6

6

6

 

                กรวีร์ปรายตามองเจ๊หวีสุดที่รักนั่งครวญเพลงพร้อมโยกตัวตามจังหวะดนตรีอย่างครึกครื้น อารมณ์ดีแล้วนึกขำ ค่ะ นี่คือคนที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้เธอคิดดีๆ ก่อนจะพลีกายไปเป็นเมียขัดดอกของเสี่ยไปป์ แล้วเหตุไฉนตั้งแต่ขึ้นรถมาเจ๊หวียังลั้นลาไม่เลิกเลย ช่างสรรหาบทเพลงมาขับร้องเข้ากับสถานการณ์อะไรอย่างนี้ ติดตรงที่นัดไว้หน้าอำเภอน่ะไม่ใช่ความรัก แต่เป็นเจ้าหนี้ ว่าที่สามีผู้ร่ำรวยของเธอนั่นเอง

                ว่าไปเธอก็แอบใจสั่น แต่พยายามเก็บซ่อนอาการประหม่าไม่ให้แม่เห็น กลัวจะเป็นห่วง เมื่อวานหลังจากส่งเสี่ยไปป์เรียบร้อย เธอย้อนกลับเข้ามาในบ้านเห็นแม่นั่งตาแดงๆ กรวีร์ไม่รู้หรอกว่าแม่คิดอะไรอยู่ แต่ในเมื่อตัดสินใจรับปากเสี่ยไปแล้วเธอก็ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง หญิงสาวบอกแม่ทำใจให้สบาย เล่าแผนการที่คิดไว้ให้แม่ฟัง 

                เจ๊หวีเป็นคนอ่อนไหว แต่มีข้อดีตรงเข้าใจอะไรง่าย กรีวีร์จึงไม่ต้องเปลืองพลังชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมให้คล้อยตาม สิ่งที่กระตุ้นให้เรื่องง่ายขึ้นอีกนิดเห็นจะเป็นเงินก้อนสุดท้าย เสี่ยไปป์รับปากจะมอบเงินหนึ่งล้านให้เธอหลังชีวิตคู่ถึงทางตัน เงินก้อนนี้แหละจะเป็นหลักประกันให้กรวีร์ 

                ดีๆ ชั่วๆ ก็ยังได้เงินตั้งตัวหนึ่งล้าน ไม่มีอะไรต้องกังวลหากชีวิตคู่จะไม่ถึงฝั่งฝัน เธอค่อนข้างมั่นใจว่าต้องได้ใช้เงินก้อนนี้แน่ เพราะดูแล้วตัวเสี่ยไปป์ก็เตรียมหาทางถอยให้ตัวเองเอาไว้เหมือนกัน เสียหนึ่งล้านให้เธอพร้อมใบหย่า ดีกว่าเสียสินสมรสครึ่งหนึ่งซึ่งมูลค่ามากกว่าแน่นอน

                กรวีร์ไม่ฝันหวานว่างานวิวาห์ฉุกละหุกครั้งนี้จะคงอยู่ยั่งยืนยาวตราบชั่วกัลปาวสาน อาจจะแค่ระยะเวลาสั้นๆ ตามความจำเป็นของเสี่ย ถึงเขาจะไม่บอกตรงๆ แต่เธอก็ฉลาดพอจะปะติดปะต่อได้เอง ใจความสำคัญของเรื่องนี้มันอยู่ตรงที่เสี่ยอยากได้เมียโดยไม่สนเหตุผลอื่น

                หากเสี่ยไม่เจอเธอ เขาก็คงจะไม่ปฏิเสธแม่กิ่งอ้อที่เจ๊หวีติดต่อไว้ ด้วยผลตอบแทนที่เขาเสนอมาให้ ทำไมเธอจะเป็นเมียเขาไม่ได้ล่ะ เป็นกรวีร์น่ะดีเสียอีก เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลไปถึงมือคนอื่น

                “แน่ใจนะกีวี่” คำถามเดิมของเจ๊หวีถูกเอ่ยขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไรเธอก็ขี้เกียจนับ หญิงสาวยิ้มสดใส

                “หลังจากแม่เปิดเพลงบิวด์หนูมาตลอดทาง แม่ไม่น่าต้องถามซ้ำนะว่าหนูแน่ใจไหม ไม่แน่ใจหนูไม่มาหรอก”

                “ถึงอย่างนั้นแม่ก็เป็นห่วง”

                “เอาไว้หนูเลิกกับเสี่ยวันไหน แม่ช่วยรักษาแผลใจให้ด้วยแล้วกัน หาพ่อม่ายใกล้ตายสมบัติเยอะๆ ให้หนูอีกสักคนจะขอบพระคุณมาก” หญิงสาวบอกขำๆ พลางหมุนพวงมาลัยวนหาที่จอด

                “พูดอะไรอย่างนั้น นี่มันวันมงคล ไม่แน่หรอกหนูอาจจะเป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อนของเสี่ยไปป์ก็ได้ ขนาดแม่นัดกับแม่กิ่งอ้อไว้ยังมีเหตุให้คลาดกันจนมาเจอหนู”

                “ได้ยินแบบนี้ ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย ถือว่าหนูกับเสี่ยดวงสมพงศ์กันในระดับหนึ่ง” กรวีร์หัวเราะกลบเกลื่อนความตื่นเต้น เธอเห็นว่าที่สามีแล้ว เขายืนกอดอกพิงรถรออยู่ ตรงนั้นมีที่ว่างเธอจึงขับรถไปจอดช่องข้างๆ 

                กรวีร์หันไปสะกิดแม่แล้วเชิดปลายคางไปยังชายหนุ่ม “นอกจากรวยแล้ว เสี่ยเขาก็หล่อพอได้อยู่นะแม่ บางทีฟ้าอาจส่งเขามาให้หนูจริงๆ ก็ได้ ไปเถอะแม่ อย่าให้ลูกเขยรอนาน”

                ปวินท์ละสายตาจากปลายเท้าที่กำลังเขี่ยก้อนหินเล่น ก่อนจะหยีตาเพราะชุดสีบานเย็นของเจ๊หวีกระทบแสงแดดสะท้อนจนแสบตา ชายหนุ่มยืดตัวยืนตรง ยกมือไหว้ว่าที่แม่ยาย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังหญิงสาวที่รอคอย เขาพยักหน้าทักทายเธอ ดวงตาอ่อนแสงพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นมุมปาก นึกเอ็นดูแฟชั่นแม่ลูก สองสาวแต่งตัวราวกับนัด คนแม่นี่แซ่บคงเส้นคงวา ส่วนคนลูกก็ต้องยอมรับละว่า...น่าประทับใจ

