9

9

9

 

                “มาแล้ว...”

                กระติกน้ำแข็งใบเล็กปักหลอดสีชมพูสดใสให้เรียบร้อยถูกวางลงตรงหน้า ปวินท์เลิกคิ้วมองหญิงสาวอย่างสงสัย ขณะที่ปากยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ กรวีร์ฉีกยิ้มเอาใจทรุดกายนั่งลงตรงข้าม

                “น้ำอะไร” สามีเอ่ยถามเมื่อข้าวหมดปาก

                “เก๊กฮวย”

                “อืม...น่าสนใจดีแฮะ” ปวินท์เห็นรอยยิ้มภาคภูมิใจของภรรยา อดจะยิ้มตามด้วยไม่ได้ เขารู้สึกว่ามันต้องมีอะไรพิเศษมากกว่านั้นจึงแกล้งถามต่อ “ทำไมเลือกซื้อน้ำเก๊กฮวยมาล่ะ น้ำอื่นเยอะแยะ ชา กาแฟ โอเลี้ยงก็ว่าไป หรือรู้ว่าฉันชอบ”

                “รู้สิ ฉันไม่ได้สุ่มซื้อมามั่วๆ นะเสี่ย ตอนนี้ไม่ว่าเสี่ยจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ป้าแป๋วป้อนข้อมูลลับเฉพาะของเสี่ยใส่หัวฉันหมดแล้ว จุดอ่อนเสี่ยอยู่ตรงไหนไม่เกินความสามารถฉันหรอก คราวนี้ละอย่าคิดมีปัญหากับเมียเชียว” เธอลอยหน้าพูดอย่างเป็นต่อ 

                สามีนั่งหัวเราะมองคนกุมความลับของตัวเองด้วยสายตายั่วเย้า “รู้จุดอ่อนก็ต้องรู้จุดแข็งของฉันด้วยสินะว่ามันอยู่ตรงไหนบ้าง”

                กรวีร์เห็นแววตาทะลึ่งตึงตังของสามีแล้วคิดดีไม่ได้เลย พอเขาก้มต่ำเหมือนจะบอกใบ้ตำแหน่งจุดแข็ง เธอก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

                “ไม่อยากรู้! แล้วเสี่ยก็ไม่ต้องชี้พิกัดด้วย!” เธอสะบัดเสียงตอบ หน้าตาร้อนผ่าว เสี่ยนี่ชักจะยังไงใหญ่แล้ว 

                หญิงสาวรีบพยักพเยิดเบี่ยงประเด็นไปยังกระติกน้ำหวาน ขืนยังไม่ข้ามเรื่องจุดอ่อนจุดแข็งเสี่ยก็คงจะหาเรื่องแกล้งเธออีก 

                “กระติกนี้ฉันแวะซื้อข้างทางมา ไม่รู้รสชาติเป็นไง แถมยังเสียเวลาเถียงกับลุงยามหน้าประตูนั่นอีก น้ำแข็งละลายจืดหมดแล้วมั้ง เสี่ยทนๆ กินไปก่อนแล้วกัน ฉันไม่ได้ต้มเองด้วยเลยไม่กล้าการันตีรสชาติ เอาไว้วันหลังฉันจะหาซื้อดอกเก๊กฮวยแห้งต้มใส่กระติกมาส่งเสี่ยเอง ดีมะ หวานน้อย หวานมาก สั่งได้เลย” 

                กรวีร์เอาใจเต็มที่ ปากคุยโว มือก็ช่วยตักกับข้าวให้ไม่ขาด

                “กินเยอะๆ นะเสี่ย”

                แววตาของปวินท์อ่อนแสงลง เขามองหญิงสาวด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม กรวีร์เป็นเมียที่เหนือความคาดหมาย เขาแทบไม่เคยคิดหวังอะไรจากเธอเลยก็ว่าได้ หากไม่จนหนทางจนต้องหันไปพึ่งเจ๊หวีเขาก็คงไม่เจอเธอ แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนน่ารัก เขาจึงรู้สึกเอ็นดูเวลาอยู่ใกล้ๆ ได้แกล้งหยอกเย้าให้เธออึกอักเล่น เขาเริ่มชอบความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้

                จำได้ว่าตอนแรกที่เจอกัน ลูกสาวเจ๊หวีแสบมากแถมยังกล้าบ้าบิ่นรับปากจดทะเบียนสมรสกับเขาในเวลาอันรวดเร็ว ตัวเขาเองตอนพาเธอเข้าบ้านแนะนำกับครอบครัวเพื่อนฝูงยังแอบหวั่นในใจ กลัวว่าแม่จะสงสัย รับไม่ได้ที่จู่ๆ เขาคว้าใครไม่รู้มาเป็นเมีย แต่ทุกอย่างมันดีกว่าที่คิดและดีต่อหัวใจ กรวีร์เข้ากับทุกคนได้อย่างไม่มีข้อกังขา

