2

2

2

 

                ปวินท์ ปรานต์ปราณนต์ ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อเนื้อหอมที่สุดในจังหวัดก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมที่เขามีหุ้นส่วนอยู่ สายตาคมจับจ้องอักษรสีทองตวัดหางม้วนตัว เคียงคู่กันอย่างอ่อนช้อยโอบล้อมด้วยดอกไม้หลากหลายสีสันที่บรรจงจัดอย่างสวยงาม เขาไม่แปลกใจเลยที่เจ้าภาพฝ่ายชายจะยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมอย่างนั้น นี่ถ้ามันยกสวนบุปผชาติมาได้ก็คงจะสั่งให้ออร์แกไนซ์ยกมาอย่างไม่ลังเล

                ปวินท์ไม่ใช่พวกนิยมชมชอบการออกงานสังคม ยกเว้นเสียแต่จะเลี่ยงไม่พ้น ซึ่งแม้ว่าในความเป็นจริงเขาจะพยายามเลี่ยงแล้ว ทว่าในแต่ละเดือนก็ยังมีงานให้ต้องพบปะผู้คนอยู่บ่อยครั้ง เขาไม่ได้มีปมอะไรกับการเข้าสังคมหรอก เพียงแค่ไม่ชอบปั้นหน้าพะเน้าพะนอพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่คอยแต่จ้องจะอาศัยผลประโยชน์จากกิจการของเขา 

                ในจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้การหลบลี้หนีหน้าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง ปวินท์ต้องทนทั้งที่ไม่อยาก แต่สำหรับงานนี้เขายิ่งกว่าเต็มใจ ปวินท์ยินดีที่จะรับบทเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงานของศาสวัต หนุ่มโสดคนแรกในกลุ่มที่มีเมียอย่างเป็นทางการ หากขาดสักขีพยานอย่างเขาไปไอ้ศาสมันคงเคืองยันลูกบวช

                “เสี่ยไปป์” เจ้าบ่าวมองเห็นเขาก็รีบโบกมือเรียก

                คนที่มักจะถูกเรียกว่าเสี่ยมองรอยยิ้มไม่ยอมหุบของเพื่อนรัก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวันนี้มันมีความสุขขนาดไหน หรือนี่จะเป็นบุพเพสันนิวาสอย่างที่ไอ้เจ้าบ่าวเคยบอกไว้

                จนถึงป่านนี้ปวินท์ยังไม่ค่อยอยากเชื่อเลยว่าไอ้ตัวกะล่อนจะเป็นเพื่อนคนแรกในกลุ่มที่สละโสด แต่ภาพไอ้ศาสในสูทสีขาวดูเรียบร้อยที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ช่วยยืนยันกับปวินท์ว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นเรื่องจริง ข้างกายไอ้ศาสก็เป็นสิรดาเจ้าสาวสุดสวาทขาดใจดิ้นของมันจริงๆ

                ปวินท์เป็นเพื่อนกับศาสวัตมาตั้งแต่เข้าเรียนชั้นอนุบาล นิสัยใจคอมันเป็นยังไงเขาย่อมรู้ดี ศาสวัตในวันนี้ดูอ่อนโยนเป็นคนละคนกับไอ้เสือศาสที่เขาเคยรู้จัก อานุภาพความรักช่างรุนแรงเหลือหลาย สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ราวกับพลิกฝ่ามือ

                ศาสวัตเป็นวิศวกรและยังเป็นเจ้าของร้านวัสดุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในจังหวัด ส่วนสิรดาเป็นคุณครูอนุบาลของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ทั้งคู่โคจรมาเจอกันด้วยวิธีสุดคลาสสิก เรื่องมันเริ่มจากแม่ไอ้ศาสอยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา หลังจากปล่อยให้มันออกล่าเหยื่อมานาน แล้วแม่ของเพื่อนรักก็หันหน้าไปพึ่งพาเจ๊หวีแม่สื่อมือฉมังที่ว่ากันว่าฝีมือการจับคู่เป๊ะปังยิ่งกว่าแอปทินเดอร์

                และนี่คือผลงานชิ้นเอกของเจ๊หวี แม้ว่าการจับคู่ระหว่างศาสวัตกับสิรดาจะค่อนข้างเหลือเชื่อแต่ไม่ค้านสายตาเลย แขกทั้งงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคู่บ่าวสาวเหมาะสมยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก

                ถึงแม้การแต่งงานครั้งนี้จะเริ่มจากการแนะนำของแม่สื่อ แต่ปวินท์ก็เชื่อว่าหลังจากทั้งคู่รู้จักกันมันคือความรักอย่างไม่ต้องสงสัย ศาสวัตเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อรู้จักกับสิรดา ปวินท์ทำใจอยู่นานกว่าจะยอมเชื่อทฤษฎีที่ว่า คู่กันแล้วต่อให้ต่างกันสุดขั้วมันก็ต้องมีจุดเชื่อมโยงถึงกัน ทำให้มาประสบพบเจอกัน รักกันอยู่ดี 

                ใครจะไปคิดละว่าเสือร้ายจะยอมถอดเขี้ยวเล็บลงเอยกับครูสาว กระทั่งตัวไอ้เจ้าบ่าวเองก็เถอะ ตอนแรกเขายังได้ยินไอ้ศาสปากดีพูดบ่ายเบี่ยงติติงสาวเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็อย่างที่เห็น ไอ้เสือศาสไปไหนไม่รอดกลายเป็นศาสสิ้นลายซะแล้ว

                ปวินท์เดินเข้าไปหาเพื่อนและยังคงมองภาพเจ้าบ่าวที่คอยดูแลเจ้าสาวอย่างใกล้ชิด เดี๋ยวช่วยจัดกระโปรงให้ถ่ายรูปออกมาสวยงาม เดี๋ยวคอยช่วยซับเหงื่อที่ซึมออกมาข้างขมับ เกี่ยวก้อยกันหวานชื่นน่าอิจฉา สายตาเจ้าบ่าวเต็มไปด้วยความรักเปี่ยมล้นเวลาที่มองเจ้าสาว ศาสวัตเป็นแบบอย่างคนคลั่งรักที่แท้จริง

                “สวัสดีค่ะพี่ไปป์” สิรดาไหว้เพื่อนสามีด้วยท่าทีอ่อนช้อย งดงาม อ่อนหวาน เมียไอ้ศาสเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว แล้วตัดภาพมาที่เจ้าบ่าวเพื่อนเขาสิ โจรปล้นสวาทชัดๆ

                “ฝากดูแลไอ้ศาสด้วยนะครูสิ” ปวินท์รับไหว้พลางยื่นกล่องของขวัญให้เจ้าสาวแล้วตบไหล่หยอกล้อเพื่อนรัก “เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเมียนะแกน่ะ”

                “แหมเสี่ย ฉันออกจะเป็นคนดี ไม่มีทางทำให้สิเสียใจแน่นอน ไม่เชื่อไปถามเจ๊หวีได้”

