บทที่ ๕
โลกกลมหรือเป็นความบังเอิญก็สุดรู้ ตั้งแต่รู้ว่าบ้านเพื่อนที่มาวินย้ายไปอาศัยอยู่ห่างจากซอยที่พักของเธอแค่ป้ายรถประจำทางเดียว บ่อยครั้งที่ปลายฝนพบเขาขึ้นรถประจำทางสายเดียวกันในตอนเช้า ก่อนเธอจะเป็นฝ่ายลงรถก่อนเมื่อถึงปากซอยทางเข้ามูลนิธิ
ทุกครั้งที่พบกันมาวินจะยกมือทักและยิ้มให้ แม้บางครั้งที่นั่งข้างเขาจะมีคนนั่ง หรือเช้าวันใดที่เบาะโดยสารเต็มทุกที่นั่ง เธอต้องยืนโหนรถ มาวินก็ทำไม้ทำมือพลางขยิบตาเรียกแล้วลุกให้เธอนั่งแทน แต่ถ้ามีเด็กหรือผู้สูงวัยยืนอยู่ เธอก็จะเสียสละให้คนเหล่านั้น ส่วนตนเองยืนโหนรถกับเด็กหนุ่ม
‘พี่นี่สมกับเป็นนักสังคมสงเคราะห์จริงๆ’ เขาเคยเอ่ยแซว
‘ถึงไม่ได้เป็น พี่ก็มีจิตสำนึกพอ ป้ายรณรงค์ก็แปะเด่นหราอยู่นั่น’
‘ตกลงเป็นเพราะจิตสำนึกหรือเพราะป้าย’
เธอกับเขาสนิทสนมกันจนมาวินกล้ายียวน ปลายฝนเองก็มองเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง ไม่ใช่เหยื่อความรุนแรงอีกต่อไป อาจเพราะมาวินไม่ได้ติดต่อหรือกลับไปที่มูลนิธิอีกเลยเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้ว
เช้านี้เช่นกันที่เธอบังเอิญพบเด็กหนุ่มบนรถประจำทาง ว่าไปแล้วสองสัปดาห์นี้เธอโดยสารร่วมทางกับเขาแทบทุกวัน วันนี้ที่นั่งข้างมาวินยังว่าง เธอจึงเดินไปหาคนที่ยิ้มรอ
“พักนี้เจอบ่อยนะนี่” หญิงสาวทักยิ้มๆ แล้วนั่งข้างเขา
“ไม่ดีใจเหรอ”
“แล้วเพื่อนเราเขาไปโรงเรียนยังไง ไม่เห็นมาด้วยกัน”
“บีมันขี่มอ’ไซค์ไป มันตื่นสาย ผมขี้เกียจรอ”
เธอพยักหน้าถึงบางอ้อ แล้วบ่นเหมือนบ่นน้องนุ่ง “อะไรเนี่ย เสื้อหลุดลุ่ยแต่เช้า”
“เดี๋ยวลงรถก็ใส่ทับน่า บ่นเป็นครูฝ่ายปกครองไปได้” เขาย้อนเหมือนเป็นน้องชายจอมกวน
ปลายฝนฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า จนถึงบัดนี้เธอยังไม่ได้รับการติดต่อกลับจากโรงเรียน เพื่อให้คำตอบที่เธอยื่นขอทุนการศึกษาของมาวินไปอีกครั้งพร้อมเอกสารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากคุณหญิงแสงสุดา ประธานมูลนิธิ
ทว่าความเงียบของหญิงสาวทำให้มาวินเข้าใจผิดไปอีกทาง
“ผมล้อเล่น โกรธเหรอ”
“หืม?” เธอปรายตามองคนหน้าจ๋อยพลางเลิกคิ้วฉงน “ไม้ว่าไงนะ”
“ที่พูดเมื่อกี้ผมล้อเล่น อย่าโกรธเลยนะ”
ปลายฝนยิ้มจางๆ “เปล่า พี่ไม่ได้โกรธ เพิ่งนึกได้ว่าพี่ยังจัดการเรื่องทุนการศึกษาให้ไม้ไม่เรียบร้อยเลย”
“พี่เลิกคิดเรื่องนั้นเถอะ” มาวินเอ่ยหนักแน่น “พี่งานเยอะพอแล้ว เอาเวลาไปช่วยคนอื่นมีประโยชน์กว่า ยังไงโรงเรียนก็คงไม่สนใจ”
“พี่อยากพยายามให้เต็มที่ก่อน”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พี่นี่ดื้อเหมือนกันนะ”
ไม่เพียงไม่ถือสา คนที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนพูดถึงคล้ายอ่อนใจกลับยิ้มขัน
