8

8

8

 

                กรวีร์ไม่ได้ตกใจที่ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกทิ้งให้อยู่ลำพังบนเตียงกว้าง ออกจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำ นับว่าเสี่ยไปป์ยังกรุณาเธออยู่บ้าง เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในเช้าวันแรกของชีวิตคู่นั้นจะต้องมองสามีด้วยความรู้สึกอย่างไร 

                เสี่ยไม่อยู่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนแอบทำอะไรเธอหรือเปล่า หญิงสาวรีบดีดกายขึ้นนั่งพลางก้มลงสอดส่ายสายตาหาความผิดปกติของชุดนอน จากนั้นก็ตลบผ้าห่มสำรวจหารอยยับย่นของผ้าปู ถอนหายใจโล่งอกหลังตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติส่อไปในทางเสียหาย ปลอดภัยไร้ราคี

                “รอดไปหนึ่งคืน”

                “ไม่รอดได้ไง ก็ยังไม่ทันทำอะไรเลย ฉันรักษาสัญญาหรอกน่า แต่เธอน่ะต้องปรับปรุงคุณภาพเสียงกรนหน่อยนะ ไม่ไหวๆ ครืดคราดๆ ดังสนั่นจนฉันนึกว่านอนกับแม่หมู”

                หญิงสาวสะดุ้ง เหลียวมองต้นเสียงจากหน้าตู้เสื้อผ้า เธอไม่ได้สังเกตก่อนหน้านี้ แต่เอาดีๆ นี่ผัวหรือผี ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขาเลย แล้วเสี่ยไปป์ยังไม่ไปไหนอีกเหรอ เหมือนเขาเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ กระดุมเสื้อยังติดไม่เรียบร้อย สายตาเขามองมาราวกับจะต่อว่าที่เธอส่งเสียงกรนรบกวนเขาตลอดทั้งคืน 

                ภรรยาและสามีเผชิญหน้ากันอย่างไม่ลดละ กรวีร์ตวัดสายตาค้อนคม ถึงเธอจะไม่ใช่กุลสตรีดีพร้อม แต่ไม่นอนกรนสนั่นตามที่เขากล่าวหาแน่

                “ฉันนอนกรนซะที่ไหนล่ะ” หญิงสาวลืมแล้วแท้ๆ ว่าตัวเองนั่นละที่หลอกเขาให้นอนก่อนโดยขู่ว่าตัวเองนอนกรนเสียงดัง

                “อ้าว...” ฝ่ายสามีลากเสียงยาวหรี่ตามองมาอย่างจับผิด “งั้นเมื่อคืนก็แสดงว่าเธอหลอกให้ฉันนอนหลับไปก่อนนะสิ”

                “ก็...เอ่อ” กรวีร์อึกอัก ไม่น่าพลาดถูกจับได้เลย เพราะความปากไวแท้ๆ หญิงสาวกระแอมเบาๆ พูดแก้ไปทางอื่น “เอ๊าะ...อ๋อ ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้หลอกเสี่ยสักหน่อยเรื่องกรนน่ะ เพียงแต่ว่าบางที ถ้าเหนื่อยฉันก็จะกรนเสียงดังกว่าปกติไง”

                “อ่อ...เป็นแบบนี้นี่เอง” ปวินท์พยักหน้าทำตาใสซื่อ แต่พอกรวีร์เผลอก็แอบหันไปยิ้มอีกทางโดยระวังไม่ให้อีกฝ่ายเห็น ชายหนุ่มบุ้ยปากไปทางห้องน้ำ “ตื่นแล้วไปล้างหน้าล้างตาซะสิ เดี๋ยวลงไปกินข้าวเช้าพร้อมกัน ป่านนี้ป้าแป๋วคงเตรียมรอแล้ว”

                “ฉันอาบน้ำเลยดีกว่า เสี่ยแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงไปก่อนสิ จะมัวนั่งรอทำไมล่ะ” กรวีร์คาดหวังว่าสามีจะยอมรับในข้อเสนอ แต่เสี่ยของเธอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เดินทอดน่องมานั่งแปะที่ขอบเตียง ยกขานั่งท่าไขว่ห้าง ประสานมือวางเหนือเข่า เอียงหน้ามาทางเธอ คิ้วเข้มเลิกสูง และส่งยิ้มแปลกๆ ให้

                “เธอว่าผัวเมียที่เพิ่งผ่านคืนแรกของการเข้าหออย่างหวานชื่นเขาอยากกินข้าวเช้าด้วยกันไหม”

                “งั้นสิ หลังจากกรำศึกหนักกันมาทั้งคืน เขาต้องอยากกินข้าวเพิ่มพลังกันทั้งนั้น” หญิงสาวพูดจบก็ปิดปากหัวเราะคิกคัก แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคู่ตัวเองก็เพิ่งผ่านคืนเข้าหอไปหมาดๆ ดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้าง ค่อยๆ เหลือบมองคู่สนทนาอย่างหวาดหวั่น เธอลืมไปได้ยังไงว่านี่คือเสี่ยไปป์ ไม่ใช่เปรมสุดาที่เธอจะพ่นวาจาสองแง่สองง่ามออกมาท่าไหนก็ได้

                ปวินท์เองก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าเธอจะพูดจาเปิดเผยชวนจินตนาการถึงเพียงนี้ แล้วให้ตายไปเลยสิ เขาคิดถึงกางเกงในสีแดงตัวนั้นของเธออีกแล้ว ชายหนุ่มรีบกระแอมเรียกสติของตัวเองกลับมา แกล้งปั้นหน้าดุใส่ภรรยา

                “แล้วเราจะมัวอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงกันทำไมล่ะจ๊ะเมียจ๋า ถึงเราจะไม่ได้กรำศึกหนักเหมือนคู่อื่น แต่คุณเมียรีบอาบน้ำแล้วลงไปพร้อมกันจะดีกว่า ผัวขี้เกียจตอบคำถามว่าทำไมเมียถึงตื่นสาย เพราะมันอาจทำให้ป้าแป๋วเข้าใจไปในแนว 18+ และผัวก็จะตกเป็นจำเลยในสายตาของป้าด้วยข้อหาที่ทำให้เมียรักหมดแรงจนลุกไม่ขึ้น” 

