ตอนที่ 1 กลิ่นกาแฟ
ท่ามกลางหมอกเหมยที่ปกคลุมยามเช้าของวันใหม่ซึ่งแสงตะวันยังถูกทิวเขามหึมาบดบัง ถนนปูนที่ตัดผ่านหน้าตลาดเช้าของหมู่บ้านคึกคักด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของสดทำอาหารเช้าและเป็นวัตถุดิบของร้านอาหารในหมู่บ้าน รถราจอดเรียงรายตลอดสองฝั่งถนนใต้ไฟกิ่งสีส้มสลัว
ห่างจากตลาดเช้าไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หน้าเรือนไม้บะเก่าใหญ่อายุเกือบหนึ่งร้อยปี มีเตาอั้งโล่เก่าๆ หล่อขึ้นจากปูนในถังน้ำมันสีน้ำเงินซีด ไอร้อนสีขาวพวยพุ่งจากร่องเล็กๆ ของฝาอะลูมิเนียมไม่ขาดท่ามกลางเสียงน้ำเดือดปุดและเสียงฟืนลั่นที่ค่อยๆ เบาลงเมื่อกองไฟลุกโชนได้ที่ กลิ่นหอมของฟืนไม้ลำไยในช่องใส่ถ่านโชยชายออกมา หญิงชราเจ้าของบ้านยังคงเปิดไฟยังใต้ถุนเรือนไว้ ด้วยชรามากแล้ว แกจึงมองเห็นไม่ค่อยชัด ยิ่งในบริเวณที่มีเพียงแสงไฟสลัว ดวงตาก็ยิ่งพร่ามัว
“แก้วๆๆๆ” หญิงชราร้องเรียกหาใครบางคน
“แม่! อี่หมิ่นมันอยู่บนบ้านปู้น!” (แม่! นังหมั่นมันอยู่บนเรือนนู่น)
หญิงชราอีกคนตะโกนบอก ในขณะที่สองมือหอบหิ้วข้าวของมากมายออกมาจัดวางบนเคาน์เตอร์ข้างๆ เตาอั้งโล่ เตรียมเปิดร้านในยามที่ฟ้าค่อยๆ สว่าง ชาวบ้านละแวกนี้รู้จักแกดีในชื่อ ‘แก้วโว’ แก้วคือชื่อของแกที่แม่ก่ำ หญิงชราอีกคนตั้งให้ ส่วน ‘โว’ เป็นคำสร้อยเช่น หมายถึง การคุยโวโอ้อวด เนื่องจากแกช่างพูด ช่างเจรจา บางคราก็เผลอพูดเกินจริงไปมาก ชาวบ้านและเพื่อนฝูงจึงเรียกแกอย่างนั้น
“อยู่บนบ้านก๋า หมิ่นเอ๊ย! แก้วๆๆๆ” (อยู่บนเรือนเหรอ หมิ่นเอ๊ย! แก้วๆๆๆ)
อุ๊ยก่ำผู้เป็นแม่ค่อยๆ เดินไปยังกระไดไม้ด้านหน้า เงยใบหน้ากลมๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยับย่น ดวงตาเล็กหยีมองกระไดเหนือหัว ร้องเรียกเจ้าหมิ่นอยู่อย่างนั้น เสียงกุกกักดังมาจากชั้นสองของเรือน ก่อนเจ้าของเงาดำจะชะโงกลงมามองแก แสงไฟจากทางด้านล่างสะท้อนกับดวงตาข้างหนึ่งที่บอดสนิท มันส่งเสียงร้องเหมียวอันทุ้มหนัก
ใช่แล้ว เจ้าหมิ่นคือแมวตัวผู้ตัวโตที่แกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ประมาณสามปีก่อน สมัยที่มันยังเป็นลูกแมวตัวเล็กๆ ดวงตาข้างหนึ่งของมันอักเสบจนเกือบถูกคุณหมอควักออก แต่ด้วยความที่ตัวยังเล็กมาก คุณหมอจึงให้กลับมารักษาตัวที่บ้านโดยหยอดยาทุกหนึ่งชั่วโมง กระทั่งมันแข็งแรงขึ้น ถึงอย่างนั้นดวงตาข้างนั้นกลับเป็นต้อสีขาวขนาดใหญ่ น่าประหลาดที่เมื่อดวงตาข้างนั้นต้องแสงไฟ มันจะเป็นประกายระยิบระยับ ชาวบ้านละแวกนี้เรียกเจ้าหมิ่นว่าแมวตาเพชร เพราะตาข้างหนึ่งของมันเปล่งประกายดั่งเพชรนิลจินดา
“ปะ ไปยะก๋าน เดวหม่อนจะเซาะป๋าทูหื้อ” (ปะ ไปทำงานกัน เดี๋ยวหม่อนจะหาปลาทูให้)