                เจ้าสาวของปวินท์มาในเดรสสีชมพูดูหวานละมุน ผมยาวปล่อยสยายเหยียดตรง แต่งหน้าโทนอ่อนๆ ดูเป็นธรรมชาติสบายตา ด้วยต้นทุนเบ้าหน้าที่ต้องบอกว่าเทวดาปั้นมาดีอยู่แล้วของกรวีร์ เธอจึงไม่จำเป็นต้องแต่งเติมสีสันให้ฉูดฉาด เพียงแค่นี้ก็มองเพลินจนไม่อยากถอนสายตาไปทางอื่นแล้ว

                “เสี่ยรอนานไหมคะ” เธอถามเพราะเขาเอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้น

                ปวินท์สั่นหน้า ตอบไปคนละเรื่อง “วันนี้เธอดูสวยกว่าเมื่อวานนะ”

                “ทำไงได้ล่ะคะ ออราเจ้าสาวมันจับน่ะเสี่ย เจ้าบ่าวของฉันก็หล่อไม่เบานะวันนี้” เธอทำใจกล้าก้าวเข้าไปช่วยปัดไหล่ให้เขาแล้วยิ้มกว้างรับคำชมโดยไม่มีท่าทีเคอะเขิน “พร้อมจะเป็นสามีฉันยังคะ”

                “เธอล่ะพร้อมจะเป็นเมียฉันหรือยัง”

                “พร้อมตั้งแต่เมื่อวาน รีบพาฉันเข้าไปเปลี่ยนนามสกุลเถอะค่ะ เผื่อเสี่ยกับแม่จะได้มั่นใจมากกว่านี้”

                ปวินท์ยิ้มพอใจ สอดมือใหญ่จับมือเธอไว้ บีบเบาๆ ส่งกระแสบางอย่างที่ทำให้กรวีร์ใจแกว่ง หญิงสาวเหลือบมองเขาขณะเดินตาม ไม่มีคำพูดต่อล้อต่อเถียง ที่เห็นจากการแอบมองด้านข้างของเสี่ยก็มีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนบาดใจ

                กรวีร์ตระหนักถึงความเป็นคนดังของสามีก็ตอนที่ก้าวเท้าเข้าอำเภอด้วยกัน เรียกว่ามีคนทักตั้งแต่หน้าประตูยันโต๊ะนายทะเบียน ปวินท์รักษาสีหน้าเป็นมิตรกับทุกคนได้อย่างยอดเยี่ยม รอยยิ้มหล่อบาดใจไม่เคยจางหาย ตอบรับไมตรีทุกคนอย่างสนิทสนม

                “อ้าว...เสี่ยไปป์กับเจ๊หวี มาทำอะไรกันครับ”

                “มาจดทะเบียนสมรสครับ แต่ไม่ใช่กับเจ๊หวีนะ” ปวินท์บอกพลางดึงให้เธอมายืนใกล้ๆ รอยยิ้มขยายวงกว้าง “จดกับคนนี้”

                “จริงเหรอเนี่ย โอ๊ย...ยินดีด้วยนะเสี่ย”

                “ขอบคุณครับ แล้วนั่นปลัดจะไปไหน”

                “พอดีต้องตามนายไปเปิดงานกีฬาเยาวชนครับ แวะเข้ามาเอางาน ขอตัวก่อนนะครับ เชิญเสี่ยตามสบายเลย เช้าๆ แบบนี้ห้องทะเบียนไม่ค่อยมีคน รีบไปครับจะได้ไม่ต้องรอนาน”

                “ขอบคุณครับปลัด”

                หลังแจ้งความจำนงกับเจ้าหน้าที่ ทั้งสองถูกเรียกมานั่งเคียงกันต่อหน้านายทะเบียน ต่างรู้สึกถึงพลังความอยากรู้อยากเห็นจากสายตาหลายคู่ที่เดินผ่านไปมา ปวินท์นั่งนิ่ง ขณะที่กรวีร์พยายามไม่สนใจเสียงซุบซิบ นายทะเบียนยื่นเอกสารมาให้ทั้งคู่เซ็นชื่อ

                ชายหนุ่มจดปากกาจารึกชื่อลงไปในทะเบียนสมรสอย่างไม่ลังเล เสร็จแล้วจึงยื่นปากกาให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ

                “เซ็นชื่อกรวีร์นะ อย่าตื่นเต้นเซ็นผิดเป็นกัญญา ฉันลมจับแน่”

                “ตลกนะเสี่ย เป็นผัวฉันก็พอ อย่าเป็นพ่อฉันเลย” กรวีร์ยิ้มขำ ความตึงเครียดรอบตัวผ่อนคลายลงอย่างประหลาด เธอมองรอยยิ้มอ่อนโยนของสามี ก่อนจะรับปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไป

                “ยินดีด้วยนะครับ ไม่นึกเลยว่าเสี่ยจะแอบซุ่มมีแฟนไม่ยอมบอกใคร” นายทะเบียนเย้า

                “เขาอยู่กรุงเทพฯ ซะส่วนใหญ่น่ะครับ คนบ้านเราเลยไม่ค่อยได้เห็น”

                “แล้วแบบนี้จะกลับมาอยู่สุพรรณยาวเลยไหมครับ”

                “อยู่ยาวเท่าที่สามีอนุญาตค่ะ เขาบอกหนูว่าอยากสร้างครอบครัวอบอุ่น” หญิงสาวอมยิ้มเมื่อนึกถึงแรงบันดาลใจในการมีเมียของปวินท์

                “ดีๆๆ อยู่กันพร้อมหน้า ผมขอให้เสี่ยกับคุณกีวี่มีความสุขมากๆ นะครับ ถ้าจัดงานฉลองเมื่อไร อย่าลืมบอกกันบ้างนะ ยินดีด้วยจริงๆ ยินดีกับเจ๊หวีด้วยนะครับ”

