3

3

 

3

 

              ทันทีที่ได้รับข่าวการเกิดอุบัติเหตุของแม่และน้องสาว ปวินท์รีบรุดออกจากงานแต่งเพื่อนอย่างกะทันหัน เท่าที่ทราบเบื้องต้นตอนนี้ทุกคนถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล แต่อาการเป็นอย่างไรบ้างนั้นไม่รู้ ชายหนุ่มกับทัชพลตามมาถึงโรงพยาบาลและนั่งรอฟังผลการรักษาอย่างใจจดใจจ่อ

                “ฉันเชื่อว่าทุกคนจะต้องปลอดภัย” ทัชพลคอยให้กำลังใจ ทว่าสีหน้าของเจ้าตัวก็เครียดขรึมไม่ต่างไปจากปวินท์ ในหัวมีแต่คำถามผุดขึ้นมากมาย

                “ตรัยไม่ใช่คนขับรถเร็วจนถึงขนาดเสียหลักพลิกคว่ำ มันเกิดขึ้นได้ยังไง” ปวินท์ตั้งข้อสังเกต 

                “ฉันได้ยินพยาบาลคุยกันว่าไม่มีคู่กรณี นั่นก็แสดงว่าตรัยขับรถคว่ำเอง ในงานเขาดื่มบ้างหรือเปล่า”

                “ไม่นะ เวลาทำงานดื่มไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทางโล่งๆ อย่างนั้น รถคว่ำได้ไงวะ หรือตัวอะไรวิ่งตัดหน้าเลยตกใจหักหลบ”

                “เก็บความสงสัยของแกเอาไว้ เพราะเราจะได้คำตอบก็ต่อเมื่อทุกคนปลอดภัยดีแล้ว”

                ขาดคำของทัชพล พยาบาลในห้องฉุกเฉินก็ผลักประตูออกมาเรียก ชายหนุ่มทั้งสองผุดลุกขึ้นพร้อมกัน

                “ญาติคุณตรัยค่ะ”

                “ผมครับ ผมเป็นพี่แฟนเขา” ปวินท์รีบบอกพร้อมก้าวเข้าไปสอบถามอาการ “สามคนนั้นเป็นไงบ้างครับ”

                “คุณปรารถนากับคุณประภามนท์หมอสั่งย้ายไปห้องไอซียูแล้วนะคะ ส่วนคุณตรัย...” สีหน้าของพยาบาลไม่สู้ดีนัก ปวินท์เม้มปากอย่างเป็นกังวล

                “ตรัยทำไมครับ อาการของเขาเป็นยังไง มีอะไรน่าห่วงหรือเปล่า”

                “แรงกระแทกทำให้อวัยวะภายในของคุณตรัยบอบช้ำและเสียหายมากค่ะ คุณหมอกลัวว่าจะทนอยู่ได้อีกไม่นาน รบกวนติดต่อญาติให้มาด่วนเลยได้ไหมคะ”

                ตรัยไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว พอตกลงคบหากับประภามนท์ ตรัยก็ย้ายตามคนรักมาเปิดสตูดิโอรับถ่ายรูปตามงานต่างๆ ทั่วจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียง ประภามนท์กับตรัยมีโครงการจะแต่งงานกันในอีกสามปีข้างหน้า และเรือนหอของสองคนนั้นก็กำลังสร้างอยู่ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ คุณพยาบาลบอกเขาว่าตรัยกำลังจะตายงั้นเหรอ

                ปวินท์ยืนอึ้ง สมองพร่าเบลอจับต้นชนปลายไม่ถูก ข่าวร้ายเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ผลจากอุบัติเหตุครั้งนี้รุนแรงเกินกว่าที่คิดไว้ เขากำลังจะเสียตรัยไป ในใจของปวินท์เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร 

                “เหลือเวลาอีกนานเท่าไรครับ” ปวินท์ถามเสียงแหบเครือ เขารักตรัยเหมือนน้องชายแท้ๆ ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะด่วนจากไปเช่นนี้ ประภามนท์ถูกย้ายไปห้องไอซียูแล้ว หากเป็นไปได้เขาอยากให้น้องสองคนมีโอกาสล่ำลากันในวาระสุดท้ายของชีวิต

                “ไม่นานค่ะ มีเลือดออกมากในปอด เขาอาจจะหยุดหายใจไปตอนไหนก็ได้ค่ะ”

                “ไม่มีวิธีรักษาเลยเหรอครับ” คำพูดของทัชพลแว่วผ่านหูเข้ามา ทว่าปวินท์ยังค้นหาคำพูดตัวเองไม่เจอ

                “หมอพยายามเต็มที่แล้วค่ะ คุณตรัยเรียกหาคนชื่อไปป์อยู่นะคะ ถ้าไม่มีญาติคนอื่น ก็เชิญคุณสองคนเข้าไปหาเขาเถอะค่ะ”

                ปวินท์กับทัชพลเข้ามายืนขนาบข้างเตียงของตรัย สภาพคนเจ็บทำให้สองหนุ่มใจหาย ใบหน้าและร่างกายของตรัยเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด เสียงเรียกของปวินท์ทำให้คนเจ็บพยายามปรือตาขึ้นมอง พอเห็นหน้าคนที่ต้องการเจอเป็นครั้งสุดท้ายตรัยก็ฝืนความเจ็บเผยยิ้มออกมา