สิ้นคำ เจ้าสี่ขาตัวดำปลอดจึงก้าวลงมาตามกระไดไม้เก่าด้วยอุ้งเท้าหนาใหญ่ ฝีเท้าเงียบกริบอย่างนักย่องเบาไม่มีผิด ครั้นถึงกระไดขั้นสุดท้าย มันพลันนัวเนียซุกไซ้ขาเล็กๆ ของอุ๊ยก่ำ หญิงชราวัยแปดสิบหกปีอย่างออดอ้อนแล้วล้มตัวลงนอน ถูไถเนื้อตัวกับพื้นอย่างเรียกร้องความสนใจจากแก
หญิงชราเดินนำมันไปยังแคร่ไม้หน้าบ้าน ให้มันดูแลหน้าร้านในยามที่อุ๊ยแก้วเดินไปจัดเตรียมของ ไม่กี่นาทีเจ้าโต้ง ไก่ชนบ้านลุงบุญก็โก่งคอขันรับอรุณรุ่ง มันโก่งคอขันมาตั้งแต่ตีสองแล้ว เสียงขันปลุกลุงบุญเจ้าของบ้านตื่นจากที่นอน มุ่งหน้าไปซื้อของในตลาดเช้าที่อำเภอถัดไป กลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาตีห้ากว่าๆ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ครั้นแกกลับมาถึงบ้านก็มักจะตะโกนข้ามฟากถนน สั่งโอยัวะหรือกาแฟดำร้อนหนึ่งแก้ว
“ได้เลยจ้าว!~” (ได้เลยค่า!~)
อุ๊ยแก้วขานรับเสียงใสแจ๋ว แกก้าวเข้าไปประจำที่ ลงมือทำโอยัวะให้เพื่อนบ้านผู้ขยันขันแข็งในทันที ผงกาแฟถูกเติมลงในแก้วใบเล็ก มือแห้งเหี่ยวคว้าเอากระบวนเหล็กตักน้ำเดือดในหม้อเติมลงในแก้ว ตามด้วยน้ำตาล คนให้พอละลายก็เป็นอันเสร็จ แรกเริ่มเดิมทีสมัยแกยังสาวๆ แก้วกาแฟที่ใช้นั้นเป็นกระป๋องนมเก่าๆ แต่สมัยนี้การเสิร์ฟด้วยแก้วสะดวกกับการใช้งานมากกว่า แกจึงเปลี่ยนมาใช้แก้วใสแทน
แกคนกาแฟ ช้อนใบเล็กส่งเสียงยามกระทบกับแก้วใส ไม่นานลูกค้าประจำสภากาแฟก็เข้ามาจับจองที่นั่งหน้าบ้านจนเต็ม เนื่องจากร้านกาแฟอุ๊ยแก้วมีหนังสือพิมพ์ให้บริการ ประกอบกับฝีมือชงกาแฟแกถูกใจลูกค้าในละแวกนี้ จึงเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้สูงอายุ และเด็กนักเรียนที่ตามพ่อแม่มาแวะดื่มกาแฟในยามเช้า เหล่าเด็กน้อยที่เตรียมตัวไปโรงเรียนเติมพลังด้วยโกโก้แก้วใหญ่กับขนมปังนึ่งร้อนๆ เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานดังขึ้นกระทั่งฟ้าสาง ก่อนเด็กๆ จะบอกลาเพื่อไปโรงเรียนที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
“ตั้งใจ๋เฮียนเน่ออ้าย!” (ตั้งใจเรียนนะลูก!)
อุ๊ยแก้วตะโกนบอกเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่นั่งซ้อนจักรยานยนต์คันเก่าของพ่อ มุ่งหน้าไปเรียนให้ทันเวลา ในขณะที่กลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดโชยออกมาจากหม้อต้มกาแฟใบเล็กบนเตาไฟฟ้าขนาดพกพา เรียกว่า ‘โมกาพอต’ เป็นหม้อต้มกาแฟที่อุ๊ยแก้วได้มาจากนายฝรั่งที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน เป็นวิศวกรใหญ่ประจำโรงงานอาหารกระป๋องที่ตั้งอยู่อีกอำเภอ ในทุกๆ เช้านายฝรั่งจะแวะมากินกาแฟ ครั้นติดใจรสมือหญิงชราคนนี้ จึงซื้อโมกาพอตและเมล็ดกาแฟคั่วบดให้ แลกกับการชงกาแฟสดให้ดื่มในทุกๆ วัน
“เนตรเอ๊ย! ลุกล่า!” (เนตรเอ๊ย! ตื่นรึยัง!)
