงโหวกเหวกจึงยอมกดรับสายอย่างไม่พอใจนัก

“จะให้ไปไหน ผมมีงานด่วนแต่เช้า นี่ก็เพิ่งจะกลับถึงห้อง”  

เสียงหงุดหงิดของเขาทำให้ปาลิดาเลิกตั้งคำถาม ในยามที่สามีอารมณ์ร้อน หล่อนจะเป็นฝ่ายเย็นลงก่อนเสมอ และไม่เคยมีสักครั้งที่บดินทร์ฉัตรจะเย็นลงเพื่อภรรยาของเขาบ้าง

“ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก แค่นี้นะ ผมเหนื่อย”

บดินทร์ฉัตรรีบตัดบทเมื่อปาลิดาแสดงความห่วงใยเพราะติดต่อเขาไม่ได้ตลอดคืนที่ผ่านมา เขาควรบอกหรือว่าจงใจปิดโทรศัพท์เพราะต้องการใช้เวลาที่มีค่ากับลูกสาวของเขา ปาลิดาไม่เคยระแคะระคายเรื่องลลนามาก่อน เพราะหล่อนเป็นคนมาทีหลัง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนเริ่มต้นด้วยความผิดพลาดในคืนที่เขาเมามาย คืนนั้นเขามีความสุขกับลลนา มันคือฝันที่สมจริงเหลือเกิน ครั้นลืมตาตื่นกลับพบปาลิดานอนอยู่เคียงข้าง จึงได้รู้ว่าเขาพลาดไปแล้วอย่างไม่น่าอภัย 

พ่อแม่ของปาลิดาสนิทกับครอบครัวเขา และหวังให้สองตระกูลเกี่ยวดองกันมาตลอด ดังคำโบราณที่ว่า เรือล่มในหนองทองจะไปไหน วันที่หล่อนบอกว่าตั้งครรภ์ นั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เขาแต่งงานกับปาลิดาตามความต้องการของผู้ใหญ่ หล่อนอ่อนกว่าเขาหลายปี เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีและช่วยดูแลกิจการครอบครัว เมื่อแต่งงานกับเขาจึงได้เข้ามาช่วยงานที่รีสอร์ตบนเกาะพงัน ปาลิดามีความเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ข้อดีของหล่อนคือมีเหตุผล ไม่ทำตัวน่ารำคาญเหมือนผู้หญิงบางคนในวัยเดียวกัน ยามมีปัญหากระทบกระทั่ง หล่อนเลือกเป็นฝ่ายเงียบและฟังมากกว่าดันทุรังถกเถียงเอาเป็นเอาตาย

ช่วงที่ผ่านมาบดินทร์ฉัตรมีเวลาให้ปาลิดาน้อยเป็นปกติเพราะทุ่มสมองคิดแต่เรื่องงาน การทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนอ่อนล้าช่วยให้เลิกฟุ้งซ่านถึงลลนาได้ ตลอดห้าปีมานี้เหมือนมีบางสิ่งขาดหายไปจากชีวิต ‘รักแรกนั้นลืมยาก’ ใครบางคนเคยกล่าวประโยคนี้ไว้ และเขาก็รู้ซึ้งแล้วว่าเป็นจริงดังนั้น

ลลนาคือผู้หญิงคนแรกที่เขารัก เขาหลงความสวยความมีเสน่ห์ของหล่อนจนโงหัวไม่ขึ้น หล่อนเข้ามาทำให้ชีวิตเขามีสีสัน เขาตัดสินใจขอหล่อนแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวที่อบอุ่น หล่อนไม่ปฏิเสธ และกรอกหูเขาด้วยคำว่ารักตลอดมา หล่อนใช้ความรักหลอกเขา ลดตัวลงมาให้เสพสุขเพียงเพื่อผลประโยชน์ที่หล่อนจะได้รับ ยืมมือเขาทำเรื่องชั่วร้าย ลอบวางเพลิงรีสอร์ตของพ่อตัวเอง และเขาก็เต็มใจให้หล่อนสนตะพายเสมอ

