1

1

1

 

                “คุณอุบลรับหนึ่งค่ะ”

                “คุณไพรัชรับหนึ่งนะคะ กราบขอบพระคุณค่า”

                กรวีร์ฉีกยิ้มหวานสดใสสู้กับแสงไฟไลฟ์สดที่สาดไอร้อนผะผ่าวลงมาปะทะผิวหน้า หญิงสาวรู้ดีแก่ใจว่าความร้อนจากแสงไฟจะทำลายผิวพรรณนวลเนียนกระจ่างใสให้หม่นหมอง แต่เมื่อนั่งนึกตรึกตรองถึงยอดเงินเก็บคงเหลือในบัญชีที่ลดฮวบฮาบลงอย่างน่าใจหาย เธอจึงค้นพบว่ายังมีความร้อนอีกชนิดหนึ่งที่ทรงอานุภาพและมีอำนาจทำลายล้างร้ายแรงยิ่งกว่า

                เปรมสุดาเพื่อนรักผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเธอเรียกมันว่า อาการร้อนเงิน

                เมื่อชีวิตยังต้องกินต้องใช้ เรื่องสุขภาพหนังหน้าจึงต้องทิ้งไว้เป็นรายการท้ายสุด หญิงสาวให้ความสำคัญแก่ปัญหาการเงินเป็นอันดับแรก หน้าเน่าไม่เท่ามีตังค์ใช้ ช่างมันเถอะ ถ้าฝ้าจะมา ตีนกาโผล่ ร่องแก้มลึกโบ๋ หากมันพังจนเกินเยียวยาเธอก็จะลงทุนเจียดเงินไปหาหมอฉีดฟิลเลอร์ซ่อมเอาก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องพาชีวิตให้รอดพ้นจากโรคทรัพย์จางขั้นโคม่าเสียก่อน

                สภาพคล่องทางการเงินของกรวีร์คงจะไม่ฝืดเคืองขนาดนี้หากไม่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดไปทั่วโลก เป็นไงล่ะเวิร์กฟอร์มโฮม เวิร์กไปเวิร์กมาบริษัทเจ๊งจ้า เงินชดเชยก็ไม่ได้ เงินกองทุนสำรองเจ้านายก็เชิดหนี รายได้เดียวที่มีตอนนี้คือเงินผู้ว่างงานจากประกันสังคม ซึ่งแน่นอนเงินชดเชยในอารมณ์เงินทอนมันไม่พอยาไส้หรอก แถมยังต้องเผื่อใจในความล่าช้า ก็นะ ยุคนี้ใครไม่ตกงานนี่ถือว่าโคตรเชย

                แต่ชีวิตกรวีร์มีค่ามากเกินกว่าจะนั่งหายใจทิ้ง เธอจะมัวนั่งโง่ๆ สโลว์ไลฟ์กินบุญเก่าไปวันๆ ไม่ได้ บิลค่าใช้จ่ายวางรออยู่เป็นตับ หลักๆ ก็ค่าน้ำนมเจ๊หวีนี่ละ ขาดไม่ได้เลย

                คิดถึงแม่ขึ้นมาน้ำตามันก็ไหล เพราะไม่รู้จะเนรมิตเงินจากไหนมาเปย์ให้เสด็จแม่เหมือนแต่ก่อน ชีวิตของกรวีร์ว่ามีค่ามากแล้ว ทว่าชีวิตคุณกัญญากลับมีค่ามากยิ่งกว่า โดยเฉพาะค่าเอนเตอร์เทน!

                ไม่เป็นไร เพื่อความสุขของเจ๊หวี กีวี่ทำได้ หญิงสาวปลอบใจตัวเองแบบนั้นเสมอ

                เจ๊หวีเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยสุดแซ่บอยู่ที่สุพรรณ ตั้งชื่อร้านตามชื่อจริงเก๋ๆ ว่า กัญญาบาร์เบอร์ ช่วงโรคระบาดที่ผ่านมาแม่ของเธอก็ขาดรายได้เหมือนกัน แม้ว่าตอนนี้ทางการจะอนุญาตผ่อนผันให้กลับมาเปิดร้านตามปกติแล้ว แต่แม่ก็ไม่ได้คิวทองจนลูกค้าต้องโทร.จองคิวล่วงหน้าเหมือนแต่ก่อน รายได้หลักของเจ๊หวีจึงเป็นเงินที่เธอส่งไปให้

                พอรู้ตัวว่าสิ้นสภาพพนักงาน กรวีร์ตกลงปลงใจสวมบทบาทใหม่เป็นแม่ค้าออนไลน์ขายหม้อทอดไร้น้ำมันร่วมกับเปรมสุดา แม้จะยังมือใหม่แต่ก็อาศัยประสบการณ์ช่วงก่อนนั้นที่นอนเอฟเสื้อผ้ากับเพื่อนรักจนช่ำชอง จึงนำวิธีการขายมาดัดแปลงลองผิดลองถูกให้เข้ากับสินค้าของตัวเอง เปิดเพจขายหม้อทอดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

                โชคดีที่เซลส์ขายหม้อรู้จักกับเปรมสุดา พวกเธอจึงไม่มีปัญหาเรื่องการสต๊อกของแค่ทำยังไงก็ได้ให้หม้อขายดีก็พอ จึงเป็นที่มาของการไลฟ์สดขายหม้อทอด กรวีร์กับเปรมสุดาช่วยกันตระเตรียมอุปกรณ์ วางแผนการนำเสนอ เขียนสคริปต์บทพูดและคิดโพรโมชันส่งเสริมการขายให้ดึงดูดความสนใจลูกค้า

                กิจการขายหม้อทอดของพวกเธอเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นยอดจำนวนผู้ติดตามในไอจีหรือลูกเพจที่กดถูกใจไว้เพื่อรับข่าวสาร