“ไม้ยังไม่รู้จักพี่ดี”
“แต่พี่รู้จักผมดี ผมพูดจริงนะ ผมคิดไว้แล้วว่าหลังเรียนจบจะทำงานเก็บเงินอย่างจริงจังสักปี เอามาจ่ายค่าเทอมแล้วเอาวุฒิไปสมัครเรียนที่มหา’ลัยเปิด พี่ไม่เชื่อเหรอว่าผมทำได้”
ได้ฟังแผนการของเขา เท่าที่รู้จักตัวตนของมาวิน หญิงสาวเชื่อหมดใจว่าเขาทำได้ และจะทำได้ดีด้วย
“พี่เชื่อ”
เด็กหนุ่มยิ้มจางๆ พลางเอ่ยเบาลง “งั้นพี่เป็นกำลังใจให้ผมก็พอ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
ปลายฝนวางมือบนไหล่แสดงความเชื่อมั่น แค่เพียงสัมผัสสนิทสนม ไม่มีความหมายใดแอบแฝง ก็ทำให้หัวใจมาวินโลดแรง
เธอคงไม่รู้ แม้ก่อนที่เธอจะรับปาก เขาก็มีเธอเป็นกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจอันงดงามให้แก่ชีวิตเส็งเคร็ง
จากความบังเอิญแปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจ แทนที่จะขึ้นรถประจำทางป้ายเดิม ทุกเช้ามาวินจะเดินมารอหญิงสาวที่ป้ายหน้าปากซอยที่พักเธอ แล้วขึ้นรถคันเดียวกัน
ปลายฝนไม่ได้ห้ามปรามและไม่ได้บอกให้เขารอไปพร้อมกัน เป็นสิทธิ์ของมาวินที่จะเลือกการเดินทาง ถ้าเจอเขา เธอก็แค่ยิ้มแย้มพูดคุย ถ้าไม่เจอ ก็ไม่ต่างอะไรกับวันเก่าๆ ก่อนที่จะรู้จักมาวิน
ทว่าเช้านี้ปลายฝนออกจากที่พักสายกว่าปกติเล็กน้อย เธอครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะไม่สบาย อาจเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงช่วงปลายปี หญิงสาวไม่คิดว่าทันทีที่ลงจากรถจักรยานยนต์รับจ้าง จะได้พบมาวินยืนชะเง้อรออยู่ที่ท่ารถหน้าปากซอยนั่นเอง
“พี่ ทำไมมาสายล่ะ” เขายิงคำถามทันที
“ตื่นสาย”
“โธ่ ผมก็นึกว่าเป็นอะไร ตกใจหมด”
สีหน้าแววตาทุกข์ร้อนของเขาทำให้ปลายฝนย้ำด้วยความหวังดี
“ต่อไปถ้าพี่ยังไม่มา ไม้ไม่ต้องรอพี่หรอก เดี๋ยวจะไปเรียนสาย”
“ผมแค่ห่วงว่าพี่ไม่สบาย หรือเกิดอะไรขึ้นกับพี่” เขาตอบเสียงแข็ง มองเธอด้วยหางตาก่อนเบือนหน้าไปทางอื่น
ความห่วงใยของมาวินตรงกับความจริงไม่น้อย ยิ่งเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขาตอนที่เขาไม่อยู่ หญิงสาวก็พลอยใจอ่อน เอ่ยราวง้องอนคนที่เป็นห่วงเป็นใยตน
“พี่โตแล้ว ไม่เป็นไรง่ายๆ”
“เหรอ” เด็กหนุ่มทำเสียงคล้ายไม่เชื่อถือ
“ไหนๆ ก็สายแล้ว วันนี้ขึ้น ปอ. แล้วกันเนอะ ไม่รู้เมื่อไรรถเมล์จะมาอีก”
เด็กหนุ่มพยักหน้าโดยไม่ชำเลืองแล เวลาเขาทำตัวเหมือนเด็กขี้งอนเช่นนี้ ปลายฝนนึกอยากหยิกให้หายมันเขี้ยวสักที
เมื่อรถปรับอากาศจอดเทียบทางเท้า เธอก็ก้าวนำเขาขึ้นไป แต่ขณะเดินหาที่นั่ง กลุ่มวัยรุ่นในชุดนักเรียนบนเบาะแถวหลังสุดก็ส่งเสียงพร้อมกับโบกมือเรียกมาวิน
“ไม้ ทางนี้ๆ”
“มานั่งด้วยกัน”