สุดท้ายในวันที่ความจริงกระจ่าง เขาจึงได้รู้ว่าลลนาแค่ใช้ร่างกายเขาแก้เหงา แต่ไม่เคยรักเขาสักนิด เขาตราหน้าหล่อนว่าเป็นผู้หญิงสารเลว และจากวันนั้นก็สัญญากับตัวเองว่าจะเอาคืนทุกสิ่งที่ลลนาทำไว้ เขาเคยเจ็บปวดเพียงใด เสียใจและผิดหวังเพียงใด ลลนาต้องได้รับกลับไปร้อยเท่าพันทวี คำขอโทษเพียงคำเดียวของหล่อนทดแทนความรู้สึกที่เขาสูญเสียไปไม่ได้เลย

 

สายแล้วแต่เลศยายังหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา กลางดึกลูกสาวมีไข้ ลลนาจึงต้องคอยเช็ดตัวลดไข้ให้จนรุ่งสาง คงเป็นผลจากการนั่งเรือท้าแดดท้าลม บดินทร์ฉัตรพาลูกหายไปทั้งคืน เขาจะดูแลเลศยาได้ดีเท่าไหร่กัน

“รัน ให้ป้าเข้าไปได้ไหม”

ลลนาลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูให้พัทนี สายป่านนี้แล้ว ป้าคงห่วงเพราะหล่อนกับลูกยังไม่ลงไปร่วมโต๊ะ

“น้องไลท์ไม่สบายน่ะค่ะ”

“ตายจริง แล้วนี่กินยาไปตอนไหน” พัทนีรีบไปที่เตียง อังหลังมือวัดไข้หลานที่ยังหลับสบายใต้ผ้าห่มสีหวาน

“เช้ามืดนี่เองค่ะ สักสิบโมงจะต้องป้อนอีกครั้ง”

“รันลงไปกินข้าวก่อนเถอะ เดี๋ยวป้าจะช่วยดูให้ก่อน”

ลลนารับคำอย่างว่าง่าย เพราะตั้งใจจะลงครัวไปเตรียมอาหารให้ลูกสาว ถ้าเลศยาตื่นขึ้นมาจะได้กินมื้อเช้าและกินยาต่อเนื่อง

วันนี้ภายในรีสอร์ตผู้คนพลุกพล่านเพราะเป็นวันหยุด มีลูกค้าแวะเวียนมาสอบถามและเข้าชมห้องพักกันเรื่อยๆ รัชชานนท์คงวุ่นกับงานในออฟฟิศ ส่วนหล่อนยังติดภารกิจจึงปลีกตัวไปช่วยไม่ได้

“คุณรันครับ”

ลลนาหันขวับ ก่อนจะชะงักเพราะหล่อนไม่รู้จักผู้ชายตรงหน้า หรือว่าจะเป็นลูกค้าของรีสอร์ต

“สอบถามรายละเอียดห้องพักได้ที่ออฟฟิศด้านหน้าเลยนะคะ”

ดูเหมือนเขาจะอึ้งไป รอยยิ้มคล้ายขบขันกับดวงตาคู่นั้นสะกดให้ลลนาจ้องหน้าเขาอีกครั้ง เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน แต่สมองหล่อนคิดไม่ออกเสียแล้วว่าเขาชื่ออะไร

“ผมคัมภันไงครับ คุณรันจำผมไม่ได้เหรอ”

ลลนาร้องอ๋อในใจ ก่อนหล่อนจะหัวเราะเยาะสมองเลอะเลือนของตัวเอง วันนี้คัมภันไม่ได้สวมชุดชาวเรือ เขาสวมเสื้อยืดโปโลสีเขียวอ่อนรัดกล้ามอกเข้าชุดกับกางเกงยีนขายาวสีเข้ม เขาแต่งตัวดูดีกว่าทุกวัน และที่ดีกว่านั้นจนหล่อนจำไม่ได้คือทรงผมใหม่ที่สั้นเข้ารูป และหนวดเครารกที่ถูกกำจัดออกจากใบหน้าคมคาย