                “สำหรับคุณลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ กีวี่ฝากกดไลก์ กดแชร์ด้วยนะคะ ส่วนท่านใดที่สนใจหม้อทอดไร้น้ำมันของเรารับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ สินค้าของเรามีทุกไซซ์ ทุกขนาด เหมาะสำหรับทุกท่านที่ใส่ใจสุขภาพ หรืออาจจะเป็นเชฟมือใหม่ที่ต้องการความท้าทายในการรังสรรค์เมนูต่างๆ วันนี้นะคะกีวี่จะมาสาธิตวิธีการทำเมนูง่ายๆ ให้ทุกท่านได้ชมกันค่ะ”

                กรวีร์เบี่ยงกายผายมือให้ผู้ชมทางบ้านได้เห็นอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ ก่อนเดินไปยืนหลังโต๊ะสาธิต ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มหวานสู้กล้องเรียกอีโมติคอนรูปหัวใจจากเหล่าบรรดาลูกค้าที่กำลังคิดจะจับจองหม้อทอดไร้น้ำมันของเธอ

                “วันนี้เราเตรียมวัตถุดิบไว้แล้ว ลองทายกันเล่นๆ สิคะว่ากีวี่จะทำอะไรให้ทุกคนชิม” หญิงสาวหยิบข้าวโพดขึ้นมา แล้วแกล้งใส่จริตตื่นเต้น ห่อปาก ตาโต “ว้าว...ข้าวโพด และนี่ก็ชีส คิดว่าจะทำอะไรคะ ใช่ค่ะ เราต้องทำขนมเทียนกันแน่นอน อะทุกคนเตรียมห่อ แหม่! นี่ก็ไม่ยอมห้ามกันบ้างเลย”

                มีเสียงหัวเราะจากเปรมสุดาดังแทรกเข้ามา กรวีร์เองก็นั่งขำ ส่วนคอมเมนต์จากทางบ้านเป็นรูปหัวเราะขึ้นมาเต็มหน้าจอ

                “ขำ...ขำกันใหญ่ ใครจะทำขนมเทียนกันล่ะเนอะ โอเค วันนี้เราจะมาทำข้าวโพดอบชีสต่างหาก เมนูง่ายๆ ที่ใช้เวลาไม่นาน มาดูกันเลยค่ะว่าขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร” 

                กรวีร์ผูกผ้ากันเปื้อนและเริ่มคลุกเคล้าส่วนผสมเข้าด้วยกันจนกระทั่งส่งถ้วยข้าวโพดคลุกชีสของเธอวางในหม้อทอด

                “เสร็จแล้วเราก็ตั้งอุณหภูมิ ตั้งเวลา จากนั้นก็รอค่ะ หลังจากนี้ประมาณห้านาทีเราจะได้ข้าวโพดอบชีสแสนอร่อย ระหว่างนี้เราไปอ่านคอมเมนต์กันดีกว่า ใครสงสัยอะไรถามกีวี่ได้เลยนะคะ”

                กรวีร์เดินกลับมาที่หน้าจอ มีคอมเมนต์มากมายเลื่อนขึ้นจนอ่านไม่ทัน บางคนสนใจหม้อ แต่บางคนก็หน้าหม้อ หญิงสาวมองผ่านคอมเมนต์ประเภท ‘กีวี่สวยจัง’ หรือ ‘จีบได้ไหม’  เพราะคอมเมนต์พวกนี้ไม่ได้มีผลทำให้ยอดเงินในบัญชีเธอเพิ่มขึ้น ครั้นจะหัวร้อนด่าสาดกลับไปก็ไม่คุ้ม เผลอๆ จะกลายเป็นเรียกลูกทัวร์มาถล่มเพจร้านให้เสียหาย ปล่อยวางแล้วเลื่อนผ่านข้อความเป็นพิษพวกนั้นไปดีกว่า ที่เธอสนน่ะคือลูกค้าที่มีแนวโน้มว่าจะสั่งซื้อหม้อของเธอต่างหาก

                “คุณพรพิศราใช่ไหม ถ้ากีวี่อ่านชื่อผิดกราบขออภัยด้วยนะคะ คุณพรพิศราถามว่าหม้อมีประกันไหม มีค่ะ หม้อทอดของเราผลิตได้มาตรฐานโรงงานและรับประกันหนึ่งปีทุกใบเลยค่ะ หากเสียหายสามารถส่งเคลมได้ภายในเจ็ดวันค่ะ”

                “คุณแน่งน้อยถามว่าหม้อมีกี่ขนาด” กรวีร์เห็นเปรมสุดาชูนิ้วบอกจำนวน “คุณแน่งน้อยขา ตอนนี้ทางร้านเรามีตั้งแต่ความจุสองลิตรครึ่งไปจนถึงห้าลิตรเลยค่า”

                เสียงหม้อทอดที่กรวีร์ตั้งเวลาเอาไว้ดังขึ้น หญิงสาวรีบเดินไปเปิดดู

                “ทุกคนคะตอนนี้ข้าวโพดอบชีสของเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวสวมถุงมือกันความร้อนและเอาข้าวโพดอบชีสที่ทำไว้ออกมา เธอก้มลงสูดกลิ่นหอมพร้อมลากเสียงยาว “อื้ม...หอมมาก หน้าตาก็สวยเลอค่าน่ากินสุดๆ ไปเลยค่ะ เดี๋ยวกีวี่ขออนุญาตชิมนะคะ ทุกคนจะได้สบายใจว่ากินได้จริงๆ”

                หญิงสาวหัวเราะพลางใช้ช้อนตักแล้วยกขึ้นจนชีสยืดยาว ก่อนส่งมันเข้าปาก มีเศษชีสติดมุมปาก กรวีร์จึงไล้ปลายลิ้นเลียอย่างช้าๆ ยั่วๆ เรียกคอมเมนต์จากคนทางบ้านได้อย่างเกรียวกราว

