4
ทำดีต้องได้ดี
เสียงสัญญาณรอสายดังอยู่นานพอควร นานจนสริณยาคิดว่าเจ้าของแมวจะไม่รับเสียแล้ว แต่ในที่สุดก่อนสายจะตัดไปก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหล”
เป็นผู้ชาย เจ้าขององค์ชายเป็นผู้ชาย งั้นก็พระราชาสินะ...หญิงสาวคิดขำๆ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณทำแมวหายรึเปล่าคะ”
ปลายสายนิ่งไปหนึ่งอึดใจก่อนยอมรับ “ใช่ครับ พรินซ์หายไปตั้งแต่เมื่อคืน ไม่ทราบว่าคุณจับแมวผมได้ใช่ไหม”
“มันไม่ยอมให้จับค่ะ”
“ครับ พรินซ์ค่อนข้างหวงตัว แล้วตอนนี้แมวผมอยู่ที่ไหน”
“บนต้นไม้ค่ะ ใกล้ๆ เดอะพราวผับ คืออยู่ข้างลานจอดรถของผับน่ะค่ะ” บอกตำแหน่งแล้วปลายสายก็เงียบไปอีกจนสริณยาต้องถามกลับ “รู้จักไหมคะ เดอะพราวผับอยู่ใกล้ๆ...”
“ผมรู้จักดี”
เมื่อปลายสายว่าเช่นนั้นสริณยาก็พยักหน้า “งั้นก็ดีค่ะ แค่นี้นะคะ คุณมาจับแมวเอาเองก็แล้วกัน สวัสดีค่ะ”
ทำความดีเท่าที่พอทำได้ไปแล้ว หญิงสาวซึ่งนั่งคร่อมกิ่งไม้อยู่ก็ถอนหายใจยาว เธอมองแมวที่หมอบคุดคู้อยู่กลางกิ่งไม้ พบว่ามันกำลังมองเธออยู่เช่นกัน เธอจึงโน้มตัวลงไปจนใบหน้าเกือบอยู่ในระดับเดียวกับมัน สั่งมันว่า
“รออยู่ตรงนี้นะแมวอ้วน ฉันโทร. ไปบอกเด็จพ่อแกแล้ว อีกเดี๋ยวเขาคงมา” พูดจบสริณยาก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าสะพายแล้วขยับก้นถอยหลัง
ถัดก้นถอยไปเพียงไม่กี่ครั้ง แมวอ้วนเจ้าปัญหาก็ร้อง
แอ๊ะ แอ๊...
เสียงร้องมันทอดยาวราวกับกำลังถามว่าเธอจะไปไหน จะทิ้งมันไว้ที่นี่ตัวเดียวหรือ ใจร้าย...อะไรทำนองนั้น
สริณยาหยุดเคลื่อนไหวแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า คราวนี้รอหนึ่งอึดใจ แมวอ้วนที่ทำหยิ่งมาตลอดก็คลานกระดุบๆ เข้ามาหา มันเอาจมูกเย็นๆ ของมันดมมือเธอ ก่อนจะเอาแก้มไถ เป็นการบอกว่า ตอนนี้มันญาติดีกับเธอนิดหนึ่งแล้ว
หญิงสาวพลิกมือหงายก่อนใช้ปลายนิ้วเกาปลายคางสั้นๆ ของพรินซ์ ทำให้เจ้าแมวอ้วนทำเสียงพึงพอใจในลำคอแล้วพลิกใบหน้าถูไถมือเธอ
เพราะเพลิดเพลินอยู่กับการเอาใจเพื่อนใหม่ กว่าสริณยาจะสังเกตว่าตอนนี้ใต้กิ่งไม้ที่เธอกับเพื่อนนั่งอยู่มีผู้ชายคิ้วเข้มเคราเฟิ้มคนหนึ่งยืนเท้าสะเอวมองอยู่ก็ต้องรอให้เขากระแอมกระไอเรียกความสนใจ
ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อพบว่าคนที่ยืนเงยหน้ามองเธออยู่ด้านล่างเป็นเจ้าของเดอะพราวผับ คนที่เพิ่งหลอกให้เธอแก้ผ้าเต้นให้ดูนั่นเอง
นี่...นี่อย่าบอกนะว่าเขาคือพระราชาเจ้าของแมวพรินซ์ตัวนี้
ดูเหมือนเขาจะอ่านสายตาที่ถามคำถามของเธอออก เพราะเขาตอบกลับมาทันทีว่า “ใช่ นั่นแมวฉัน พรินซ์”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเจ้าของ แมวที่หมอบอยู่บนกิ่งไม้ก็ก้มหน้าลงมองเจ้านายแล้วเรียกเสียงหวาน
หมาววววว
“เกเรนะแก หายไปไหนมา หนีเที่ยวตั้งแต่เมื่อคืนจนเย็นป่านนี้ถึงโผล่หน้ามา นึกว่าถูกจับไปหันซะแล้ว ไอ้ลูกหมู!”