มาวินสบตาหญิงสาวรุ่นพี่วูบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนชายหญิงร่วมชั้นเรียนที่แถวหลังสุด ปลายฝนจึงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างกลางคันรถ
เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวลอยมาเข้าหู หนึ่งในนั้นเป็นเสียงวัยรุ่นสาวกระเซ้าเย้าแหย่มาวิน ทว่าเด็กหนุ่มตอบเสียงเบากว่าอย่างมีมารยาทต่อเพื่อนร่วมทาง เธอจึงไม่รู้ว่าเขาพูดคุยอะไรกับเพื่อนสาววัยเดียวกัน
ตลอดทางเช้านั้น ปลายฝนโดยสารรถไปเงียบๆ เธอจาม แล้วก็ภาวนาว่าอาการไซนัสอักเสบอย่าได้กำเริบ ครั้นถึงป้ายหน้าปากซอยมูลนิธิ หญิงสาวจึงลุกยืนอีกครั้ง เธอรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง แต่กลับไม่กล้าหันมองที่มา บางทีมาวินอาจไม่ต้องการให้เพื่อนรู้ว่าเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิที่เธอทำงานก็เป็นได้
หลังแยกจากกันโดยไม่ได้ล่ำลา มาวินก็หงุดหงิดตัวเองที่ทิ้งให้หญิงสาวนั่งรถลำพัง เขามัวแต่ทำตัวเป็นเด็กขี้งอน ขุ่นเคืองที่เธอเอ่ยปากเหมือนไล่ไม่ให้เขารอ แล้วปั้นปึ่งใส่เธอ
ก่อนหน้านี้มาวินเคยบอกให้สาวรุ่นพี่รู้ว่าเขารับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องการความอนุเคราะห์จากมูลนิธิ เพราะหวังลบล้างสถานะระหว่างเหยื่อกับเจ้าหน้าที่ ทั้งในความรู้สึกเขาและเธอ และในสายตาคนอื่น มาวินต้องการพิสูจน์ตัวเองให้หญิงสาวยอมรับในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง และเธอก็คือกำลังใจในทุกวันของเขา
แต่สุดท้ายเขากลับน้อยใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขามันใช้ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
วันใหม่มาวินตั้งใจจะแก้ตัว สลัดความน้อยใจทิ้ง เขารีบตื่นแต่เช้าไปรอปลายฝนที่ป้ายรถประจำทางหน้าปากซอยดังเดิม แต่จนแล้วจนรอด เขารอจนสายกว่าเมื่อวาน เธอก็ไม่ปรากฏตัวเสียที
เด็กหนุ่มลังเลว่าเขาควรโทร. หาเธอหรือไม่ แต่ครั้นนึกถึงความหวังดีที่อีกฝ่ายมีให้ เขาจึงตัดสินใจขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียน แล้วส่งข้อความถึงเธอ
‘โดดงานก็ไม่บอก ผมไปเรียนก่อนนะ’/
ข้อความที่ถูกส่งไปยังไม่ถูกอ่าน เขาเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมกับถอนหายใจ กระทั่งไปถึงโรงเรียนแล้วเปิดดูข้อความอีกครั้ง ก็ยังไร้ความเคลื่อนไหวจากอีกฝ่าย
“เฮ้ย ไม้”
เสียงทักของบุรีที่ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในรั้วโรงเรียนเรียกความสนใจจากมาวินไปได้ เขารีบตวัดขาขึ้นคร่อมรถที่แล่นชะลอ แล้วลงจากรถข้างอาคารเรียน
“อะไรวะ ออกจากบ้านแต่เช้าเสือกเพิ่งมาถึง”
“รถมันติดเว้ย”
“มึงต้องเอาอย่างกูนี่ ตื่นสายแต่ไม่เสียเวลาบนท้องถนน” หนุ่มมาดกวนยักไหล่โอ่ๆ
“เออ มึงฉลาด” มาวินเออออแกมประชดประชัน