                “เป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม” ปวินท์เสียงสั่น คว้ามือเย็นเฉียบของคนเจ็บกุมเอาไว้แน่น นัยน์ตาแดงก่ำ 

                “ผมคงอยู่ช่วยพี่ไปป์ดูแลแม่กับปาล์มต่อไม่ได้แล้ว” คนเจ็บฝากฝังอย่างรู้อาการตัวเองดี ตรัยค่อยๆ เบนหน้าไปทางทัชพล “ฝากปาล์มด้วยนะครับพี่ทัช ดูแลเขาให้ดีๆ นอกจากพี่ไปป์แล้วก็คงมีแค่พี่ทัชเท่านั้นที่ผมวางใจ”

                “ไม่ต้องห่วงนะตรัย” ทัชพลสัญญา สัมผัสถึงความโล่งอกและขอบคุณในแววตาที่อ่อนล้าของคนเจ็บ

                “เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ พวกพี่ระวังตัวด้วยนะครับ” เสียงของตรัยเริ่มเบาลง ทั้งยังมีอาการสำลักลมหายใจและไอออกมาเป็นเลือด “ระวังพวกนายกครองวิทย์ ยะ...อย่า...ไว้ใจคนบ้านนั้น”

                “อะไรนะ” ปวินท์ขมวดคิ้ว โน้มตัว เอียงหูฟังใกล้ๆ

                ตรัยรวบรวมลมหายใจเฮือก “ระวังครอง...วิทย์”

                ร่างของตรัยเกิดอาการสำลักอย่างรุนแรงอีกครั้ง มีเลือดออกทางปากและจมูก ปวินท์ตกใจรีบตะโกนเรียกหมอ เสียงสัญญาณอุปกรณ์ข้างเตียงร้องเตือนถี่ๆ บาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟัง พร้อมเส้นกราฟที่เริ่มลดต่ำจนกระทั่งราบเรียบ ปวินท์กับทัชพลถูกกันออกมานอกห้องระหว่างที่หมอกับพยาบาลช่วยกันยื้อลมหายใจของตรัยเอาไว้

                ปวินท์ยืนทำใจรอรับความสูญเสียครั้งใหญ่ ไม่นานพยาบาลคนเดิมก็เดินหน้าเศร้าออกมา ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าตรัยจากโลกนี้ไปแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อล้นขอบตา ตรัยนับเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง กำลังจะมีอนาคตที่สดใสกับคนรัก ช่วยกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุข เขาไม่ควรต้องมาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเฮงซวยนี่

                “คุณตรัยเสียแล้วค่ะ”

                “ไปป์” ทัชพลขยับเข้ามาจับแขนเพื่อน เมื่อปวินท์ทำท่าเหมือนจะยืนไม่อยู่ “แกไม่เป็นไรนะ”

                “ไม่...ฉันไม่เป็นไร” ปวินท์เช็ดน้ำตา ข่มความเสียใจถามนางพยาบาลไปว่า “ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

                “เราพบบัตรผู้บริจาคอวัยวะและร่างกายของคุณตรัยค่ะ ถ้าญาติยินยอมทำตามความตั้งใจของเขา เราก็จะนำอวัยวะส่วนที่ใช้ได้ปลูกถ่ายกับผู้ป่วยที่รอรับอยู่ค่ะ”

                ปวินท์พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ปวดร้าวไปทั้งใจ “ให้เป็นไปตามที่เขาตั้งใจไว้เถอะครับ”

                “งั้นเชิญเซ็นเอกสารด้านนี้เลยค่ะ”

 

                ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาปวินท์กับทัชพลช่วยกันจัดงานศพของตรัยจนกระทั่งถึงวันฌาปนกิจ ประภามนท์ได้รับอนุญาตจากคุณหมอเป็นกรณีพิเศษเพื่อมาร่วมงานศพของคนรัก หญิงสาวเหม่อลอยหัวใจสลาย นั่งร้องไห้สะอื้นฮักอยู่บนรถเข็นโดยมีพี่ชายคอยยืนปลอบใจอยู่ไม่ห่าง 

                ปวินท์สงสารทั้งตรัยที่จากไปแล้วและประภามนท์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ความเจ็บปวดครั้งนี้รวดเร็วเกินกว่าใครจะทำใจรับไหว แก้มทั้งสองข้างของประภามนท์นั้นเปียกชื้นชุ่มหยาดน้ำตาแทบตลอดเวลา เขาได้แต่ยืนมองน้องด้วยความห่วงใย บีบไหล่ให้กำลังใจกัน อย่างน้อยในวันนี้ประภามนท์ก็ยังมีพี่เคียงข้าง