                “ค่า...” คุณกัญญาที่นั่งอยู่หลังหนุ่มสาวยิ้มเฝื่อนๆ

                “ขอบคุณมากครับ ถ้าอะไรๆ มันเรียบร้อย เราสองคนต้องมาเรียนเชิญทุกคนที่อำเภอนี่แน่นอน อันนี้คือเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”

                “ครับ เดี๋ยวเสี่ยพาเมียไปถ่ายรูปทำบัตรใหม่ได้เลย”

                “งั้นเราสองคนขอตัวก่อนนะครับ”

                ปวินท์พากรวีร์ไปทำบัตรประชาชนใหม่ ชายหนุ่มยังคงพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อย่างสนิทสนม ส่วนนางกรวีร์ ปรานต์ปราณนต์ นั้น เอาแต่จ้องชื่อในบัตรประชาชนใบใหม่ของตัวเอง จนกระทั่งถูกสามีสะกิด

                “ไปกันเถอะ”

                ตลอดเวลาที่เดินจากอำเภอมาถึงรถ มือของกรวีร์ถูกปวินท์จับจูงตลอดเวลา เขาแสดงออกถึงความใกล้ชิดและสถานะที่เปลี่ยนแปลงไป ชายหนุ่มบอกเธอกับแม่ว่า

                “ไปรถผมนะครับ เดี๋ยวเราไปหาแม่ผมที่โรงพยาบาลก่อน เสร็จแล้วผมค่อยไปส่งแม่ที่บ้าน จะได้ช่วยกีวี่เก็บของด้วย” ชายหนุ่มบอกกับแม่ยาย สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนแปลงตามความสัมพันธ์ใหม่ ปวินท์เรียกเจ๊หวีว่าแม่ได้เต็มปาก ชายหนุ่มยิ้มให้ภรรยาบอกเธอติดตลกว่า “แม่ฉันต้องแปลกใจมากที่ได้ลูกสาวเจ๊หวีมาเป็นลูกสะใภ้”

                “ถ้าแม่เสี่ยไม่เป็นโรคหัวใจ ฉันก็พอเบาใจได้บ้าง”

                “เวลาสวัสดีแม่ผัวก็อย่าย่อเยอะแล้วกัน เดี๋ยวแม่ฉันจะตกใจ”

                นางกรวีร์ผู้มีมารยาทงดงามมองค้อนสามี “ทำเป็นแซว ไม่ใช่เพราะเสี่ยประทับใจท่าไหว้ฉันหรอกเหรอ เราสองคนถึงได้ลงเอยกันน่ะ”

                “แค่กลัวแม่ตกใจจนลืมรับไหว้เท่านั้นแหละ” ปวินท์หัวเราะพร้อมเปิดประตูรถให้ภรรยาหมาดๆ หันไปทางแม่ยายก็เห็นว่าบริการตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว เขาจึงเดินอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับ

                ชายหนุ่มยังไม่ออกรถในทันที แต่เอื้อมมาเปิดเก๊ะด้านหน้าภรรยา หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมายื่นให้แม่ยายที่นั่งเบาะหลัง

                “สัญญาเงินกู้กับเช็คค่าสินสอดหนึ่งล้านครับ แม่ว่างวันไหนก็เอาไปขึ้นได้เลย” ปวินท์ทำตามคำพูดที่บอกไว้ กรวีร์มองสามีด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม เสี่ยไปป์เป็นคนรักษาคำพูด หญิงสาวพยักหน้าบอกให้แม่รีบรับไว้ “ต่อไปนี้ถ้าแม่มีปัญหาอะไรบอกผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ให้คิดซะว่าผมเป็นลูกชายของแม่คนหนึ่ง ผมอาจจะทำอะไรรวบรัดไม่ถูกต้องนัก แต่ผมสัญญากับแม่ว่าจะดูแลกีวี่ให้ดีที่สุดครับ”

                “เสี่ยไปป์ แม่ฝากกีวี่ด้วยนะ” เจ๊หวีตื้นตันใจจนพูดไม่ออก

                “แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ” ปวินท์สัญญากับคนแม่ แต่สายตาสบประสานกับคนลูก กรวีร์ยิ้มเฉย อย่างน้อยลูกเขยเจ๊หวีคนนี้ก็มีวิธีการพูดให้คนสบายใจ

                หลังเคลียร์หนี้สินกันเรียบร้อย ปวินท์จึงออกรถ พอเลี้ยวเข้าเขตโรงพยาบาลความมั่นหน้ามั่นกะโหลกของกรวีร์ก็เริ่มลดน้อยถอยลง ถ้าคุณแม่สามีไม่ปลื้มเธอขึ้นมาจะทำไง เฉพาะรับมือกับเสี่ยไปป์ก็น่าเพลียพออยู่แล้ว หากเจ๊ปิ๋มเกิดสำแดงอิทธิฤทธิ์แม่ผัวผยองยุทธภพขึ้นมาละก็เธอเหนื่อยแน่ ได้แต่หวังว่าเจ๊ปิ๋มจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ ไม่ห้ำหั่นเธอจนไม่มีที่ยืน

                “แม่เสี่ยใจดีไหม” หญิงสาวเอ่ยถามระหว่างอยู่ในลิฟต์

                “เดี๋ยวเจอก็รู้”

                “แหม...เสี่ยขา ไม่ต้องให้เมียลุ้นซะทุกเรื่องก็ได้”

                ปวินท์เอื้อมมาจับมือหญิงสาว ความชื้นในอุ้งมือเธอทำให้เขายิ้ม ที่แท้ก็ยังมีความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง ไม่ได้ก๋ากั่นอย่างที่แสดงออกมา

                “แม่ฉันใจดี ชอบช่วยเหลือคน”

                “แม่เสี่ยมีสเปกลูกสะใภ้ในฝันไหม”

                “ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยมีปัญหากับคู่รักของลูกๆ นะ อย่างตอนที่น้องสาวฉันพาแฟนมาแนะนำตัว แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

                “ฉันถามถึงลูกสะใภ้ ไม่ใช่ลูกเขย แม่บางคนก็หวงลูกชาย กับแฟนเก่าเสี่ย แม่เสี่ยดีด้วยไหม”

                “ก็ไม่เคยเห็นเขาชี้หน้าด่ากันนะ”

                “อืม...ช่วยได้มากจริงๆ” กรวีร์ถอนใจกลอกตามองบน เม้มปากเลิกถาม ในขณะที่สามีของเธอหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คุณกัญญาที่ยืนฟังอยู่ด้วยจึงต้องช่วยยืนยันกับลูกสาว