สองหนุ่มรีบเอากระเป๋าขึ้นไปไว้บนห้อง ก่อนลงมาทันเวลาเข้าแถวอย่างเฉียดฉิว มาวินลืมความไม่สบายใจชั่วขณะเมื่อใช้ชีวิตนักเรียน กระทั่งถึงเวลาพัก เขาถึงเห็นว่ามีข้อความตอบกลับจากปลายฝน
‘วันนี้พี่หยุด ไม่ได้โดดเรียนใช่ไหมน่ะเรา’/
มาวินเผลอยิ้มออกมา เขาคิดถูกจริงๆ ที่มาเรียน ทั้งที่อีกใจก็พะวักพะวนถึงเธอ
‘เปล่า ผมรู้หน้าที่น่า ว่าแต่ทำไมพี่ถึงหยุด ไม่สบายเหรอ’/
เขาจำได้ว่าเมื่อวานหญิงสาวจามบนรถ แม้ไม่ได้นั่งด้วยกัน เขาก็เฝ้าสังเกตเธอตลอดทาง
‘นิดหน่อยน่ะ พี่ไหมบอกว่าถ้าไม่ลาหยุดจะให้ลาออก’/
ลงว่าชไมพรขู่อย่างนั้น มาวินก็ขำไม่ออก อดคิดไม่ได้ว่ามันคงไม่ ‘นิดหน่อย’ ดังที่ปลายฝนบอก
‘เลิกเรียนผมไปหานะ’/
‘พี่ไม่เป็นไรมากจริงๆ’/
‘ผมมีเรื่องจะปรึกษาพี่ด้วย’/
คราวนี้นานกว่าหญิงสาวจะตอบกลับมา ก้อนเนื้อในอกเด็กหนุ่มเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ทั้งหวั่นใจกับคำตอบของเจ้าหล่อนและละอายต่อคำโกหกของตน
‘งั้นเจอกันที่ศูนย์อาหารในซอยแล้วกัน’/
มาวินยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์ถึงเห็นว่าบุรีชะโงกมองเหนือศีรษะอยู่ก่อนแล้ว
“รวยเอ๊ย แล้วบอกว่าไม่ได้ชอบพี่เขา กูจะล้อมึงยันลูกบวชแน่ๆ”
“ตามใจมึง”
มาวินไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เขายักคิ้วท้าทายกลับ ไม่เหลือเผื่อใจให้แก่ความผิดหวังเสียใจ
เมื่อเสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น เด็กหนุ่มก็รีบคว้ากระเป๋าสะพายออกจากห้องทันที จากที่ทุกวันก่อนหน้านี้เขาจะตรงกลับไปยังตึกแถวร้านขายแก๊สหุงต้มเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ เย็นนั้นมาวินกลับแวะซอยที่พักที่ตนมาขึ้นรถประจำทางทุกเช้าแทน
เขานั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างไปที่ศูนย์อาหารภายในซอย ซอยลัดแห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนวัยทำงานและนักศึกษามหาวิทยาลัยใกล้เคียง การพัฒนาพื้นที่จึงตามมา เห็นได้จากศูนย์อาหารปรับอากาศราวกับฟูดคอร์ตภายในห้างสรรพสินค้า ด้านหน้ามีที่จอดรถ คนส่งอาหารจากแอปพลิเคชันออนไลน์นั่งรอพร้อมให้บริการ
ไปถึงแล้วมาวินจึงตัดสินใจโทร. หาหญิงสาว สัญญาณรอสายดังอยู่นานจนเขาใจแป้ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบเสียงงัวเงีย
“ฮัลโหล”
“ผมเอง พี่ ผมมาถึงแล้วละ แต่พี่ไม่ต้องรีบนะ”
ถ้าให้เดาจากน้ำเสียง ปลายฝนคงนอนอยู่ ถึงอย่างนั้นเธอก็รับคำอย่างกระตือรือร้นขึ้น แล้ววางสาย
มาวินนั่งไม่ติด เขากระดิกเท้าใต้โต๊ะระหว่างรอคนที่ตนอยากพบเจอ แต่เมื่อหญิงสาวผลักประตูกระจกเข้ามา เขากลับรู้สึกผิดแทนที่จะดีใจที่ได้พบเธอ
ปลายฝนสวมเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้น ทว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เธอดูเหมือนสาวเท่แต่อย่างใด แขนขาเล็กที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาทำให้รู้สึกน่าทะนุถนอมเสียมากกว่า แม้ทุกครั้งที่พบกันเธอจะแต่งหน้าอ่อนๆ เขาก็มองเห็นความต่างเมื่อเปรียบเทียบกับใบหน้าซีดเซียวยามนี้ เธอรวบผมด้วยกิ๊บที่ซื้อจากตลาดนัดในวันเกิดเขา ปอยผมหลุดลุ่ยลงมาเคลียแก้ม และถึงแม้จะถูกรบกวนวันหยุดพักผ่อน เธอก็ยิ้มน้อยๆ ให้เขาอยู่ดี
“ผมขอโทษที่มารบกวน” เขาเอ่ยอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไร ไม้มีอะไรด่วนเหรอ”
‘ฉิบหายแล้ว’ มาวินสบถในใจเมื่อฉุกคิดได้ว่าโกหกไว้คำโต เขาอยากสารภาพความจริง แต่ยิ่งตระหนักว่าอีกฝ่ายออกมาพบเจอตนด้วยความเป็นห่วงทั้งที่ไม่สบาย เขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับออกมา
“คือ...ผมรู้มาว่าพ่อพยายามถามหาที่อยู่ผมจากคนรู้จัก ถ้าพ่อไปที่มูลนิธิ พี่ต้องบอกผมนะ”
“ไม้รู้จากใคร”
ท่าทางสนอกสนใจระคนทุกข์ร้อนของสาวรุ่นพี่ยิ่งทำให้มาวินทำลายความหวังดีของเจ้าหล่อนไม่ลง
“บี เพื่อนสนิทผมน่ะ มันเจอพ่อดักรอถามหาผมจากเพื่อนๆ อยู่หน้าโรงเรียน”
“เกิดขึ้นนานหรือยัง”
“ก็วันสองวันนี้ฮะ” เขาตอบรัวเร็วแล้วรีบตัดบท “ผมแค่มาบอกพี่ไว้เฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พี่เถอะ ไม่สบายไปหาหมอหรือยัง ผมไปเป็นเพื่อนได้นะ”
ถ้อยคำอาสาหยิบยื่นน้ำใจเรียกรอยยิ้มจางๆ จากคนที่ตัวคนเดียว
“ขอบใจจ้ะ พี่แค่ไซนัสอักเสบ โรคประจำตัวพี่ ไม่ได้เป็นไรมากหรอก”
“พี่ก็พูดงี้ตลอด ผมจะฟ้องพี่ไหม”
กลายเป็นเธอที่ถูกเด็กหนุ่มยกเพื่อนร่วมงานมาขู่ ราวกับเธอเป็นเคสที่เขาติดตามดูแลเสียอย่างนั้น ปลายฝนส่ายศีรษะอ่อนใจ
“รีบไปทำงานหรือเปล่า กินไรก่อนไหม ไหนๆ ก็แวะมา”
“ผมไม่รีบ พี่แน่ใจนะว่าไม่อยากกลับไปพักผ่อน” เขาเอ่ยอย่างสำนึกผิดที่เอาแต่ใจตนเอง
“อยากพัก แต่กินตอนนี้ เย็นนี้จะได้ไม่ต้องออกมาอีก”
มาวินยิ้มเมื่อรู้ว่าเวลาที่จะได้อยู่กับอีกฝ่ายทอดยาวออกไป ถ้าเป็นไปได้เขาอยากใช้เวลากับเธอมากขึ้นทุกวัน อยากดูแล ช่วยเหลือ เป็นกำลังใจให้เช่นที่เขาได้รับจากเธอ และด้วยอารมณ์ความรู้สึกของวัยหนุ่ม...เขาปรารถนาจะชิดใกล้ ทำสิ่งที่หนุ่มสาวซึ่งมีใจให้กันกระทำต่อกัน
ทันทีที่ความคิดเตลิดไปไกลถึงเรื่องนั้น มาวินก็ต้องรีบปัดมันออกจากสมอง หัวใจเต้นโครมครามแค่เพียงนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะ หัวเข่าชนเข่าเธอ
“กินเสร็จแล้วผมเดินไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไร”
“อายที่เดินกับเด็กส่งแก๊สเหรอ” เขาถามเย้า ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ “หรือแฟนพี่รออยู่ที่ห้อง”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