“หล่อแบบนี้ ใครจะจำได้ล่ะคะ” ลลนาเอ่ยชมจากใจ ทำเอาผู้ชายตัวใหญ่ยิ้มกว้างไม่หุบทีเดียว

“มีแต่คนจำผมไม่ได้ รู้สึกไม่มั่นใจเลย”

ใครจำคัมภันเวอร์ชันใหม่ได้ตั้งแต่แรกเห็นนั่นถือว่าแปลก พื้นฐานรูปร่างหน้าตาเขาดีอยู่แล้ว ถ้าขัดสีฉวีวรรณกว่านี้อีกสักนิด ลลนากล้ารับประกันได้ว่า เขาจะกลายเป็นพ่อหนุ่มเนื้อหอมที่ทรงเสน่ห์เอาการ 

“อะไรเข้าฝันคะ”

“ไม่ได้ฝันอะไรหรอกครับ แต่ผมจะมาทำงานกับคุณพัด ก็เลยต้องจัดการตัวเองสักหน่อย”

ลลนาอึ้งอีกรอบ หล่อนเอียงหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

“ไม่ได้ประจำหรอกครับ เป็นช่างพาร์ตไทม์”

“เหรอคะ ดีจังค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ”

ทักทายพนักงานใหม่พอเป็นพิธีแล้วลลนาก็ปลีกตัวออกมาเพราะหน้าที่ของตนยังไม่เรียบร้อย หล่อนใช้เวลาจัดการมื้อเช้าของตัวเองไม่นานนัก แต่ที่พิถีพิถันเกือบครึ่งชั่วโมงคือเบนโตะ อาหารกล่องสไตล์ญี่ปุ่นที่ทุกเมนูรังสรรค์แตกต่างไปตามจินตนาการ ส่วนใหญ่นิยมตกแต่งเป็นรูปการ์ตูนตัวโปรดของเด็กๆ ที่บรรดาคุณแม่ใช้ความน่ารักและสีสันสวยงามของอาหารเป็นตัวหลอกล่อให้ลูกๆ กินอาหารได้ง่ายขึ้น

ลลนากดข้าวสวยออกจากพิมพ์หมีน้อย และตัดสาหร่ายชิ้นเล็กตกแต่งหน้าตา ก่อนจะห่มเจ้าหมีหลับปุ๋ยด้วยแผ่นไข่เจียวรสเลิศ ราวกับว่าเจ้าหมีอ้วนยังนอนหลับแสนสุขใต้ผ้าห่มอุ่น

เมื่อเมนูหน้าตาดีพร้อมเสิร์ฟ ลลนาก็ยกถาดอาหารออกจากครัว หล่อนประคองอย่างระวังเพราะกลัวน้ำซุปจากถ้วยและนมร้อนรสช็อกโกแลตที่แม้จะมีฝาปิดอย่างดีกระฉอกหก

“ยกไปไหนครับคุณรัน ให้ผมช่วยนะครับ”

พนักงานใหม่เสนอตัวทันที ครั้นหล่อนปฏิเสธเขาก็ยังตื๊อ โดยให้เหตุผลว่าเขาเป็นพนักงาน หล่อนควรใช้งานเขาให้คุ้มค่าจ้าง ลลนาจึงยอมให้คัมภันยกถาดอาหารแล้วเดินตามไปจนถึงประตูรั้วบ้าน

“ส่งตรงนี้ก็พอค่ะ เดี๋ยวฉันยกขึ้นไปข้างบนเอง”

“น้องไลท์ทานมื้อเที่ยงเร็วจังครับ เพิ่งจะสิบโมงกว่า”

“มื้อเช้าน่ะค่ะ พอดีแกไม่ค่อยสบาย ไม่รู้ป่านนี้จะตื่นหรือยัง”

คัมภันดูลังเล ไม่ยอมยื่นถาดอาหารให้หล่อนเสียที และถ้าลลนาเดาใจเขาไม่ผิด เขาคงห่วงเพราะลูกสาวหล่อนไม่สบาย

“แกไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ เมื่อเช้าก็ไข้ลดลงแล้ว กินยาอีกสองสามมื้อก็คงจะวิ่งได้ปร๋อ”

คัมภันยิ้มรับคำแล้วส่งถาดอาหารให้หญิงสาว เราเพิ่งรู้จักกัน แม้เขาจะเอ็นดูลูกสาวหล่อนมาก แต่บ้านยังเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ซึ่งลลนาไม่อยากให้ใครเข้ามาก้าวก่ายมากนัก หล่อนมิได้รังเกียจเขา แค่ต้องการเวลาส่วนตัวกับครอบครัวของหล่อนเท่านั้น

 

บ้านไม้กึ่งปูนสองชั้นสีขาวสะอาดตา เข้ากันดีกับบรรยากาศใต้ร่มไม้ใหญ่ คัมภันยืนมองกระทั่งลลนาเข้าบ้านไปจึงเดินย้อนกลับออกมาทางเดิม วันนี้เขาแวะมารายงานตัวกับพัทนีแต่เช้า รับตำแหน่งพนักงานใหม่เป็นที่เรียบร้อย หน้าที่หลักของเขาคืองานซ่อมสารพัด ส่วนงานรองคือรอรับคำสั่งจากรัชชานนท์กับพัทนี ช่วงเช้ามีแต่งานง่ายๆ อย่างเปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมลูกบิดประตู และแก้ไขปัญหาชักโครกอุดตัน

“ไปกินข้าวก่อนเถอะภัน ป้าพัดโทร. ตามแล้ว”

รัชชานนท์ตบบ่าคัมภันเบาๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไปที่ครัวของรีสอร์ต บนโต๊ะมีถาดอาหารพูนด้วยเมนูน่ารับประทานสองสามถาด ถัดไปคือหม้อข้าวใบใหญ่ที่ควันยังฉุย จานชามและช้อนจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบในตะกร้าพลาสติกสี่เหลี่ยมสีสด

“อภินันทนาการจากป้าพัด ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมานะ จะตักกลับบ้านก็ได้ ป้าพัดไม่หวงหรอก”

“คุณพัดดูแลพนักงานดีจังนะครับ”

คัมภันรับจานและช้อนส้อมที่รัชชานนท์มีน้ำใจหยิบมาเผื่อ เขาตักข้าวแค่สองทัพพี แต่รัชชานนท์คงเห็นว่าน้อยจึงตักเผื่อให้อีกจนพูนจาน

“กินเยอะๆ เถอะ เผื่อช่วงบ่ายงานจะหนัก”

คัมภันไม่ปฏิเสธ รีบตักกับข้าวราดข้าวแล้วเดินตามรัชชานนท์ไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เขารู้สึกไม่มั่นใจเพราะมีตาหลายคู่มองมา คงเป็นเรื่องปกติสำหรับพนักงานหน้าใหม่ แต่ที่ดูไม่ปกติคือ พนักงานหญิงบางคนมองมาที่เขาแล้วหันไปมองรัชชานนท์ ก่อนจะป้องปากซุบซิบหัวเราะกันคิกคัก

“อย่าไปสนพวกปากหอยปากปูเลย แม่พวกนี้น่ะ เห็นหนุ่มหน้าตาดีไม่ได้หรอก โบ้ยให้เป็นเก้งเป็นกวางไปซะหมด นี่ก็คงเมาท์กันว่าคุณเป็นคู่ขาผม แต่คุณโกนหนวดโกนเคราตัดผมใหม่แบบนี้ก็ดีนะ หล่อขึ้นอีกเป็นกอง ขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ผมยังว่าหล่อเลย”

รัชชานนท์เห็นเป็นเรื่องตลกไปเสียได้ เขาหันไปยิ้มให้พนักงานสาวที่กำลังสนุกปาก และแกล้งแหย่ให้พวกหล่อนแทบลงไปดิ้นตายด้วยการหยิกแก้มคัมภันเบาๆ

“ยิ่งทำแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งคิดสิครับ”