                “ดีแตกละสิไอ้เสือ” ชายหนุ่มว่ายิ้มๆ มองเข้าไปในงานก็เห็นแม่สื่อยืนคุยกับประภามนท์น้องสาวเขา

                ประภามนท์สนิทกับเจ๊หวีเพราะทำงานร่วมกัน ส่วนคุณนายปรารถนาแม่ของเขานั้นก็สนิทสนมกลมเกลียวกับคุณกัญญายิ่งกว่า ความสัมพันธ์ของเจ๊ปิ๋มกับเจ๊หวีเหนียวแน่นประดุจญาติพี่น้อง ทั้งสองผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยยังสาว คงมีแค่เขาคนเดียวในบ้านละมั้ง ที่รู้จักกับแม่สื่อคนนี้ผิวเผิน ปวินท์เคยไปส่งแม่ทำผมที่ร้านเจ๊หวีบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยได้นั่งคุยกับเจ๊หวีจริงๆ จังๆ สักที

                ก็ไม่ใช่แต่คู่ของศาสวัตกับสิรดาหรอกที่เป็นผลงานการจับคู่อันลือลั่น เพราะถ้าหากจะนับกันจริงๆ งานแรกที่ทำให้เจ๊หวีได้แจ้งเกิดในฐานะแม่สื่อคือการจับคู่ให้พ่อกับแม่ของปวินท์นั่นเอง

                ย้อนไปสามสิบกว่าปีที่แล้ว คุณปองพล เป็นนายช่างรับเหมาก่อสร้าง ส่วนคุณนายปรารถนาหรือเจ๊ปิ๋มของลูกหนี้เกือบครึ่งค่อนจังหวัดเป็นพนักงานบัญชี เจ๊หวีชักนำให้พ่อกับแม่เขารู้จักกัน รักกัน ก่อนแต่งงานอยู่กิน มีลูกชายหญิงไว้สืบทอดวงศ์ตระกูล

                น่าเสียดายที่พ่อเสียชีวิตจากไปหลายปีแล้ว แม่จึงเป็นเสาหลักคอยประคับประคองครอบครัวให้ดำเนินกิจการต่อไปอย่างเข้มแข็ง จนกระทั่งปวินท์เข้ามารับช่วงดูแลบริษัทปองพลคอนสตัคชันของครอบครัวต่อ คุณนายปรารถนาจึงเกษียณตัวเองมาเก็บดอกผลจากการปล่อยเงินกู้

                ปวินท์ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่เขาไม่ชอบงานของแม่ แม้จะรู้ว่าแม่อยากช่วยทุกคนที่ลำบากยากไร้ แต่เรื่องเงินทองมันล่อแหลมเกินไป นอกจากเสี่ยงถูกโกงแล้วก็ไม่แน่ว่าพวกลูกหนี้ตัวแสบของแม่จะสร้างความวุ่นวายอะไรอีก ตอนเดือดร้อนมาขอยืมเงินก็อ่อนน้อมดีหรอก แต่ตอนไปตามทวงต้นทวงดอกฝ่ายเจ้าหนี้แทบจะต้องคลานเข่ากราบกราน

                น้องสาวของปวินท์ไม่ได้เข้ามาช่วยงานในบริษัทอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ประภามนท์มีกิจการร้านเช่าชุดแต่งงานที่ต้องดูแลร่วมกับ ตรัย คนรักที่เป็นช่างภาพ ในใจของปวินท์นั้นอยากให้ทั้งคู่แต่งงานกันเร็วๆ หากมีหลานให้เลี้ยงดู บางทีคุณนายปรารถนาอาจจะเลิกปล่อยเงินกู้ก็ได้

                “สินึกว่าพี่ไปป์จะควงใครมาเปิดตัวซะอีก”

                เสียงกระเซ้าของเจ้าสาวทำให้ปวินท์ยิ้ม เลื่อนสายตาไปทางเพื่อนรัก “พี่ไม่มีแฟนคลับเยอะเหมือนไอ้ศาสหรอก ครูสิจับตาดูให้ดีนะ ถ้ามันดื้อนักก็หวดให้หนักๆ ไปเลย”

                “ไม่เสี้ยมกันสิครับเสี่ย แหม...เมียฉันออกจะใจดีมีเมตตา แกจะมายุยงให้ตีฉันตั้งแต่วันแต่งได้ไง แล้วไหนไอ้ทัชล่ะ” ศาสวัตมองหาเพื่อนอีกคน

                “กำลังมา เดี๋ยวก็ถึง” ยังไม่ทันขาดคำ ปวินท์ก็เห็นทัชพลเดินเข้ามาในงาน ชายหนุ่มพยักพเยิดไปตรงทางเข้า “นั่นไง ไอ้หมอนี่มันตายยากเนาะ”

                “พวกแกเนี่ยนะ เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวภาษาอะไรวะ แต่งตัวกันนานฉิบ แล้วโผล่มากันแต่ละที สาวๆ ในงานงี้สะกิดแขนกันแทบถลอก ขโมยซีนกันเห็นๆ นี่งานฉันนะโว้ย”

                “วันนี้ไม่มีใครหล่อเกินไปกว่าพี่ศาสหรอกค่ะ” สิรดายิ้มให้กำลังใจเจ้าบ่าวอย่างอ่อนหวาน

                “ครูสิไปพูดงั้นเดี๋ยวมันก็ลอยหรอก ดูสายตาที่มันมองครูสิซะก่อน ไอ้นี่มันไม่น่าไว้ใจ คืนนี้ต้องมีแผนร้ายแน่ๆ” ปวินท์แกล้งพูดแหย่

                “คืนส่งตัวเข้าหอจะธรรมดาได้ไงวะ” ศาสวัตหัวเราะฮึๆ มองเจ้าสาวตาวาว จนสิรดาเมินหน้าหลบตาด้วยความขัดเขิน

                “เฮ้อ...เบาๆ โว้ย ไอ้เจ้าบ่าว เห็นใจพวกฉันที่ยังโสดๆ กันบ้าง”

                “อยากสละโสด โปรดติดต่อเจ๊หวี ของเขาดีจริงๆ นะเสี่ย”

                “งั้นเชียว”

                ศาสวัตโอบไหล่เจ้าสาวยืนยันคำตอบ “ดี ไม่ดี ฉันก็ได้เมียเพราะเจ๊หวีละนะ”

                “แกน่าจะเจอเจ๊หวีให้เร็วกว่านี้ จะได้ไม่ต้องลำบากตามหารักแท้จนเกือบครบทุกอำเภอ”

                “เสี่ย...ไม่พูดก็ได้มั้ง” เจ้าบ่าวลากเสียงยาว เบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้ “นี่เพื่อนเอง...ไม่แกล้งเพื่อนเนาะ เพื่อนอยากชิมน้ำผึ้งพระจันทร์ในอาการครบสามสิบสอง ไม่อยากหยอดน้ำข้าวต้มในคืนส่งตัว” 