คำเรียกน่าเกลียดนั่นทำให้พรินซ์เมินนาย แล้วหันไปถูแก้มกับมือสริณยา
เห็นดังนั้นแล้วจิณณวัตรก็หมั่นไส้ระคนประหลาดใจ เนื่องด้วยปกติแล้วพรินซ์เป็นแมวไม่รับแขก มันไม่ญาติดีกับใครเขาง่ายๆ นี่ถึงขนาดอ้อน...คงเป็นเพราะสำนึกในบุญคุณคนที่อุตส่าห์ปีนต้นไม้ขึ้นไปช่วยมันกระมัง
ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นไปแล้วสั่ง “เอ้า ลงมาได้แล้วอ้วน”
สริณยายิ้มขันคำเรียกขานแบบหยิกแกมหยอกแต่เป็นความจริงทุกประการที่เจ้านายเรียกแมวของตนเอง “มันสูงค่ะ คงกลัว ไม่กล้าโดด เดี๋ยวฉันจะจับมันหย่อนลงไป คุณคอยรับนะ”
พูดน่ะพูดง่าย แต่...ทำยากชะมัด เพราะความสูงทำให้แมวอ้วนกลัว จิกกิ่งไม้เอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนสริณยาต้องใช้กำลังง้างมือง้างเท้าที่เกาะกิ่งไม้แน่นออก และพอใช้กำลัง ความกลัวก็ผลักดันให้พรินซ์เอาตัวรอด เจ้าแมวไม่รู้คุณคนหันมาตบสริณยาที่แขน ความแสบแล่นจี๊ดจากแขนไปถึงสมอง หญิงสาวมองแขนซึ่งมีรอยข่วนสวยงามสามรอยของตนเอง ก่อนเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นพรินซ์ขู่ฟ่อ แถมกางเล็บเข้ามาหาราวกับจะทำร้ายเธออีก หญิงสาวรีบยกมือทั้งสองขึ้นกันใบหน้าเอาไว้โดยอัตโนมัติพร้อมขยับก้นถอยหลัง โดยลืมไปว่าตอนนี้เธอนั่งคร่อมอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อขยับตัวแรงก็เสียหลัก ร่างบางเอียงตกจากกิ่งไม้โดยเธอไม่มีโอกาสร้องเพราะความตกใจเลยด้วยซ้ำ
คนทำดีไม่ได้ดีหลับตาปี๋ เตรียมตัวรับความเจ็บ ทว่า...เธอไม่เจ็บ ที่ไม่เจ็บก็เพราะว่าเธอไม่ได้ตกลงพื้น แต่ตกลงในอ้อมแขนของเจ้าของร้านจอมเอาเปรียบคนนั้นนั่นเอง
สริณยายังไม่ทันได้สั่งให้เขาปล่อยเธอ สิ่งมีชีวิตอ้วนกลมที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างก็ลอยละลิ่วลงมาจากกิ่งไม้
พรินซ์โดดลงมาบนตัวเธอแบบไม่พลาด เมื่อเท้าทั้งสี่ของมันจิกเข้าที่ท้องและหน้าอกเธอเพื่อพยุงตัว เล็บคมก็ฝังเข้าที่เนื้ออ่อนบริเวณท้องน้อยและเนินอก สริณยาจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บแล้วห่อตัวตามสัญชาตญาณ
“โอ๊ย!”