                ผู้มาร่วมงานส่วนใหญ่ทยอยขึ้นวางดอกไม้จันทน์แล้วลากลับ โต๊ะเก้าอี้ถูกเก็บเข้าที่ ทว่าประภามนท์ยังไม่ยอมขยับไปไหน เธอนั่งมองกลุ่มควันพวยพุ่งออกจากปลายปล่องเมรุอย่างเลื่อนลอย ตั้งแต่รู้ข่าวการจากไปของคนรัก ก็แทบจะนับคำพูดเธอได้ หญิงสาวที่เคยสดใสกลับกลายเป็นคนอ่อนแอ เอาแต่ร่ำไห้ปล่อยน้ำตารินไหลราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ประภามนท์ดูเปราะบางจนน่าห่วง แม้เพียงสายลมพัดผ่านไหววูบก็อาจทำให้เธอปลิวไปไกลแสนไกล

                “กลับโรงพยาบาลก่อนไหม เสร็จธุระทางนี้พี่จะรีบตามไป” ปวินท์ลูบผมน้องสาวอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม

                “หนูขอนั่งส่งพี่ตรัยตรงนี้อีกสักพักได้ไหมคะ พี่ไปป์ไปส่งแขกเถอะ ไม่ต้องห่วง”

                “อยู่คนเดียวได้เหรอ” ปวินท์ย่อตัวนั่งลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับน้อง ใช้นิ้วโป้งช่วยเกลี่ยน้ำตาให้ “อยากส่งตรัยก็อย่าร้องไห้จนเขาเป็นห่วง”

                “หนูห้ามน้ำตาไม่ได้ค่ะ มันไหลของมันเอง คิดว่าพี่ตรัยน่าจะเข้าใจ” ประภามนท์ยิ้มทั้งน้ำตา พยายามที่จะเข้มแข็ง แต่มันยากเหลือเกิน “ขอหนูอยู่กับเขาเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ หลังจากวันนี้หนูจะไม่มีเขาอีกแล้ว”

                “ปาล์มยังมีพี่” ปวินท์ดึงตัวน้องสาวเข้ามากอด ประภามนท์สะอื้นจนตัวโยนน่าเวทนานัก

                “พี่ไปป์ พี่ตรัยเขาไม่อยู่กับหนูแล้ว เขาไม่อยู่แล้ว...”

                “แต่พี่ยังอยู่ เข้มแข็งไว้นะ ปาล์มยังมีพี่ มีแม่ มีคนที่รักปาล์มอีกหลายคน”

                คนเป็นพี่ไม่มีคำใดจะปลอบได้ดีกว่านั้น บางครั้งการรับฟังเงียบๆ อาจดีกว่าคำพูด วันนี้ประภามนท์อาจเสียใจ แต่เขาเชื่อว่าสักวันเธอจะดีขึ้น เวลาจะช่วยเยียวยาความเจ็บปวดและทำให้น้องสาวเขากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง

                “พี่ไปป์ไปดูความเรียบร้อยเถอะค่ะ คนงานอาจมีอะไรรอถามพี่ก็ได้ หนูไม่เป็นไรแล้ว” หลังจากร้องไห้จนพอใจหญิงสาวก็ผละออกจากอกพี่ ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา ก่อนจะฝืนยิ้มให้

                “แล้วพี่จะรีบกลับมา” ปวินท์จุมพิตหน้าผากน้องสาว ก่อนปลีกตัวออกไป

                ประภามนท์ยังคงนั่งเหม่อมองกลุ่มควันที่ค่อยๆ จางลง รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่มีเงาของใครคนหนึ่งมายืนทาบทับก่อนที่เขาจะย่อตัวนั่งลงพลางจับมือเธอบีบเบาๆ ราวกับจะถ่ายทอดพลังมาให้ ประภามนท์มองรอยยิ้มอ่อนโยนของทัชพลจนทำให้เธอต้องยิ้มตอบทั้งน้ำตา

                “ส่งแขกกลับหมดแล้วเหรอคะ”

                “เหลือกลุ่มสุดท้ายที่ยืนคุยกับไปป์ตรงนั้น” ทัชพลพยักหน้าไปทางศาลา “ปาล์มเป็นไงบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”

                ประภามนท์กระดูกขาขวาร้าวและหัวแตกจากการกระแทก เธอเป็นคนที่เจ็บน้อยที่สุด ในขณะที่คุณปรารถนาขาหักต้องผ่าตัดจัดเรียงกระดูกใหม่

                หลังจากช่วยกันจัดการเรื่องของตรัยที่โรงพยาบาลเรียบร้อย เขากับปวินท์ตามไปดูที่เกิดเหตุ เห็นแล้วอดใจหายไม่ได้ โชคดีเท่าไรที่ประภามนท์ยังรอดมานั่งอยู่ตรงนี้ ก่อนรถจะพลิกคว่ำลงนาได้เสียหลักหมุนไปชนกับต้นไม้ข้างทางจนขาดเป็นสองท่อน ฝั่งที่ชนเป็นฝั่งคนขับจึงทำให้ตรัยเจ็บหนักกว่าใครและเสียชีวิตในที่สุด

                “ยังมีเจ็บๆ บ้างค่ะ แต่ไม่มาก นั่งเฉยๆ บนรถเข็นก็พอได้อยู่”

                “เดี๋ยวพี่ไปส่งที่โรงพยาบาลนะ”

                ประภามนท์มองรอยคล้ำใต้ตาของทัชพลแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย หลายวันมานี้เธอรู้ว่าเขาก็คงงานยุ่งไม่ต่างจากพี่ชาย ทัชพลควรจะต้องหยุดทำอะไรได้แล้ว 