                ปวินท์บอกตัวเองว่าชอบสีหน้าที่ค่อยๆ ไล่เฉดสีแดงเข้มขึ้นทีละน้อยของภรรยาและมาดหมายในใจว่าจะทำให้มันปรากฏขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน อย่างน้อยก็เป็นเครื่องเตือนใจว่ากรวีร์ยังพอจะมีความเขินอายอยู่บ้าง

                หญิงสาวดึงผ้าห่มขึ้นปิดถึงคอ คำว่าผัวๆ เมียๆ ของเสี่ยไปป์ไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้ เธอจ้องสามีตาไม่กะพริบพร้อมกับค่อยๆ กระเถิบถอยหลังลงเตียงด้านตรงข้ามกับที่สามีนั่ง พอเท้าแตะพื้นก็รีบวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำแบบไม่เหลียวหลัง มีแต่ฝ่ายสามีที่พอประตูห้องน้ำปิดแล้วก็ทิ้งกายลงนอน เอาหมอนภรรยามาปิดหน้า ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น ถ้าชีวิตหลังการมีเมียมันจะเฮฮาอย่างนี้ ปวินท์คงมีไปนานแล้ว

 

                หลังอาหารมื้อเช้าผ่านไป กรวีร์ได้กุญแจรถคันใหม่จากสามี และเพื่อเป็นการตอบแทนค่ารถพร้อมค่าน้ำมันฟรีตลอดชีวิตสมรส เธอจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ศรีภรรยาดีเด่นด้วยการเดินไปส่งคุณสาที่หน้าบ้าน แต่ปัญหายังไม่หมดเพราะปวินท์เอาแต่ยืนมองหน้าเธอนิ่ง ไม่ยอมขยับตัวขึ้นรถไปสักที

                “ลืมอะไรรึเปล่าเสี่ย”

                “เราต้องมอร์นิงคิสกันสักหน่อย” 

                “ฮะ...จะดีหรือเสี่ย มากไปมั้ง”

                “ถ้ามากก็ต้องจูบปากโชว์แล้วละ เลือกมาจะเอาแบบไหน” น้ำเสียงของปวินท์ไม่มีวี่แววล้อเล่น เขาดึงเธอเข้ามากอด วางคางบนบ่าบอบบาง เอียงหน้ากระซิบชิดหู ก่อนดันเธอออกห่างให้ตัดสินใจ “ป้าแป๋วมองอยู่ เธอต้องเลือก จะคิสเองหรือให้ฉันคิส”

                “ฉะ...ฉันเอง ฉันคิสเอง” จะอย่างไรกรวีร์ก็ไว้ใจตัวเองมากกว่า แน่นอนคนกระทำย่อมไม่เกิดความเสียหาย หญิงสาวเงยหน้ามองหน้าสามีก่อนหลับตาปี๋แล้วเขย่งปลายเท้ายืดกายขึ้นยื่นจมูกไปชนแก้มแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว บอกลาเสียงดังให้คนยืนไกลๆ ได้ยินด้วย “ตั้งใจทำงานนะคะ”

                “ไปนะ” ปวินท์อมยิ้มทิ้งท้าย ตวัดแขนรั้งเอวเมียเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมสันฉกวูบลงมาหอมแก้ม ก่อนปล่อยให้เธอเป็นอิสระ 

กรวีร์ตะลึงตาค้างจนกระทั่งเขาขับรถออกไปนั่นละถึงได้รู้ตัวว่าถูกเสี่ยหลอก เจ็บใจนัก หญิงสาวเม้มปาก ถลึงตาใส่ท้ายรถคนขี้โกง

                กรวีร์หมุนกายเตรียมเดินกลับเข้าบ้าน เห็นคุณป้าของสามียืนยิ้มอยู่ไม่ไกลจึงเข้าไปหา

                “ป้าแป๋วมีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ”

                “ไม่มีหรอกจ้ะ ตอนรู้ข่าวว่าไปป์มีเมียป้าแอบสงสัยนะ ไปป์น่ะไม่มีวี่แววว่าจะมีคนรักใหม่เลย ตัวหนูก็ไม่เคยมาคลุกคลีกับพวกเรา เห็นสองคนผัวเมียรักกันป้าก็อุ่นใจ ไม่แน่ว่าปิ๋มกลับบ้านคราวนี้อาจจะมีข่าวดีสองชั้นรอต้อนรับ”

                “ข่าวดีอะไรเหรอคะ”

                “ได้ลูกสะใภ้นับเป็นข่าวดีชั้นแรก”

                “แล้วชั้นที่สองล่ะคะ”

                “แน่นอนว่าต้องเป็นเบบี๋ตัวเล็กๆ” 

                ป้าแป๋วทำเสียงเล็กเสียงน้อย นัยน์ตาพราวประกายวิบวับ คิดวาดภาพเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวแล้วยิ้มอย่างมีความสุข แล้วจู่ๆ คุณป้าสามีก็รีบคว้ามือหลานสะใภ้เข้าไปในบ้าน 

                “ไม่ได้การละ ป้าต้องรีบบำรุงแม่ผัวหนูให้หายไวๆ จะได้มาช่วยกันเลี้ยงหลาน มาๆๆๆ หนูก็มาช่วยป้าทำกับข้าว เริ่มจากเป็นลูกมือป้าไปก่อน จะได้รู้ว่าผัวตัวเองน่ะชอบหรือไม่ชอบกินอะไร”

                หือ...กรวีร์ขมวดคิ้วแปลกใจ ไหนเสี่ยไปป์บอกว่าป้าแป๋วหวงครัวนักหนา แล้วลากเธอเข้าไปเป็นลูกมือในครัวนี่มันยังไง หรือคุณป้าคิดจะทดสอบวิชาการเรือนของเธอ 

                หญิงสาวยิ้มกริ่มในใจ ไม่ได้แอ้มหนูหรอกค่ะคุณป้าขา

                