คัมภันสะดุ้งกับความขี้เล่นของหนุ่มหน้าหวาน เพราะไม่ใช่แค่พวกสาวๆ จะคิด แต่เขาเองก็แอบคิดและหวั่นนิดๆ เช่นกัน แม้รัชชานนท์ไม่มีท่าทางกระตุ้งกระติ้ง แต่ความเจ้าสำอางนั้น มองเผินๆ ทุกคนต้องคิดว่าใช่แน่ๆ

“เราห้ามความคิดใครไม่ได้นี่ครับ อยากจะคิดอะไรก็คิดกันไป ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย หรือคุณเป็น”

“เฮ้ย! ไม่ใช่ครับคุณนนท์”

คัมภันแทบสำลักข้าว เขาไม่กล้าสู้ตาพนักงานสาวโต๊ะฝั่งตรงข้าม ตาหลายคู่นั่นคล้ายจับผิด มันทำให้รู้สึกอึดอัด เขาจึงก้มหน้าก้มตารีบจัดการมื้อเที่ยงในจานพูนของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“อ้าวรัน ไม่นั่งด้วยกันก่อนเหรอ”

คัมภันวางช้อนแทบจะทันที ใจเต้นแรงเมื่อได้ยินชื่อลลนา หันไปเห็นหล่อนกำลังตักกับข้าวในถาดใส่จานข้าวตน เป็นถึงเจ้าของรีสอร์ต คัมภันแทบไม่เชื่อสายตาว่าลลนาสามารถรับประทานอาหารพวกนั้นโดยไม่ยุ่งยากร้องขอเมนูพิเศษเพื่อไม่แบ่งแยกสถานะ หล่อนเป็นผู้หญิงที่กินง่ายอยู่ง่ายโดยแท้ ลลนาเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งประทับใจในตัวหล่อน

“ไม่ละนนท์ ยายไลท์อยู่คนเดียว เอาขึ้นไปกินข้างบนดีกว่า” ตักกับข้าวเรียบร้อย ลลนาก็เดินไปชงน้ำหวานใส่ขวดน้ำที่เตรียมไว้

คัมภันไม่กล้าเอ่ยปากถามแม้จะห่วงเลศยาเพียงใดก็ตาม

“ถ้าเย็นนี้ยังไม่ดีขึ้น นนท์ว่าพาไปหาหมอดีกว่านะรัน ช่วงนี้ไข้เลือดออกกำลังระบาดด้วย ไม่รู้โดนยุงกัดมาบ้างรึเปล่า”

จบประโยคของรัชชานนท์แล้วสีหน้าของลลนาก็เปลี่ยนไปบ้าง หล่อนไม่ได้ตอบอะไร แต่เดินออกจากครัวพร้อมจานข้าวและขวดน้ำหวาน นอกจากห่วงลูกสาวแล้ว คัมภันคิดว่าลลนาคงยังทุกข์ใจเรื่องผู้ชายนิสัยหยาบคนนั้น

“คุณรันดูไม่สบายใจ คงกลัวว่าเขาจะกลับมาอีกนะครับ”

“เขากลับมาอยู่แล้วละ ลูกสาวเขาอยู่ที่นี่ทั้งคน”

“เขาไม่น่าจะเป็นพ่อที่ดีได้”

คัมภันแค่แสดงความคิดเห็นไปตามความรู้สึก บดินทร์ฉัตรดูเจ้าอารมณ์ อีกทั้งยังมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง พฤติกรรมเช่นนี้อันตราย ถ้าใครสักคนทำให้ขัดใจก็คงเลือกใช้กำลังมากกว่าคำพูดดีๆ

“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น” รัชชานนท์เงยหน้าจากจานข้าวแล้วขมวดคิ้ว

“ผมก็แค่พูดไปตามที่รู้สึกน่ะครับ”

                รัชชานนท์เพียงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ แต่การนิ่งเฉยก็พอเป็นคำตอบให้คัมภันรู้ว่า รัชชานนท์เองก็คงคิดไม่ต่างจากเขา

 