เสียงร้องของคนที่อยู่ในอ้อมแขนทำให้จิณณวัตรก้มลงไปมองเธอแล้วสั่งสัตว์เลี้ยงจอมแสบของตนเองที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางร่างของหญิงสาวที่เขาอุ้มอยู่ “ลงไปพรินซ์ โดดทับลงมาได้ แกน่ะแปดโลนะ ไม่ใช่ลูกแมวสองสามโล โดดลงมาแบบนี้ทำเขาซี่โครงหักรึเปล่าก็ไม่รู้”
พรินซ์เอียงคอค้อนเจ้านายแต่ก็โดดลงจากตัวสริณยาแต่โดยดี เจ้าตัวแสบโดดลงพื้นแล้วก็ไม่ไปไหนไกล มันถูหน้าถูตัวกับขาของเจ้าของอย่างประจบ
จิณณวัตรยิ้มบางๆ กับสิ่งที่ไอ้ตัวแสบทำ มันรู้สินะว่าทำผิดเลยประจบเอาไว้ก่อน รู้มากนัก!
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ”
ก็ใช่ว่าจิณณวัตรอยากอุ้มผู้หญิงคนนี้เอาไว้นานๆ เขาแค่เอ็นดูแมวตัวเองเพลินจนลืมไปเสียสนิทว่ากำลังอุ้มคนที่หนักเท่ากับแมวหกตัวเอาไว้ ดังนั้นเมื่อถูกท้วงเขาก็รีบวางเธอลงพื้นแล้วอุ้มพรินซ์ขึ้นมาแทน
ผู้หญิงตัวเล็ก รูปร่างสมส่วน แต่เต้นได้ห่วยแตกยืนตัวงอ มือที่กุมท้องตนเองเอาไว้บ่งบอกว่าเธอคงได้รับบาดเจ็บ ไอ้แสบของเขาฝากรักเอาไว้ให้คนแปลกหน้าเป็นประจำ จิณณวัตรเสียค่ายาเพราะไอ้ลูกชายบ่อยจนชินเสียแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง”
“เจ็บ แสบ” สริณยาตอบตามตรงแล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้น เผยให้เห็นรอยเท้าแมวหลายรอยบนเสื้อยืดสีขาว แต่รอยเท้าแมวไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่ารอยเลือดเป็นจุดๆ บนหน้าท้องและหน้าอกของเธอ
ไม่ต้องเสียเวลาเปิดดูจิณณวัตรก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าตอนนี้ตัวเธอคงมีรอยจิกจากฝีเท้าเจ้าพรินซ์ไม่ต่ำกว่าสี่รอยแน่
เพราะแมวตนเองทำคนอื่นเจ็บ จิณณวัตรจึงมีความรับผิดชอบพอที่จะอาสา “ฉันจะพาไปโรงพยาบาล”
สริณยาเงยหน้ามองคนที่อุ้มแมวอยู่ หน้าตาผู้ชายคนนั้นยังคงไม่ถูกชะตาเธอเหมือนเดิม และเรื่องที่เขาไม่ยอมรับเธอเข้าทำงานทั้งๆ ที่ดูเครื่องในของเธอไปแล้วก็เข้ามาทำให้ความคิดที่เธอมีต่อผู้ชายคนนี้ยิ่งติดลบไปใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คำปฏิเสธของเธอจะห้วน
“แผลแค่นี้เล็กน้อย ฉันเคยฉีดบาดทะยักแล้ว คงไม่เป็นไร”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้ค่าทำแผล”
“ฉันไม่อยากได้เงินของคุณ”
“แล้วอยากได้อะไร”
“งาน” อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้สริณยาเรียกร้องไปแบบนั้น และพอพูดออกไปหัวคิ้วของผู้ชายหน้าหนวดก็ขมวดเข้าหากัน
จิณณวัตรมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย ประหลาดเหลือเกินที่เธอตื๊อจะทำงานกับเขาให้ได้ หรือว่า...นี่เธอคงไม่ใช่สายที่ศัตรูเขาส่งมาหรอกนะ
คนทำงานในแวดวงสีเทาแบบเขามีศัตรูทั้งในที่ลับและที่แจ้งมากมาย นายตำรวจซึ่งคุ้มหัวเขาอยู่ก็เพิ่งมาเตือนเรื่องนี้ ท่านบอกว่าภายในกำลังมีการเคลื่อนไหวสั่งตรวจสอบผับของเขาในทางลับ ท่านสั่งให้เขาระวังตัว เร่งกวาดล้างสีดำมืดที่ซ่อนอยู่ในผับไปเสียให้หมดก่อนความเดือดร้อนจะขยายวงออกไป