“งั้นผมก็ไปส่งพี่ได้”
ปลายฝนคล้ายจะตาลายกับรอยยิ้มหน้าเป็นของเด็กหนุ่ม เธอคร้านจะปฏิเสธเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาการปวดไซนัสซึ่งลามไปถึงกระบอกตายังคงรุมเร้า
หลังกินอิ่มแล้ว มาวินก็ตามมาส่งหญิงสาวที่อะพาร์ตเมนต์ในซอยซึ่งแยกย่อยเข้าไป ห่างจากศูนย์อาหารนั้นราวสองร้อยเมตร เขาจำร้านอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้ามที่ตนเคยมาส่งแก๊สได้ด้วย
“ร้านนั้นไงที่ผมเคยมาส่งแก๊ส” เขาชี้บอกคนที่เดินข้างๆ “แล้วก็มีลึกเข้าไปอีก เป็นโต๊ะสนุกฯ ที่ขายอาหารด้วย”
ปลายฝนชอบน้ำเสียงที่บอกเล่าเรื่องราวของตนเองอย่างไม่เขินอาย ต่างจากวัยรุ่นหลายคนที่อับอายที่มีต้นทุนชีวิตไม่เท่าเพื่อนๆ
“แถวนี้ค่าเช่าเดือนละเท่าไรหรือฮะ” มาวินถามอย่างสนใจ “เผื่ออนาคตผมไม่ได้ช่วยงานที่บ้านไอ้บีแล้ว ก็คงไม่กล้ารบกวนม้า อยู่บ้านเขาเฉยๆ”
“ที่พี่อยู่สามพัน แต่แถวนี้มีให้เลือกเยอะ ถูกหรือแพงกว่านี้ก็มี”
“ไว้ผมอาจต้องขอคำปรึกษาพี่” เด็กหนุ่มฝากเนื้อฝากตัว
“ได้สิ”
ทั้งสองเดินมาถึงอาคารสูงห้าชั้นสีครีม ครั้นหญิงสาวหยุดเดิน มาวินก็รู้ว่านี่คงเป็นอะพาร์ตเมนต์ที่อยู่ของเธอ เขาเผลอยิ้มอย่างสมใจที่ได้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้นอีกขั้น
“ยังไงพี่จะบอกทางมูลนิธิเรื่องพ่อของไม้ให้นะ”
มาวินเกือบตามไม่ทันว่าเธอหมายถึงเรื่องใด ก่อนจะนึกได้ว่าตนเพิ่งโกหกสร้างเรื่องไว้
“คงไม่มีอะไรหรอกมั้งฮะ”
“ไม่มีอะไรก็ดีไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีแล้วที่ไม้บอกพี่”
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย หลบตาด้วยความละอายใจ พร้อมกันนั้นก็รวบรวมความกล้าเอ่ยธุระแท้จริงของตน เรื่องที่รบกวนจิตใจตลอดสองวันมานี้
“ผมขอโทษที่เมื่อวานปล่อยให้พี่นั่งรถคนเดียว”
“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ไม้มีเพื่อนน่ะดีแล้ว”
“แต่พี่ไม่มีเพื่อน”
หญิงสาวสะอึกไปบ้าง แต่ก็ตอบกลับไปยิ้มๆ
“พี่โตแล้ว ไปไหนมาไหนคนเดียวเป็นปกติ”
“โตแล้วไม่ดีเลยเนอะ”
“ใครว่า ดีต่างหาก ได้ตัดสินใจหรือทำอะไรด้วยตัวเอง รับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของใคร”
ปลายฝนมองหน้ายุ่งของเด็กหนุ่ม สบตาที่ฉายแววฉงนสงสัยแล้วยิ้มกว้างขึ้น
“ไปเถอะ”
มาวินไม่โกรธที่ถูกไล่อีกแล้ว เท่าที่เธอมอบความห่วงใยและความใส่ใจให้เขา มันก็มีความหมายยิ่งกว่าอื่นใด
“หายไวๆ นะ ถ้าต้องการเพื่อนไปหาหมอ บอกผมได้เสมอ” เขาเอ่ยจริงจัง “ถึงโตแล้ว คนทุกคนก็สมควรมีเพื่อนสักคนที่ห่วงใย”
ประโยคสุดท้ายของเด็กหนุ่มกระทบจิตใจคนไร้ญาติขาดมิตร ปลายฝนจุกในอก เธอฝืนยิ้มพร้อมกับโบกมือลา ก่อนหันหลังซ่อนน้ำตาที่เอ่อคลอ
ความคิดเห็น |
---|