หญิงชราเจ้าของร้านกาแฟโบราณตะโกนเรียกหลานสาว
เนตรไพลินจ้ำอ้าวลงจากกระไดเรือนชั้นสองในชุดเสื้อยืดโปโลสีม่วงสดและกระโปรงทรงเอสีดำสนิท อกอิ่มใต้เสื้อยืดพอดีตัวขยับไหวตามการก้าวเดิน เธอเป็นหญิงสาวร่างบาง เอวคอดกิ่ว แต่มีอกและสะโพกอวบอั๋น ทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในสภากาแฟต่างหันมองตาเป็นมัน
“มาแล้วค่ะย่า!” เนตรไพลินขานรับเสียงหวานสดใส เท้าเรียวในถุงเท้าขาวย่ำแผ่นไม้หนา เธอโยนรองเท้าคัตชูลงกับพื้นแล้วสวมมัน มุ่งตรงมายังอุ๊ยแก้วผู้เป็นย่าแท้ๆ
“ให้หนูช่วยอะไรมั้ย” เนตรไพลินถาม แต่ไม่ได้รอฟังคำตอบใดๆ ก้าวถึงยังหน้าเตาได้ก็คว้าเอาแก้วโกปี๊และกาแฟยกล้อไปเสิร์ฟให้ตามโต๊ะต่างๆ อย่างเช่นที่ทำในทุกๆ วัน
“น้องเนตรแต่งตัวสวยจังเลย จะไปเรียนแล้วเหรอ” ชายร่างท้วมในชุดเสื้อแขนยาวสีส้มสดถามด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาดูจะสนใจในตัวเนตรไพลินออกนอกหน้า
“เรียนจบแล้วพี่โต วันนี้เนตรทำงานวันแรก” เธอวางแก้วโกปี๊ไว้ตรงหน้าเขา
“โห! น้องเนตรเก่งจัง พี่เลิกเรียนไปนานแล้ว ถ้าพี่เรียนเก่งแบบเนตร ป่านนี้พี่คงเป็นประธานบริษัทไปแล้ว” นายโตเอ่ยติดตลก ทำเอาแขกโต๊ะอื่นๆ หัวเราะกันสนั่น เพราะนายโตทำงานเป็นพนักงานส่งของของบริษัทเอกชน เป็นที่รู้กันดีว่าหากนายโตตั้งใจทำงานให้ได้ครึ่งหนึ่งของการจีบสาว ป่านนี้คงเป็นหัวหน้าแผนกส่งของไปแล้ว
“หล้าไปกิ๋นเข้าไป๊! หม่อนนึ่งเข้าไว้หื้อฮั่น จะไปมาใกล้แมงหมู่นี่ ผ่อแป๋งหน้าฮะ น้ำกะย้อยเต้ยๆ!”
(หนูไปกินข้าวเถอะ! ทวดนึ่งข้าวไว้ให้นั่นแล้ว อย่าอยู่ใกล้ไอ้เจ้าพวกนี้เลย ดูมันทำหน้าเข้า น้ำลายไหลใหญ่แล้ว!)
อุ๊ยแก้วถึงกับรีบร้องสั่ง ไม่ชอบใจที่เห็นพวกผู้ชายเอาแต่จ้องหลานสาวตาเป็นมัน
เนตรไพลินหัวเราะร่วนก่อนจะเดินเข้าไปใต้ถุนเรือน เรือนไม้บะเก่าหลังนี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร เมื่อก่อนใต้ถุนเรือนนั้นเปิดโล่ง แต่บัดนี้ต่อเติมห้องชั้นล่างเป็นห้องทำงานของอุ๊ยแก้วและมีห้องครัวเล็กๆ ที่ยกพื้นพอให้น้ำท่วมไม่ถึง พื้นใต้ถุนฉาบปูนซีเมนต์เรียบ ส่วนตัวเรือนไม้ด้านบนผ่านการซ่อมแซมมากกว่าหลายสิบครั้งเพื่อให้มันยังใช้งานได้ดี
“วันนี้มีอะไรกินบ้างจ๊ะหม่อน” หญิงสาวถามพลางก้าวไปนั่งแคร่ไม้ใหญ่ข้างหญิงชราอีกคนที่นั่งแกะปลาทูแมวให้เจ้าหมิ่น แมวตัวโปรดของแก ที่นั่งรอปลาทูอย่างใจจดใจจ่อ
“หม่อนแป๋งไข่ทอดหย่ะ อันนี่แหม…จิ้นปิ้งซื้อมาตะเจ้า” (ทวดทำไข่เจียวน่ะ แล้วก็อันนี้อีก…หมูปิ้งที่ซื้อมาเมื่อตอนเช้า)
หม่อนว่า สองมือง่วนอยู่กับการแกะปลาทูแมวที่เพิ่งทอดเสร็จ บรรจงเป่าเนื้อปลาทูขาวฟูให้เย็นลงก่อนจะคลุกข้าวสวยอุ่นๆ ขยำด้วยมือเล็กๆ อยู่นานสองนาน ให้เนื้อปลาทูและข้าวผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
“แหม ลาภปากสินะหมิ่น” เนตรไพลินแซวเจ้าเหมียวตัวโตที่ร้องตอบอย่างกับรู้ความ ก่อนจะลงมือกินข้าวเช้าเพียงลำพัง ไข่เจียวในจานกระเบื้องยังอุ่นและหอมฉุย จิ้มกับน้ำปลา กินคู่กับข้าวเหนียวนุ่มๆ เพียงเท่านี้ก็เป็นมื้อเช้าที่สุดยอดมากแล้ว ยิ่งมีหมูปิ้งไม้เล็กจากตลาดก็ทำให้อิ่มตลอดทั้งเช้าทีเดียว
ความคิดเห็น |
---|