บทที่ ๖
แม้เป็นช่วงเวลาสิ้นปี แต่เจ้าหน้าที่มูลนิธิกัญญามิตรทุกคนยังคงทำงานหนัก มีผู้ขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเคสล่าสุด มูลนิธิได้รับการติดต่อประสานจากตำรวจเพื่อให้ที่พักพิงแก่เด็กสาววัยรุ่นที่หนีออกจากบ้าน
จากปัญหาภายในครอบครัวกลายเป็นคดีอาญา เหยื่อซึ่งเป็นผู้เยาว์วัยสิบเจ็ดปีบอกเล่าว่ารักกับครูที่โรงเรียน แต่ถูกพ่อจับได้และร้องเรียนจนครูผู้นั้นถูกไล่ออก ส่วนเธอก็ถูกพ่อบังคับให้ออกจากโรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งทนเดือดเนื้อร้อนใจไม่ได้ ต้องหนีออกมาแจ้งความตามหาคนรัก เพราะไม่รู้ว่าบัดนี้ครูอยู่ที่ไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไร
ทว่าทันทีที่เด็กสาวรู้ว่าผู้มีความผิดในคดีนี้คือครูที่เธอรัก นิชาก็รับไม่ได้ อาละวาดกรีดร้องใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและบิดาที่ถูกตามตัวมา ตำรวจจึงประสานมูลนิธิเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจา
“นอกจากให้ที่พักพิง เราคงต้องพยายามปรับทัศนคติแกระหว่างอยู่ที่นี่” ชไมพรแบ่งปันแนวทางให้เพื่อนร่วมงานรับทราบ
“แกได้คุยกับน้องเขาที่สถานีตำรวจทีนึงแล้ว คิดว่าไง” เรวดีซักถาม
“ฉันไม่โทษเด็ก มันคือความรักวัยรุ่น นิชาถูกครูนั่นทำให้รัก ยิ่งถูกต่อต้านและห้ามปราม มันก็ยิ่งกระทบกระเทือนจิตใจและทำให้ต้องการเอาชนะเพื่อพิสูจน์ความรัก ทางที่ดีเราควรค่อยๆ พูดคุยและพยายามทำความเข้าใจกับแก โดยไม่ตั้งธงถูกผิดนำหน้า”
ทุกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยกับชไมพร เว้นแต่ปลายฝนซึ่งมีสีหน้าครุ่นคิดราวตกอยู่ในภวังค์
“ฝนมีอะไรอยากเสนอหรือเปล่า” นักจิตวิทยาสาวถามรุ่นน้อง
“ไม่มีค่ะ แต่...”
ชไมพรยิ้มให้อย่างเปิดโอกาสแก่คนที่หลุดปากออกมา “ว่ามาเลย ช่วยกันระดมความคิดยิ่งดี”
“ฝนแค่สงสัยว่าเราจะตามตัวครูคนนั้นได้ไหม เขาเป็นอีกคนที่เราควรคุยด้วย ว่าไหมคะ”
ชไมพรอึ้งกับความคิดนั้น เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ ก่อนนักจิตวิทยาประจำมูลนิธิจะตอบรับอย่างเห็นด้วย
“ฝนคอยตามเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โอเคไหม”
แม้ไม่ได้รับมอบหมายให้พูดคุยกับเด็กสาวโดยตรงดังที่วาดหวัง ปลายฝนก็ยอมรับการตัดสินใจ
“ค่ะ พี่ไหม”
สองสาวต่างรู้ดีว่าในบรรดาปัญหาทั้งหมด สิ่งที่แก้ไขยากที่สุดคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเหยื่อผู้ถูกกระทำ หากเจ้าตัวไม่เปิดใจให้ความร่วมมือด้วยแล้ว ก็อาจเป็นดั่งกรณีของมาลัย
เมื่อไรที่นึกถึงเหตุเศร้าสลดที่เกิดขึ้นกับมาลัย ปลายฝนก็ยิ่งชื่นชมในตัวมาวิน เขาสร้างความภูมิใจ ความหวัง และความหมายของการได้ช่วยเหลือใครสักคนให้แก่เธอ
มาวินกลายมาเป็นเหมือนน้องชายที่เธอไม่เคยมี เธอกับเขาขึ้นรถไปทำงานและไปเรียนพร้อมกัน เขาส่งข้อความมาหาเธอเป็นครั้งคราว ซึ่งนึกดูแล้วก็แทบทุกวัน เด็กหนุ่มมักแบ่งปันเรื่องราวที่พบเจอแต่ละวันให้ฟังสั้นๆ บางครั้งเป็นเรื่องเรียน และบางคราวก็บอกเล่าเรื่องงาน ข้อความของมาวินเปี่ยมด้วยพลังบวก เช่นเดียวกับตัวตนของเขาที่รู้คิดและมีความหวังในชีวิตเสมอ