                สายวันนั้นกรวีร์ขับรถคันใหม่ออกจากบ้านปรานต์ปราณนต์พร้อมปิ่นโตสองเถา ความจริงป้าแป๋วจะทำของกินเฉพาะในส่วนของน้องสาวนั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าผีบ้าอะไรมาดลใจให้เธอดันจำขึ้นมาได้ว่าสามีเป็นโรคกระเพาะ พอหลุดปากเอ่ยชื่อเสี่ยไปป์เท่านั้นละยาวเลยจ้า

                ยังจำสายตาที่ป้าแป๋วมองเธอได้ ทั้งอ่อนโยน ชื่นชมดั่งเห็นนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ เป็นแม่คุณคนดีศรีสะใภ้ของบ้าน คุณป้าสามีพร่ำรำพึงตื้นตันใจว่าหลานชายของท่านช่างตาแหลมเลือกเมียได้ดีไม่มีที่ติ รู้จักห่วงใย เอาใจใส่ผัว และนั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของปิ่นโตเถาที่สอง

                เธอก็เพิ่งรู้จากคำบอกเล่าของป้าสามี เจ๊หวีสนิทสนมกับป้าแป๋วและเจ๊ปิ๋มเป็นอย่างมาก นี่อาจเป็นใบเบิกทางหรือยันต์ผ่านตลอดสำหรับกรวีร์ พวกท่านจึงเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ เธอไม่เคยเห็นสายตารังเกียจรังงอนหรือคำพูดกินแหนงแคลงใจจากผู้ใหญ่ฝ่ายสามีเลย นับเป็นความโชคดีที่แม้แต่เงินก็หาซื้อไม่ได้ และเธอคิดว่าเสี่ยไปป์น่าจะหลอกขู่ให้เธอกลัวไปอย่างนั้นเอง ป้าแป๋วใจดีจะตาย แถมยังบอกอะไรดีๆ อีกตั้งหลายอย่าง แค่เช้านี้ที่ช่วยป้าทำกับข้าวเธอก็รู้ความลับของเขาจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ทำปากดีใส่เธอไปเถอะ จะแกล้งให้ร้องไม่ออกเลย

                ศรีสะใภ้แห่งบ้านปรานต์ปราณนต์หิ้วปิ่นโตไปเยี่ยมแม่สามีที่โรงพยาบาล เปิดห้องส่งเสียงทักทายก่อนวางปิ่นโตข้าวของสามีไว้ที่โต๊ะ เดินถืออีกเถาไปหาแม่และน้องสามี

                “กับข้าวอร่อยๆ มาแล้วค่ะ”

                “เออ...มีลูกสะใภ้ก็ดีไปอย่าง มีคนส่งกับข้าวให้ ไม่อดตายแล้ว” คุณปรารถนามองปิ่นโตของลูกสะใภ้อย่างสนใจ “วันนี้ทำอะไรมากินบ้างล่ะ”

                “มีแต่ของที่แม่ชอบทั้งนั้นเลยค่ะ กินเลยนะคะกำลังร้อนๆ เดี๋ยวหนูเอาออกให้”

                “รู้ได้ไงว่าแม่ชอบอะไร” ประภามนท์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

                “รู้สิคะ ป้าแป๋วบอก” กรวีร์ขยับเข้าไปช่วยพยุงหลังให้น้องสามีนั่งได้ถนัด ก่อนเดินกลับมาข้างเตียงคุณปรารถนา “เมื่อเช้าป้าแป๋วให้หนูเป็นลูกมือช่วยค่ะ แล้วก็เล่าว่าแม่ชอบกินอะไร เสี่ยไปป์กับพี่ปาล์มชอบกินอะไร”

                “ป้าแป๋วยอมรับเป็นลูกมือ ไม่ธรรมดานะเรา” ประภามนท์ยิ้มรู้กันกับแม่

                กรวีร์จัดแจงเอากับข้าวออกจากปิ่นโต คอยดูแลความเรียบร้อยให้ทั้งสองเป็นอย่างดี พอกินข้าวกินยาเรียบร้อย สะใภ้ใหญ่ก็ปอกผลไม้ใส่จานให้อีก

                “ลองชิมส้มกันนะคะ หนูแวะซื้อตรงหน้าโรงพยาบาลเมื่อกี้นี้ ดูท่าทางน่าจะหวาน” 

                “อืม...เปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยดี” 

                คำชมของแม่สามีทำเอาลูกสะใภ้ยิ้มแป้น รีบหันไปส่งส้มให้ประภามนท์บ้าง “พี่ปาล์มลองชิมค่ะ ถ้าอร่อยถูกใจหนูจะได้ไปซื้อมาเพิ่ม”

                “อร่อยดี แต่ไม่ต้องซื้อเพิ่มให้แม่กับพี่หรอก ซื้อกลับไปฝากป้าแป๋วกับพี่ไปป์เถอะ” ประภามนท์บอก

                “งั้นเดี๋ยวขากลับหนูแวะซื้อไปฝากป้าแป๋วสักสองโลดีกว่า ส่วนเสี่ย...น่าปล่อยให้อด” หญิงสาวทำปากขมุบขมิบว่าสามีในตอนท้าย นึกแล้วยังโมโหไม่หายที่เขาฉวยโอกาสหอมแก้มเธอ

                “เป็นอะไรพูดถึงพี่ไปป์แล้วค้อนขวับๆ พี่ได้ข่าวว่าเพิ่งเข้าหอกันไป อย่าทำหน้างั้นสิ” ประภามนท์ถามยิ้มๆ สบตากับแม่และพากันมองสะใภ้คนใหม่อย่างนึกเอ็นดู

                “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ กินส้มกันต่อดีกว่า”

                คุณปรารถนากับกรวีร์มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นตามลำดับ อาจเป็นเพราะความช่างเอาใจของหญิงสาวด้วยก็เป็นได้ จึงทำให้ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดู กรวีร์ไม่มีท่าทีอิดออดที่จะต้องหยิบจับหรือปรนนิบัติดูแล หากใครต้องการอะไรเธอก็จะทำให้ด้วยความยินดี จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงเที่ยงกว่า กรวีร์มองนาฬิกาและนึกหาคำพูดเพื่อที่จะปลีกตัว เอากับข้าวไปส่งอีกที่ ภารกิจของวันนี้เพิ่งจะสำเร็จไปได้แค่ครึ่งเดียว