                นอกจากดูแลแม่กับน้องของเขาแล้ว เธอยังอุตส่าห์มีน้ำใจเผื่อแผ่มาดูแลเขาด้วย บอกไม่ถูกเหมือนกัน ตอนที่รู้ว่าเธอเอาข้าวกลางวันมาส่ง หัวใจของเขามันพองโตคับอก คนเรามักจะรู้สึกดีตอนรู้ว่ามีอีกคนใส่ใจ ห่วงใย คอยดูแล ปวินท์ไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์พวกนั้น เขาดีใจที่เธอมาหา เอาข้าวปลามาส่ง ปลาบปลื้มใจที่เธอเป็นห่วงกลัวเขาจะหิว และอิ่มเอมใจที่ได้กินข้าวฝีมือเธอ

                ชายหนุ่มวางช้อน ตั้งใจมองภรรยาอย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะเขามีน้องสาวด้วยละมั้ง จึงเกิดความรู้สึกหลากหลายกับเธอ กรวีร์กับประภามนท์นิสัยคล้ายคลึงกันอยู่หลายอย่าง ที่สำคัญแม่น้ำค้างกลางหาวไม่ได้คิดอยากจับเขาทำผัวจริงๆ ผิดกับผู้หญิงคนอื่น ดังนั้นสิ่งที่เธอแสดงออกย่อมมาจากเนื้อแท้ ความห่วงใย ความมีน้ำใจของเธอคือของจริง

                “จ้องฉันขนาดนี้ ทำไมเหรอเสี่ย รู้ว่าเมียจะต้มน้ำเก๊กฮวยมาให้ ถึงกับตะลึงตาค้างเลย กินได้น่า วางใจเถอะ ก็อร่อยเหมือนกับข้าวพวกนี้แหละ”

                “เธอเป็นเมียที่ดีนะ ผิดจากที่ฉันนึกไว้มาก”

                “ทีหน้าทีหลังก็อย่าตัดสินคนแค่ภายนอก เออนี่เสี่ย” หญิงสาวเหลือบมองซ้ายขวา กระเถิบเข้ามาใกล้กับสามี

                “อะไร จะนินทาใครอีกล่ะถึงต้องลดเสียงกระซิบกระซาบขนาดนี้” ปวินท์รีบดัก เห็นมือที่กำลังช่วยตักกับข้าวให้ชะงัก ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มเขินเพราะถูกจับได้

                “วุ้ย! เสี่ยนี่ก็แสนรู้ แต่ไหนๆ จะนินทา ถือว่าเสี่ยร่วมมือให้ข้อมูลถูกต้องกับฉันหน่อยแล้วกัน จะได้เอาไปนินทาอย่างมีข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือ คือว่าฉันมีเรื่องจะถาม มันก็...ค่อนข้างละลาบละล้วงนิดหนึ่ง” เธอยกปลายนิ้วทำท่านิดหนึ่งประกอบ

                “จะถามอะไรก็ว่ามา มัวพูดจาอ้อมค้อม เดี๋ยวอิ่มแล้วฉันไปคุยกับช่างต่อไม่รอนะ”

                “อู๊ย... นั่งให้ข้าวย่อยก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้กรดไหลย้อนเป็นของแถมหรอก จะขยันไปไหน” หญิงสาวบ่น แต่มือก็ตักกับข้าวเติมให้เขาตลอด

                “มีเรื่องอะไรจะถามฉันล่ะ”ปวินท์ถาม ก่อนตักข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างอร่อย เหมือนว่าวันนี้เขาจะกินข้าวได้มากกว่าทุกวัน “ถามมาสิ”

                “เรื่องเสี่ยกับแฟนเก่าน่ะ”

                ชายหนุ่มกระแอมไล่ข้าวที่ติดคอนิดหนึ่ง ยกกระติกน้ำขึ้นมาดูด แล้วถามเธออย่างระมัดระวัง “ทำไมเหรอ แล้วแฟนเก่าคนไหน”

                “ในน้ำเก๊กฮวยนี่ไม่มีเบียร์ผสมสักหน่อย อย่ามาแกล้งมึนหลอกเมียเลยน่า เสี่ยกับครูหลินน่ะ”

                “อืม” ปวินท์ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ รอฟังเธอพูดต่อ แล้วกรวีร์ก็ถามโพล่งขึ้นมาว่า