นอกจากร่วมทางตอนเช้า มาวินก็ไม่เคยนัดพบเธออีกนับแต่วันที่เขาแวะมาหาที่ศูนย์อาหาร จวบจนวันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่งที่หญิงสาวรอซื้อยำอยู่แถวซอยที่พัก เธอก็เห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อกีฬาตัวเก่ากับกางเกงยีน แบกถังแก๊สหุงต้มบนบ่าออกมาจากตึกแถวร้านค้าฝั่งตรงข้าม ราวกับเขารับรู้ถึงสายตาจับจ้อง ใบหน้าที่สวมหมวกนิรภัยชนิดครึ่งใบจึงหันมาทางเธอ
ปลายฝนยกมือทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้ มาวินโบกมือและส่งยิ้มกลับมา ก่อนเขาจะติดเครื่องรถจักรยานยนต์เลี้ยวมาหา เอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“ผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวม้าว่าอู้งานหรอก”
“อู้ที่ไหน ผมไปส่งแก๊สครบแล้ว กำลังจะกลับร้าน”
ยำที่สั่งซื้อเสร็จพอดี หญิงสาวไม่อยากเสียเวลาโต้เถียงกับคนช่างตื๊อ จึงยอมซ้อนท้ายไปกับเขา เบาะที่ว่างด้านหลังคนขับกับตะแกรงเหล็กที่ต่อยื่นออกไปสำหรับวางถังแก๊สแคบจนเธอซึ่งนั่งหันข้างต้องวาดแขนข้างหนึ่งโอบเอวมาวิน
ปลายฝนหารู้ไม่ว่าตลอดทางไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น คนขี่อมยิ้ม หัวใจพองโตที่เธอกล้าทักเด็กส่งแก๊สอย่างเขา แล้วยังยอมซ้อนท้ายมาด้วยกัน
“ขอบใจนะ ขยันๆ” เธอว่าพลางตบไหล่เด็กหนุ่มขณะลงจากรถจักรยานยนต์หน้าอะพาร์ตเมนต์
“ขยันอยู่แล้ว เดี๋ยวปีใหม่ร้านปิด ผมต้องหาเงินไว้ก่อน” เขาถือโอกาสถามสิ่งที่วาดหวัง “พี่ล่ะ ปีใหม่ไปไหนหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
“ไม่ต้องกลับบ้านเหรอ”
“เปล่า”
คำตอบที่ได้รับสร้างความยินดีให้แก่มาวิน เขาไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหญิงสาว
“งั้นไว้ไปกินหมูกระทะกันนะ”
คำชวนนั้นเรียกรอยยิ้มจากคนที่ตัวคนเดียวได้อีกครั้ง ปลายฝนพยักหน้าน้อยๆ ไม่มีคำล่ำลาเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับทุกเช้าที่แยกจากกัน เธอเพียงแค่ยกมือแล้วเดินจากมา
คล้อยหลังหญิงสาว มาวินก็เร่งเครื่องจากไปด้วยหัวใจเบิกบาน เขายกถังแก๊สเปล่าลงจากรถแล้วกลิ้งถังเข้าร้านอย่างแคล่วคล่อง ก่อนนำเงินจากลูกค้าไปให้เถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้านที่กล่าวขอบใจ
“ไม่ต้องขอบใจมันหรอกม้า ไอ้นี่มันเต็มใจไปส่งแก๊สซอยนั้น ให้ส่งฟรียังได้เล้ย” บุรีซึ่งเพิ่งขี่รถจักรยานยนต์กลับมาสอดขึ้นอย่างยียวน
“พูดอะไร บี ใครจะไปให้อาไม้ทำงานฟรีๆ กัน” สตรีวัยกลางคนเอ็ดลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย
“ม้าไม่รู้อะไร ไอ้ไม้มันติดสาวที่อยู่ซอยนั้น ดูหน้ามันสิม้า บานเป็นจานดาวเทียม”
“ขอโทษนะครับม้า” มาวินเอ่ยนบนอบ แล้วพุ่งไปล็อกคอลากเพื่อนที่พูดมากออกไป
เสียงหัวเราะห้าวกังวานของสองหนุ่มเพื่อนสนิทค่อยๆ ไกลออกไป ทั้งสองออกมาหน้าร้านด้วยกัน มาวินผลักไหล่คนที่ล้อเลียนตน ทว่าไม่อาจหุบยิ้มได้อยู่ดี
“พี่เขาตกลงไปกินหมูกระทะกับกูด้วยเว้ย” เขาเล่าอย่างไม่อาจระงับความดีใจ
“โรแมนติกฉิบหาย แสด...”