                “ไม่ต้องอยู่เฝ้าแม่กับพี่ทั้งวันก็ได้ กลับไปบ้านเถอะ” ประภามนท์เอ่ยขึ้น

                “จริงๆ ก็ไม่รู้จะรีบกลับบ้านไปทำอะไรค่ะ กว่าป้าแป๋วจะเริ่มทำกับข้าวอีกรอบก็ตอนบ่าย”

                “ได้คนคุยกันถูกคอเป็นลูกมือเพิ่มแบบนี้เข้าทางป้าแป๋วเลยสิ ดูแล้วก็ไม่น่าเชื่อเนาะ เห็นเราคล่องแคล่วปราดเปรียวแบบนี้ไม่คิดว่าจะเข้าครัวทำกับข้าวเป็น เก่งกว่าพี่เสียอีก” ประภามนท์ชม

                “เพิ่งมาทำได้หลายอย่างตอนที่ต้องไลฟ์ขายหม้อทอดนี่ละค่ะ จำเป็นต้องหาอะไรทำเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า”

                “เสี่ยไปป์ของเราเลยได้อานิสงส์ไปด้วย” คุณปรารถนายิ้มกว้าง “แล้วมาอยู่กับไปป์แบบนี้ งานขายหม้อทอดทำยังไง ไม่ต้องไลฟ์ขายประจำหรอกเหรอ”

                “เรื่องนี้...” กรวีร์คิดหนัก เพราะยังไม่ได้หาทางแก้ไข เธอต้องปรึกษากับเปรมสุดา เกี่ยวกับแนวทางการขายต่อไป เพราะเธอคงยังกลับกรุงเทพฯ ไม่ได้ ร้ายกว่านั้นคือเธอยังไม่ได้บอกเปรมสุดาเรื่องจดทะเบียนสมรสกับเสี่ย “คงงดไลฟ์ไปก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยคุยกับเพื่อนอีกทีว่าจะขายกันยังไง”

                “อยากทำอะไรก็ทำนะ หรือถ้าเบื่องานออนไลน์แล้วจะเข้าไปช่วยไปป์ที่บริษัทก็ได้ ทัชเขายุ่งแต่งานหน้าไซต์ ส่วนไปป์ก็ไม่ค่อยจะละเอียดเรื่องงานเอกสาร”

                “โห...ขนาดนั้นแม่ยังว่าไม่ละเอียด หนูว่าเสี่ยเนี่ยรอบคอบมากเลยนะคะ” ดูอย่างตอนที่ยื่นข้อเสนอให้เธอสิ คิดดักไว้หมด แถมยังเผื่อเงินหนึ่งล้านให้เธอแลกกับสถานะหย่าร้าง หวังว่าจะคุ้มกันนะ การลงทุนมีความเสี่ยงจริงๆ กรวีร์ถอนใจพลางเหลือบมองนาฬิกา

                “เที่ยงกว่าแล้ว จะไปไหนต่อก็ไปเถอะจ้ะ พี่เห็นนั่งมองนาฬิกาจนเข็มจะสึกแล้ว” ประภามนท์เปิดทางให้ คุณนายปรารถนาที่อยู่อีกเตียงก็พยักหน้าสนับสนุน

                “มีธุระอะไรต้องทำก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่กับปาล์ม”

                “ความจริงไม่มีธุระเร่งด่วนหรอกค่ะ หนูแค่จะเอาข้าวกลางวันไปส่งให้เสี่ยเท่านั้น” 

                ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่คุณปรารถนาใช้สายตาแบบคาดไม่ถึงมองลูกสะใภ้ 

“มีส่งข้าวกลางวันกันด้วยเหรอ” 

                กรวีร์ยิ้มเขินๆ หลบตาแม่สามี “คือ...เสี่ยเคยบอกหนูว่าเขาเป็นโรคกระเพาะ แล้ววันนี้เขาต้องออกไปดูไซต์งาน ถึงจะเป็นไซต์งานที่โรงเรียน แต่ก็ไม่รู้จะมีของกินอะไรขายหรือเปล่า หนูกลัวว่าเขาจะทำงานเพลินจนลืมหาอะไรกินค่ะ ก็เลย...”

                “รีบไป”

                “แม่ว่าไงนะคะ”

                “รีบไปเลย ไม่ต้องห่วงแม่ ไปป์น่ะพอได้ลงมือทำงานก็ถอดวิญญาณทำไม่ลืมหูลืมตา หนูรีบเอาข้าวกลางวันไปส่งเถอะ เขาจะได้หยุดพักด้วย แล้วก็อีกอย่างได้เห็นหน้าเมียอาจจะเจริญอาหารขึ้น”

                “หนูกลัวเขาจะหาว่าหนูจุ้นจ้านมากกว่า”

                “เมียไม่จุ้นจ้านวุ่นวายกับผัว แล้วจะให้ไปจุ้นจ้านวุ่นวายกับใครล่ะ รีบไปเถอะ”

                “งั้นหนูเอาปิ่นโตข้าวไปส่งเสี่ยก่อนนะคะ” หญิงสาวบอกก่อนจะหิ้วปิ่นโตออกไปจากห้อง

                ประภามนท์ลงจากเตียง เดินมานั่งเก้าอี้ตัวที่พี่สะใภ้เพิ่งลุกไป แล้วหยิบส้มในจานใส่ปาก

                “แม่ว่าแปลกๆ ไหม”

                ถึงจะไม่ค่อยอยากแทรกแซงเรื่องส่วนตัวของพี่ชาย แต่การที่จู่ๆ ปวินท์พาเมียมาแนะนำกับคนที่บ้านแบบช็อกโลกก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตกใจอยู่ไม่น้อย แล้วการที่พี่ชายของเธอจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกกับผู้หญิงสักคนหนึ่งนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้ง่ายๆ คำตอบของการกระทำนี้มันชัดเจนอยู่แล้วว่าปวินท์ไว้วางใจกรวีร์มากแค่ไหน ประภามนท์นึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าคนรักเก่าอย่างนลินนั้นจะเคยรู้บ้างหรือเปล่าว่าปวินท์เป็นโรคกระเพาะ