เจ้าของเดอะพราวผับมองหญิงตรงหน้าแล้วเหยียดยิ้ม เขาไม่กลัวการตรวจสอบ เพราะไม่ว่าใครจะมาตรวจสอบอะไรเขามีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองเสมอ แต่ที่กลัว...เขากลัวพวกหนอนบ่อนไส้ที่จงใจมาทำลายเขามากกว่า
เมื่อเดือนก่อนเขาเพิ่งไล่หัวโจกและพนักงานเสิร์ฟอีกห้าคนออกจากร้านในฐานยักยอก ทว่าเหตุที่แท้จริงซึ่งเขาไม่บอกใครก็คือ หัวโจกซึ่งเป็นพนักงานเสิร์ฟคนนั้นเป็นคนของฝ่ายตรงกันข้ามกับเขา มันแทรกซึมเข้ามาอยู่ร้านเขานานแล้วก่อนเพิ่งมาออกลาย ทั้งยักยอกและแอบขายยาเสพติดให้แขกเมื่อไม่นานมานี้เอง
อย่าบอกนะว่าเพิ่งไล่หนอนตัวเก่าไป ศัตรูก็ส่งหนอนตัวใหม่มา คราวนี้มาในมาดใหม่เสียด้วย จากโหดๆ มาเป็นหวานๆ
“ทำไมเธอถึงอยากทำงานที่นี่ขนาดนี้”
มันเป็นคำถามที่สริณยาคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องถูกถาม ดังนั้นเธอจึงเตรียมคำตอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เธอมั่นใจถึงขนาดกล้ามองตาผู้ถามเพื่อหลอกให้เขาเชื่อว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก
“ที่บ้านฉันกำลังลำบาก พ่อฉันตกงาน แม่ป่วย...” คำโกหกที่พูดออกไปนั้นมีพื้นฐานความเป็นจริงเกินกว่าครึ่ง สริณยาจึงมั่นใจว่าต่อให้เขาซักค้านเพื่อจับผิดอีกกี่ครั้ง เธอก็ไม่มีวันลืมเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นนี้ ไม่มีวันพลาดให้เขาจับได้เด็ดขาด
“นิยายน้ำเน่าแบบนี้ฉันเคยได้ยินมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ผู้หญิงนี่ไม่รู้จักพัฒนาเรื่องเล่าเลยนะ”
เมื่อถูกกล่าวหาว่ากำลังโกหกทั้งที่เธอพูดความจริง...ตั้งหลายส่วนแท้ๆ ยังไม่ได้เริ่มเรื่องโกหกเลยสักนิด สริณยาก็ยกมือขึ้นกอดอก หน้างอ “มันเป็นเรื่องจริง! ฉันยังไม่ได้โกหกเลยสักคำ”
“อะ เชื่อก็ได้”
เอ๊ะ ผู้ชายคนนี้นี่มันยังไงกันนะ เดี๋ยวก็ไม่เชื่อ แต่จู่ๆ ก็เชื่อ เธอตามความคิดเขาไม่ทันแล้ว
“ตรงนี้ร้อน เข้าไปคุยกันต่อข้างใน”
มันเป็นคำสั่งไม่ใช่คำชักชวนแน่ๆ แต่สริณยาจะทำอย่างไรได้ล่ะนอกจากเดินแกมวิ่งตามคนอุ้มแมวไป
“ซื่อสัตย์”
จิณณวัตรอ่านนามสกุลของแม่สาวตรงหน้าแล้วยิ้มขัน ทั้งที่เธอน่าจะเป็นนางนกต่อเข้ามาสืบความลับแท้ๆ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมีนามสกุลตรงข้ามกับสิ่งที่กำลังทำ
“ค่ะ”
“นามสกุลเพิ่งเปลี่ยนหรือว่าใช้มาตั้งแต่เกิด”
“ใช้มาตั้งแต่เกิดค่ะ” สริณยานึกดีใจที่ตอนแม่เลิกกับพ่อ แม่ประชดพ่อด้วยการเปลี่ยนให้น้องดากลับไปใช้นามสกุลของแม่ ไม่อย่างนั้นนามสกุลที่แสนมีเอกลักษณ์ของเธอต้องสะดุดใจเขาแน่
“ก่อนนี้เคยทำงานอะไรมาก่อน”
“ทำพาร์ตไทม์ร้านสะดวกซื้อหน้าบ้านค่ะ”
“อือ งั้นปกติแล้วขนมปังกับพวกของสดจะเข้าร้านวันไหน”
เหอ...เจอคำถามนี้เข้าไปสริณยาที่หลงคิดว่าตนเองเตรียมการมาดีก็ใบ้รับประทาน มันวันไหนกันล่ะ!