วาจาค่อนขอดติดตลกของบุรีไม่ได้สั่นคลอนความมั่นใจของมาวิน ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมาอย่างยอมรับความจริง ต่อให้มันไม่ใช่เดตในอุดมคติ แต่ที่ไหนๆ ก็เป็นความทรงจำที่ดีได้ทั้งนั้น แค่ได้ใช้เวลากับคนที่เราพึงใจ
“พี่ไม้ เฮีย มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ กันตรงนี้”
ประโยคทักทายนั้นมาจากเด็กสาวที่แต่งตัวทันสมัยสมวัย ใบหน้ารูปไข่แต่งเติมเครื่องสำอางกลบความเยาว์วัย ถึงอย่างนั้นเบญจวรรณ น้องสาวของบุรีก็เป็นเด็กดีคนหนึ่งที่มาวินรู้จัก มีนิสัยใจคอเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อัธยาศัยดี เช่นเดียวกับสมาชิกครอบครัวทุกคน
“หน้าร้านแทบจะตกถนนแบบนี้ อาจารย์พิเศษที่ไหนสอนให้ใช้คำว่าลับๆ ล่อๆ วะ” บุรีย้อนกลั้วหัวเราะ
“พูดวะโว้ยกับเบลล์อีกแล้วนะเฮีย เดี๋ยวฟ้องม้าเลยนี่”
ผู้เป็นพี่ลอยหน้าลอยตากวนประสาท มาวินจึงเอ่ยแทรกขึ้นอย่างคร้านจะฟังสองพี่น้องโต้เถียงกัน
“พี่ไม่ทำอะไรลับๆ ล่อๆ กับพี่ชายเบลล์หรอก ไม่ต้องห่วง”
“เห็นมะ หัดพูดกับน้องดีๆ แบบพี่ไม้เขาซิ” เบญจวรรณกอดอกเชิดหน้า ยียวนกลับ
“เข้าบ้านไปไป๊ หนุ่มๆ เขาจะคุยเรื่องสาว เด็กอย่ายุ่ง!”