                ปวินท์กับสิรดาพากันหัวเราะ ทว่าเจ้าบ่าวที่เคยเขี้ยวเล็บแพรวพราวและมีอดีตรักกับสาวงามเกือบครบทุกอำเภอยังคงไม่อาจวางใจในสถานการณ์จึงต้องรีบหันไปอ้อนเจ้าสาว

                “สิอย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาเลยนะ ไอ้ไปป์มันแกล้งใส่ความพี่ ดีๆ แบบพี่ไม่มีอีกแล้ว ไอ้ทัชเป็นพยานได้”

                “อะไรไอ้เจ้าบ่าว มาถึงก็จะให้ฉันเป็นพยานเท็จเลย” ทัชพลเดินเข้ามาตบต้นแขนหยอกล้อเจ้าบ่าวแล้วส่งยิ้มทักทายเจ้าสาว

                “เรื่องที่ฉันเป็นคนดี รักเดียวใจเดียวไง”

                “ประโยคแรกก็พอได้ แต่ประโยคท้าย ฉันไม่ค่อยแน่ใจ ต้องให้ครูสิช่วยพิสูจน์”

                “สิคิดว่าเลือกไม่ผิดนะคะ” เจ้าสาวยิ้มพร้อมหันไปประสานสายตากับเจ้าบ่าวอย่างลึกซึ้ง

                “รักสิที่สุดเลยจ้ะ”

                “เฮ้อ...แกไม่น่าไปชงให้มันเลยทัช ดูสิจีบเมียต่อหน้าเราอีกแล้ว” ปวินท์ว่ายิ้มๆ ก่อนทั้งหมดจะพากันหัวเราะ

                “คืนนี้ครูสิสวยมากเลยครับ” คนเพิ่งมาถึงเอ่ยชม

                “ฝีมือเจ๊หวีทั้งหน้า ทั้งผมเลยค่ะ”

                “งานนี้เจ๊หวีกินเรียบตั้งแต่ต้นยันจบ”ทัชพลสรุปยิ้มๆ

                “ดีนะคะที่ยังมีพี่ปาล์มกับพี่ตรัยมาแบ่งรายได้ในส่วนของชุดแต่งงานกับถ่ายภาพ แต่เจ๊หวีก็ช่วยสิได้เยอะจริงๆ ค่ะ ต้องขอบคุณแก” เจ้าสาวบอกอย่างจริงใจ

                “ว่าไปถ้าคิดจะแต่งนี่ก็ไม่ยากเลยนะ เจ๊หวีมีครบ ทั้งหาคู่ แต่งหน้าทำผม ชุดบ่าวสาวก็ให้ไอ้ปาล์มจัดการพร้อมช่างภาพ เนี่ยครบครันขนาดนี้คุณเพื่อนทั้งสองไม่สนเหรอครับ ละทิ้งชีวิตโสดพร้อมโลดแล่นสู่วงการพ่อบ้านใจกล้าอย่างฉัน ถ้าพวกแกมีใจปรึกษาเจ๊หวีในงานได้เลยนะ ไม่ต้องเสียเวลานั่งปัดทินเดอร์ เจ๊หวีงานดีสุด ดูแลตั้งแต่วันแรกยันวันแต่ง”

                “นี่เขาแบ่งค่าคอมมิชชันให้ด้วยหรือไง ชวนไม่หยุดเลยวุ้ย” ปวินท์ว่า

                “อะไรดี ศาสก็ว่าดี ไอ้ทัชแกสนใจไหมล่ะ” ศาสวัตเลิกคิ้วถาม

                “ผ่านฉันไปก่อน อย่าว่าแต่ปัดทินเดอร์ เวลากินข้าวยังหาไม่ค่อยเจอเลย เสี่ยไปป์โยนงานมาให้เหมือนไม่อยากให้ฉันคลาดสายตา ไม่รู้มันแอบคิดอะไรกับฉันหรือเปล่า”

                “อย่าบ่นน่า” คนโยนงานยิ้มกว้าง “ฉันยังไม่เห็นใครที่เหมาะกับแก ช่วงนี้ก็ช่วยฉันทำมาหากินก่อน”

                ปวินท์กับทัชพลทำงานด้วยกันที่ปองพลคอนสตัคชัน บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ทรงอิทธิพลที่สุดในจังหวัด เนื่องจากงานบริหารดึงเวลาส่วนใหญ่ไปจนเกือบหมด ปวินท์จึงต้องมีทัชพลคอยช่วยดูแลตรวจงานหน้าไซต์ คนนอกมักเข้าใจผิดคิดว่าทัชพลอยู่ในฐานะลูกจ้าง แต่เปล่าเลย แท้จริงแล้วเพื่อนเขาคนนี้มีหุ้นอยู่ในปองพลคอนสตัคชันไม่น้อยเลย

                “ไม่ได้บ่น แค่บอกไอ้ศาสเฉยๆ ว่าฉันยังไม่พร้อมเข้าสมาคมพ่อบ้านใจกล้ากับมัน” ทัชพลแจกแจงแล้วแกล้งเอียงหน้ามากระซิบดังๆ กับศาสวัต “ทำไมแกไม่ลองกล่อมเสี่ยดีๆ ล่ะ เผื่อมีลุ้น”

                “พูดจนคอแห้งแล้ว สงสัยจะยังตัดใจจากรักเก่าไม่ได้ ก็นะรักแรกมันแยกยาก”

                เรื่องนี้ทำให้ปวินท์ถึงกับถอนใจเสียงดัง “อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวใครได้ยินเข้า คนที่ไม่เกี่ยวเขาจะเสียหาย”

                “โอ๊ย...ไม่มีใครกล้านินทาว่าที่ลูกสะใภ้นายก อบจ. หรอกจ้ะ มีแต่แกนั่นแหละที่ต้องระวัง ฉันได้ข่าวว่าแกเพิ่งชนะงานประมูลสร้างโรงอาหารที่โรงเรียนพ่อครูหลินไม่ใช่เหรอ ถามจริงเถอะนะ ยังมองหน้ากันติดอีกเหรอวะ” ศาสวัตสงสัย

                “ฉันแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกหรอกน่า อีกอย่างฉันกับหลินก็เลิกกันจนเขามีคนใหม่ไปแล้ว แค่ทำงานให้พ่อเขาไม่น่าจะมีปัญหา เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วน่า ถ่ายรูปดีกว่า” ปวินท์ตัดบทพลางกวักมือเรียกคนรักของน้องสาว “ตรัยมาถ่ายรูปให้พี่หน่อย”