                “เจ๊ปิ๋มใจดี กีวี่ไม่ต้องกลัวหรอกลูก แต่ก็อย่าทะลึ่งนักแล้วกัน อายเขา เดี๋ยวเขาจะว่าแม่ไม่สอน”

                “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ฉันรักใคร แม่ก็รักด้วย”

                “งั้นเสี่ยก็ช่วยทำหน้าเหมือนรักฉันให้มันเนียนๆ หน่อยแล้วกัน”

                ประตูลิฟต์เปิดออก ปวินท์เดินจับมือกรวีร์ พาเธอไปที่หน้าห้องหนึ่ง ชายหนุ่มเคาะประตูก่อนผลักเข้าไป

                “เซอร์ไพรส์!” หลายเสียงดังประสานพร้อมๆ กับเสียงพลุกระดาษที่ถูกดึงดังปุปะ กรวีร์ที่มัวแต่เตรียมใจเจอแม่สามีโดยไม่ทันระวังว่าจะเจออย่างอื่นก็ถึงกับสะดุ้ง ขยับเข้าหาชายหนุ่ม รู้ตัวอีกทีก็ถูกสามีโอบไหล่เอาไว้ ฝ่ามือใหญ่บีบหัวไหล่เบาๆ ดึงเธอเข้ามาชิดกายแกร่ง

                “เล่นอะไรกันเนี่ย” ปวินท์หัวเราะ ดวงตาเป็นประกายสนุกสนาน มองหน้าบรรดาเพื่อนสนิทที่มารวมตัวกันไล่เลยไปจนถึงคุณนายปรารถนาและประภามนท์ที่นั่งยิ้มกว้างอยู่บนเตียง

                “เสี่ยไปป์จะเปิดตัวเมียทั้งที พวกฉันก็ต้องมาเป็นสักขีพยานสิวะ”

                “ยกโขยงกันมาหมดแล้วใครอยู่เฝ้าร้าน” ปวินท์ถามศาสวัตกับสิรดา ก่อนหันไปทางทัชพล “แกประชุมเสร็จแล้วเหรอ”

                “ถ้าไม่เสร็จแกจะได้เห็นหน้ามันไหมล่ะ ถามแปลกๆ แล้วนี่...เมียแกเหรอ” สายตาศาสวัตจับจ้องสาวสวยข้างกายเพื่อน ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ อย่างพึงพอใจ “เลือกได้ดี เลือกได้ดีจริงๆ”

                “จะมีเมียทั้งทีก็ต้องเลือกให้ได้ดีสิวะ” ปวินท์ยิ้มแล้วหันมามองภรรยา ชายหนุ่มช่วยหยิบเศษกระดาษวิบวับออกจากเส้นผม “หลบไปไอ้ศาส ฉันขอพาเมียไปอวดแม่หน่อย”

                “แม่แกตื่นเต้นอยากจะเห็นเต็มแก่แล้ว”

                ปวินท์ยิ้มดันหญิงสาวให้ก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงคุณนายปรารถนา เว้นจังหวะให้แม่ได้มองลูกสะใภ้เต็มตา ก่อนจะแนะนำให้เมียกับแม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการ

                “กีวี่...นี่แม่ฉัน”

                “สวัสดีค่ะ เอ่อ...เจ๊ปิ๋ม” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก

                ชายหนุ่มอมยิ้ม นึกเอ็นดู รอบนี้กรวีร์ไหว้ได้สวย ไม่ย่อเยอะแบบที่เจอเขา ยังดีที่พอจะรู้กาลเทศะอยู่บ้าง ทางเมียไม่มีปัญหา ปวินท์เบนสายตาไปยังแม่ก็เห็นว่ากำลังยิ้มกว้างเหมือนจะขำอะไรสักอย่าง

                “เป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่ลูกหนี้ เรียกฉันว่าแม่เหมือนไปป์เรียกเถอะ” 

                “ค่ะ...แม่” น้ำเสียงกรวีร์ยังมีความประหม่าปะปนอยู่บ้าง กับสามีน่ะเธอไม่กลัว แต่กับแม่สามีนี่ยังไม่ค่อยกล้านัก

                “ถึงจะงงๆ ว่าสองคนนี้ไปรักกันตอนไหน แต่ก็ช่างเถอะนะ บ้านเราเพิ่งผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไป มีข่าวดีๆ แบบนี้ค่อยพอยิ้มออกได้หน่อย” คุณปรารถนายิ้มให้ลูกสะใภ้เลยไปจนถึงคุณกัญญา “ไงล่ะหวี ทำไปทำมาก็ได้ดองกันนะเรา”

                “ยังตกใจไม่หายเลยจ้ะ”

                “ตอนแรกฉันก็ตกใจ แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ ฉันเชื่อมั่นในสายตาลูกชายฉัน หากลูกสาวเธอไม่ดีจริง เสี่ยไปป์เขาคงจะไม่เสียเวลาด้วย เธอก็ทำใจให้สบายเถอะ ถือซะว่าเป็นเรื่องน่ายินดี”

                “ใช่ครับ” ปวินท์รีบรับ ดวงตาชายหนุ่มพราวแสงแวววาวจับนิ่งที่ใบหน้าภรรยา “ลูกสะใภ้แม่คนนี้ไม่ธรรมดาเลย” 

                ชายหนุ่มเริ่มแนะนำคนที่เหลือโดยเริ่มจากประภามนท์ “นั่นปาล์ม น้องสาวฉัน ข้างเตียงปาล์มนั่นทัชพล หุ้นส่วนที่เคยเล่าให้ฟัง ส่วนคนที่พูดมากๆ นั่นไอ้ศาสแล้วก็ครูสิ คู่นี้แม่เธอเพิ่งอุ้มสมบ่มรักจนได้แต่งงานกันไปหมาดๆ และทุกคนครับนี่กีวี่...เมียผมเอง”

                กรวีร์หน้าร้อนผ่าว คำว่าเมียจากปากเสี่ยมันทำให้หัวใจเธอคันยุบยิบ รู้สึกมีอาการคล้ายๆ จะขัดเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