                “เคยได้กันยัง”

                “เธอจะบ้าเหรอ! มาถามอะไรแบบนี้ นี่มันกลางโรงเรียนอนุบาลนะ” ปวินท์ถลึงตาใส่เมีย

                “แล้วจะต้องดุฉันทำไมเล่า ทีเมื่อกี้เสี่ยยังพูดถึงจุดแข็งอยู่เลย ไม่กลัวเด็กๆ ได้ยินหรือไง ฉันก็แค่อยากรู้” หญิงสาวหน้างอเมื่อถูกเขาดุ “ไอ้ที่ฉันต้องยืนตากแดดจนเกือบจะเป็นไก่ย่างพลังงานแสงอาทิตย์น่ะ ฝีมือแฟนเก่าเสี่ยนั่นแหละ”

                “ฉันเห็นเธอเถียงกับลุงยาม หลินไปเกี่ยวอะไรด้วย”

                “หืม...ซื่อขึ้นมาเชียว” หญิงสาวเบ้ปากค่อนขอด จู่ๆ ก็เหม็นหน้าผัวตัวเองขึ้นมาซะอย่างนั้น “ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจพูดแล้ว คนเขาจะเชื่อ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้าเขาก็เชื่อ ใช่ซี้...ฉันมันแค่เมียขัดดอกนี่นะ จะอ้าปากพูดอะไรก็ต้องคิดให้เยอะหน่อย พูดไปผัวไม่เชื่อก็กลายเป็นหมาอีก”

                “เธอซ้อมหึงฉันอยู่หรือเปล่ากีวี่”

                “จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง คนหึงน่ะครูหลิน ฉันจะไปหึงผัวเฉพาะกิจอย่างเสี่ยทำไมล่ะ”

                “อยากเปลี่ยนผัวเฉพาะกิจให้กลายเป็นผัวประจำไหม”

                “ไม่เอาน่าเสี่ย หยอกแรงแบบนี้ เมียใจคอไม่ดีรู้ปะ” กรวีร์หลบตาวูบ ไม่นึกว่าจะเจอเขาย้อนมาแบบนี้ หญิงสาวรีบยกกระติกน้ำมาดูด

                “แล้วนั่นเธอก็กำลังจูบฉันทางอ้อมอยู่นะ” ปวินท์ท้วงยิ้มๆ มองแก้มแดงจัดของภรรยาอย่างพอใจ “เราจูบกันตรงๆ ได้นะ ผัวเมียกันไม่ถือว่าผิดบาป”

                “เสี่ยไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องแฟนเก่าใช่ไหมถึงได้แกล้งฉันแบบนี้”

                “ว้า...โดนเมียจับได้ซะแล้ว นี่ถ้าฉันเล่าไม่ถูกใจเธอ จะเสี่ยงหัวแตกไหม”

                “สถานเบาอาจจะแค่อดข้าว แต่ถ้าสถานหนักอาจโดนทุ่มด้วยกระติกเก๊กฮวยนี่แหละ เล่ามา” เธอคาดคั้น

                ปวินท์จ้องลึกเข้าไปในตาหญิงสาวราวกับจะค้นหาความจริง ทว่าสิ่งที่เจอมีแต่ความว่างเปล่า อดเสียดายลึกๆ ไม่ได้ เขาจะหวังให้เธอมาหึงหวงก็เร็วไป เรื่องแฟนเก่าไม่มีอะไรให้คิดถึง แต่ในฐานะเมียเขาควรให้กรวีร์ได้รู้ติดๆ เอาไว้บ้าง

                ชายหนุ่มแย่งกระติกน้ำจากมือเธอแล้วดูดซ้ำหลอดเดียวกันจากนั้นก็เริ่มแจกแจงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรักเก่า ไม่ว่าสถานะคนรักในอดีตหรือคนเคยรักในปัจจุบัน

                “ฉันกับหลินก็เหมือนที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ เคยรักกันก็จริง แต่ตอนนี้ต่างคนต่างมีใหม่แล้ว ครูหลินกับคุณชิตเป็นคู่ที่เหมาะสม เห็นพวกเขาแฮปปี ฉันก็ดีใจด้วย”

                “เสี่ยไม่คิดอะไรกับแฟนเก่าบ้างเลยจริงดิ ไม่เสียดายเหรอ”

                “ไม่นะ” ปวินท์สั่นหน้าตอบอย่างที่คิดไม่ปิดบังคนเป็นเมีย “ชีวิตฉันมีอะไรให้ทำเยอะแยะ ถ้ามัวจมกับอดีต คร่ำครวญถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็คงไม่ต้องขยับไปไหนกันพอดี”