                ชายหนุ่มไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ทุกคนเชื่อว่าเขากับนลินจากกันด้วยดี บางทีอาจเป็นเพราะท่าทางการแสดงออกของเขาด้วยกระมังที่ยังทำให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่าเขายังเซื่องซึมโศกเศร้าเพราะถูกแฟนเก่าสะบั้นรัก ความจริงเขาไม่เหลือเยื่อใยอาลัยอาวรณ์กับนลินแล้ว แต่ด้วยความที่เขากับนลินรู้จักผูกพันกันมานาน ถึงความรักในแบบหนุ่มสาวจะปิดฉากลงไป ทว่าความห่วงใยในฐานะเพื่อนยังคงมีอยู่

                ที่เขาไม่อยากเอ่ยถึงนลินไม่ใช่เพราะยังลืมไม่ลง แต่เขาเกรงใจเจ้าสาวของเพื่อนมากกว่า อย่างไรเสียสิรดากับนลินก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน หากศาสวัตกับทัชพลเอ่ยพาดพิงถึงนลินบ่อยเข้าก็จะพาให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียเปล่าๆ

                ปวินท์เข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วงและคอยเอาใจช่วยให้เขาข้ามผ่านเคราะห์รักครั้งนี้ เขากับนลินคบหากันอย่างเปิดเผย ผู้คนรับรู้เพราะรักกันมาหลายปี ควงคู่ออกงานสำคัญระดับจังหวัดก็หลายหน พอทุกคนทราบข่าวการเลิกราไม่แปลกที่จะพากันงุนงง ยิ่งพอนลินหันไปคบหากับธนชิต คนเลยเข้าใจผิดคิดว่าเขาถูกลูกชายนายกฉกชิงคนรักไป 

                มันแน่นอนอยู่แล้วที่บรรดาทีมเสี่ยไปป์จะเจ็บแค้นเคืองโกรธ ของแบบนี้ปวินท์ไม่โทษใครหรอก แม้จะเสียใจที่รักษาคนรักเอาไว้ไม่ได้ แต่ในเมื่อนลินเลือกแล้ว เขาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของเธอ

                คนเราโตๆ กันแล้ว ทำอะไรย่อมต้องรับผลที่เกิดตามมา นลินบอกเขาว่าเธอมีความจำเป็น ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเหตุผลการบอกเลิกที่ฟังไม่ขึ้น ถ้าเธอมีปัญหา เขาในฐานะคนรักพร้อมเสมอที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก แต่เธอตัดสินใจเลือกทางอื่น ปวินท์ไม่เคยคิดเหนี่ยวรั้งหรือนึกเสียดายอะไร ที่เขายังเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไปวันๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายังทำใจไม่ได้ เขาแค่ขี้เกียจชี้แจงให้เรื่องมันยืดยาว จะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาซึ่งชาวบ้านไม่จำเป็นต้องรู้

                หลังถ่ายรูปเสร็จปวินท์กับทัชพลช่วยเจ้าภาพต้อนรับแขก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนรู้จักและมีชื่อเสียงในจังหวัด คู่บ่าวสาวเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี ใครๆ ก็อยากมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ห้องจัดงานใหญ่ที่สุดจึงดูคับแคบลงทันตา

                “ไหนไอ้ศาสมันบอกว่าเชิญแต่คนกันเอง” ทัชพลบ่นพึมพำขณะหยิบแก้วเครื่องดื่มส่งให้ปวินท์ สองหนุ่มหลบมายืนกันที่โต๊ะเครื่องดื่ม

                “กันเองของมันก็เกือบทั้งจังหวัดนั่นแหละ ลูกค้ามันทั้งนั้น”

                “งานแกฉันขอแนะนำให้ไปจัดที่สนามกีฬานะ กว้างดีจะได้ไม่อึดอัด”

                “ทำไมถึงคิดว่าฉันจะมีงาน ถ้าเป็นไอ้ปาล์มยังมีความใกล้เคียงมากกว่า” ปวินท์ตอบพร้อมจับตามองเพื่อนรักที่ชะงักมือไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มตามปกติ เขาแอบนึกสงสัยความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อน้องสาวมาสักพักแล้ว แต่ทัชพลก็ไม่เคยแสดงอาการพิรุธอะไรให้จับได้ อย่างเช่นตอนนี้แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังถูกควบคุมให้เป็นปกติ

                “จะแต่งงานกันแล้วเหรอ ปาล์มกับตรัยน่ะ”

                “เปล่า ฉันพูดถึงความน่าจะเป็นเฉยๆ บ้านก็เริ่มปลูกแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกัน ยังไงไอ้ปาล์มก็มีโอกาสแต่งมากกว่าฉันซึ่งยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างสักอย่าง” ปวินท์ยักไหล่บอกง่ายๆ

                เป็นเวลาเดียวกับที่สายตาของทัชพลถูกสะกดด้วยรอยยิ้มสดใสของประภามนท์ เธอกำลังยืนคุยกับกลุ่มเพื่อน วันนี้ประภามนท์ดูสวยจนไม่อาจถอนสายตาได้เช่นทุกครั้ง หากปวินท์ไม่ยิงคำถามต่อ ทัชพลก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอเผยความลับอะไรออกไปบ้าง

                “วันนี้น้องสาวฉันสวยนะ แกว่าไหมทัช”

                “อืม” สวยมาก...แต่ทัชพลไม่มีสิทธิ์ เต็มที่ก็ทำได้แค่มองแล้วเก็บมาชื่นชมอยู่ในใจเงียบๆ

                “เฮ้ย! ไอ้เพื่อนเจ้าบ่าว พวกแกแอบมายืนส่องสาวอะไรกันตรงนี้ ไปช่วยฉันรับหน้าท่านนายกก่อน” เจ้าบ่าวปลีกตัวเดินมาตามด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน แต่ก็ช่วยให้ใครบางคนผ่านพ้นวิกฤต คำขอร้องของศาสวัตเหมือนระฆังดังช่วยชีวิตทัชพลที่กำลังถูกปวินท์ต้อนเข้ามุมเตรียมปล่อยหมัดน็อก

                ทั้งสามหนุ่มพากันไปยืนรอต้อนรับแขกคนสำคัญ กลุ่มของนายกครองวิทย์ ประกอบด้วยธนชิตลูกชายควงคู่มากับนลินว่าที่ลูกสะใภ้ ณิชมนลูกสาวคนเล็กมาเดี่ยว แต่ก็สวยเฉี่ยวสะกดสายตาคนทั้งงาน และเหล่าบริวารผู้ติดตามอีกนับสิบ บ่าวสาวพร้อมผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้าต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติ

                ตรัยกดบันทึกภาพ ก่อนที่ท่านนายกจะกล่าวทักทายอวยพร ณิชมนนั้นถูกใจหมายตาปวินท์มานาน พอเสี่ยไปป์โสดก็ทอดสะพานให้ทุกครั้งที่มีโอกาส ลูกสาวนายกเดินนวยนาดเข้ามาสอดแขนควงคู่ขอถ่ายรูปด้วย แม้ว่าปวินท์จะคอยระวังกิริยาไม่ให้ดูใกล้ชิดจนเกินไปนัก แต่ทุกคนในที่นั้นก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