                “ฝากเนื้อฝากตัวกับพวกพี่ๆ ด้วยนะคะ” หญิงสาวยิ้มผูกมิตรกับทุกคนในห้องพร้อมยกมือไหว้เรียงทีละคนจนครบ

                “ครอบครัวปรานต์ปราณนต์ยินดีต้อนรับจ้ะ” ประภามนท์กล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

                “แต่งกันปุบปับแบบนี้เรือนหอก็ยังไม่ได้สร้าง คงต้องย้ายมาอยู่บ้านแม่ไปก่อนนะ แล้วค่อยขยับขยายสร้างเรือนหอกันทีหลัง ไปป์ก็ช่วยเมียดูแลห้องหับให้เหมาะสม อยู่กันสองคนลองปรึกษากันดูว่าอยากปรับแต่งอะไรเพิ่มไหม ถ้าอยากทำก็สั่งให้ช่างทำเลย เป็นผัวเมียกันมันต้องเริ่มต้นจากความสบายใจทั้งสองฝ่าย ส่วนเธอ...ไม่ต้องห่วงนะหวี ฉันจะดูแลลูกสาวให้เป็นอย่างดีไม่ต่างจากลูกของฉัน”

                “ฉันฝากกีวี่ด้วยนะเจ๊ ถ้าผิดพลาดอะไรก็ให้นึกเสียว่าเป็นลูกเป็นหลาน ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ฉันเองมีลูกสาวแค่คนเดียว ออกจะตามใจไม่ได้เข้มงวดนัก คงต้องฝากเจ๊ช่วยสั่งสอนแทน” คุณกัญญากล่าวไปน้ำตาซึมไป 

คุณปรารถนาเห็นแล้วก็โบกมือบอก

                “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ทำเหมือนไม่รู้นิสัยฉัน บ้านเราอยู่ใกล้กัน ถ้าวันไหนคิดถึงลูก เธอก็แวะมาหาได้ กีวี่เองก็เหมือนกัน คิดถึงแม่ก็ไปหาได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องมาอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยี่สิบสี่ชั่วโมง แบบนั้นก็เซ็งตายชัก”

                “ขอบคุณค่ะ” แม่สามีไฟเขียวแบบนี้ กรวีร์สุดแสนจะโล่งใจ หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด เหลือบมองไปทางสามีก็เห็นเขายิ้มอยู่เหมือนกัน

                “สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม”

                ปวินท์เอียงหน้ากระซิบถาม มือเขายังจับมือเธอไม่ปล่อย กรวีร์พยักหน้ายิ้มเขินๆ แทนคำตอบ

                สะใภ้ใหญ่แห่งบ้านปรานต์ปราณนต์ใช้เวลาพูดคุยทำความรู้จักครอบครัวเพื่อนฝูงของสามีอยู่นานพอสมควร เธอสังเกตว่าเพื่อนของปวินท์ดูจะไม่ซักไซ้อะไรมากนัก ผิดกับแม่สามี แต่คำถามของคุณปรารถนาก็ไม่ได้เจาะลึกจนตอบไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็ถามเกี่ยวกับชีวิตประจำวันนั่นแหละ ทำงานอะไร พักที่ไหน ตอนนี้เป็นไง หากเธอไม่รู้จะตอบว่าไง ก็ยังมีปวินท์คอยช่วยเสริม ต้องยอมรับละว่าสามีเธอเก่ง เขาสามารถเล่าเรื่องราวรักแรกพบกับเธอได้เป็นฉากๆ แม้ไทม์ไลน์ของจริงจะแสนสั้น แต่จากคำบอกเล่าของปวินท์นั้นเหมือนเธอรักกับเขามาสักหกเจ็ดปี 

                บรรยากาศและคนรอบข้างเป็นใจไม่นานกรวีร์ก็คุ้นเคยกับทุกคนมากขึ้น สามารถพูดคุยและสร้างเสียงหัวเราะได้อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ชื่นมื่นสุดๆ นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ปวินท์นั่งอยู่ข้างๆ คอยฟังภรรยาโต้ตอบกับเพื่อน และเพราะรู้ที่มาสาเหตุ ศาสวัตกับทัชพลจึงช่วยกันรับส่งมุกตลกทำให้ทุกคนผ่อนคลาย 

                กรวีร์กลายเป็นน้องสาวคนใหม่ของกลุ่ม และขณะที่เธอเล่าถึงเรื่องของตัวเองปวินท์ก็แอบเก็บข้อมูลของเธอเอาไว้ในหัว ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่เตียง นึกพอใจที่ได้เห็นรอยยิ้มเอ็นดูของแม่และน้องสาวเป็นอันว่าภรรยาเขาสอบผ่านสินะแบบนี้

                ความสนุกสนานกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทักทายของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ในมือ

                “สวัสดีค่ะทุกคน อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีวาระพิเศษหรือเปล่าคะ” นลินกวาดตามองอย่างรวดเร็ว และมาสะดุดตากับหญิงสาวที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ปวินท์

                “อ้าว...ครูหลินเองเหรอ ไอ้เจ้าพวกนี้มัวแต่นั่งโม้จนไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู เข้ามาก่อนสิจ๊ะ มาๆๆ” คุณปรารถนากวักมือเรียก

                “หลินซื้อผลไม้มาฝากป้าปิ๋มกับปาล์มค่ะ”

                “ไม่เห็นต้องลำบากเลย มาดูนี่สิ วันนี้ไปป์เขามีข่าวดีเลยอยู่กันครบ”

                “เอ...ข่าวดีอะไรหรือคะ” ครูสาวถามเสียงใส

                คุณปรารถนาสบตากับลูกชาย ก่อนรอยยิ้มปลาบปลื้มใจจะปรากฏขึ้น แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังรับรู้ได้ว่าคนพูดมีความสุขเพียงใด 

                “ไปป์เขาพาเมียมาเปิดตัวจ้ะ”

                กระเช้าผลไม้ในมือนลินเลื่อนหลุดลงสู่พื้นทันที 

                “อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” ครูสาวตกใจจนมือไม้อ่อน รีบก้มลงเก็บกระเช้าพร้อมขอโทษพัลวัน 

                “ส่งมาให้พี่ดีกว่า เดี๋ยวเอาไปเก็บให้” ทัชพลเข้ามารับกระเช้าแล้วเอาไปวางที่โต๊ะมุมห้อง