                “พี่ทัชพักบ้างเถอะค่ะ รู้ไหมว่าสภาพพี่กับพี่ไปป์แทบดูไม่ได้เลย”

                “เวลาพักยังมีอีกเยอะแยะ แขกกลับแล้วเราไปหาไปป์กันเถอะ พี่ช่วยเข็นให้นะ” ทัชพลลุกขึ้นเดินอ้อมไปด้านหลังรถเข็น 

ประภามนท์เงยหน้ามองกลุ่มควันสีจางเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มที่เข็นรถด้านหลังก็ทำเช่นเดียวกัน เขาสัญญาต่อดวงวิญญาณของตรัยว่าจะดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทัชพลจะปกป้องประภามนท์ด้วยชีวิต

 

                เสร็จงานศพของตรัยแล้ว ปวินท์พบว่าตัวเองมีงานเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว แม่และน้องสาวของเขายังพักอยู่ที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มต้องรับผิดชอบจัดการงานทั้งของน้องและของแม่ 

                เริ่มจากสั่งปิดบริการร้านเช่าชุดแต่งงานของประภามนท์ชั่วคราวจนกว่าเจ้าของร้านตัวจริงจะหายดี ส่วนคนที่จองชุดเอาไว้ก่อนหน้านี้ประภามนท์ขอให้เจ๊หวีช่วยดูแลแทน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่ใช้ชุดจากร้านเธอก็มักจะจ้างเจ๊หวีให้แต่งหน้าทำผมพ่วงไปด้วย นอกจากเธอกับตรัยก็คงจะมีแค่เจ๊หวีเท่านั้นที่จัดการต่อให้ได้ ส่วนเรื่องช่างภาพ ทีมงานของตรัยดูแลต่อได้อย่างไม่สะดุด ปวินท์จึงหมดห่วงเรื่องงานของประภามนท์

                เรื่องธุรกิจเงินกู้ของแม่เขาเป็นคนดูแลเอง แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องบัญชี แต่โชคดีที่คุณนายปรารถนาจัดการข้อมูลลูกหนี้ของตัวเองไว้อย่างเรียบร้อย กำหนดวันจ่ายดอกเบี้ยไว้อย่างชัดเจน ถึงวันตามรอบนัดเขาก็แค่ไปเก็บเงินมาบันทึกไว้ให้แม่ก็แค่นั้น

                ในส่วนคดีความยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คำพูดสุดท้ายของตรัยทำให้ปวินท์ฉุกคิด เรื่องนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล ตำรวจสอบปากคำแม่กับน้องเขาแล้ว และเช้าวันนี้สารวัตรวรวิชก็เรียกให้เขาเข้าไปรับทราบความคืบหน้า

                ปวินท์กับทัชพลไปถึงสถานีตำรวจสารวัตรหนุ่มก็เชิญเข้าห้องปิดประตูคุยกันอย่างเป็นส่วนตัว และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนโดยเด็ดขาด

                “ผมอ่านรายงานผลการสอบปากคำของป้าปิ๋มกับปาล์มแล้วนะครับ จากหลักฐานการตรวจสอบตัวรถ เรื่องนี้ไม่สามารถสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุได้”

                “สารวัตรกำลังจะบอกว่า...”

                “มีคนจงใจทำให้มันเกิดขึ้นครับ”

                สารวัตรวรวิชเป็นนักเรียนดีเด่นที่เคยได้รับทุนการศึกษาจากคุณปรารถนาที่ส่งเสียจนเรียนจบชั้นมัธยม สารวัตรหนุ่มจึงให้ความเคารพสมาชิกทุกคนในบ้านปรานต์ปราณนต์ เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้จึงต้องมีการสอบสวนอย่างละเอียดรอบคอบ หากเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดาที่ตรวจสอบไม่พบเงื่อนงำอะไรก็สรุปสำนวนปิดคดีได้ ทว่าเรื่องนี้ยังมีความผิดปกติอยู่หลายจุด

                “ป้าปิ๋มกับปาล์มพูดตรงกันว่ามีคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ตีประกบคู่และกำลังจะลงมือยิง แต่เพราะป้าปิ๋มเป็นฝ่ายยิงคนร้ายก่อน กระสุนของคนร้ายจึงพลาดไปโดนล้อรถและทำให้เสียหลักพลิกคว่ำ”

                “มีอะไรที่มากกว่านี้อีกไหม”

                “มีครับ และมันก็ช่วยยืนยันด้วยว่าคดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ” สารวัตรหนุ่มประสานสายตากับปวินท์ ก่อนเฉลย “ตอนเกิดเหตุเบรกรถไม่ทำงาน ไม่พบแม้แต่รอยยาง นั่นอาจหมายถึงมีคนจงใจทำให้มันเกิดขึ้น หรือบังเอิญเครื่องยนต์ขัดข้องตอนนั้นพอดีซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ครับ”

                “เพราะอย่างนี้นี่เอง ฉันถึงไม่เห็นรอยเบรกรถเลย” ทัชพลหมดข้อกังขาหันมาทางเพื่อนก็เห็นปวินท์ยืนกำหมัดแน่น