                “แปลกยังไง” คุณปรารถนาย้อนถาม มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ

                “ทำไมเราถึงไม่เคยรู้กันมาก่อนว่าพี่ไปป์แอบไปรู้จักรักใคร่กับลูกสาวเจ๊หวี”

                “ตอนแรกก็มีสงสัยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กระจ่างแล้ว” สีหน้าของเจ๊ปิ๋มเต็มไปด้วยความลับ

                “แม่ดูไม่ค่อยตกใจเลยที่ลูกชายมีเมีย ปิดบังอะไรหนูอยู่หรือเปล่า”

                “ฉันจะไปปิดบังอะไรพวกแกล่ะ พูดก็พูดเถอะนะ หวีนี่ร้ายกาจจริงๆ คว้าลูกชายฉันไปเป็นลูกเขยจนได้ แต่ก็ดีเหมือนกันได้คนกันเอง เทือกเถาเหล่ากอเป็นยังไงไม่ต้องสืบ”

                “แต่หนูยังคิดว่าเขาเจอกันไวเกินไป” ประภามนท์นึกเป็นห่วง

                “ช้าไวไม่ใช่ประเด็น และฉันก็เชื่อว่าเวลาไม่สามารถพิสูจน์ได้ซะทุกอย่าง จะไวหรือช้าถ้าเขาเป็นคู่กันมันก็มีเหตุให้เจอจนได้นั่นแหละ พวกเขาสองคนตัดสินใจ ส่วนเราเป็นฝ่ายสนับสนุน แต่ฉันชอบลูกสะใภ้คนนี้นะ ดูเป็นคนตรงไปตรงมาดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ถือว่าสายตาพี่แกยังใช้ได้”

                “อย่าพูดไปค่ะคุณนายปรารถนา หนูก็เห็นแม่ชอบแฟนพี่ไปป์ทุกคนนั่นแหละ ตอนครูหลินก็แบบนี้”

                “เฮ้ย...ไม่ใช่สักหน่อย คนนี้พิเศษกว่าทุกคน”

                “พิเศษแน่นอน ไม่งั้นพี่ไปป์คงไม่รีบจดทะเบียนตีตรา จะว่าไปแล้วหนูสังเกตเห็นพี่ไปป์ดูอารมณ์ดีขึ้นนะคะเวลาที่อยู่กับเมีย” ประภามนท์บอกตามที่เห็น เพราะหลังจากเกิดอุบัติเหตุพี่ชายของเธอเคร่งเครียด ไม่ค่อยยิ้มเหมือนแต่ก่อน “เฮ้อ...เมื่อไรหมอจะยอมให้เรากลับบ้านสักทีนะแม่ หนูเบื่อจะแย่แล้ว ไม่รู้พี่ไปป์คุยกับหมอยังไง เขาถึงได้ดองเราไว้ในโรงพยาบาลอย่างนี้”

                “ทนอีกหน่อย ฉันเชื่อว่าพี่แกมีเหตุผล”

                “จะหาเหตุอยู่กับเมียสองต่อสองหรือเปล่าก็ไม่รู้”

                คุณปรารถนายิ้มบาง ไม่ว่าลูกชายกำลังคิดทำอะไรอยู่ เธอเชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผล และหากไม่มีอะไรแอบแฝง การที่ปวินท์อยากใช้เวลาส่วนตัวอยู่กับกรวีร์สองต่อสองยิ่งต้องสนับสนุน ดอกผลของความผูกพัน ความใกล้ชิด มันคุ้มค่าเสมอ

 

                กรวีร์บีบกาย ห่อไหล่ ทำตัวให้เล็กลีบที่สุดเพื่อจะได้อาศัยชายคาป้อมยามหลบแดดเปรี้ยงของเที่ยงวันที่แสนจะร้อนระอุซะจนคิดว่าอยู่ในกระทะทองแดง หญิงสาวมาถึงหน้าโรงเรียนอนุบาลชื่อเสียงโด่งดังประจำจังหวัด และติดแหง็กอยู่ตรงนี้ไปไหนต่อไม่ได้         

“ลุงยามขา...หนูยืนจนมะเร็งผิวหนังจะถามหาอยู่แล้ว เปิดประตูให้หนูเข้าไปเถอะค่ะ” หญิงสาวอ้อนเสียงหวานกับลุงยามวัยใกล้เกษียณ ท่าทางก็ใจดี แต่ทำไมไม่ฟังที่เธอพูดบ้าง ปล่อยให้เธอยืนตากแดดตั้งนาน ไม่ยอมใจอ่อนเปิดประตูให้ผ่านเข้าไป

                “มันเป็นนโยบายความปลอดภัยของทางโรงเรียนครับ ให้เข้าไม่ได้จริงๆ”

                “ลุงขา หน้าหนูออกจะเป็นคนดี แล้วนี่ค่ะ” เธอยกปิ่นโตขึ้น “หนูแค่จะเอาข้าวกลางวันมาส่งผัวแค่นั้นเอง ลุงก็น่าจะรู้จักเขา”

                “รู้จักยังไงลุงก็ให้เข้าไม่ได้ครับ”

                “แต่หนูเป็นเมียเสี่ยไปป์ ลุงให้หนูเข้าหน่อยนะ นะๆๆๆ” หญิงสาวพยายามใจเย็น ทว่าลุงยามส่ายหน้าลูกเดียว

                “ถ้าบอกว่าเป็นเมียเสี่ยไปป์ยิ่งให้เข้าไม่ได้ใหญ่เลย” 

                ลุงยามกวาดตามองตั้งแต่หัวจดเท้า กระตุกยิ้มมุมปากราวกับจะบอกหญิงสาวว่า ไม่ได้แอ้มลุงหรอก

                “หนูรู้จักเสี่ยจริงหรือเปล่า ลุงไม่เห็นได้ข่าวว่าเสี่ยมีเมีย และถึงเสี่ยจะมีเมีย เมียเสี่ยก็ต้องมากับเสี่ยบ้าง กลับไปเถอะน่า อย่ามายืนโวยวายที่นี่ เด็กกำลังพักเที่ยง”

                “นี่ลุงคิดว่าหนูโกหกเหรอ”