                “อื้ม...อร่อยมากๆ เลยค่ะ” กรวีร์วางช้อนแล้วเรียกลูกค้าต่อ “เป็นไงบ้างคะเมนูง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน กีวี่ทำได้ทุกคนก็ต้องทำได้ค่ะ เอาละ สำหรับใครที่รับชมอยู่ตอนนี้นะคะ กีวี่มีโพรดีโพรเด็ดมาฝาก ทุกคนรีบกดไลก์กดแชร์กันเลยนะคะ โพรดีๆ กำลังจะมาแล้วจ้า”

                กรวีร์ดีดกระดิ่งรัวๆ จากนั้นจึงเลื่อนหม้อทอดมาตรงหน้า

                “ทุกคนตั้งใจฟังนะคะ ตั้งใจฟังกีวี่ให้ดี นี่คือหม้อทอดขนาดความจุสองลิตรครึ่ง ราคาปกติอยู่ที่หนึ่งพันหกร้อยเก้าสิบบาท แต่เวลานี้นาทีทองเราลดเหลือหกร้อยเก้าสิบบาทนะคะ ฟังไม่ผิดค่ะทุกคน หกร้อยเก้าสิบบาทถ้วน ของมีจำนวนจำกัดอยู่ที่หนึ่งร้อยใบเท่านั้นนะคะ ราคานี้หาได้ที่เราเท่านั้น ใครอยากได้รอกีวี่ให้สัญญาณก่อนแล้วค่อยส่งข้อความซีเอฟกันนะคะ เอานะ พร้อมหรือยังเอ่ย ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!”

                กรวีร์ทยอยอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ ในใจยิ้มปลื้มปริ่มคำนวณผลกำไรที่จะได้จากการขายครั้งนี้

                “หมดแล้วจ้ะแม่จ๋า ใครไม่ได้ไม่ต้องเสียใจนะคะ ส่วนคนที่เอฟได้ เอฟทัน เดี๋ยวทางแอดมินเราจะสรุปยอดส่งไปให้ อย่าลืมตรวจสอบที่กล่องข้อความกันนะคะ”

                “คุณบุหงาบอกไม่ทัน โอ๋ๆๆ” หญิงสาวหัวเราะอย่างที่เคยซ้อมทำหน้ากระจกมาแล้วเห็นว่าน่ารัก “ไม่ทันไม่ต้องเสียใจนะคะ กดติดตามกีวี่ไว้ สักวันนาทีทองต้องเป็นของเราเนาะ”

                “คุณประเทืองบอกว่าหม้อใช้ดีมาก โอ๊ย...กราบขอบพระคุณมากเลยค่ะสำหรับรีวิว”

                “คุณกัญญาบอกว่าพรีออร์เดอร์น้ำพริกกากหมูไปสามพันกระปุก มาช่วยแม่จ่ายค่าน้ำพริกด้วย” 

                ฮะ! เดี๋ยวนะ 

                คิ้วเรียวได้รูปของแม่ค้าออนไลน์ขมวดมุ่น ยื่นหน้าเข้าไปจนชิดจอ เพ่งมองรูปโพรไฟล์ของคุณกัญญาที่เข้ามาคอมเมนต์บอกให้เธอไปช่วยจ่ายค่าน้ำพริก ท่ามกลางลูกค้ามากมายกรวีร์จะลืมหน้าใครก็ลืมได้ แต่รูปโพรไฟล์ไฉไลอย่างนี้เห็นแล้วก็จำได้ทันทีไม่ต้องมองซ้ำ จะมีใครสักกี่คนที่ทำผมทรงฟาร่างูเห่าจนใหญ่กว่าหัวและสวมเสื้อสีบานเย็นโดดเด่นแยงตา งามไส้! นั่นมัน...

                “แม่!”

                หญิงสาวหลุดปากอุทานลั่น เป็นจังหวะเดียวกับที่เปรมสุดาดีดนิ้วเรียกสติตอนนี้กำลังไลฟ์อยู่ กรวีร์เหลือบมองเพื่อนรัก เปรมสุดากำลังใช้นิ้วดันมุมปากส่งสัญญาณให้ยิ้มก่อน อย่ามาสติแตกอาละวาดกลางไลฟ์ไม่ได้ 

                แต่เดี๋ยวก่อนนะเมื่อกี้เธออ่านไม่ผิดใช่ไหม กรวีร์มึนงงเหมือนถูกไม้หน้าสามฟาดกลางแสกหน้า

                “จบไลฟ์ก่อน” คนหลังกล้องทำปากพะงาบๆ แบบไร้เสียง

                คนที่อยู่หน้ากล้องจึงต้องฝืนยิ้มขายของต่อไปอีกนิดก่อนจะเกริ่นนำเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

                “หมดแล้วจ้า หม้อทอดไร้น้ำมันราคาพิเศษหนึ่งร้อยใบ ใครเอฟทันเตรียมรอรับสรุปยอดจากทางแอดมินของเรานะคะ หากลูกค้าท่านใดได้รับหม้อทอดไปแล้ว ลองทำเมนูอร่อยๆ มาอวดกีวี่ที่หน้าแฟนเพจบ้าง ส่วนใครแอบเล็งหม้อของเราไว้ฝากกดไลก์กดแชร์ด้วยนะคะ รับรองว่าร้านเราจัดราคาพิเศษสำหรับทุกท่านแน่นอน และสำหรับวันนี้กีวี่คงต้องลาไปก่อน กราบขอบพระคุณคุณลูกค้าทุกท่าน แล้วเจอกันใหม่ไลฟ์หน้า สวัสดีค่า”

                กรวีร์โบกมือยิ้มแป้น แต่พอเปรมสุดากดปุ่มหยุดถ่ายทอดสดเท่านั้น รอยยิ้มสดใสก็จางหายไปจากใบหน้า กีวี่ผู้น่ารักเมื่อนาทีก่อนหายไปเหลือเพียงกรวีร์ผู้เกรี้ยวกราดพร้อมฟาดฟันทุกอย่างที่ขวางหน้า