                ศาสวัตหันมายิ้มกับทัชพล

                “ฉันว่านายกครองต้องวางแผนจะฮุบกิจการเสี่ยแน่ว่ะ เริ่มจากให้ลูกชายแย่งแฟนไปก่อนแล้วส่งลูกสาวมาดามใจทีหลัง ฝั่งครูหลินก็คนนับหน้าถือตาเยอะได้ฐานคะแนน ฝั่งเสี่ยไปป์เพื่อนเราก็เงินหนาได้ทุนหาเสียง แผนการล้ำลึกเกินต้าน ไอ้ทัชแกต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเองให้ดีนะ ลูกสาวนายกรุกเก่งเป็นบ้า ฉันละกลัวว่าเสี่ยจะเสียท่าเข้าสักวัน”

                “นินทาระยะเผาขนเลยนะ ไว้หน้าแขกบ้างไอ้เจ้าบ่าว” แม้จะค่อนข้างเห็นด้วย แต่ทัชพลก็ไม่อยากเอออวยให้ศาสวัตได้ใจ “แต่ครูหลินกับนายชิตนี่ก็ไม่ไหวนะ ควงกันมาเย้ยถึงที่ จะทำร้ายใจเพื่อนเราไปถึงไหน”

                “สั่งเด็กตัดสายเบรกรถเลยดีไหม หมั่นไส้มัน” ศาสวัตเสนอ

                “แกจะเข้าหอหรือเข้าคุกล่ะ” ทัชพลย้อนถาม 

                “เรื่องแค่นี้แกยังต้องถาม เลือกง่ายจะตายไป ยังไงฉันก็ขอนอนกอดเมียอยู่แล้ว” 

                “งั้นรีบเชิญแขกเข้าโต๊ะไปซะ ยิ่งอยู่นาน ฉันยิ่งเหม็นขี้หน้าลูกชายนายก”

                “เดี๋ยวพี่จัดให้ไอ้น้อง” ศาสวัตพยักหน้าสั่งเด็กนำทางแขกคนสำคัญไปที่โต๊ะ “เชิญท่านนายกตามสบายนะครับ ทางเราจัดเตรียมโต๊ะไว้ให้แล้ว เชิญครับ”

                “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” นายกครองวิทย์ฉีกยิ้มกว้างยกมือไหว้รอบทิศเดินผ่านหน้าปวินท์ไป ตามติดด้วยธนชิตกับนลิน 

                ปวินท์ยิ้มให้ตามมารยาท ก็ไม่คิดว่าคู่กรณีจะหยุดทัก ชายหนุ่มไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับการที่ต้องเผชิญหน้าคนรักเก่า แล้วก็เป็นธนชิตที่เอ่ยขึ้นมาก่อน

                “เห็นหลินบอกว่าเสี่ยไปป์ชนะประมูลสร้างโรงอาหารที่โรงเรียนของคุณพ่อเขา ผมยินดีด้วยนะครับ คราวนี้ผมจะได้เลิกกังวลเสียที”

                “มีเรื่องอะไรต้องกังวลเหรอครับ” ปวินท์อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

                “ก็ถ้าเสี่ยไม่ได้งานนี้ ผมคงจะกลายเป็นต้นเหตุ ทำให้เสี่ยชวดทั้งงาน ชวดทั้งหลิน ถือว่าโรงอาหารที่จะสร้างใหม่เป็นรางวัลปลอบใจแล้วกันนะครับ”

                ทุกคนที่ได้ยินธนชิตพูดต่างชะงักและรอดูปฏิกิริยาของปวินท์ ใครๆ ก็ดูออกกันทั้งนั้นว่าลูกชายนายกตั้งใจพูดเยาะเย้ย แต่เสี่ยไปป์ของเพื่อนๆ ยิ้มมุมปากตอบกลับอย่างสุภาพ

                “อย่าคิดอย่างนั้นเลยครับ ผมทำงานตรงไปตรงมา ถ้าได้ก็คือได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็แค่หางานใหม่ ทางเราไม่เดือดร้อนหรอกครับ” ปวินท์พยายามรักษาบรรยากาศ แต่ดูเหมือนเพื่อนรักทั้งสองของเขาจะไม่ให้ความร่วมมือ ศาสวัตและทัชพลขยับตัวแทบพร้อมกัน

                “ถ้าจำไม่ผิดผมเข้าใจมาตลอดว่าทางปองพลคอนสตัคชันประมูลสร้างโรงอาหารนะครับ ไม่ได้ประมูลชิงตัวลูกสาว ผอ.” ทัชพลเลิกคิ้วเบนหน้าไปทางนลินแล้วถามยิ้มๆ “ใช่ไหมครับครูหลิน”

                “คุณชิตแค่พูดเล่นน่ะค่ะพี่ทัช ขอโทษนะคะพี่ไปป์”

                “หลินกับคุณชิตไปนั่งที่โต๊ะเถอะ ยืนตรงนี้คงไม่สะดวกนัก แขกเดินเข้าออกตลอด” ปวินท์ปลดมือณิชมนที่เกาะแขนเขาออก “คุณนิดก็ไปพร้อมกันเลยนะครับ ผมยังต้องช่วยเจ้าภาพรับแขกอยู่ แล้วค่อยคุยกัน”

                “นิดช่วยพี่ไปป์รับแขกได้นะคะ”

                “อย่าเลยครับ พวกแขกผู้ใหญ่คุยไม่สนุกหรอก เชิญครับ” ปวินท์ชิงจังหวะที่เหลือบเห็นคนรู้จักเข้ามาพอดีจึงรีบขอตัวผละไปต้อนรับ 

ณิชมนจำใจเดินตามพี่ชายไปนั่งที่โต๊ะ

                “ศาสไอ้คนที่แกจะใช้ให้ไปตัดสายเบรกรถยังอยู่ไหม” ทัชพลถามอย่างโมโห

                “เป็นฟืนเป็นไฟเลยนะไอ้ทัช แกดูเสี่ยสิยังชิลอยู่เลย”

                “ฉันเกลียดหน้ายิ้มๆ ของลูกชายนายกครอง มันไม่รู้เหรอว่าพ่อมันยังต้องอาศัยฐานคะแนนจากทางเราอยู่ ลูกน้องในบริษัทก็มีสิทธิ์กาบัตรเลือกตั้งได้ทั้งนั้น” น้ำเสียงของทัชพลเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

                “พวกแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะ หรือจะต้องหาคนไปช่วยตัดสายเบรกรถเพิ่ม” ปวินท์ส่งแขกผู้ใหญ่เข้างานเรียบร้อยจึงหันกลับมาถามเพื่อนทั้งสองและบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาได้ยินแผนร้ายที่ทั้งคู่สมคบคิดกันก่อนหน้านี้ “ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ พวกแกก็อย่าอินกันนักเลย”