เมื่อเธอลังเล กลอกตาไปมา ผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาโดยบนตักมีเจ้าแมวอ้วนกลมสีทองนอนหลับสบายอยู่ก็ชี้ชัดทันที
“โกหก”
“ฉัน...”
“ฉันเกลียดคนโกหกที่สุด ถ้าจับได้สองครั้งติดต่อกันฉันจะเลิกพิจารณาเธอ” ดวงตาคมปลาบที่จ้องมาตรงๆ ทำสริณยาที่ยืนประสานมืออยู่ตรงหน้าเขาหนาวเยือก “ทีนี้บอกมาว่าเคยทำงานอะไรมาก่อน”
“เป็น...เบ๊ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งค่ะ”
“สำนักพิมพ์?”
“หนังสือชื่อบันเทิงระเริงใจค่ะ”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ได้ยินคำเปรยเหมือนเขาไม่เชื่อเธอแบบนั้นแล้วสริณยาก็เดือดเนื้อร้อนใจ รีบอธิบายยกใหญ่ “แต่มีหนังสือชื่อนี้จริงๆ นะคะ ถ้าคุณไม่เชื่อฉันเปิดให้ดูก็ได้ มีเว็บไซต์อยู่”
พอเห็นหญิงสาวตรงหน้าลนลานหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าสะพาย จิณณวัตรก็รู้แล้วว่าเธอคงพูดจริง หนังสือชื่อนั้นคงมีอยู่จริง และเรื่องเธอเคยทำงานอยู่ที่นั่นก็คงจริง เพราะลงบอกชื่อที่ทำงานออกมาแบบนี้ต้องรู้สิว่าเขาสามารถสืบหาอดีตของเธอได้อย่างไม่ยากเย็นเลย
“แล้วลาออกทำไม”
“แม่ฉันป่วย พ่ออยากให้แม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีๆ เราเลยย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว ต่างจังหวัดดีทุกอย่าง ยกเว้นงานในสาขาที่ฉันเคยทำหายากมาก งานที่เขารับสมัครมีแต่พนักงานในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งฉันเกือบจะไปทำแล้ว”
“อย่างเธอไปทำงานร้านสะดวกซื้อคงดีกว่าทำงานที่นี่” จิณณวัตรพูดความจริง ท่าทางซื่อบื้อแบบนี้ มาทำงานไม่เกินหนึ่งอาทิตย์มีหวังโดนพวกหมาป่าลากออกไปขย้ำแน่ “ทำไมเธอถึงมาสมัครงานที่นี่ ทำไมไม่ไปทำงานเก่า หรืองานสายเดิมที่เคยทำ”
สริณยานิ่งไปนิด กลอกตาไปมาเพื่อคิดเรื่องโกหกให้รวดเร็วและเหมาะสมที่สุด โธ่ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ถามโน่นถามนี่เยอะนักนะ ไอ้เรื่องที่ถามว่าทำไมมาสมัครงานที่นี่น่ะเธอเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว แต่พอเจอคำถามทำไมไม่ไปทำงานที่เก่าหรือสายงานเก่า คนที่คิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้วก็ไปไม่เป็น
จะโกหกอย่างไรดีหนอ
“คือ...ฉันอยากได้เงินเยอะๆ ไง ฉันรู้มาว่างานที่นี่รายได้ดี ฉันต้องการเงิน แม่ฉันป่วย พ่อฉันตกงาน”
พูดไปพูดมาสริณยาก็วกกลับไปยังเรื่องจริงสองเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง หญิงสาวยืนกัดริมฝีปากนิ่ง ไม่กล้ามองไปยังคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเพื่อดูว่าเขาเชื่อเธอหรือไม่ด้วยซ้ำ
ขอให้เชื่อเถอะ เชื่อเถอะ!