                “เจ๊หวีไปโดนตัวไหนมา ถึงได้กล้าเมนต์ขอเงินฉันกลางไลฟ์อย่างนั้น ลากฉันไปตบกลางแยกอโศกซะยังจะดีเสียกว่า” หญิงสาวเดือดดาลกัดฟันกรอด สาวเท้าไปหาเปรมสุดาด้วยใบหน้าหงิกงอ “โทรศัพท์ฉันอยู่ไหน”

                “แกก็ใจเย็นๆ ก่อน เจ๊หวีอาจจะล้อเล่นก็ได้” เปรมสุดาหยิบโทรศัพท์ส่งให้

                “ล้อเล่น! เปรม...แม่ฉันไม่ใช่คนมีอารมณ์ขันขนาดนั้นหรอกนะ แล้วในขณะที่ฉันทำมาหากินเจ๊หวีจะนึกสนุกมาปล่อยมุกโบ๊ะบ๊ะกลางไลฟ์สด มันใช่เวลาเหรอ ไม่อยากจะนึกเลยว่าพระมารดาสุดที่รักของฉันจะก่อวีรกรรมอะไรให้ต้องตามจ่ายอีก”

                กรวีร์บ่นอุบ ขณะที่นิ้วเรียวจิ้มเบอร์โทร.หาแม่ ราวกับว่าคุณกัญญาก็รอท่าอยู่แล้วเธอจึงแทบไม่ต้องรอเลยด้วยซ้ำ พอสัญญาณดังปุ๊บ ปลายทางก็กดรับปั๊บ แถมขานรับด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย หญิงสาวกลืนน้ำลายดังเอื๊อก นึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก

                “กีวี่...ลูกรักของแม่”

                เปิดมาหวานเจี๊ยบแบบนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ กรวีร์ตั้งสติเตรียมรับมือกับเสด็จแม่

                “เจ๊หวีที่รักของลูก ช่วยบอกลูกสาวให้ชื่นใจหน่อยได้ไหมคะว่าพรีออร์เดอร์น้ำพริกสามพันกระปุกนั่นล้อกันเล่นใช่หรือเปล่า”

                “อู๊ย...ลูกจ๋า พูดเหมือนไม่รู้จักแม่อย่างนั้นแหละ อย่าลืมคอนเซปต์เจ๊หวีสิจ๊ะ เสียเงินไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้”

                แล้วขอเงินลูกสาวกลางไลฟ์นี่ไม่กลัวเสียหน้าเลยนะแม่...หญิงสาวคิดเถียงในใจ

                “อะ งั้นหนูขอเช็กยอดหน่อย สามพันกระปุกนี่เป็นเงินเท่าไรเอ่ย”

                กรวีร์กลั้นใจถามราคา พยายามคำนวณแบบถูกสุด สมมติน้ำพริกนั่นกระปุกละยี่สิบบาท สามพันกระปุกก็ยังเป็นเงินตั้งหกหมื่น นี่ขนาดเธอคูณแบบราคาประหยัดสุดๆ แล้วนะ

                “โอ๊ย...เงินเล็กน้อยแค่นี้ แม่เชื่อว่าหนูต้องมีให้แม่ยืมก่อนแน่นอนจ้ะ จะว่าไปแล้วแม่ก็พิมพ์ผิดไปหน่อย ความจริงก็ไม่ได้จะให้หนูจ่ายทั้งหมดหรอกจ้ะเพราะว่าแม่น่ะสำรองจ่ายไปแล้ว”

                “รีบบอกยอดมาดีกว่าแม่ หนูเกร็งไปหมดทั้งตัวแล้วเนี่ย”

                “แหม...ใจร้อนจริงลูกคนนี้ ก็เงินแค่สาม...” เจ๊หวีลากเสียงยาว

                “สามหมื่นเหรอแม่” กรวีร์ค่อยใจชื้น อย่างน้อยก็ถูกกว่าที่คิด บาปบุญสมัยนี้ยังมีน้ำพริกกระปุกละสิบบาทขายอยู่อีกเหรอ

                “สามแสนจ้ะ”

                “ฮะ!”

                “สามแสน”

                “ขออีกทีซิแม่ เท่าไรนะ” 

                “สามแสน” 

                เจ๊หวีย้ำยอดทั้งสามครั้งเหมือนกันเป๊ะ กรวีร์ถึงกับเซ รู้สึกคล้ายมีลมหมุนปั่นป่วนอยู่ในท้องกำลังตีขึ้นมาจุกอกอย่างปัจจุบันทันด่วน ขาแข้งของเธออ่อนเปลี้ย หน้ามืดวิงเวียนจะเป็นลม รีบถามแม่ปากคอสั่น 

                “แม่นับเลขศูนย์เกินไปรึเปล่า อาจเป็นจุดเศษสตางค์ก็ได้นะแม่”

                “ไม่ผิด เลขสามนำหน้า เลขศูนย์ตามมาอีกห้าตัวเป๊ะๆ ไม่มีจุดเศษสตางค์ น้ำพริกราคากระปุกละร้อย สามพันกระปุกก็เป็นเงินสามแสน แฮ่...แม่ขอยืมเงินจ่ายดอกก่อนนะลูก เดี๋ยวใช้คืนให้”

                “ก่อนที่แม่จะคิดหาเงินมาใช้คืนให้หนู แม่ต้องคิดสิว่าหนูจะเอาที่ไหนมาให้แม่ยืม!” กรวีร์โมโหจนควันออกหูจึงไม่ทันฉุกคิดคำพูดของแม่ โชคดีที่มีเก้าอี้อยู่ใกล้ๆ หญิงสาวรีบถอยไปนั่งยกมือขึ้นกุมขมับ ฝืนยืนต่อเป็นมีหวังได้เป็นลมหัวฟาดพื้น 