                “คราวนี้เราต้องมาดูกันว่าอะไรคือแรงจูงใจและเป้าหมาย คนร้ายคือใครกันแน่ ทางตำรวจตั้งไว้หลายประเด็นนะครับ คนร้ายอาจเป็นหนึ่งในลูกหนี้ของป้าปิ๋ม หรือคนที่มีความขัดแย้งมุ่งทำร้ายคนในครอบครัวของพี่ ถ้ามันตั้งใจฆ่าแม่พี่จริง ตอนนี้ผมก็ต้องขอเตือนว่าแม่พี่ไม่ปลอดภัย แต่การที่เบรกรถมีปัญหาก็ทำให้คิดแยกได้ไปอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือคนร้ายอาจจะไม่ต้องการแค่ชีวิตแม่พี่คนเดียว”

                “แต่ปาล์มกับตรัยไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใครมาก่อน ทำไมถึงต้องทำร้ายสองคนนี้ด้วย”

                “คำสารภาพจากปากคนร้ายเท่านั้นครับที่จะตอบทุกคำถามของเรา”

                “ภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีเบาะแสอะไรบ้างเลยเหรอ เส้นทางของมอเตอร์ไซค์คันนั้นล่ะ มุ่งหน้าไปทางไหน” ปวินท์ซักถามอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้แรงจูงใจก่อเหตุมันกว้างเกินกว่าจะจับจุดได้

                “ทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์เป็นของปลอม คนร้ายใส่หมวกปิดหน้ามิดชิด สืบตามเส้นทางของรถก็ไม่พบอะไรเพิ่ม ระยะการจับภาพหายไปช่วงหนึ่ง โผล่มาอีกทีพวกมันก็หายไปอย่างกับล่องหน”

                “ระยำ!” ปวินท์ตบโต๊ะอย่างโกรธจัด ทุกอย่างมืดแปดด้านไปหมด ถ้าคนร้ายเจาะจงแค่แม่ มันจะสืบง่ายกว่านี้ แต่ถ้ามันต้องการชีวิตคนในครอบครัวเขาทั้งหมด มันทำไปเพื่ออะไร อยากรู้นักว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ “จะต้องทำยังไงถึงจะได้ตัวคนร้ายอย่างไวที่สุด”

                “ก็ถ้ามันมีเป้าหมายทำร้ายคนในครอบครัวของพี่ ทางที่เร็วที่สุดคือเราต้องใช้เหยื่อล่อ”

                “เหยื่อล่องั้นเหรอ” ปวินท์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ เขาไม่อยากเอาชีวิตใครมาเสี่ยง “พี่เพิ่งจะเสียตรัยไป ส่วนแม่กับปาล์มก็ยังต้องนอนอยู่โรงพยาบาลอีกนาน ถ้าจะมีเหยื่อเหมาะที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นตัวพี่เองนี่แหละ สารวัตรบอกมาเถอะ พี่ต้องทำยังไง”

                “ผมเกรงว่าเป้าหมายของคนร้ายจะไม่ใช่พี่ไปป์นะครับ” สารวัตรบอกไปตามความรู้สึก “คนร้ายจงใจขับรถตามประกบยิง ซึ่งรถคันนั้นเป็นของคุณตรัย ไม่ใช่รถปาล์มหรือรถป้าปิ๋ม แค่บังเอิญว่าสองคนนั้นโดยสารมาด้วย แสดงว่ามันต้องรู้ว่าสามคนนั้นจะกลับด้วยกัน ผมคิดว่าเรื่องนี้มันตั้งใจเล่นงานคนในครอบครัวพี่มากกว่านะครับ แต่ถึงงั้นผมก็อยากให้พี่ไปป์ระวังตัวหน่อย”

                “ครอบครัวพี่ก็มีกันอยู่แค่นี้แหละ ถ้าเอาตัวเองล่อคนร้ายไม่ได้ พี่ก็ไม่รู้จะไปหาใครแล้ว บอกตรงๆ นะถึงจะอยากได้ตัวคนร้ายเร็วๆ ก็จริง แต่พี่ก็ไม่อยากเอาชีวิตใครมาเสี่ยง”

                “ผมแค่เสนอเพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งน่ะครับ”

                ขณะที่ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ เสียงโทรศัพท์ของปวินท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มเห็นเป็นชื่อศาสวัตจึงรับสาย เจ้าบ่าวหมาดๆ สอบถามความคืบหน้า กำหนดการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของศาสวัตกับสิรดาต้องเลื่อนออกไปเพราะเจ้าบ่าวอยากอยู่ช่วยปวินท์มากกว่าทิ้งเพื่อนไปมีความสุข

                “ว่าไงศาส เออ ฉันกำลังนั่งคุยกับสารวัตรอยู่ ได้ เสร็จแล้วจะแวะเข้าไปคุยด้วยที่ร้าน” ปวินท์บอกก่อนจะวางสาย 

                ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ ถอนใจยาว เอนหลังทิ้งร่างพิงเก้าอี้

                “นอกจากหาเหยื่อล่อ สารวัตรมีทางอื่นอีกไหม”

                “ก็เริ่มจากคนที่น่าสงสัยได้นะครับ ว่าแต่พี่ไปป์สงสัยใครบ้างไหม” สารวัตรย้อนถาม

                ปวินท์ถอนใจส่ายหน้า คำพูดของตรัยมันก็ไม่มีมูลเหตุอะไรเสียด้วย ถ้าเขารู้ว่าตรัยเตือนเพราะอะไร ชื่อของนายกครองวิทย์ก็คงหลุดออกจากปากไปแล้ว แต่นี่...