“เด็กที่ไหน เบลล์อ่อนกว่าเฮียแค่ปีครึ่งเหอะ” เด็กที่นี่โต้กลับแล้วหรี่ตามองเพื่อนพี่ชาย “พี่ไม้จีบใครอยู่เหรอ”
“เปล่า อย่าไปฟังไอ้บีมัน” มาวินปฏิเสธอย่างเก้อกระดาก
“ไม่ใช่แกแล้วกัน เข้าบ้านไป๊” บุรีรุนหลังน้องสาว
เบญจวรรณปัดมือพี่ชายออกก่อนสะบัดหน้าเดินหนีเข้าไปในตึกแถวสองคูหา ถึงแม้ครอบครัวตนจะมีบ้านอีกหลังในซอยเดียวกัน แต่สองพี่น้องมักแวะมาที่ร้านหลังเลิกเรียนหรือกลับจากกวดวิชา บุรีมาเพื่อขอเงินแม่ ส่วนเบญจวรรณมาเฝ้ามองเพื่อนพี่ชาย
ครั้นปลอดคนแล้ว มาวินจึงเอ่ยเรื่องที่ตั้งใจ
“ปีใหม่มึงไปเที่ยวต่างจังหวัดกับที่บ้านใช่ไหม กูยืมมอ’ไซค์ได้เปล่า”
“เอาดิ จะเอาไปรับสาวสิท่า”
ประกายความสุขในดวงตาและรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นจากเพื่อนยืนยันคำคาดการณ์ได้อย่างดี บุรีทั้งหมั่นไส้ ดีใจ และห่วงใยอีกฝ่าย
“มึงคิดจริงหรือวะว่าเขาจะสนใจเด็กอย่างเรา อีกอย่าง...มึงก็เคยเป็นคนที่เขาช่วยเหลือตามหน้าที่”
“ตอนนี้กูไม่ได้ติดต่อมูลนิธิแล้ว” มาวินตอบ “กูพยายามพิสูจน์ตัวเองให้พี่เขาเห็นว่ากูก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง”
“เป็นกู กูมองคนรุ่นเดียวกันดีกว่า ไม่ต้องพยายามทำให้เขายอมรับเรา”
มาวินเข้าใจที่เพื่อนคิดเช่นนั้น เขาเองก็ไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษมาก่อน แต่เมื่อความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับหญิงสาวรุ่นพี่ ซ้ำยังเป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยให้ความช่วยเหลือ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องปฏิเสธความรักที่ทำให้เขาเข้มแข็งและเติบโตขึ้น
‘เรามาพยายามด้วยกันนะ’
ทั้งคำพูดนั้น รอยยิ้ม และท่าทางเป็นมิตรจริงใจเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์กำลังใจที่บ่มเพาะในใจเขา นานวันมันยิ่งหยั่งรากลึก ยึดโยงหัวใจที่แตกสลายให้กลับมาแข็งแกร่ง รู้ตัวอีกที หัวใจเขาก็เป็นของผู้ที่ฟื้นฟูมันคืนมา
ใกล้สิ้นปี การจะติดต่อหน่วยงานใดก็ล้วนติดขัด ไม่เป็นดั่งใจ หลายแห่งผัดผ่อนให้ติดต่อไปใหม่ปีหน้าเพราะผู้ใหญ่ลาหยุด การจะหาเบาะแสตามตัวครูที่ล่วงละเมิดทางเพศศิษย์จึงล่าช้าออกไป
นอกจากปัญหานั้น ปลายฝนอดห่วงไม่ได้ที่เด็กสาวซึ่งพักพิงที่มูลนิธิช่วงวันหยุดเทศกาลจะเครียดและทำร้ายตนเอง ยิ่งผลตรวจร่างกายก่อนหน้านี้บอกว่าวัยรุ่นสาวกำลังตั้งครรภ์ เธอก็ยิ่งสะท้อนใจต่อชะตากรรมที่เด็กอายุสิบเจ็ดต้องเผชิญ ปลายฝนถึงกับหารือเรื่องนี้กับชไมพรและอาสามาค้างแรมที่มูลนิธิช่วงวันหยุด
“พี่รู้ว่าฝนหวังดี แต่ทำใจให้สบายเถอะ พี่คุยกับนิชาเสมอ ไม่เคยมีสัญญาณว่าแกจะทำอย่างที่เรากังวล”
“แต่มันเคยเกิดขึ้นกับแม่ของไม้ เราไม่น่าปล่อยให้พวกเขากลับไป”