                เปรมสุดาเห็นอาการเพื่อนไม่ค่อยดีจึงขยับเข้ามาพร้อมสายตาห่วงใย ลูกสาวเจ๊หวีทำใจแข็งโบกมือบอกไม่เป็นไร ยังไหวอยู่

                ผ่านไปชั่วอึดใจคุณกัญญาถือสายรอคอยคำตอบ กรวีร์พยายามระงับอารมณ์อยากพ่นไฟให้ทั้งห้องกลายเป็นทะเลเพลิง หญิงสาวท่องพุทโธๆ ในใจ บังคับเสียงให้เป็นปกติ ไม่ห้วน ไม่ดุจนแม่ความดันขึ้น

                “ไหนแม่ลองเล่าแรงบันดาลใจให้หนูฟังหน่อย ทำไมอยู่ดีๆ เจ๊หวีถึงได้สำแดงเดชพรีออร์เดอร์น้ำพริกมากมายขนาดนั้น แม่กะจะเลี้ยงคนทั้งสุพรรณเลยหรือไง”

                “แม่ก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้...”

                “แม่” หญิงสาวกลอกตาขณะส่งเสียงเตือน บอกตามตรงว่าความอดทนเหลือน้อยเต็มที เธอรู้ว่าแม่กำลังถ่วงเวลาอยู่ แต่จะช้าหรือเร็วก็ต้องเล่า เพราะฉะนั้น “รีบเข้าเรื่องเถอะ หนูขอเนื้อๆ เน้นๆ ประเด็นสำคัญ น้ำไม่ต้อง”

                “ก็คือว่า...พ่อกระต่ายน่ะจ้ะ”

                พ่อกระต่าย! กรวีร์คำรามดุดันในลำคอ นึกอยากพ่นไฟขึ้นมาอีกรอบ พ่อกระต่ายที่แม่พูดถึงคือชายหนุ่มรูปงามนามเต็มว่า กระต่ายขาว เป็นพระเอกลิเกชื่อดังและกำลังเนื้อหอมที่สุดในโลกโซเชียล พ่อพระเอกลิเกคนดังฝ่าวิกฤตแจ้งเกิดในยุคนิวนอร์มอลได้อย่างงดงาม กอบโกยความนิยมจากแฟนคลับได้มากโข เปิดแสดงลิเกไลฟ์สดแต่ละทียอดโดเนตพุ่งกระฉูดจนเธอยังนึกอยากจะหัดเรียนเล่นลิเกบ้าง ยิ่งช่วงหยุดยาวอยู่กับบ้านสาวแก่แม่ม่ายไปไหนไม่ได้ก็นอนดูลิเกไป โดเนตไป สแกนจ่ายผ่านคิวอาร์โค้ดติ๊ดเดียวก็เรียบร้อย

                แล้วแม่เธอเนี่ยจัดเป็นแฟนคลับที่ชื่อแอกเคานต์มีรูปเพชรแฟนตัวยงอวยยศประดับอยู่ข้างท้าย นั่นคือความภาคภูมิใจอันยิ่งยวดของเจ๊หวีที่ได้เป็นแม่ยกยุคบุกเบิกตั้งแต่คณะลิเกยังไม่ได้ย้ายมาเปิดตลาดขยายฐานแฟนคลับในโลกออนไลน์ ทว่าที่กรวีร์ติดใจสงสัยคือทำไมน้ำพริกสามพันกระปุกถึงได้เกี่ยวข้องกับพระเอกลิเกรูปหล่อคนนั้น

                “คืองี้นะลูก พ่อกระต่ายเขามีแคมเปญทำน้ำพริกกากหมูขาย หารายได้เสริม ช่วยจุนเจือคนในคณะลิเกนั่นแหละ แล้วคราวนี้เขาก็จะจัดงานแฟนมีตแบบนิวนอร์มอลกับแฟนคลับที่เป็นท็อปสเปนเดอร์สิบห้าคนแรก”

                “แม่ก็เลยทุ่มซื้อไปสามพันกระปุกจุกๆ ว่างั้น”

                “แลกกับการได้เป็นท็อปสเปนเดอร์อันดับหนึ่งเลยนะลูก”

                น้ำเสียงของแม่ซึมซาบอาบเอิบด้วยความยินดีเสียจนลูกสาวไม่กล้าขัด แต่นั่นมันเงินตั้งสามแสน สามแสนเชียวนะแม่!

                “หนูไม่อยากจะขัดความสุขแม่หรอกนะ แต่ว่าเราจะไปหาค่าน้ำพริกมาจากไหน”

                “หนูไม่มีเลยเหรอลูก” 

                “แม่!” กรวีร์เสียงสูงปรี๊ด แม่ถามเหมือนเงินแค่สามร้อย “นี่เรากำลังพูดถึงเงินสามแสนอยู่นะ ไม่ใช่สามสิบหรือสามร้อย เงินไม่ใช่น้อยๆ แม่ก็น่าจะรู้ว่าหนูไม่มีรายได้ กำไรส่วนที่ขายหม้อทอดมันก็ไม่ได้เหลือเยอะจนให้แม่เอาไปซื้อความเป็นท็อปสเปนเดอร์ได้”

                “ความจริงแม่ก็รู้แหละว่าหนูไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น”

                “ใช่ค่ะ และแม่กำลังจะบอกหนูว่า แม่คิดจะยกเลิกคำสั่งพรีออร์เดอร์น้ำพริกนั่นใช่ไหม” กรวีร์พอจะจับเสียงอ่อยๆ ของแม่ได้ เจ๊หวีที่รักกำลังรู้สึกผิดอยู่ แม่เธอไม่ได้หลงพระเอกลิเกจนหน้ามืดตามัว หากยกเลิกคำสั่งซื้อ เธอจะไม่ว่า ไม่บ่น และไม่โกรธเรื่องที่แม่ขอเงินกลางไลฟ์เลย

                “ยกเลิกเหรอ ไม่ได้สิกีวี่ ความท็อปสเปนเดอร์ของแม่ไม่ใช่ได้มาด้วยโชคช่วยนะลูก”

                “แต่หนูก็เสกเงินสามแสนมาให้แม่ไม่ได้เหมือนกัน”

                “อันนั้นแม่ก็รู้ หนูไม่มีเงินก้อนสามแสน แต่เจ๊ปิ๋มมี”

                คำว่า เจ๊ปิ๋มมี ทำให้กรวีร์เหงื่อแตกพลั่ก “อย่าบอกนะว่าแม่...”