หนึ่งนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า จิณณวัตรลูบหลังพรินซ์ซึ่งนอนหลับสบายอยู่บนตักเขา ท่าทีเขาเรื่อยเฉื่อยคล้ายไม่ได้ใส่ใจอะไร ทั้งที่ความจริงเขากำลังคิดอย่างหนัก
ตอนแรกเขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นสายคนใหม่ที่ศัตรูส่งมา ทว่ายิ่งสัมภาษณ์...ยิ่งดูไม่ใช่ คนที่จะเข้ามาทำงานใหญ่ใจต้องแกร่ง ตอแหลเป็นไฟ มีฝีไม้ลายมือพอเอาตัวรอดได้ แต่ผู้หญิงคนนี้...จิณณวัตรมองคนที่ก้มหน้ามองพื้น มือทั้งสองที่ประสานอยู่ด้านหน้าบีบเข้าหากัน บ่งบอกชัดแจ้งว่าเธอกำลังกังวลใจ
สายอะไรจะโกหกไม่เนียนขนาดนี้ ไม่สิ ไม่ใช่แค่โกหกไม่เนียน แต่เธอดูปัญญานิ่มเกินกว่าจะทำงานใหญ่ได้ทีเดียวละ
จริงๆ แล้วหากต้องการตัดปัญหา จิณณวัตรแค่ไล่เธอไปทุกอย่างก็จบ แต่เขาเป็นพวกชอบเสี่ยง รักความท้าทาย จึงอยากไขปริศนานี้ให้กระจ่าง เธอมาที่นี่เพราะมีเป้าหมาย เรื่องนั้นเขามั่นใจ เพียงแต่ตอนนี้เขายังเดาไม่ถูกว่าเธอมีเบื้องหลังอย่างไร กระนั้นจิณณวัตรต้องยอมรับว่าผู้หญิงร่างเล็กคนนี้กล้ามากถึงได้บุกเดี่ยวเข้ามาในถ้ำเสือโดยไม่กลัวว่าจะกลายเป็นอาหารของเสือ!
ในเมื่อเธอกล้าแล้วเขาจะขี้ขลาดได้อย่างไร
“เธอได้งานแล้ว”
เพราะจู่ๆ เจ้าของเดอะพราวผับก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สริณยาจึงเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ ก่อนความตกใจจะถูกความยินดีกลบลบจนหายไปหมดสิ้น
“คุณรับฉันเข้าทำงานเหรอคะ”
“ใช่” จิณณวัตรจ้องคนที่กำลังดีใจนิ่ง แววตาเขาล้ำลึกน่ากลัว ทว่าดูเหมือนเธอจะอ่านสายตาของเขาไม่ออกจึงไม่กลัวเกรงเลย
“ฉันจะทำงานให้ดีที่สุดค่ะ จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเลย”
“ฉันจะให้เธอมาคอยดูแลพรินซ์”
สีหน้าคนที่เพิ่งได้งานดูงุนงง หญิงสาวมองแมวอ้วนบนตักคนซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าแล้วถาม “ดูแลแมวเหรอคะ”
“ใช่” จิณณวัตรยืนกรานแล้วจึงอธิบาย “เข้างานเที่ยงวัน เลิกงานเที่ยงคืน หน้าที่เธอคือการดูแลพรินซ์ เรื่องอาหารการกิน อาบน้ำ แปรงขน ทำความสะอาดห้องน้ำและที่นอนของพรินซ์ พาไปเดินเล่น รวมทั้งเล่นกับพรินซ์ ไม่ทำให้พรินซ์เบื่อหรือหงุดหงิด”
สริณยามองตามมือใหญ่ที่เกาคางให้แมวอ้วนซึ่งมีชื่อหรูหรา สีหน้าแมวอ้วนตัวนั้นฟินอย่างมาก มันหลับตาพริ้มและส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ
“พรินซ์อาจดูแลยากอยู่สักหน่อย มันเอาแต่ใจ ช่างเลือก ขี้วีน แต่ยังไงงานดูแลพรินซ์ก็เป็นงานสบาย เธออยู่แต่ในห้องนี้ ไม่ต้องเหนื่อยใช้แรงงาน”
อยู่แต่ในห้องนี้อย่างนั้นหรือ! สริณยาส่ายหน้าทันทีที่ได้ยิน “ฉันไม่อยากดูแลแมวค่ะ ฉันอยากทำงานข้างล่างมากกว่า ฉันชอบทำงานกับคนเยอะๆ”
ถูกต้อง ถ้าเธอถูกกักให้อยู่แต่ในห้องนี้ เธอจะสืบหา ‘ที่รัก’ ได้อย่างไรเล่า
สีหน้าว่าที่เจ้านายของเธอเข้มขึ้นเมื่อบังคับให้เธอเลือก “เลือกเอา จะเลี้ยงแมวให้ฉันหรือไปหางานที่อื่นทำ”
โอ๊ย! สริณยาร้องอย่างขัดใจอยู่ในใจ แต่เธอมีทางเลือกหรือ อย่างน้อยการเข้ามาทำงานที่นี่ก็ยังถือว่าก้าวหน้าขึ้นไปนิดหนึ่งแล้ว เอาน่า ค่อยๆ ก้าวทีละนิดๆ ทว่าทุกย่างก้าวล้วนมั่นคง สุดท้ายเป้าหมายของเธอต้องสำเร็จ!