“เราขัดขวางการตัดสินใจของพี่มาลัยไม่ได้ต่างหาก แต่กับนิชา...ตอนนี้แกยังมีหวังจะสร้างครอบครัวกับครูนั่น ยิ่งตั้งครรภ์กับคนที่ตัวเองรัก นิชาก็กลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น”
อิทธิพลของความรักช่างยิ่งใหญ่และน่าเศร้าใจในคราวเดียวกัน เมื่อมันเกิดขึ้นผิดเวลา ผิดสถานที่ ผิดคน
“น่า น้องรัก ยังไงเราก็มีเจ้าหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันมาดูความเรียบร้อย แล้วก็มีเด็กคนอื่นอยู่ที่มูลนิธิอีกเหมือนกัน”
ชไมพรโอบไหล่รุ่นน้อง ปลายฝนหันไปยิ้ม สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าแววตาครุ่นคิดไม่คลาย
“ถ้าเราเจอตัวครูคนนั้น แล้วเขาสองคนรักกันจริงๆ พี่ไหมคิดว่าเป็นไปได้ไหมคะ เราจะทำยังไงต่อไป”
“สมมุติว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครูของนิชาก็ยังต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แล้วถ้าเขาสองคนจะสร้างครอบครัวกันหลังจากนั้น ก็คงต้องมีนักบำบัดเข้ามาให้คำปรึกษาดูแลระยะยาว” นักจิตวิทยาสาวตอบพลางถอนหายใจ “เป็นเส้นทางที่ยาวไกลเลยละฝน”
แม้เป็นเช่นนั้น ปลายฝนก็ยังหวังว่าเคสของเด็กสาววัยรุ่นจะมีทางออกที่ดี เธอไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง
เลิกงานเย็นนั้น หญิงสาวบังเอิญพบนิชานั่งเล่นบนชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ปลายฝนยิ้มให้ ทว่าอีกฝ่ายหลบตาพลัน
ใจหนึ่งเธอก็อยากเดินเข้าไปหา ปลายฝนไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าตัว นอกจากรับรู้เรื่องราวผ่านที่ประชุม จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าชไมพรต้องการกันเธอออกจากเคสนี้ แต่ครั้นเรวดีซึ่งรับผิดชอบดูแลเคสเด็กสาวโดยตรงลงบันไดหน้าอาคารมาพอดี เธอจึงตัดใจเดินจากไป
หน้าที่รับผิดชอบอันเกี่ยวพันกับชีวิตผู้อื่นเป็นทั้งพลังขับเคลื่อนและแรงต้านทาน ชไมพรอาจทำงานนี้มานานปี ผ่านความยินดีและทดท้อมาจนชินชา แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มงานมาได้ไม่ถึงปีอย่างปลายฝน หญิงสาวผูกใจกับหน้าที่โดยไม่รู้ตัว เช่นที่เคสมาวินมอบทั้งบาดแผลและเป็นยาสมานใจของเธอ
เนื่องในโอกาสที่เทศกาลแห่งความสุขกำลังจะมาถึง ปลายฝนตั้งใจจะหาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้คนที่กลายเป็นน้องชายคนสนิท เธอแวะห้างสรรพสินค้าเย็นวันศุกร์ ใช้เวลาเลือกซื้อของขวัญในแผนกไอทีอยู่พักใหญ่ ทว่าระหว่างรอจ่ายเงิน หญิงสาวซึ่งกวาดตามองร้านค้ารอบตัวก็สะดุดตาเข้ากับร่างสูงในชุดนักเรียน
ร้านที่วัยรุ่นหนุ่มสาวกลุ่มใหญ่ก้าวเข้าไปเป็นร้านขายเครื่องประดับและของกระจุกกระจิก มาวินสะพายกระเป๋านักเรียนบนไหล่ข้างเดียวขณะเลือกดูของบางอย่างกับเพื่อนผู้หญิง ครั้นเด็กหนุ่มเงยหน้ามองผ่านกระจกใสหน้าร้านออกมา ปลายฝนก็รีบหันหลังให้ ไม่ต้องการให้เขาคิดว่าถูกมูลนิธิจับตาแล้วพลอยสูญเสียความมั่นใจ