                “จ้ะ ที่หนูกำลังคิดอยู่น่ะใช่เลย แม่ขอยืมเงินเจ๊ปิ๋มมาสำรองจ่ายค่าน้ำพริกเรียบร้อยแล้ว ไอ้ที่จะหยิบยืมหนูน่ะก็แค่จะขอมาจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่านั้น เมื่อกี้แม่ก็พูดไปแล้วนี่นาว่าจ่ายดอก”

                “โอย...ฉันกำลังจะเป็นลม เปรมขอยาดมให้ฉันที” กรวีร์ทิ้งกายเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง ใบหน้าเนียนใสซีดเผือด เลือดในกายเย็นเฉียบจนน้ำแข็งขั้วโลกยังต้องอาย

                “ใจเย็นๆ แก” เปรมสุดาหมุนฝาเปิดยาดมแล้วส่งให้เพื่อน “หน้าซีดมากเลย ไหวไหมเนี่ย”

                “ฉันโอเค” แต่ความจริงกรวีร์ไม่โอเค ไม่เลยสักนิด

                หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาวเข้าปอด นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วหรืออะไรก็ตามที่พอจะทำให้เรื่องทั้งหมดมันกลายเป็นเพียงความฝัน แม่คงเห็นว่าเธอนิ่งเงียบไปนานจึงส่งเสียงเรียก

                “กีวี่”

                “หนูยังอยู่แม่ แล้วคราวนี้จะทำยังไงต่อ แม่ไม่กลัวแก๊งหมวกกันน็อกทวงหนี้นอกระบบของเจ๊ปิ๋มหรอกเหรอ”

                “กลัว” คุณกัญญาสารภาพ

                “อ้าว! กลัวแล้วแม่ไปยืมเงินเขาทำไม รู้ทั้งรู้ว่าขบวนการหนี้นอกระบบมันเป็นยังไง ขาดส่งอย่างนี้ทั้งต้นทั้งดอกคงเบ่งบานใช้หนี้กันยันชาติหน้าแน่ๆ นี่ยังไม่นับรวมค่ารักษาตัวตอนโดนซ้อมเพราะขาดส่งดอกรายวันอีกนะ”

                “พูดซะน่ากลัวเกินจริง เจ๊ปิ๋มไม่ใจร้ายกับแม่หรอก”

                “อ๋อ...แม่ยังคิดว่าเขาจะซาบซึ้งผลงานการจับคู่ของแม่อยู่อีกเหรอ แม่...เถ้าแก่ปองผัวเจ๊ปิ๋มเขาตายจนไปเกิดใหม่แล้วมั้ง เผลอๆ เจ๊ปิ๋มเขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งแม่เคยเป็นแม่สื่อให้ หรือไม่เขาก็อาจจะคิดแค้นใจอยู่ลึกๆ ที่แม่มีส่วนทำให้เขาต้องแต่งงานกับผู้ชายอายุสั้น อยู่กันไม่เท่าไรก็ต้องครองตำแหน่งแม่ม่ายทรงเครื่องมาตั้งหลายปีดีดัก”

                นอกจากจะมีงานหลักเป็นช่างเสริมสวย คุณกัญญายังมีงานรองเป็นแม่สื่อ เที่ยวจับคู่ให้แก่พวกลูกหลานคนรวยที่สิ้นไร้แรงบันดาลใจในการเลือกคู่ กรวีร์ไม่ชอบอะไรที่เล่นกับความรู้สึกคน เดิมพันมันสูงเกินไปหากต้องฝากชีวิตไว้กับผู้ชายที่ใครก็ไม่รู้แนะนำมาให้ ไม่ได้ใช้ฝีมือแสวงหามาเอง ส่วนตัวเธอคิดว่ามันไม่เวิร์ก

                อย่างคู่เจ๊ปิ๋มกับเถ้าแก่ปองนั้นก็เป็นการเดบิวต์ครั้งแรกของเจ๊หวีในฐานะแม่สื่อ แม่เธอมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับความรักของคนคู่นี้ เปรียบเสมือนตัวเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งคู่จนกระทั่งความรักสุกงอม เจ๊ปิ๋มกับเถ้าแก่ปองแต่งงานอยู่กินสร้างครอบครัวจนมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย เป็นคู่รักต้นแบบของคนรุ่นหลัง แต่โชคไม่ดีที่ฝ่ายชายเสียชีวิตไปแล้ว

                แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นกว่าเถ้าแก่ปองจะเสีย ความสำเร็จในการจับคู่ของเจ๊หวีก็เป็นที่ประจักษ์แจ้ง แม่เธอได้รับเครดิตไปเต็มๆ นั่นจึงทำให้แม่เริ่มจับคู่คนนั้นคนนี้ต่อมาอีกหลายคู่

                งานแม่สื่อเป็นงานที่สร้างรายได้อีกทางให้แก่เจ๊หวี เพราะเมื่อคู่รักลงเอยกันอย่างมีความสุข แม่ก็ได้ค่าธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ เป็นของขวัญ แต่เล็กๆ น้อยๆ ของคนรวยนั้นนับเป็นตัวเลขที่สวยหรูดูดีไม่หยอก

                กรวีร์ไม่เข้าใจทำไมคนเราถึงต้องยอมรับการจับคู่อย่างสิ้นคิด หมดหนทางขวนขวายกันแล้วเหรอ เธอเชื่อในสัญชาตญาณการเลือกคู่ด้วยตนเองมากกว่า อีกอย่างในยามรักน้ำต้มผักก็หวานอยู่หรอก แต่อนาคตใครจะรู้ วันดีคืนดีหมดรักเหม็นขี้หน้ากันขึ้นมา แม่สื่อน่ะจะกลายเป็นหมาเอาง่ายๆ

                เธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับเจ๊ปิ๋มดูดดื่มแน่นแฟ้น แต่เรื่องเงินทองมันเป็นของบาดใจ เมื่อมีโอกาสกรวีร์จึงไม่ยอมพลาดขอข่มขู่ทำลายความมั่นใจแม่สักหน่อย เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าต่อไปหากขัดสนอะไรก็จะไปกู้ยืมเขามาง่ายๆ โดยไม่ปรึกษาเธอก่อน เธอรู้ว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พูดขู่แม่ไป เจ๊ปิ๋มเป็นเจ้าแม่เงินกู้ใจดี มีคุณธรรมสูงส่ง ไม่ได้หน้าเลือดอย่างพวกที่เป็นข่าวทำร้ายร่างกายลูกหนี้ ยิ่งเป็นคนกันเองอย่างเจ๊หวีบากหน้าเข้าไปขอหยิบยืมมีหรือจะใจดำไม่ยอมช่วย ปัญหาที่กรวีร์กลัวคือแม่จะเอาเงินจากไหนไปใช้คืนให้เจ๊ปิ๋ม

                “หนูก็ไม่รู้จะพูดยังไงในเมื่อแม่มีปัญหาและแก้ปัญหาให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว”

                “มันก็ไม่เรียบร้อยซะทีเดียวหรอก”

                ทำไมกรวีร์ถึงมั่นใจว่าเธอกำลังจะเผชิญหน้ากับปัญหาที่แท้จริงของคุณกัญญา มันจะมีอะไรเลวร้ายกว่าการเป็นหนี้สามแสนอีกนะ

                “ตกลงยังไง แม่ว่ามาเลย มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการที่แม่เพิ่งไปกู้เงินนอกระบบมาสามแสนหรอก”

                “ช่วงนี้ที่ร้านไม่มีลูกค้าเลย”

                “อันนั้นหนูรู้อยู่แล้ว หลายกิจการก็แย่กันทั้งนั้น คนตกงานเต็มไปหมด”

                “พอไม่มีลูกค้า แม่ก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาจ่ายดอกเบี้ย”

                “ดอกร้อยละบาทก็แค่เดือนละสามพันเองนะแม่ แม่ทำผมไม่กี่หัวก็ได้แล้วมั้ง น่าจะหมุนทันอยู่ ถ้าใช้จ่ายดีๆ”

                “แต่แม่ก็ต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับซื้อของพรีเมียมคอลเล็กชันใหม่ของพ่อกระต่ายนะลูก”

                “แม่!” กรวีร์ปรี๊ดแตกอีกรอบ “นี่จะโดนแก๊งทวงหนี้อุ้มไปฆ่า ยังมีแก่ใจห่วงอีกระต่ายผีนั่นอยู่อีกเหรอ งั้นหนูขอแนะนำให้แม่ไปปรึกษาพ่อพระเอกลิเกที่พึ่งทางใจของแม่เถอะ ตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ยอดเงินคงเหลือต่ำเตี่ยเรี่ยดินอย่างหนูคงช่วยแม่ไม่ได้หรอก”

                “กีวี่...กีวี่...กีวี่ อย่าเพิ่งโมโหสิลูก ฟังแม่ก่อน” คุณกัญญาเสียงอ่อน รู้ตัวว่าเดินหมากพลาด จึงต้องถอยมาตั้งหลักใหม่ “แม่ผิดไปแล้วที่ไม่ปรึกษาหนู แต่ช่วยแม่จ่ายดอกเบี้ยเจ๊ปิ๋มสักงวดก่อนนะ แม่ไม่ได้จ่ายเขามาสามเดือนแล้ว เขายังไม่ได้ทวงหรอก แต่แม่ก็รู้สึกเกรงใจ”

                นี่ไงล่ะ ความต้องการที่แท้จริงของเจ๊หวี แม่ไม่ได้ตั้งใจขอยืมเงินสามแสน ไม่คิดให้เธอจ่ายดอกเดือนละสามพัน แต่แม่สุดที่รักของเธอค้างดอกเบี้ยเจ๊ปิ๋มไปแล้วสามเดือน คิดเป็นเลขกลมๆ แบบไม่บวกค่าปรับ ค่าจ่ายล่าช้าก็ปาไปตั้งเก้าพันแล้ว โอย...นี่เธอจะทำอย่างไรกับเจ๊หวีดีนะ

                “ถ้าเหตุการณ์มันกลับมาเป็นปกติ แม่ก็พอมีรายได้ นี่ก็ลุ้นๆ อยู่ว่างานแต่งของครูสิกับพ่อศาสจะไม่ต้องเลื่อน งานนี้แม่แต่งหน้าทำผมเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง บวกค่าน้ำร้อนน้ำชามันก็น่าจะพอได้ค่าดอกเบี้ย”

                “มันพอจ่ายอยู่แล้ว ถ้าแม่ไม่ไปเผลอมือลั่นพรีออร์เดอร์อะไรของอีกระต่ายผีนั่นอีก” กรวีร์ใส่อารมณ์เต็มที่ หากคนที่กำลังคุยอยู่ไม่ใช่เจ๊หวี เธออาจจะสบถคำพูดที่เลวร้ายกว่านี้ก็ได้ หญิงสาวสูดยาดมฟืดฟาด “ตกลงว่าหนูต้องโอนไปให้แม่เท่าไร”

                “สักหมื่นหนึ่งก่อนได้ไหม ถ้างานแต่งไม่เลื่อนแม่จะใช้คืนให้”