                “พี่ไม่อยากกล่าวหาใครลอยๆ ตอนนี้ ขอแน่ใจกว่านี้อีกหน่อยนะสารวัตร”

                “งั้นผมจะเริ่มสืบตามหลักฐานที่เรามีอยู่นะครับ”

                “อืม...ลองสืบดูก่อนเผื่อจะเจอเบาะแสอะไรเพิ่มเติม รบกวนหน่อยนะวิช คนร้ายพี่ก็อยากได้ แต่แผนเหยื่อล่อนี่พี่ว่าน่าจะเพิ่มปัญหาให้หนักมากกว่าเดิม”

                “ได้ครับ งั้นก็เอาตามนี้ก่อน”

                “ขอบใจนะที่ช่วยตามเรื่องให้”

                “ป้าปิ๋มมีบุญคุณกับผมมาก ผมสัญญาว่าจะตามหาตัวคนร้ายให้ได้ครับ”

                ปวินท์ซาบซึ้งในน้ำใจของสารวัตรวรวิช แล้วเขาก็อดคิดถึงแม่ขึ้นมาไม่ได้ คุณนายปรารถนาอาจจะใจบุญมากเกินไปในสายตาของเขา แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่แม่ทำไม่สูญเปล่า ความมีน้ำใจของแม่ย้อนกลับมาตอบแทนแล้ว ปวินท์มั่นใจว่าสารวัตรวรวิชจะไม่ยอมปล่อยมือจากคดีนี้เด็ดขาดจนกว่าจะได้ตัวคนร้ายมาลงโทษ เขาเองก็จะไม่หยุดเช่นกัน

                “อย่าให้ฉันรู้ว่ามันเป็นใคร ไอ้พวกไม่มีเงาหัว รู้จักเสี่ยไปป์น้อยไปซะแล้ว”

 

                ปวินท์แยกกับทัชพลที่หน้าโรงพัก ที่ไซต์งานแห่งหนึ่งมีปัญหา ทัชพลจึงต้องไปดูด้วยตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังขับรถมาส่งที่ร้านของศาสวัตและบอกว่าถ้าเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบกลับมาคุยด้วย

                “แกคิดว่าฉันจะได้คุยกับมันไหมวันนี้” ศาสวัตกับปวินท์ยืนมองท้ายรถของทัชพลที่แล่นออกไป

                “งานหน้าไซต์จะเอาอะไรแน่นอนล่ะ แกก็ทำเป็นไม่เคยไปได้ มีธุระอะไรกับมันหรือเปล่า”

                “เปล่า แค่อยากคุยกันพร้อมหน้าพร้อมตา”

                ปวินท์เอียงคอมองเพื่อนยิ้มๆ “ตั้งแต่มีเมียเนี่ย แกดูรักพวกฉันขึ้นเยอะเลยนะไอ้ศาส”

                “ฉันรักเสี่ยมาตั้งนานแล้วไม่รู้หรือไง ไปนั่งคุยกันในห้องเย็นๆ ดีกว่า สารวัตรว่าไงบ้าง”

                แล้วเรื่องราวในห้องทำงานของสารวัตรก็ถูกถ่ายทอดให้ศาสวัตฟังอย่างละเอียด เจ้าของร้านวัสดุภัณฑ์นั่งเกาคางครุ่นคิด

                “วิธีของสารวัตรก็ไม่เลวนะเสี่ย”

                “หาเหยื่อล่อน่ะเหรอ ล่อใครล่ะ ถ้าพอมีคนน่าสงสัยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่จะเอาเหยื่อไปล่อใครก็ไม่รู้ ผิดพลาดขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ มันเสี่ยงนะศาส ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาเจอจุดจบอย่างตรัย แล้วก็อีกอย่างนะ ฉันไม่มีคนในครอบครัวเหลือไปล่อเหยื่อคนร้ายแล้ว” ปวินท์ถอนหายใจ คิดอะไรไม่ออก

                “ก็จริงของแก แต่เป็นไปได้ไหม ถ้าแกเพิ่มคนในครอบครัวเข้าไปอีกสักคน”

                คิ้วเข้มของปวินท์ขมวดเข้าหากัน ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “คนในครอบครัวนะโว้ยไม่ใช่คนในบริษัท ฉันจะได้เพิ่มเข้าหรือเอาออกง่ายๆ แบบที่ว่า”

                “แหม...เสี่ย แกก็อย่าใสซื่อให้มันมากนัก ฉันหมั่นไส้ ไอ้การเพิ่มสมาชิกใหม่ในครอบครัวเนี่ย ง่ายนิดเดียว”

                “ยังไงวะ”

                “เสี่ยก็แค่หาสาวสวยมาร่วมใช้นามสกุลปรานต์ปราณนต์สักคนสิ แค่นี้แกก็จะมีญาติใกล้ชิดมิตรร่วมเตียงเพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว ง่ายจะตาย” ศาสวัตเสนอความคิดสุดบรรเจิด

                “ร่วมเตียง ร่วมนามสกุล? หมายถึงแกจะให้ฉันมีเมียงั้นเหรอ”

                “เออ”

                “ต้องจดทะเบียนใช้นามสกุลของฉันด้วย” นั่นหมายถึงว่าสินสมรสต้องหารสอง

                “เพื่อความสมจริงไง”

                “เฮ้อ...” คนต้องการญาติด่วนถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันนึกว่าจะได้ความคิดอะไรที่ดีกว่านี้ แกนี่นะ เอะอะจะให้ฉันหาเมียตะพึด โวะ!”