เมื่อได้ของที่ซื้อแล้ว หญิงสาวจึงลงบันไดเลื่อน กลับออกจากห้างสรรพสินค้ามารอขึ้นรถประจำทาง เธอโคลงศีรษะขบขันตนเองที่ทำตัวราวกับคนร้ายถูกจับได้ว่าแอบดูลาดเลา ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อมือใครบางคนเกาะหมับบนต้นแขนเธอทั้งสองข้างจากด้านหลัง
“ไม้!” ปลายฝนขึงตาดุคนที่ทำให้เธอตกอกตกใจ
“อ้าว จำได้เหรอ จำได้ทำไมไม่ทักผมล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยกวนๆ
“พี่เห็นอยู่กับเพื่อน”
“อยู่กับใครก็ทักได้ทั้งนั้นแหละ”
“ชอบให้คนทักหรือไงเรา” เธอถามเย้า
“อือ ชอบ”
ปลายฝนเบือนหน้าไปกลอกตาอ่อนใจ อยู่ใกล้มาวินทีไร เธอมักลืมเรื่องวิตกกังวลต่างๆ นานา ผ่อนคลายอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นยามอยู่กับผู้อื่น
“แล้วไม่กลับไปหาเพื่อนเหรอ”
“ผมนึกว่าพี่จะหาว่าผมอู้งานซะอีก”
“บ้า ใครจะไปว่า ไม้ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นบ้างก็ดีแล้ว พี่รู้ว่าไม้รับผิดชอบตัวเองได้”
“แปลว่าผมทำให้พี่เชื่อแล้วใช่ไหมว่าผมจัดการชีวิตตัวเองได้”
ปลายฝนพยักหน้าหนักแน่น สร้างรอยยิ้มปลาบปลื้มให้เด็กหนุ่มที่พยายามพิสูจน์ตนเอง ไม่เป็นภาระของเธอหรือสังคม
รถประจำทางมาถึงก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรอีก หญิงสาวก้าวขึ้นรถพร้อมกับผู้โดยสารจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือมาวินที่ตามขึ้นมาเช่นกัน
“ผมบอกเพื่อนแล้วว่าจะกลับก่อน” เขาตอบคำถามที่อยู่ในแววตาผู้ที่หันมามอง ขณะยืนซ้อนหลังเธอบนรถที่แออัด
มาวินสละที่จับให้หญิงสาวซึ่งตัวเล็กเพียงไหล่เขา ส่วนตนเองทรงตัวมั่นคงบนรถที่ส่ายไปมา
การจราจรเย็นวันศุกร์ว่าสาหัสแล้ว บนรถประจำทางก็หนาแน่นด้วยผู้โดยสารเต็มพื้นที่ แต่มันคงแย่กว่านี้ถ้าเธอต้องเดินทางคนเดียว เพราะเมื่อรถเบรกกะทันหันจนชายหนุ่มด้านหน้าที่มัวแต่เล่นโทรศัพท์มือถือเซถอยมา ก็มีมือของมาวินยื่นมากันไว้ได้ทันท่วงที
ปลายฝนหันไปยิ้มจางๆ ให้เขา มาวินหลุบตามองคนที่อยู่ใกล้แทบชิดอกตนพร้อมกับยิ้มมุมปากด้วยหัวใจสั่นไหว เสียงในใจร่ำร้องอยากกอดเธอให้แน่น และนับวันเสียงนั้นก็มีอิทธิพลต่อเขามากขึ้นทุกที มาวินไม่รู้ว่าเขาจะทนเก็บงำความรู้สึกได้อีกนานเท่าไร
ครั้นลงจากรถประจำทางในอีกหกป้ายต่อมา เขาจึงทวงถามคำสัญญาก่อนแยกจากเธอ
“ตกลงปีใหม่เราไปกินหมูกระทะกันใช่ไหม”
“ไปสิ หรือไม้เปลี่ยนใจไปเคานต์ดาวน์กับเพื่อน”
“ผมไม่ใช่คนเปลี่ยนใจง่ายๆ” เด็กหนุ่มบอกเป็นนัย “งั้นวันที่สามสิบเอ็ดผมมารับพี่นะ คราวนี้ไม่มีถังแก๊ส ไม่ต้องห่วง”
ปลายฝนหลุดหัวเราะออกมาจนได้ เธอยกมือแทนคำล่ำลา แล้วเมื่อเดินจากมาก็คิดได้ว่า...ไม่เคยมีใครที่เธอเปิดใจให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เช่นที่เธอเต็มใจเปิดรับมาวิน
ความคิดเห็น |
---|