                “เฮ้อ...” ศาสวัตและทัชพลถอนหายใจราวกับนัดกันไว้ ในเมื่อเจ้าทุกข์ยังไม่เดือดร้อน พวกเขาก็ไม่ควรอินอย่างที่ปวินท์ว่านั่นแหละ

                “พี่ศาส” 

                เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ทั้งสามหนุ่มขยับตัว นายพิธีเดินเข้ามาซักซ้อมคิวกับบ่าวสาวเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นศาสวัตกับสิรดาก็แยกไปเตรียมตัวขึ้นเวทีเข้าสู่ช่วงพิธีการ

                ปวินท์กับทัชพลเดินไปนั่งโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ซึ่งเป็นโต๊ะเดียวกับนายกครองวิทย์ ตอนปวินท์ไปถึงแม่ของเขากำลังคุยกับท่านนายก โดยมีเจ๊หวีนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มเพิ่งเจอหน้าแม่สื่อจังๆ จึงยกมือขึ้นไหว้

                “สวัสดีครับเจ๊หวี”

                “สวัสดีค่ะเสี่ยไปป์ คุณทัช วันนี้เพื่อนเจ้าบ่าวทั้งสองคนหล่อกินกันไม่ลงจนสาวๆ ในงานเลือกไม่ถูกเลย”

                “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ พวกผมต้องยอมถอยให้เจ้าบ่าวเขาก่อน” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ พลางนั่งลงข้างน้องสาว“ตรัยล่ะ”

                “รอถ่ายรูปบนเวที แล้วเพื่อนเจ้าบ่าวไม่ต้องขึ้นไปเหรอ”

                “ไม่ต้องหรอก นั่น...ดูคุยกันถูกคอดีนะ” ปวินท์พยักหน้าไปทางแม่แล้วคว้าแก้วน้ำขึ้นดื่ม

                “อ๋อ...คุณนายปรารถนากำลังดีลลูกสาวนายกครองให้พี่ไปป์แน่ะ”

                ชายหนุ่มเกิดอาการสำลักน้ำในปากอย่างกะทันหัน ประภามนท์ยิ้มหวานพร้อมกับยื่นกระดาษเช็ดปากให้พี่ชาย

                “หนูล้อเล่นน่า คุณนิดไม่ใช่แนวพี่ไปป์หรอก ขนาดแม่สื่ออย่างเจ๊หวียังแบ่งรับแบ่งสู้เลย สบายใจได้” หญิงสาวชะโงกหน้ามองเลยพี่ชายไปยังทัชพล “พี่ทัชคะ พอดีว่าเพื่อนหนูเขาจะตรวจรับบ้าน พี่ทัชพอมีเวลาว่างไหม”

                “เมื่อไรเหรอ”

                “สิ้นเดือนนี้ค่ะ สะดวกไหมคะ”

                “เดี๋ยวพี่โทร. บอกปาล์มอีกทีดีกว่า ขอกลับไปดูตารางงานก่อน” ถึงไม่ว่างทัชพลก็จะพยายามเคลียร์ตัวเองเพื่อประภามนท์

                “ขอบคุณค่ะ หนูขี้เกียจถามพี่ไปป์ เสี่ยงานยุ่งไม่ไหวเลย น้องขอความช่วยเหลือแต่ละทีก็รอไปเถอะ”

                “ไอ้ทัชมันก็ยุ่งพอๆ กับฉันนั่นแหละ เป็นแกหรอกมันถึงได้ทำเหมือนว่างให้” ปวินท์พูดจี้ใจดำเพื่อนรัก ขณะที่ประภามนท์แกล้งยักไหล่ 

                “หนูจะมีเส้นสายไว้ทำไมล่ะ ถ้าถึงเวลาจำเป็นแล้วพึ่งพาไม่ได้อะ พี่ทัชไม่ใจดำกับน้องเหมือนพี่ไปป์หรอก”

                “คุยอะไรกันเสียงดัง ผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่ พวกแกจะมาคุยแข่งทำไม เสียมารยาทจริงๆ ไอ้พวกนี้”

                “แม่มีธุระของแม่ หนูก็ต้องมีธุระของหนูบ้างสิคะ” ประภามนท์ยิ้มประจบ รู้ว่าแม่ไม่ถือสา

                “หนูปาล์มเมื่อไรจะมีข่าวดีล่ะ ได้ข่าวว่าลงมือสร้างเรือนหอแล้ว” ครองวิทย์เอ่ยถาม

                “คงอีกนานค่ะนายก บ้านนั้นก็คงอีกนานกว่าจะเรียบร้อย ขอเก็บเงินสร้างตัวก่อน ช่วงนี้เริ่มมีงานเข้ามาก็ดีขึ้นหน่อยค่ะ ไม่งั้นหนูกับเจ๊หวีคงนั่งตบยุงอยู่บ้านกันอีกนาน” ประภามนท์กับเจ๊หวีมักจะรับงานร่วมกันเสมอ 

                “พอเริ่มผ่อนปรนให้จัดงานได้ก็ค่อยยังชั่วนะ ธุรกิจหลายอย่างมันไปต่อได้ อย่างพวกงานบวช งานแต่ง คงได้จัดกันตามความเหมาะสม”

                “ใช่ค่ะ แต่คู่หนูคงต้องพักไว้ก่อน หนูยังไม่รีบค่ะ พี่ตรัยก็คิวงานเพียบเลย”

                “แล้วคู่คุณชิตกับครูหลินล่ะ ใกล้จะมีข่าวดีหรือยัง” คุณปรารถนาถามบ้าง สายตาดุจนางเหยี่ยวพุ่งไปยังหญิงสาวที่เกือบได้มาเป็นลูกสะใภ้ 

                “เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลยค่ะ” นลินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยผิดกับคนรัก

                “คงอีกไม่นานหรอกครับป้าปิ๋ม ตัวผมไม่ติดขัดอะไร รอหลินพร้อมก็แต่งได้เลย” ธนชิตสบสายตาท้าทายกับปวินท์

                “ยินดีด้วยนะครับ” นอกจากคำนี้ปวินท์ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ท่าทางธนชิตจะตามจองเวรเขาทั้งคืนแน่

                “แล้วเสี่ยไปป์ไม่คิดจะหาแฟนใหม่บ้างเหรอครับ เจ๊หวีก็อยู่นี่แล้ว ทำไมไม่ลองให้ทาบทามสาวใหม่สักคน น้องสาวผมก็ยังว่างนะ”

                “พี่ชิตก็...” ณิชมนทำท่าเอียงอาย แต่ก็ส่งสายตาหวานเยิ้มให้ปวินท์ไม่หยุดหย่อน

                เสี่ยหนุ่มยังคงรักษาสีหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม น้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น “อย่าเลยครับ ช่วงนี้ผมงานยุ่งจริงๆ จะทำให้เจ๊หวีกับคุณนิดเสียเวลาซะเปล่าๆ แค่นี้ทัชก็บ่นจนผมหูชาแล้ว”