                ลุงยามทำหน้ารู้ทัน “ไม่ได้บอกว่าหนูโกหก แต่ลุงรู้ว่าหนูพูดไม่จริง”

                แปลว่าโกหกเหมือนกันไหมล่ะ เออให้มันได้อย่างนี้...กรวีร์กัดฟันกรอด ท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว หญิงสาวใช้สายตาพิฆาตฟาดฟันลุงยามพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

                “เดี๋ยวลุงคอยดูหน้าผัวหนูดีๆ นะ” เธอบอกแกมขู่แล้วกดเบอร์สามี แต่ก็เหมือนชะตาฟ้ากลั่นแกล้ง ผัวบ้าไม่ยอมรับโทรศัพท์เธออีก ตาลุงมองแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ 

กรวีร์โมโหควันออกหู ลำพังเสี่ยไม่รับโทรศัพท์เต็มที่เธอคงปล่อยให้อด แล้วหิ้วปิ่นโตกลับบ้าน แต่นี่สายตาของลุงทำให้เธอพลุ่งพล่านเดือดดาลเกินทนไหว

                “ไหนล่ะเสี่ย เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์เมียปลอมๆ สินะ แม่หนูน่ะโกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่ไป๊ อย่ามาลูกไม้กับลุงน่า กลับไปเถอะ”

                “ลุงนั่นแหละ อย่ามายิ้มเยาะหนูนะ” เลือดนักสู้ในตัวกรวีร์ฉีดพล่านไปหมด

                “อ้าว ลุงยิ้มก็ผิดอีก” คราวนี้ตาลุงขำอย่างเปิดเผยเลยทีเดียว

                กรวีร์เข่นเขี้ยว ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างเจ็บใจ ร้อนแดดไม่พอยังต้องมาทะเลาะกับมนุษย์ลุงอีก เสี่ยนะเสี่ยมีโทรศัพท์ไม่พก ถ้าเธอไปโดนแฟนคลับเขาดักตบกลางทางจะทำยังไง ใครจะมาช่วยทัน 

                หญิงสาวคิดอย่างหัวเสียก่อนถอยออกไปยืนเล็งหาพื้นที่ที่จะทำการก่อสร้าง แม้แนวเขตรั้วสังกะสีจะอยู่ห่างออกไป แต่ก็ไม่ไกลเกินมองเห็น กรวีร์ตัดสินใจใช้วิธีสื่อสารระยะไกลสุดคลาสสิก ยกมือป้องปากแล้วตะโกนสุดเสียง

                “เสี่ยไปป์!”

 

                ปวินท์เพิ่งรู้ตัวว่าลืมโทรศัพท์ไว้ในรถก็ตอนที่จะเปิดปฏิทินดูวันทำงานตามที่ช่างบอก ช่วงพักเที่ยงพวกช่างหยุดกินข้าวกลางวันพอดี เขาจึงเดินไปเอาโทรศัพท์เพื่อกำหนดนัดหมายวันให้ตรงกัน ทว่าหูของเขาเหมือนจะแว่วได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังก้องโรงเรียนจนเด็กๆ หยุดเล่น พากันเงียบกริบ ถ้าเขาเดาไม่ผิดก็คิดว่าต้นเสียงน่าจะมาจากด้านหน้าจึงเดินออกไปดูก็เจอเข้ากับนลินพอดี

                “จะไปไหนเหรอคะ”

                “เหมือนได้ยินเสียงใครเรียกน่ะ เลยจะออกไปดูสักหน่อย”

                “หูแว่วหรือเปล่า ใครจะมาตะโกนเรียกพี่ไปป์แถวนี้ เที่ยงแล้วเราไปหาอะไรกินกันดีกว่าค่ะ” นลินชวน

                “อย่าเลยดีกว่า พี่ว่าไม่เหมาะ” ปวินท์ตอบชัดเจน และได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง

                “เสี่ยไปป์!”

                เสียงปริศนาแฝงแรงอาฆาตยังดังอยู่ ปวินท์คิดว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด “นั่นไงเรียกอีกแล้ว พี่ไปดูหน่อยดีกว่า”

                “เดี๋ยวค่ะ พี่...ไปป์” นลินรั้งไว้ไม่ทัน มองเลยไปที่หน้าประตูรั้วเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนเท้าเอวกลางแดดเปรี้ยง หน้าตาบึ้งตึงเอาเรื่อง ครูสาวถอนใจ เดินตามอดีตคนรักไปเงียบๆ

                ปวินท์มองผ่านประตูรั้วอัลลอยของโรงเรียนไปยังภรรยาที่เท้าสะเอวยืนจังก้าท้าแดด ใบหน้าสวยเกรี้ยวกราดพร้อมอาละวาด ข้างกายเธอนั้นมีปิ่นโตเถาหนึ่งวางอยู่ ชายหนุ่มรีบเร่งความเร็วเดินเข้าไปหา

                “กีวี่ ทำอะไรของเธอ”

                “ออกมาได้สักทีนะ” กรวีร์หุบปากเก็บถ้อยคำต่อว่าที่เตรียมฉะสามี เมื่อเห็นว่าใครเดินตามหลังเขามา หญิงสาวกระแทกลมหายใจอย่างฉุนจัด เธอไม่ได้หิวหรือหึงหรอกนะ แต่เธอน่ะบ้าแดดกำลังได้ที่เลย มากันพร้อมหน้าก็ดี แม่จะได้จัดการเป็นรายคนไป

                “ลุง!” หญิงสาวลงเสียงหนัก หันขวับไปหาลุงยามเป็นคนแรก นิ้วเรียวบรรจงกรีดกรายชี้ไปยังสามีแล้วประกาศเสียงดังฟังชัด “นั่น! ผัวหนู ดูหน้าเอาไว้”

                “เมียเสี่ยไปป์จริงเหรอ” อีตาลุงยังจะกล้าไปย้อนถามปวินท์อีกนะ อยู่ซึ่งหน้าอย่างนี้กรวีร์จะโกหกทำพระแสงเลเซอร์อะไร

                ปวินท์พยักหน้าช่วยเธอยืนยันอีกแรง “ครับ เขาเป็นเมียผมเอง ลุงช่วยเปิดประตูให้เข้ามาหน่อยได้ไหม”