                บรรยากาศรื่นเริงเมื่อครู่ก่อนถูกแทนที่ด้วยความอึดอัด ศาสวัตเคยพูดจ้อกลับปิดปากเงียบเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำหน้าเหมือนกลืนยาขม

                เปลี่ยนโหมดกันเร็วจนน่าสงสัย แม่นางผู้นี้เป็นใครกันล่ะ 

                กรวีร์ขมวดคิ้วแอบเหล่มองใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของสามี อืม...จำเป็นต้องเคร่งขรึมเบอร์นี้เลยนะ พึ่งพาคุณสาไม่น่าจะได้เรื่องเธอจึงหันไปหาแม่ เจ๊หวีก็สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เธอไม่อยากจะคิดไปเองหรอกนะ แต่ถ้าจะอึดอัดกันขนาดนี้มันมีอยู่แค่สถานะเดียวเท่านั้นแหละที่เดาออก

                แฟนเก่าเสี่ยไปป์ไงจะใครล่ะ!

                ดูสายตาที่เจ้าหล่อนมองมาเถอะ ช่างเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย และหากสายตาเจ้าหล่อนพูดได้ก็คงถามออกมาแล้วว่า อีชะนีนี่เป็นใคร!

                แล้วพอได้ยินว่าเสี่ยพาเมียมาเปิดตัวเท่านั้น มือไม้ก็อ่อนระทวย เธอหันกลับมามองปวินท์อีกครั้งก็เห็นว่าเขากำลังมองเธออยู่เช่นกัน แล้วริมฝีปากของสามีค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหล่อบาดใจ กรวีร์เหมือนจะตาพร่าเพราะสายตาที่เสี่ยใช้มองเธอนั้นอบอุ่นเหมือนหม้อทอดตอนกำลังทำงานอยู่ก็ไม่ปาน

                “กีวี่จ๊ะ นั่นครูหลินเพื่อนฉัน”

                แนะนำธรรมดา แต่จ๊ะๆ จ๋าๆ นี่ก็มีพิรุธ

                กรวีร์ไม่รู้ว่าเขาแอ๊บไว้หรือไม่รู้สึกอะไรจริงๆ แต่พอตัดภาพมาที่ฝ่ายหญิงเนี่ยบอกเลยว่ารังสีอำมหิตแผ่กระจายรุนแรงมาก ลูกสาวเจ๊หวีจำเป็นต้องหวั่นไหม ก็ไม่จ้า วันนี้ปวินท์มอบฐานะเมียให้แก่เธอ กับแม่สามีกรวีร์ก็ผ่านฉลุย นับประสาอะไรกับแค่แฟนเก่า ไม่พอใจก็ไปเคลียร์นอกรอบกันเองเถอะ เวทีนี้มีไว้ให้เมียเสี่ยอย่างเธอเท่านั้น 

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะครูหลิน” หญิงสาวเปิดยิ้มหวานหยด

                “ค่ะ...ยินดีเช่นกันค่ะ”

                เป็นความยินดีที่ไม่รู้สึกยินดีไหมล่ะนั่น กรวีร์นึกอยากจะขำ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ดีว่าแม่สามีเอ่ยขึ้นมา

                “สองคนนี้เขาตกลงปลงใจจดทะเบียนกันแล้วนะ ส่วนงานแต่งคงต้องรออีกสักพัก ก็เพิ่งรู้นะครูว่าเสี่ยไปป์ของฉันเนี่ยใจร้อนไม่เบา แต่ดีเหมือนกันอย่างน้อยก็เป็นผัวเมียกันอย่างถูกต้อง ไม่ได้อยู่กันเฉยๆ เป็นขี้ปากชาวบ้าน”

                “หลินไม่รู้เลยว่าพี่ไปป์แอบซุ่มมีแฟนตั้งแต่ตอนไหน” ครูสาวถามราวกับจะตัดพ้อ แต่เมียเสี่ยหูผึ่งตั้งใจรอฟังคำตอบจากสามีหมาดๆ

                “ไม่ได้ซุ่มอะไรหรอก เจอครั้งแรกก็รู้เลยว่าใช่...ปล่อยเขาไปไม่ได้” ดวงตาของปวินท์เปล่งประกายขบขัน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนชวนให้คนเห็นพากันคิดไปในทางหวานชื่น คงจะมีกรวีร์คนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินแล้วน้ำตาจะไหล คนอื่นฟังน่ะเคลิ้ม แต่เธอรู้อยู่เต็มอกว่าเขาหมายถึงอะไร ใช่สิ ขืนปล่อยเธอไป เงินสามแสนก็เท่ากับสูญ แหม...เสี่ยก็นะ

                “เห็นพี่ไปป์มีความสุขอย่างนี้ หลินดีใจด้วยนะคะ”

                “ขอบคุณครับ”

                “ไปป์ก็เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว พวกเรารอฟังข่าวดีจากครูหลินอยู่นะ” ทัชพลบอกยิ้มๆ ขณะที่ศาสวัตแอบยกนิ้วโป้งชื่นชมเพื่อนรัก คำพูดธรรมดาก็จริง แต่ทำเอาหน้าม้านไปเหมือนกัน เพราะนลินทิ้งปวินท์ไปตั้งนานยังไม่มีวี่แววงานมงคลเลย

                “นั่นสิ ฉันก็รอข่าวดีครูหลินเหมือนกัน เออ ไปป์ หวีเขามีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่า มากันนานแล้วนะ พากลับไปส่งเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่วันนี้เพื่อนอยู่เต็มห้อง” คุณปรารถนาพยักพเยิดบอกลูกชาย

                “งั้นตอนเย็นผมกับกีวี่ค่อยแวะมาใหม่นะครับ”

                “ไม่ต้องมา พาเมียเข้าหอเถอะ แม่เข้าใจช่วงข้าวใหม่ปลามัน”

                “แม่! พูดอะไรอย่างนั้น คนเยอะแยะ ลูกสะใภ้แม่เขินแล้วไหมนั่น”

                “วุ้ย ผัวเมียกันจะเขินทำไม จริงไหมศาส” คุณปรารถนายิ้มกริ่มรีบหาพวก

                “จริงที่สุดครับ ช่วงเข้าหอนี่แหละที่พี่บ่าวรอคอย แกต้องพิสูจน์ความอึดทน...”