                “แต่ถ้าเสี่ยไปป์ว่าง เจ๊ยินดีช่วยนะคะ” แม่สื่อยิ้มเจื่อน รีบเสนอตัวเพื่อหวังจะไถ่บาป 

                คุณกัญญาไม่กล้าสู้หน้าปวินท์นัก เพราะรู้ว่าตัวเองมีส่วนทำให้ความรักระหว่างชายหนุ่มกับนลินต้องพังลง เพราะคนที่แนะนำนลินให้คบหากับธนชิตก็เป็นเจ๊หวีคนนี้นี่แหละ 

                จากประสบการณ์การเป็นแม่สื่อมาครึ่งค่อนชีวิต คุณกัญญาเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง ปวินท์กับนลินไม่ใช่คู่แท้แน่นอน แม้องค์ประกอบรอบข้างจะเหมาะสม แต่มองยังไงก็ไม่ใช่คู่อุปถัมภ์ การจับคู่ระหว่างครูสาวกับลูกชายนายกก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มสาว แต่มันยังมีผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนอยู่อีกหลายชั้นจนน่าปวดหัว

                “เริ่มแล้วครับ” ทัชพลดึงความสนใจไปที่เวที ยุติบทสนทนาชวนอึดอัดไว้เพียงเท่านั้น

                พิธีการดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แขกผู้ใหญ่ที่บ่าวสาวให้ความนับถือขึ้นเวทีกล่าวอวยพร ปิดท้ายด้วยการโยนดอกไม้ของเจ้าสาว ณิชมนชวนนลินและประภามนท์ไปแย่งช่อดอกไม้ แต่ฝ่ายหลังปฏิเสธ

                “หนูขอตัวไปช่วยพี่ตรัยก่อนนะคะ” ประภามนท์บอกแม่

                “หาอะไรให้ตรัยกินรองท้องบ้างนะ ฉันเห็นเดินทั่วงานคงน่าจะหิว”

                “วิถีช่างภาพไงแม่ หนูไปนะ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วเรากลับบ้านพร้อมกันนะคะ”

                “อืม...ไปดูตรัยเถอะ” คุณปรารถนาพยักหน้ารับรู้

 

                ตรัยลดกล้องในมือลงแล้วนิ่วหน้ามองหญิงสาวที่แทรกตัวเข้ามาบังเต็มหน้ากล้อง ประภามนท์ฉีกยิ้มจนตาหยีพร้อมกับยื่นจานขนมให้คนรักอย่างเอาใจ

                “คุณนายปรารถนากลัวว่าที่ลูกเขยเป็นลม เลยให้ปาล์มหาอะไรมาให้พี่ตรัยกินรองท้อง”

                “ไม่หิวหรอกจ้ะ ปวดฉี่มากกว่า”

                “อ้าว แล้วก็ทนอยู่ได้ ไปห้องน้ำสิคะ เอากล้องมา เดี๋ยวปาล์มถ่ายรูปต่อให้” หญิงสาวอาสา แบมือรอ นึกอยากจะดุตรัยสักที ไม่ใช่ว่าไม่มีเขาแล้วจะไม่มีคนถ่ายรูปเสียเมื่อไร ตรัยยังมีทีมงานของเขาอีกสองคนที่คอยถ่ายรูปเก็บตกอยู่

                “งั้นเดี๋ยวพี่มานะ ฝากหน่อย” ตรัยปลดสายกล้องที่คล้องคอออกแล้วส่งต่อให้หญิงสาว 

                “เชื่อมือเถอะน่า กดถ่ายเป็นร้อย ใช้ได้รูปเดียว”

                “เสียชื่อมีแฟนเป็นช่างภาพหมด” 

                “ทำไงได้ล่ะ ถนัดเป็นนางแบบ ไม่ได้ถนัดถ่ายรูปนี่น่า” 

                ตรัยหัวเราะ ขยี้ผมคนรักอย่างมันเขี้ยว ก่อนหลบฉากออกไป ช่างภาพหนุ่มเข้าห้องน้ำไปได้ครู่เดียว ก็มีเสียงเดินเข้ามาพร้อมคุยโวเสียงดัง เพราะเข้าใจว่าไม่มีคนอยู่ 

                ตอนแรกตรัยก็ไม่ได้ตั้งแอบใจฟังหรอก แต่พอมีชื่อของปวินท์ขึ้นมา เขาก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆ ฟังคนข้างนอกคุยกันต่อ เขาก็อยากรู้ว่าลับหลังแล้วคนภายนอกจะนินทาสมาชิกบ้านปรานต์ปราณนต์ว่ายังไงบ้าง

                “แกเห็นหน้าไอ้เสี่ยไปป์ไหม ฉันสะใจชะมัด คอยดูเถอะถ้าน้องสาวฉันทำให้เจ๊ปิ๋มยอมยกขันหมากมาสู่ขอได้ ทุกอย่างก็เข้าล็อก”

                “แต่มันก็ยังมีน้องสาวอีกคนนะครับคุณชิต”

                “เฮ้ย ลูกสาวไม่เหมือนลูกชายหรอก น้องมันก็ไม่ได้วุ่นวายอะไรกับบริษัทด้วย จะมีปากมีเสียงสักเท่าไรเชียว ถ้ายายนิดไปเป็นสะใภ้บ้านนั้นได้ ผลประโยชน์อีกมากมายที่จะตามมา”

                “นายกครองมองการณ์ไกล ฉลาดวางแผน”

                “ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่พ่อฉันคิด คนที่สบายก็คือพวกเรา ฉันเองก็แย่งหลินมาจากไอ้เสี่ยนั่นได้แล้ว ต่อไปก็ถึงตายายนิดบ้าง”

                “คุณชิตก็เก่งนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าครูหลินจะยอมทิ้งเสี่ยไปป์มา”

                “หลินไม่ยอม แต่พ่อเขายอม พ่อหลินยังต้องพึ่งพาครอบครัวฉันอยู่ เขาคงคิดดีแล้ว ไม่งั้นจะกล้าทิ้งไอ้ไปป์มาหาฉันเหรอ ถ้าเรากินรวบฮุบสมบัติได้ทั้งสองทาง อนาคตการเมืองของพ่อฉันก็สดใส”

                “แล้วคุณชิตก็จะได้เป็นนายก อบจ.ที่หนุ่มที่สุด”

                “ส่วนพ่อฉันก็จะได้เป็นท่าน ส.ส.ครองวิทย์”

                สองคนประสานเสียงหัวเราะกันอย่างชอบใจ ตรัยนั่งกำหมัดแน่น จากคำพูดเขาพอจะเดาได้ว่าใครเป็นใคร ไม่คิดเลยว่านายกครองวิทย์จะมีแผนการสกปรกเช่นนี้ ตรัยเคยเจอธนชิตอยู่บ้าง และไม่ค่อยชอบสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองคนรักของเขาสักเท่าไร

                เรื่องสำคัญอย่างนี้เขาคงต้องคุยกับปวินท์ ยิ่งรู้เร็วเท่าใดก็ยิ่งหาวิธีป้องกันแก้ไขได้เร็วขึ้นเท่านั้น แม้สองตระกูลจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่อย่างน้อยตรัยก็ต้องเตือนให้ปวินท์รู้ตัวว่าครอบครัวนายกครองวิทย์ไม่เป็นมิตรอย่างที่แสดงออกมา กลับมุ่งหาแต่ผลประโยชน์และโลภมากอยากได้ในสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง

 

                ตรัยกลับเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงและเริ่มมองหาปวินท์ แต่พี่ชายของคนรักไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ ตรงนั้นมีเพียงคุณปรารถนาและครอบครัวของนายกครองวิทย์ นลินก็เพิ่งกลับเข้ามานั่งที่เดิม ไม่รู้ว่าครูสาวเดินออกไปไหน พอนลินนั่งลงไม่นาน ตรัยก็เห็นท่านนายกไหว้ลาคุณปรารถนาและพากันออกไปจากงาน

                ช่างภาพหนุ่มมองไปยังเวที งานฉลองเข้าสู่ช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตีแล้ว พวกแขกผู้ใหญ่คนสำคัญก็ต่างทยอยกลับ ที่เหลือส่วนมากก็เป็นพวกเพื่อนพ้องของบ่าวสาว ปวินท์กับทัชพลยืนคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางสนิทสนมกันมาก อาจเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน

                ตรัยล้มเลิกความคิดจะบอกเรื่องที่เพิ่งแอบได้ยินมากับพี่ชายของคนรัก เขาหมุนกายเดินเข้าไปหาประภามนท์แทน เธอคงรอให้เขาไปส่งที่บ้านเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ได้ยินมานั้นเอาไว้โอกาสเหมาะๆ ค่อยคุยกับปวินท์

                “ปาล์มกลับบ้านกันเถอะ”

                “ไปค่ะ เจ๊ปิ๋มนั่งหาวหลายทีแล้ว” ประภามนท์เกี่ยวแขนคนรักพากันเดินกลับไปหาคุณปรารถนา

                “กลับบ้านกันแม่”

                ถนนในเมืองค่อนข้างโล่ง ไฟถนนส่องสว่าง ตรัยขับรถด้วยความเร็วไม่มากนักและเมื่อเบี่ยงรถออกจากถนนหลักเขาก็พบความผิดปกติบางอย่าง ช่างภาพหนุ่มลองเหยียบเบรกรถซ้ำๆ แต่ความเร็วยังไม่ลดลง แสงสะท้อนเข้ามาจากกระจกทำให้ชายหนุ่มหรี่ตา ประภามนท์เห็นคนรักท่าทางแปลกๆ จึงขมวดคิ้วถาม

                “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

                “แม่กับปาล์มคาดเข็มขัดเอาไว้นะครับ ผมไม่รู้ว่ามอเตอร์ไซค์คันหลังตามเรามาหรือเปล่า แต่จากความเร็วถ้าจะแซงไปก็แซงได้”

                ประภามนท์เหลียวกลับไปสบตากับแม่และมองเลยไปยังรถต้องสงสัยคันดังกล่าว “พวกไหน ทำไมต้องตามเรา”

                “พี่ก็ไม่รู้ว่าตามมาหรือเปล่า แต่มันไม่ยอมแซงสักที ข้างทางพอมีบ้านคนถ้าเป็นคนร้าย มันคงไม่กล้าทำอะไรหรอก”

                “ตรัยขับรถต่อไป ในกระเป๋าแม่มีปืน ถ้ามันมาไม่ดี แม่ยิงไม่เลี้ยง!” คุณปรารถนาบอกพลางดึงปืนพกกระบอกเล็กออกมาจากกระเป๋า

                “แม่! นี่อย่าบอกนะว่าพกปืนมางานแต่งพี่ศาสน่ะ”

                “ฉันก็พกไปทุกงานนั่นแหละ เจ้าแม่เงินกู้อย่างฉันไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัยหรอก ใครจะรู้บรรดาลูกหนี้ที่รักอาจจะชวนกันลงขันจ้างวานฆ่าฉันก็ได้ ตรัยตั้งใจขับรถไปเลย ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เดี๋ยวแม่จัดการเอง”

                “แม่ครับ” น้ำเสียงของตรัยไม่สู้ดีนัก

                “มีอะไรอีกหรือเปล่า”

                “รถเราเบรกไม่อยู่”

                ฟังดูน่าตกใจ แต่คุณปรารถนารีบตั้งสติ ถามลูกสาวกับว่าที่ลูกเขย “คาดเข็มขัดกันหมดแล้วใช่ไหม” 

                เมื่อสองคนพยักหน้า คุณปรารถนาก็สั่งการเสียงเฉียบขาด “ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีทุ่งนาอยู่โล่งๆ อยู่ พอถึงตรงนั้นตรัยก็หักรถลงไปเลย ปาล์มนั่งดีๆ ระวังหัวกระแทก”

                “มันตามจี้เรามาแล้วครับ” ตรัยเหลือบตามองหลังพร้อมเร่งความเร็วหนี แต่มอเตอร์ไซค์คันนั้นเร่งความเร็วขึ้นมาตีคู่

              “พี่ตรัยระวังนะคะ”

              “แม่กับปาล์มจับแน่นๆ นะครับ” ตรัยเหยียบคันเร่งพยายามพารถหนีไปให้ถึงจุดที่คุณปรารถนาบอก หางตาของเขาเหลือบเห็นคนที่ซ้อนหลังมอเตอร์ไซค์เล็งปืนเข้ามา แต่คุณปรารถนาที่คอยระวังภัยอยู่ลดกระจกลงแล้วเปิดฉากยิงก่อน 

             กระสุนของคุณปรารถนาทำให้วิถีการเล็งปืนของคนร้ายเปลี่ยนไป กระสุนปืนของคนร้ายแฉลบถูกล้อรถแทนที่จะเป็นตรัยหรือคุณปรารถนา

              รถเสียหลักเพราะแล่นมาด้วยความเร็ว ตรัยพยายามบังคับทิศทางแต่มันเป็นไปอย่างยากเย็นเนื่องจากความเร็วและแรงเหวี่ยง วินาทีนั้นรถของเขาก็หมุนคว้างก่อนพลิกคว่ำหลายตลบ 

                เสียงกรีดร้อง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเงียบลง เมื่อรถพลิกตกลงไปในทุ่งนาด้วยสภาพล้อชี้ขึ้นฟ้าและผู้โดยสารทั้งสามหมดสติติดอยู่ภายใน!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น