                “เอ๊า! แล้วก็ไม่บอก” ลุงหลุดปากออกมาจนกรวีร์กลอกตามองบน

                “เฮอะ! ถ้าจำไม่ผิดลุงบอกหนูว่าเมียเสี่ยต้องมากับเสี่ย ขอโทษนะคะ หนูเป็นเมียไม่ใช่เห็บหมาจะได้เกาะซอกหูเสี่ยอยู่ตลอดเวลาน่ะ” กรวีร์เน้นหนัก ตวัดสายตาเลยไปถึงหญิงสาวที่ยืนเยื้องหลังสามี

                “ก็ครูหลินสั่งให้ลุงเข้มงวดหน่อย ลุงก็ต้องทำตามหน้าที่” ตาลุงบ่นอุบอิบ กรวีร์โบกมืออย่างรำคาญ

                “พอๆ หนูก็ไม่ได้จะว่าอะไร รีบเปิดประตูเถอะค่ะ หนูจะกลายเป็นไก่ย่างพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว”

                ประตูเลื่อนออก กรวีร์คว้าปิ่นโตขึ้นมาหิ้ว เดินเชิดหน้าผ่านป้อมยามเข้าไป เธอพอจะรู้แล้วว่าทำไมตาลุงถึงไม่ยอมให้ผ่านเข้าไปหาเสี่ยง่ายๆ ลำพังยามวัยใกล้เกษียณถึงจะยึดมั่นกฎ ระเบียบเคร่งครัดอย่างไรก็คงไม่คุมเข้มขนาดนี้ถ้าไม่มีคนสั่ง แฟนเก่าเสี่ยไปป์นั่นละตัวการ เห็นหน้าหวานๆ ที่แท้ก็นางมารลาเวนเดอร์ชัดๆ ภายนอกดูเหมือนดอกไม้แสนสวยปราศจากพิษภัย แต่ภายในใจเจ้าหล่อนแท้จริงคือนางมารบุปผา แกล้งเธอแล้วยังมีหน้ามายืนไม่รู้ไม่ชี้ กรวีร์เห็นแล้วนึกอยากทุ่มด้วยปิ่นโต

                หญิงสาวไปหยุดยืนตรงหน้าสามี สกัดกลั้นความโมโหเอาไว้ก่อน ตอนนี้เธอจะเล่นบทเมียเสี่ยให้เต็มที่ เอาให้แฟนเก่าธาตุไฟแตกกระอักเลือดตายไปเลย เมื่อตัดสินใจได้แล้วริมฝีปากที่มีคำต่อว่าเป็นร้อยรออยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานละมุนจนคนที่มองตาพร่า

                “ทำไมไม่รับสายฉันล่ะคะ โทร. หาตั้งหลายครั้ง” กรวีร์ปรับโทนเสียง จะยั่วคนต้องทนหน่อย เสียงสองเสียงสามก็ต้องงัดมาอ้อนกันละ

                “ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถน่ะจ้ะ กำลังจะเดินไปเอาก็ได้ยินเสียงเรียก เลยมาดูทางนี้ก่อน มาหาฉันถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า”

                ปวินท์หลุบตามองปิ่นโตในมือกรวีร์แล้วนึกขำ เขาจะหวังกับลูกสาวเจ๊หวีสูงไปหรือเปล่านะ นั่นอาจจะเป็นปิ่นโตของแม่กับปาล์มก็ได้

                กรวีร์พยักหน้าเข้าใจแล้วยิ้มออกมา ยกปิ่นโตอวด “เที่ยงแล้ว ฉันกลัวเสี่ยหิวจนโรคเก่ากำเริบ เลยเอาปิ่นโตมาส่ง ไปกินข้าวกันเถอะ”

                คำชวนง่ายๆ ทำเอาหัวใจแห้งผากของปวินท์ชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล นานเท่าไรแล้วที่ไม่มีใครใส่ใจเขาแบบนี้ กรวีร์สอดมือประสานกับมือเขาแล้วส่งยิ้มให้ เป็นการกระทำง่ายๆ แต่อบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด

                ปวินท์ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องดีใจ อาจเป็นเพราะสิ่งที่หวังเอาไว้กลายเป็นจริง และใช่เขาจำได้ เขาเคยบอกกรวีร์ไปแค่ครั้งเดียวว่าเป็นโรคกระเพาะ อาการจะกำเริบตอนที่กินข้าวไม่ตรงเวลา ไม่นึกว่าแม่ภรรยาฟ้าประทานคนนี้จะมีความจำดีเป็นเลิศ แถมยังเป็นห่วงเขาอีก

                ชายหนุ่มยิ้มกว้างดึงเอาปิ่นโตมาถือไว้อย่างหวงแหน กระชับมือเธอให้กุมแน่นขึ้นอีกนิด

                “มีอะไรกินบ้าง”

                “ลองเปิดดูสิ ของโปรดเสี่ยทั้งนั้น ฉันทำเองเลยนะ ไม่อยากจะโม้ ไปหาที่เงียบๆ นั่งกินเถอะ”

                “ข้างหลังมีโต๊ะม้าหินอยู่ นั่งกินตรงนั้นได้ ไปกัน” ปวินท์จูงมือภรรยาไปยังจุดที่หมายตาเอาไว้ แต่พอหันมาเจอนลินก็ชะงักไป เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่ “อ้าว หลินยังอยู่เหรอ พี่นึกว่าไปกินข้าวแล้วซะอีก”

                “หลินเดินตามหลังพี่ไปป์มาค่ะ”

                “เอ่อ...กินข้าวด้วยกันไหม” วินาทีที่ชายหนุ่มลังเลก็ยืนยันชัดเจนถึงความไม่เต็มใจของเขา หญิงสาวข้างกายก็แอบลุ้นว่าคุณครูจะกล้าไหม บีบหัวใจกันสุดๆ กระทั่งนลินส่ายหน้าปฏิเสธ

                “ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ พี่ไปป์ไปกินข้าวเถอะ หลินขอตัวก่อนนะคะ”

                “แต่ฉันทำกับข้าวมาเยอะนะคะ แบ่งๆ กันกินได้” กรวีร์ชวน แต่ในใจคิดไปอีกทาง กับข้าวน่ะแบ่งกินได้ แต่เสี่ยไปป์ของฉันคนเดียวย่ะ!