งานช่วงบ่ายหนักสมปากรัชชานนท์ สองหนุ่มต้องช่วยกันซ่อมปั๊มน้ำอีกตัวที่ทำงานติดขัด เร่งมือให้เสร็จทันก่อนที่น้ำในแทงก์กักเก็บจะถูกใช้จนหมดไป ยังดีว่าปั๊มสำรองที่คัมภันซ่อมครั้งก่อนใช้การได้ แต่ด้วยกำลังของเครื่องที่เล็กกว่ามาก จึงเหมาะจะใช้งานเพียงชั่วคราวเท่านั้น

“คุณนนท์ไปที่ออฟฟิศเถอะครับ วันนี้ลูกค้าเยอะ ทางนี้ผมรับผิดชอบเอง”

สุดสัปดาห์เช่นนี้ลูกค้าย่อมมากเป็นปกติ บางคนแค่แวะมาสอบถามข้อมูล เยี่ยมชมสถานที่ หรือเข้าพักกับทางรีสอร์ต พนักงานต้อนรับแค่คนเดียวคงวุ่นน่าดู คัมภันคิดว่าผู้จัดการอย่างรัชชานนท์ต้องอยู่ช่วยที่ออฟฟิศอีกแรง เพราะพัทนีคงยุ่งกับงานในครัว และลลนาต้องดูแลลูกสาวที่ป่วยจนปลีกตัวลงมาไม่ได้

“ก็ได้ครับ อีกครึ่งชั่วโมงจะมีงานสัมมนาที่ห้องประชุมเล็ก ผมคงต้องไปดูแลความเรียบร้อยก่อน ฝากด้วยนะภัน”

คัมภันใช้เวลาเกือบชั่วโมงกับงานตรงหน้า ปั๊มน้ำมีปัญหาที่ตัวมอเตอร์ และเขาสามารถแก้ไขจนใช้งานได้เป็นปกติอีกครั้ง

“นนท์ไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอคะ”

เสียงคุ้นเคยเรียกให้หันไปมอง คัมภันยิ้มกลบเกลื่อนหัวใจที่ลิงโลดทุกครั้งยามพบหน้าลลนา

“คุณนนท์ไปที่ห้องประชุมน่ะครับ เห็นว่ามีสัมมนาของลูกค้าที่ต้องไปดูแล”

เขาตอบพลางจัดเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง ก่อนจะหันไปล้างมือให้สะอาด ในขณะที่ลลนาเดินทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปทางห้องประชุม และอีกสักพักก็เดินย้อนกลับมา

“คุณรันมีอะไรรึเปล่าครับ”

“รันจะพาลูกไปหาหมอน่ะค่ะ ไข้ขึ้นอีกแล้ว เช็ดตัวยังไงก็ไม่ลดเลย ว่าจะให้นนท์ขับรถไปให้ แต่คงต้องรอให้งานเขาเสร็จก่อน”

“ให้ผมขับให้ไหมครับ จะได้ไม่ต้องรอคุณนนท์”

“คุณขับรถเป็นด้วยเหรอคะ”

ลลนาเบิกตาโตแล้วขยับเข้ามาใกล้เขา ไม่ผิดถ้าหล่อนจะคิดเช่นนั้น อาชีพชาวประมงเรือเล็ก รายได้พอกินพอใช้ไปวันๆ รถยนต์ไม่ใช่สิ่งจำเป็น และเขาคงรับภาระนั้นไม่ได้ในตอนนี้

“เป็นครับ ทั้งเกียร์กระปุก เกียร์ออโต้ ถ้าคุณรันไว้ใจ ผมก็ยินดีครับ”

ลลนาไม่ตอบอะไร หล่อนดูลังเล มองคัมภันอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกให้เขาเดินไปรอที่หน้าออฟฟิศ

 

เป็นอีกครั้งที่ลลนาวางใจให้คัมภันช่วยเหลือ หล่อนไม่ได้ขึ้นไปนั่งคู่ข้างคนขับเพราะต้องการให้ลูกสาวนอนหนุนตัก เหยียดตัวได้สบายบนเบาะด้านหลัง