                “ไม่ดีหรือไง แกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา แม่แกก็อยากให้มีเมียนี่นา จังหวะนี้ละเหมาะสมลงตัว”

                “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะไอ้ศาส มันอันตราย เกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะ นั่นเมียฉันทั้งคนนะโว้ย ฉันเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา”

                “แกก็คอยดูแลเฝ้าระวังให้เขาสิ”

                “ก็แบบนี้ไงฉันถึงว่ามันจะเพิ่มปัญหามากกว่าแก้ปัญหา วิธีนี้ไม่เวิร์กแน่”

                ปวินท์กลอกตาไปมา ขณะที่ศาสวัตหน้ายุ่ง ย้อนถาม

                “แล้วแกมีวิธีที่ดีกว่าฉันไหมล่ะ”

                คราวนี้ปวินท์นิ่งอึ้งบ้าง

                “เห็นมะ แกก็คิดไม่ออก ยิ่งไอ้ทัชนี่อย่าหวังเลยในหัวมีแต่งาน” ศาสวัตได้ทีขี่แพะไล่ ขยิบตาใส่เพื่อนอย่างเจ้าเล่ห์ “เชื่อพี่ เดี๋ยวดีเอง”

                “ฟังฉันนะไอ้ศาส สมมติว่าฉันเอาด้วย หาใครสักคนมาอุปโลกน์เป็นเมีย แล้วแกคิดว่าเรื่องมันจะง่ายนักหรือไงวะจู่ๆ ก็มีเมียโผล่เข้ามา ใครเขาจะเชื่อว่าไม่มีอะไรเบื้องหลัง”

                “คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างสิ เรื่องนี้ไม่ยากเลย เสี่ยไปป์กำลังคุยอยู่กับใครครับ แกลองมองหน้าฉันแล้วคิดตามนะ แกเคยเชื่อไหมว่าฉันจะแต่งงาน” ศาสวัตเห็นเพื่อนส่ายหน้าก็ดีดนิ้วพลางยิ้มกว้าง “นั่นไง ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน แต่ฉันก็มีเมียแล้ว ไอ้ทฤษฎีปุบปับรับเมียเนี่ยมันจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ถ้าจังหวะมันใช่ ใครก็เถียงไม่ขึ้น”

                “แล้วฉันจะไปหาเมียมาจากไหน วานท่านผู้รู้ช่วยชี้ทางสว่างหน่อย”

                “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เมียเสี่ยไปป์น่ะหาง่าย พอๆ กับร้านโอเลี้ยงหน้าปากซอย แค่ขับรถไปก็เจอแล้ว”

                “ง่ายเกินไปมั้ง”

                “ง่าย ไม่ง่าย ฉันก็มีคนที่ช่วยหาเมียเหมาะๆ ให้แกได้ก็แล้วกัน แถมน่าเชื่อแบบไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยอีกด้วย”

                ปวินท์ยังไม่ปักใจเชื่อ ต้องมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ดีกว่าการเอาใครสักคนมาเป็นเหยื่อล่อ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครยอมอย่างเต็มใจหรอก อันตรายและไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายอะไรบ้าง

                ชายหนุ่มคิดอย่างมืดมนจนด้วยหนทาง ขณะที่คนเจ้าแผนการอย่างศาสวัตยิ้มกริ่มกับไอเดียสุดบรรเจิดเถิดเทิงของตน...

 

                หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปคดียังไม่มีอะไรคืบหน้า ส่วนแผนการของศาสวัตนั้นก็ยังคงเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งที่ปวินท์ยังคงยืนกรานไม่เห็นด้วย

                ปวินท์เลิกงานกลับมานั่งอ่านรายชื่อลูกหนี้ที่เขาจะต้องออกเก็บดอกเบี้ยรอบต่อไป จักรวาลลูกหนี้ของเจ๊ปิ๋มยิ่งใหญ่ยืดยาวราวกับมหากาพย์ ใครจะคิดว่าลูกหนี้ของแม่จะมากมายหลายร้อยอย่างนี้ หากจัดการไม่ดีมีหวังเขาคงปวดหัวตาย ต้องชื่นชมในความสามารถการบริหารเงินตราของแม่จริงๆ

                หากสารวัตรวรวิชยังมุ่งปมมาที่ลูกหนี้ของแม่ เขาก็แอบรู้สึกห่วงใยเจ้าของคดีอยู่ไม่น้อยที่จะต้องเรียกผู้คนกว่าครึ่งค่อนจังหวัดมาพบเพื่อสอบปากคำ