                “ไม่เป็นไรค่ะ”

                “งั้นฉันพาเสี่ยไปกินข้าวก่อนนะคะ ดูสิเที่ยงกว่าแล้ว หิวแย่” กรวีร์กระตุกมือเตือนสามี 

ปวินท์ยิ้มขอตัวกับครูสาว ก่อนจูงมือภรรยาจากไป

                บรรยากาศร่มรื่นใต้ต้นไม้ภายในโรงเรียนบวกกับเสียงเล่นของเด็กๆ มันไม่ได้ช่วยสร้างความโรแมนติกเลยสักนิด แถมยังมีเสียงบ่นกระปอดกระแปดของเมียผสมโรงด้วยอีกต่างหาก ปวินท์มองหน้าเมียแล้วก็นึกขำ

                “ฉันขอค่าสปาฟื้นฟูผิวด้วยนะเสี่ย ตาลุงนั่นเคี่ยวชะมัดให้ฉันยืนตากแดดเป็นกีวี่ตากแห้งเลย” กรวีร์บ่นระหว่างดึงปิ่นโตออกจากเถาเอามาวางเรียงตรงหน้า สามีของเธอนั่งมองด้วยรอยยิ้มสมน้ำหน้ามากกว่าสงสาร

                “ได้บอกลุงไปหรือเปล่าว่าเป็นเมียฉัน”

                “บอกจนไม่รู้จะบอกยังไง”

                “แล้ว...”

                “ตาลุงนั่นเชื่อฉันซะที่ไหน ต่อไปฉันคงต้องพกทะเบียนสมรสไว้ยืนยันตัวตนล่ะมั้ง”

                “ไม่ต้องหรอก เอาไว้ถ้ามีเวลาฉันจะพาเธอไปอวดให้ทั่วจังหวัดเลยดีไหม”

                “ดี” กรวีร์เน้นเสียง ยังเคืองลุงยามไม่หาย “จะได้เลิกข้องใจกันสักที ฉันนี่แหละเมียเสี่ยไปป์”

                ปวินท์ก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม เขาชอบความมุ่งมั่นในการประกาศศักดาของลูกสาวเจ๊หวีจริงๆ ชายหนุ่มมองกับข้าวตรงหน้าแล้วนึกสงสัย “ทำเองหมดนี่เลยจริงเหรอ”

                “งั้นสิ” หญิงสาวเชิดหน้า เกร็งคอ นั่งหลังตรงแน่ว

                “กินได้ไหมอะ”

                “เสี่ย!” กรวีร์นึกอยากจะฟาดหน้ายิ้มๆ นั่นด้วยเถาปิ่นโตในมือ เธอชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ “ถ้าเสี่ยจะวาดฝันว่าฉันจะหยิบจับทำอะไรไม่เป็นเลยละก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ฉันน่ะถึงจะดูล้นๆ ไปบ้าง แต่เสน่ห์ปลายจวักไม่เป็นสองรองใครนะจ๊ะ กุมใจไว้ดีๆ จะมาเสียทีหลงรักรสมือฉันเข้า แล้วจะรู้สึก”

                “รู้สึกอะไร”

                “เอ้า! ก็ตอนที่เราจบกัน เสี่ยจะคิดถึงฝีมือฉันสุดหัวใจล่ะซี้” หญิงสาวเสียงสูง ปวินท์ส่ายหน้าขำๆ

                “ลูกสาวเจ๊หวีขี้โม้ติดใคร ไหนฉันขอชิมหน่อย อร่อยเหมือนที่คุยไว้หรือเปล่า”

                “ฉันน่ะของจริงจ้ะ” กรวีร์ตักกับข้าวป้อนใส่ปากให้เขาชิม ปวินท์มองภรรยาอย่างคาดไม่ถึง แต่ก็อ้าปากรับ ส่งเสียงครางอย่างพอใจ

                “อืม...อร่อยใช้ได้”

                “เห็นไหมไม่ใช่ราคาคุยสักหน่อย เอานี่ ช้อน นั่งกินไปก่อน ฉันเดินไปเอากระติกน้ำแป๊บ” กรวีร์ส่งช้อนให้แล้วลุกขึ้นเดินกลับไปที่รถ ปวินท์จะห้าม เธอก็เดินฉับๆ ไปไกลแล้ว

                นลินยืนมองภาพกรวีร์จากตึกสูงมุมหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินลอยหน้าใช้นิ้วควงพวงกุญแจรถเล่นก่อนจะเปิดประตูและหยิบกระติกน้ำใบเล็กออกมา เธอจำรถคันนั้นได้ ปวินท์เคยขับมันอยู่พักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะยกให้เมียใช้ นลินไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันน่าตกใจของอดีตคนรัก แต่สิ่งหนึ่งที่เธอสัมผัสได้คือสายตาปวินท์มีชีวิตชีวาไม่เหมือนแต่ก่อน เขามองผู้หญิงคนนั้นด้วยความอ่อนโยนและเอ็นดูจนน่าอิจฉา

                มือของครูสาวกำเข้าหากันแน่นก่อนคลายออก นลินมั่นใจมาตลอดว่าความรักระหว่างตนกับปวินท์จะยาวนาน แต่ทุกอย่างกลับพลิกผันไปหมดเพราะคำว่าผลประโยชน์ของพวกผู้ใหญ่ หากเธอไม่เลือกธนชิต คนที่ปวินท์จับมือ ชวนกินข้าว หรือแม้แต่ปรายตามองด้วยความเอ็นดูคงไม่เป็นคนอื่น

                ครูสาวปวดร้าวไปทั้งใจ ยิ่งนึกถึงสายตาเย้ยหยันของกรวีร์ก็ยิ่งเจ็บ เธอสู้อุตส่าห์ถนอมความรักกับปวินท์มาตั้งนาน จู่ๆ ก็ถูกใครไม่รู้ฉกเอาไปหน้าตาเฉย เรื่องนี้เธอยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้จริงๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น