                “เดี๋ยวๆ ต้องอดทนไหมศาส” ทัชพลขัดคอยิ้มๆ

                “อู๊ย...มีเมียแล้วไม่ต้องอดทน เต็มที่ไปเลยนะไปป์” ศาสวัตเชียร์สุดใจ

                “พอได้แล้ว...ไม่สงสารเมียฉันก็สงสารแม่ยายฉันเถอะ พวกแกนี่”

                “ทำไงได้ล่ะ แม่แกน่ะ ชงมาหวานเจี๊ยบ” ศาสวัตแกล้งป้องปากกระซิบเสียงดังจนทั้งห้องพากันหัวเราะ 

ปวินท์วางหน้าไม่ถูก อยากขำก็กลัวเมียจะเขินหนักมากกว่านี้ พอกันเลยทั้งเพื่อนทั้งแม่ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย 

                ชายหนุ่มมองสีหน้าเก้อเขินของภรรยาอย่างพอใจ การปรากฏตัวของอดีตคนรักไม่ทำให้เขาตื่นเต้นได้เท่ากับตอนเห็นภรรยาหน้าแดง มันเหมือนของหาดูยาก เป็นความแปลกตาที่น่าประทับใจ ปวินท์รีบสะกิดชวนกรวีร์กลับก่อนที่จะโดนแกล้งไปมากกว่านี้ 

                “พวกเราไปกันดีกว่า”

 

                ปวินท์ขับรถมาส่งแม่ยายที่ร้านทำผมเพราะคุณกัญญาขี้เกียจกลับไปอยู่บ้านเหงาๆ คนเดียว ได้ตัดผมลูกค้าช่วงบ่ายสักคนสองคนก็ยังดี คราวนี้จึงเหลือเพียงเขากับภรรยาเท่านั้นที่มาช่วยกันเก็บของ ระหว่างทางกรวีร์คนช่างคุยดูจะมีเรื่องให้ต้องขบคิด

                “เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นนั่งขมวดคิ้วมาตลอดทาง เกิดเสียดายความโสดขึ้นมาหรือไง” เขาถามตอนที่ทั้งสองกำลังเดินเข้าบ้าน

                “มีอะไรให้ต้องเสียดายคะเสี่ย ในเมื่อความโสดของฉันมีค่าตั้งหนึ่งล้านบาท เพียงแค่...พอฉันได้เลื่อนฐานะมาเป็นเมียเสี่ยก็มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย เพื่อนๆ เสี่ยน่ารักเป็นกันเองดีนะ โดยเฉพาะคนที่เป็นครูนั่น มองฉันตาไม่กะพริบเลย ตอนที่รู้ว่าเสี่ยมีเมีย ตกใจแรงกว่าเจ๊ปิ๋มซะอีก”

                “แม่ฉันให้เธอเรียกเขาว่าแม่ไม่ใช่เหรอ อย่ามัวตั้งข้อสังเกตอะไรนักเลย เป็นเมีย ไม่ได้เป็นนักสืบ ไปเก็บของเถอะ เอาไปแต่ที่จำเป็น ขาดเหลืออะไรค่อยซื้อหาเอาใหม่”

                เกลียดดด ความพร้อมเปย์นี้ ขาดเหลืออะไรให้ซื้อใหม่ รวยไม่ไหวเลยจ้า

                กรวีร์ปรายตามองสามีราวกับจะค้อน ก็เป็นซะแบบนี้เวลาจะถูกเธอล้วงความลับอะไร เสี่ยไปป์เป็นต้องบ่ายเบี่ยงตลอดไม่รู้เรื่องกันสักที 

                “อันที่จริงฉันไม่มีสมบัติมากมายติดตัวหรอก มีแค่เป้ใบเมื่อวานเสี่ยก็เห็น ของจำเป็นๆ น่ะอยู่กรุงเทพฯ โน่น”

                “ถ้ามีแค่นั้น ฉันว่าเราซื้อใหม่หมดเลยก็ได้นะ ไม่ต้องเอาไปหรอก”

                “นั่นเท่ากับว่าฉันไปแต่ตัวจริงๆ เลยนะเสี่ย”

                “ก็มีชุดที่ใส่นี่ไง หรือเธอจะแก้ผ้าไปก็เร้าใจดี เอาสิ ฉันก็อยากเห็น” ชายหนุ่มถอยมายืนกอดอก ส่งสายตามองเธออย่างท้าทาย

                “อย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะเสี่ย” กรวีร์เชิดหน้าขึ้น แล้วยิ้มแหยในนาทีต่อมา “แฮ่...ฉันก็ไม่กล้าจริงๆ นั่นแหละ ใครจะบ้าแก้ผ้าเดินเข้าบ้านสามีล่ะ สงสารพระภูมิเจ้าที่ แต่เสี่ยนั่งรอแถวนี้แหละ เดี๋ยวฉันมา”

                “อืม”

                ปวินท์รอไม่นาน กรวีร์ก็ลงมาจากชั้นบน เขามองด้วยความเสียดายนิดๆ ที่แม่สาวสีชมพูคนเมื่อเช้าอันตรธานไปเหลือไว้เพียงสาวมั่นในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนดูทะมัดทะแมง ผมยาวถูกรวบเป็นหางม้า ถึงบอกเขาว่าจะไปแต่ตัว ทว่าบนไหล่ของเธอก็สะพายเป้ท่าเดิมเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก เพียงแต่รอยยิ้มของเธอครั้งนี้ดูไว้วางใจเขามากขึ้น

                “เราแวะซื้อของใช้เธอก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน”

                “เสี่ยว่าไง เมียก็ว่างั้น”

                เสี่ยมองเมียอย่างมันเขี้ยว ช่างว่านอนสอนง่ายได้ตามสั่งซะจริงๆ

 

                สามีภรรยาคู่ใหม่ควงกันไปซื้อของในห้างใหญ่ประจำจังหวัด การเห็นปวินท์เดินห้างก็นับว่าแปลกตาอยู่แล้ว วันนี้เขากลับควงสาวสวยมาด้วยซ้ำยังช่วยกันหอบหิ้วซื้อข้าวของกะหนุงกะหนิงจนน่าอิจฉา 