                “แม่ก็รู้คนอย่างหนูให้คือให้ เอาเป็นว่าถ้าแม่ได้เงินมาก็ให้คิดถึงหน้าเจ๊ปิ๋มก่อนแล้วกัน แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นท็อปสเปนเดอร์ทุกแคมเปญของอีกระต่ายผีนั่น แค่เปย์น้ำพริกไปสามแสน หนูก็เชื่อว่าคนทั้งคณะคงจะจดจำชื่อแม่ยกกัญญาได้หมดแล้ว” กรวีร์บีบโทรศัพท์อย่างอดทน เธออยากจะต่อว่าไปแรงๆ แต่คำว่าแม่บังเกิดเกล้าค้ำคออยู่

                “แม่ผิดไปแล้ว”

                กระแสเสียงสำนึกผิดของแม่ไม่ได้ทำให้หนี้สามแสนมันสูญสลาย ความจริงที่ยังหลอกหลอนกรวีร์คือเธอมีภาระเพิ่มมากขึ้น นั่นเท่ากับว่าเธอจะต้องทำยอดขายหม้อให้ได้มากกว่าเดิม ซึ่งในทางปฏิบัติอายุการใช้งานของหม้อแต่ละใบแล้วยาวนานเป็นปีกว่าที่มันจะพัง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะทำยอดขายถล่มทลายแตะถึงระดับหนึ่งพันใบทุกไลฟ์ ดูอย่างวันนี้ถ้าไม่มีนาทีทองลดราคาช่วยก็ไม่รู้ว่าจะขายได้ถึงห้าสิบใบหรือเปล่า

                กรวีร์ถอนใจอย่างอ่อนล้า สมองมึนงง คิดไม่ออก เธอจะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้แทนแม่ หญิงสาวคิดอย่างท้อแท้สิ้นหวัง เหลือบมองไปทางเปรมสุดาเพื่อนรักที่กำลังรวบรวมจำนวนเงินแจ้งยอดให้ลูกค้า นั่นละเธอจึงได้สติ ใช่สิ เธอต้องทำงาน ต่อให้ดอกเบี้ยเบ่งบาน หนี้สินท่วมหัว เธอก็ยังต้องดิ้นรนหาเงินต่อไปแบบไม่หยุดพัก เรื่องอื่นค่อยๆ แก้ปัญหาไปแล้วกัน

                “โอเคแม่ แค่นี้ก่อนนะ” หญิงสาวตัดบทพร้อมแจงเหตุผลเพื่อแม่จะได้ไม่รู้สึกผิดจนเกินไป “หนูยังต้องช่วยเปรมสรุปยอดสั่งหม้อส่งลูกค้า พรุ่งนี้บ่ายๆ จะโอนเงินให้ แม่รีบเอาไปจ่ายเจ๊ปิ๋มนะ”

                “จ้ะๆ แม่จะรีบกดไปจ่ายเลย”

                กรวีร์วางโทรศัพท์ลงใกล้ๆ แล้วเอามือลูบหน้า

                “เป็นไง เจ๊หวีก่อเรื่องอะไรให้อีก ฉันไม่เคยเห็นแกปรี๊ดแตกใส่แม่มานานแล้วนะ” เปรมสุดาเพิ่งจะมีโอกาสถาม

                กรวีร์ลดมือที่ปิดหน้าลง “แม่ฉันเพิ่งกู้เงินเจ๊ปิ๋มมาสามแสน ฉันจะไม่เจ็บแค้นเคืองโกรธเลย ถ้าแม่เอาเงินไปทำอะไรที่มันงอกเงยขึ้นมา”

                “แล้วตกลงแม่เอาเงินไปทำอะไร”

                “น่าชื่นใจที่สุด แม่ฉันทุ่มซื้อน้ำพริกกากหมูของอีกระต่ายผีพระเอกลิเกที่แม่เป็นแม่ยกมันอยู่ เปรมแกลองนึกถึงหัวอกฉันสิ ปั้นหน้ายิ้มสู้กล้อง กล่อมลูกค้าจนคอแห้งกว่าจะขายหม้อได้แต่ละใบ แล้วดูแม่ฉันเอาเงินสามแสนไปซื้อน้ำพริก แกเข้าใจฉันไหม แกเข้าใจอารมณ์ฉันไหมเปรม” กรวีร์ร่ายความในใจ ตีอกตัวเองระบายความอัดอั้น ดวงตาคู่แวววาวแดงระเรื่อด้วยความเจ็บใจ

                “เออๆ ฉันเข้าใจ แกใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ คิด”

                “ฮึ! ที่คิดออกตอนนี้น่ะเหรอ ฉันอยากจะตามไปถลกหนังอีกระต่ายผีนั่นแล้วย่างกินแกล้มกับน้ำพริกของมันจริงๆ” กรวีร์เดือดจัด พลังแค้นสุมแน่นในอก “แล้วสภาพอย่างนี้อย่าว่าแต่สามแสนเลยนะ สามหมื่นก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว”

                “ไม่เอาน่า มันต้องมีวิธีปลดหนี้สิ”

                แววตาของกรวีร์นิ่งสนิทเกินกว่าเปรมสุดาจะคาดเดาได้ หญิงสาวที่จู่ๆ ก็หนี้หล่นทับสามแสนเหยียดยิ้มเย้ยหยันขณะที่สบตากับเพื่อน

                “วิธีที่ฉันคิดได้ตอนนี้ก็เห็นจะมีแค่ให้แม่มองหาเสี่ยรวยๆ มาช่วยฉันปลดหนี้สักคน”

                “ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว” เปรมสุดาหัวเราะชอบใจ “หมดหนี้เร็วดี”

                “เออ ฉันควรโทร. กลับไปถามเจ๊หวีแล้วละว่าแถวนั้นมีเสี่ยโสดๆ เหลืออยู่บ้างไหม ฉันจะได้อุทิศกายขัดดอกให้มันรู้แล้วรู้รอดไป” 

                ให้ตายสิ! กรวีร์อยากขำ แต่ขำไม่ออกจริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น