แววตาหญิงสาวเป็นประกายวาววับขึ้นมาก่อนเธอจะพยักหน้า “จะให้ฉันเริ่มงานเมื่อไหร่คะ”
สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้านาที สริณยามองดูนาฬิกาข้อมือแล้วเดินเข้าไปในเดอะพราวผับซึ่งยังไม่เปิดให้บริการทางประตูหน้า
ช่วงใกล้เที่ยงแบบนี้ภายในเดอะพราวผับสว่างไสว เต็มไปด้วยผู้คนผิดจากวันก่อนที่ไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ผู้คนมากมาย ส่วนหนึ่งอยู่บนเวทีซ้อมเต้น ส่วนหนึ่งเก็บกวาดทำความสะอาด จัดโต๊ะให้เข้าที่
สริณยากวาดตามองกลุ่มหญิงสาวหน้าตาสะสวยซึ่งอยู่บนเวทีแวบเดียว จากนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปมองผู้ชายที่กำลังขยับโต๊ะ เช็ดโต๊ะอย่างขะมักเขม้น
ร้านนี้เป็นแหล่งรวมคนหน้าตาดีจริงๆ ขนาดคนจัดโต๊ะก็ยังหนุ่มและหน้าตาดีมาก ดีจนเธอมองไม่ออกว่าคนไหนมีโอกาสเป็น ‘ที่รัก’ ของน้องดามากกว่ากัน
ดูเหมือนหนทางในการหาตัวคนฆ่าน้องสาวเธอจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้เลย
“สวัสดี”
เพราะสริณยามัวแต่สนใจพวกผู้ชาย เธอจึงสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปมอง เธอก็พบผู้ชายที่เมื่อวานแกล้งเธอ แต่...ก็เป็นการแกล้งที่มีความหวังดีปะปน ด้วยเหตุนี้เธอจึงยิ้มกว้างให้เขาแล้วเอ่ยทักเสียงใส
“สวัสดีค่ะคุณตรัณ”
พ่อเทพบุตรรูปงามยิ้มกว้างให้เธอ “น้องรู้จักชื่อพี่แล้ว แต่พี่ยังไม่รู้จักชื่อน้องเลย”
“ฉันชื่อยาค่ะ สริณยา”
“คุณจอห์นบอกพี่แล้วว่าน้องจะมาเป็นพี่เลี้ยงพรินซ์” เทพบุตรยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดก่อนพูดวลีต่อมา “แย่หน่อยนะ”
มันเป็นคำเตือนหรือคำขู่ สริณยาไม่รู้ เพียงแต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของตรัณแล้วรอยยิ้มเธอก็เจื่อนลง เพราะความไว้ใจ เชื่อว่าเขาหวังดีต่อเธอกระมังหญิงสาวจึงถาม
“แย่ยังไงคะ งานมันหนักมากเหรอ ก็แค่...ดูแลแมว”
“ถ้าแมวนั่นเป็นแมวธรรมดาก็คงไม่ใช่งานหนัก แต่นี่...มันเป็นพรินซ์เชียวนะ”
ตรัณหัวเราะเบาๆ ทำให้สาวหลายคนที่เต้นแอ่นหน้าแอ่นหลังอยู่บริเวณข้างเคียงหันมามองเขา ก่อนสายตาขุ่นเขียวจะตวัดมายังผู้หญิงหน้าใหม่ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหล่อนมาที่นี่เพื่ออะไร
สริณยาที่เหลือบมองไปรอบตัวเห็นสายตาไม่ปรารถนาดีมองมาชัดเจน เธอรู้สึกเสียวสันหลังแวบๆ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้
ดูเหมือนพ่อเทพบุตรสุดหล่อนี่จะเป็นขวัญใจของสาวๆ ในเดอะพราวผับ เอ...คิดๆ ดูเขาก็มีสิทธิ์เป็น ‘ที่รัก’ ได้เหมือนกันนะ
ความคิดเห็น |
---|