                ทว่าหนึ่งในบรรดารายชื่อลูกหนี้ของเจ๊ปิ๋ม ชื่อ นางกัญญา บุริมนาถ ดึงดูดความสนใจของปวินท์ได้มากที่สุด เขาไม่อาจละสายตามองข้ามชื่อนั้นไปได้และเกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีทันใด เจ๊หวียืมเงินแม่ไปทำอะไรตั้งสามแสน จำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ แถมประวัติการส่งดอกก็ดูจะมีปัญหาเพราะค้างชำระอยู่หลายงวด

                พอเห็นชื่อเจ๊หวี ปวินท์ก็นึกไปถึงคำพูดของศาสวัตขึ้นมาอีกครั้ง จนป่านนี้แล้วสารวัตรวรวิชก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และเขายังหาวิธีที่ดีกว่าการใช้เหยื่อล่อไม่ได้ 

                เขาจะทนอึดอัดแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน หากจำเป็นก็คงต้องเอาตามที่ศาสวัตเสนอ แต่เรื่องนี้จะต้องรอบคอบให้มากโดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ชายหนุ่มถอนหายใจยืดยาว พอคิดว่าต้องมีเมีย เขานึกภาพผู้หญิงที่จะมารับบทนั้นไม่ออกจริงๆ ใครหนอจะเหมาะสมกับตำแหน่งลูกสะใภ้เจ๊ปิ๋ม 

                ความคิดชั่วขณะหนึ่ง ชื่อของนลินวูบผ่านเข้ามา นั่นคือผู้หญิงคนเดียวที่เข้าใกล้คำว่าลูกสะใภ้เจ๊ปิ๋มมากที่สุด ครูหลินเรียบร้อย อ่อนหวาน เข้ากับแม่เขาได้ แม้ว่าช่วงหลังที่เลิกรากันไป แม่ดูไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงอีกฝ่ายก็ตาม ไม่ใช่แค่เขาที่อกหักคนเดียวหรอก พอทราบถึงเหตุผลของนลินที่ตัดสินใจทิ้งเขาไป เจ๊ปิ๋มก็ผิดหวัง ทำท่าจะอกหักหนักกว่าเขาเสียอีก

                เมื่อคนที่คิดอยากแต่งด้วยกลายเป็นของต้องห้าม ปวินท์จำต้องมองหาตัวเลือกใหม่ ชายหนุ่มคิดจะวานให้เพื่อนสนิทมาช่วยเล่นละคร แต่เมื่อคิดถึงความปลอดภัยก็ต้องล้มเลิกแผนการทุกครั้ง จะด้วยความละอายใจหรือความรู้สึกผิด แต่ทุกชีวิตมีค่าเกินกว่าจะเอามาเสี่ยง

                “ยุ่งอยู่หรือเปล่า” ปวินท์ว้าวุ่นจนต้องโทรศัพท์ไปหาทัชพล

                “เปล่า เพิ่งรดน้ำต้นไม้รอบๆ บ้านเสร็จ มีอะไรหรือเปล่า เสียงแกฟังดูไม่ดีเลยนะไปป์”

                “ฉันเพิ่งเปิดบัญชีลูกหนี้ของแม่ เจ๊หวีกู้เงินแม่ไปสามแสน”

                “แกจะเอาเจ๊หวีมาเป็นเมียแล้วให้ไปล่อคนร้ายแบบที่ไอ้ศาสแนะนำเหรอ” ทัชพลหัวเราะเบาๆ พอได้ยินเสียงถอนหายใจของเพื่อน เสียงหัวเราะก็เบาลง

                “ฉันเครียดจริงๆ นะทัช หลายวันแล้วคดีก็ไม่คืบหน้า”

                “แสดงว่าแกเริ่มมีใจกับวิธีของสารวัตรกับไอ้ศาส”

                “ฉันอยากปรึกษาแกดู ในเมื่อเจ๊หวีติดหนี้แม่ฉันอยู่ ฉันจะได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้บ้างต่างหาก”

                “ประโยชน์ของเจ๊หวีก็มีแต่หาเมียให้แกนั่นแหละ”

                ปวินท์เงียบเพราะคิดไม่ตก

                “ฉันรู้ว่าแกไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ลองคุยกับเจ๊หวีดูก่อนดีไหม แล้วค่อยๆ ลงรายละเอียดกัน”

                เสียงถอนหายใจของชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบในห้อง เขาจะไม่ยอมอยู่เฉยนั่งรอให้โชคช่วย ก็ในเมื่อไม่มีทางอื่นแล้ว ลองพึ่งเจ๊หวีดูสักทีจะเป็นอะไรไป 

                ปวินท์นึกวาดภาพเมียในใจ จะต้องเป็นผู้หญิงที่ว่าง่าย ใจถึง กล้าเสี่ยงอันตราย และจะต้องมีทักษะด้านการแสดงสักนิด เพื่อทุกคนจะได้เชื่อสนิทใจว่าเจ้าหล่อนคือเมียที่พรหมลิขิตขีดเขี่ยมาให้เขาจริงๆ

                “งั้นเราไปหาเจ๊หวีกัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น