                ปวินท์ค่อนข้างพอใจที่กรวีร์ไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมาก และที่สำคัญเธอไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยติดจะขี้งกอีกต่างหาก ทั้งที่เขาก็เต็มใจจ่าย จะซื้อเสื้อสักเจ็ดวันเจ็ดชุดก็ไม่มีปัญหา แต่เธอแย้งกลับว่า

                “ซื้อไรเยอะแยะ แฟชั่นเปลี่ยนทุกวันนะเสี่ย เอานี่แหละ เมียสะดวกแบบนี้”

                คำพูดดูไม่สนใจ ทว่าลึกๆ เขารู้สึกได้ถึงความเกรงใจของเมีย ทุกครั้งที่จะตัดสินใจซื้อเขาจะเห็นกรวีร์พลิกดูป้ายราคาและเปรียบเทียบกันเสมอ เขาปล่อยให้เธอเพลิดเพลินกับการซื้อของใช้แล้วทั้งคู่ก็มาปิดท้ายกันที่แผนกชุดชั้นใน ปวินท์ไล่ให้เธอไปเลือกเอาตามใจชอบ สักพักเธอก็กลับมา

                “ครบแล้วละเสี่ย พวกชุดนอนไม่ได้นอนเดี๋ยวฉันค่อยสั่งออนไลน์มาเอาใจเสี่ยทีหลังแล้วกันนะ ฉันจะได้รู้ด้วยว่ารสนิยมเสี่ยเป็นแบบไหน” เธอแกล้งยิ้มทำกระซิบกระซาบ

                “อยากพิสูจน์ความอึดทนของฉันขนาดนั้นเลยนะ” ปวินท์เลิกคิ้วถาม นัยน์ตาคมกริบเป็นประกายชวนขนลุกตอนที่เขาลดเสียงกระซิบตอบกลับมา “ไม่ต้องเอาใจถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าฉันอยากจู๋จี๋กับเธอ ต่อให้เธอใส่ชุดเกราะ ฉันก็สะเดาะมันออกจากตัวเธอได้”

                กรวีร์หันมองสามีอย่างระแวง เธอแค่แกล้งหยอกเขาเล่น แต่สายตาเขาเหมือนไม่เล่นกับเธอเลย เอาจริงเหรอเนี่ย

                “แหม...เสี่ยเล่นมองแบบนี้เมียมีเขินนะคะ เฮ้อ...เดินมารอบห้างแล้วคอแห้งจังเลย ฉันไปซื้อชาไข่มุกสักแก้วดีกว่า เสี่ยอยากได้อะไรไหม”

                “อยากได้เมีย”

                “กล้าที่จะเล่น เมียขนลุกซู่เลยนี่เห็นไหม เผ่นก่อนดีกว่า”

                หญิงสาวจ้ำอ้าวลี้ภัยไปตั้งหลักหน้าร้านชาไข่มุก ปวินท์หัวเราะหึๆ หิ้วของเดินตามไปโดยที่สายตาคมกริบไม่เคยคลาดไปจากภรรยา

                ห่างออกไปไม่ไกลในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ธนชิตกำลังนั่งกินข้าวกับนลินอยู่ แต่เมื่อหันไปมองนอกร้านก็เห็นปวินท์กับผู้หญิงหน้าตาดีกำลังยืนคุยกันท่าทางมีความสุข

                “เสี่ยไปป์หรือเปล่า เอ๊ะมากับใคร”

                นลินมองตามสายตาคนรักแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะเจอทั้งคู่อีกครั้ง “ผู้หญิงคนนั้นชื่อกีวี่ค่ะ เป็นเมียพี่ไปป์”

                “เมีย!”

                “ค่ะ เขาตกลงย้ายมาอยู่ด้วยกัน เห็นว่ายังไม่สะดวกจัดงานเลยจดทะเบียนกันก่อน”

                “ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าเมียเสี่ยไปป์เลย คุณรู้จักไหม”

                “ไม่รู้จักหรอกค่ะ” ครูสาวส่ายหน้า “ฉันเองก็เพิ่งรู้ข่าวตอนไปเยี่ยมป้าปิ๋มที่โรงพยาบาลเมื่อช่วงเที่ยง เห็นว่าเป็นลูกสาวเจ๊หวีนะคะ”

                “ถึงว่าเจ๊หวีกับเจ๊ปิ๋มทำไมสนิทกันนัก ที่แท้ก็แอบจับคู่ให้ลูกกันเงียบๆ นี่เอง ดูท่าทางน่าจะคบกันมานานนะ มิน่าล่ะเสี่ยไปป์ถึงได้เลี่ยงยายนิดตลอด”

                “คุณก็อย่าเพิ่งบอกคุณนิดนะคะ ฉันกลัวเธอทำใจไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง” นลินเตือนคนรัก

                “กลัวยายนิดทำใจไม่ได้ แล้วคุณล่ะ”

                “ฉันทำไมคะ”

                “ทำใจได้หรือยัง”

                นลินวางช้อน ก่อนถอนหายใจ “เราเคยตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ ถ้าคุณไม่ไว้ใจฉันเรื่องพี่ไปป์ เราเลิกกันตอนนี้ก็ได้ค่ะ”

                “ผมแค่ถามดูเท่านั้น คุณก็รู้กว่าเราจะคบกันไม่ง่ายเลย ผมรักคุณนะหลิน”

                นลินยิ้มมุมปาก ธนชิตรักเธอ ส่วนพ่อของเขาก็รักคะแนนความน่าเชื่อถือที่จะได้รับจากครอบครัวเธอ ความรักของเขากับเธอจึงตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของสองครอบครัว การถอนตัวจากกันมันจึงเป็นเรื่องยาก 

                “ถ้าคุณรักฉันก็อย่าพูดถึงพี่ไปป์ได้ไหมคะ”

                “มีอะไรที่คุณอยากได้แล้วผมให้ไม่ได้บ้างล่ะ แต่เรื่องนี้จะปล่อยให้ยายนิดตกข่าวไม่ได้เด็ดขาด” ธนชิตยิ้มอย่างมีแผนร้าย

                “จะดีเหรอคะคุณชิต” 

                “บอกก็เป็นเรื่อง ไม่บอกก็เป็นเรื่อง สู้ให้รู้จบๆ ไปดีกว่า อยากรู้เหมือนกันว่านิดจะทำยังไง” ลูกชายนายกยักคิ้วให้แฟนสาว ก่อนจะวางช้อนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หาน้อง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น