เลศยาตื่นแล้ว แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นนั่ง บ่นว่าปวดหัวและหนาว อ้อนให้แม่รันกอดเอาไว้แน่นๆ

คัมภันขับรถได้ชำนาญเหมือนเคยใช้งานอยู่บ่อยๆ แต่หล่อนไม่กล้าเซ้าซี้เรื่องส่วนตัว รู้แค่ว่าเขามีความสามารถเกินกว่าที่หล่อนคิดเอาไว้

“ก่อนจะมาขับเรือ ผมเคยขับรถมาก่อนครับ ตอนนี้ก็ยังขับอยู่บ้าง รถของลูกชายป้าสี เขาทิ้งเอาไว้ให้ใช้ แต่ป้าแกไม่ชอบขับไปไหน แกบอกว่าแกตาไม่ค่อยจะดี เวลามีธุระอะไรก็ไหว้วานผมนี่ละครับ”

ลลนาสบตากับคัมภันผ่านกระจกมองหลัง แปลกใจอยู่บ้างเมื่อเขาทำเหมือนอ่านความคิดหล่อนได้ บางทีสีหน้าหรือท่าทางอาจฟ้องว่าหล่อนยังข้องใจ เขาจึงไขความกระจ่างโดยที่หล่อนยังไม่ได้เอ่ยคำถามสักคำ

“แม่รันคะ” สาวน้อยที่นอนหนุนตักมารดาลืมตาโตขึ้นมองแล้วชี้นิ้วป้อมไปที่คัมภัน “คุณลุงเปลือกหอยฉวยเหรอคะ”

“ลุงเองครับ หายไวๆ นะคนเก่ง ถ้าน้องไลท์หายป่วย ลุงจะพาไปเก็บเปลือกหอยฉวยๆ นะครับ”

รถจอดติดไฟแดง คุณลุงเปลือกหอยฉวยของเลศยาจึงหันมาตอบคำถามด้วยตัวเอง เขาปัดผมยุ่งข้างแก้มและลูบศีรษะเลศยา ทั้งสีหน้า แววตา และรอยยิ้มบ่งบอกว่าเขามีความสุข คัมภันเอ็นดูลูกสาวลลนาไม่น้อยเลย

“คุณลุงไม่มีหนวดแล้ว”

“มีคนบอกว่าลุงตัดมันทิ้งแล้วหล่อขึ้น น้องไลท์ว่าไงครับ” ตาคมล้อมด้วยขนตายาวมองลลนา ก่อนจะถูกเลศยาดึงสายตากลับไปอีกครั้ง

“หล่อค่ะ เหมือนพระเอกหนัง”

สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว คัมภันต้องทำหน้าที่ของเขาต่อ ส่วนเลศยาลุกขึ้นจากตักแม่รันแล้วอ้อนให้ช่วยย้ายที่นั่งให้ หนูน้อยอยากนั่งคู่กับคัมภันที่เบาะด้านหน้า แต่ลลนาไม่อนุญาต เพราะเกรงว่าจะรบกวนสมาธิคนขับ

“ไม่เป็นไรครับคุณรัน ให้น้องไลท์มานั่งเถอะ”

“นะคะแม่รัน”

สุดท้ายลลนาก็ยอมใจอ่อนเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของลูกสาว หล่อนยอมให้ลูกย้ายที่นั่งและไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยให้แน่นหนา เลศยาดูมีความสุขเมื่อได้คุยกับคัมภัน เวลาที่เห็นเขา หนูน้อยจะยิ้มร่า วิ่งเข้าหา และโบกมือทักทาย หล่อนเคยดุลูกสาวเพราะไว้ใจคนแปลกหน้ามากเกินไป แต่เพราะยังเด็ก ลูกจึงดูเหมือนไม่เข้าใจคำสอนของหล่อนเท่าไร นั่นคือสิ่งที่ทำให้ลลนาคิดมาก ด้วยความเป็นเด็กที่ไว้ใจทุกคน บดินทร์ฉัตรจึงล่อลวงลูกสาวไปจากหล่อนได้ง่ายดายเหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น