                “เชื่อได้ไหม”

                “เชื่อได้สิ ฉันปากตรงกับใจเสมอ เธอมั่นใจได้เลย สำหรับฉันอะไรที่ผ่านไปแล้ว ฉันไม่เก็บเอามาคิดถึงให้รกสมองหรอก” ปวินท์ยืนยัน ไม่ว่าใครจะเข้าใจอย่างไร แต่เขารู้ใจตัวเองดีที่สุด

                “เสี่ยไม่คิดสุมถ่านไฟเก่าอันนี้ฉันเชื่อ แต่เสี่ยเคยลองสังเกตสายตาครูหลินบ้างไหม”

                ปวินท์สั่นหน้าอีกครั้ง 

                “เขาไม่ใช่แฟนฉันแล้ว ฉันจะไปสังเกตสังกาสายตาเขาทำไมล่ะ เธอนี่ก็แปลกคน” แล้วสายตาคมกริบของปวินท์ก็จับนิ่งที่ใบหน้าภรรยาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ขณะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง “ถ้าถามว่าหน้าเธอมีไฝขี้แมลงวันกี่เม็ดนี่ละเออฉันพอตอบได้”

                แอบมานับตั้งแต่ตอนไหน หญิงสาวลืมตัวรีบยกมือปิดสันจมูกตรงจุดที่มีไฝขี้แมลงวัน พอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของสามีก็รู้ตัวว่าโดนเขาแกล้งหลอกอีกแล้ว

                กรวีร์จุ๊ปาก ขัดใจ เธอละเบื่อจริงๆ พวกผู้ชายที่ฉลาดเรื่องงาน แต่มาตกม้าตายให้แก่มารยาหญิง ยังไงเธอก็ไม่ไว้ใจหรอก ได้ยินตาลุงนั่นบ่นเองกับหูว่าครูหลินสั่ง คงกะจะเล่นงานเธอนั่นละ แต่พูดไปคงเหมือนสีซอให้ควายฟัง เสี่ยบ้านี่ไม่เชื่อเธอแน่ ดีไม่ดีจะหาว่าเธอใส่ร้ายแฟนเก่าเข้าซะอีก

                หญิงสาวกัดปาก หน้าบอกบุญไม่รับ

                “แล้วที่ถามน่ะว่าไง ตกลงเคย หรือไม่เคย”

                “ไม่เคย!” ปวินท์กระแทกเสียงตอบอย่างไม่เต็มใจแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น ลูกสาวเจ๊หวีชักจะเกินไปแล้ว ถามโต้งๆ อย่างนี้ได้ยังไง “ฉันไม่ฉวยโอกาสกับผู้หญิงที่ฉันรักหรอก”

                “อ่อ...ผู้หญิงที่รัก” กรวีร์พยักหน้าเนิบนาบ จับคางสามีให้หันกลับมาสบตาพลางฝากฝัง “งั้นถ้าไม่รบกวน เสี่ยช่วยรักๆ ฉันหน่อยนะ ฉันกลัวเสียท่าเสี่ยก่อนได้เงินล้าน”

                “น้อยๆ หน่อยเถอะแม่คุณ ถึงเราจะนอนเตียงเดียวกันและมีหมอนข้างที่ขวางฉันไม่ได้กั้นอยู่ แต่ขอโทษเถอะนะกระโดกกระเดกแบบเธอ ฉันทำไม่ลงหรอก” เป็นครั้งแรกที่ปวินท์พูดจาสวนทางกับความจริง แต่เพราะหมั่นไส้ความมั่นใจของกรวีร์เหลือเกิน จึงต้องหาทางบั่นทอนความเหิมเกริมของเธอลงมาเสียหน่อย ส่วนไอ้เรื่องที่พูดว่าทำไม่ลงคงไม่ใช่ อยู่กับกรวีร์เขามีแต่เรื่องต้องหักห้ามใจเต็มไปหมด

                คนพูดก็หวังลดความมั่นใจ ส่วนคนได้ยินก็ควันออกหู กรวีร์ฉุนกึก ความโกรธแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ รู้สึกเหมือนโดนสามีฉีกหน้ากลางตลาดนัด เสี่ยพูดงี้ดูถูกกันชัดๆ

                “จ้า...คุณสามีชอบแบบเรียบร้อย อ่อนหวาน หึ! จำไว้แล้วกัน พูดอะไรน่ะ อิ่มหรือยัง ฉันจะได้เก็บปิ่นโตกลับ”

                “โกรธเหรอ”

                “โกรธอะไร เสี่ยปากตรงกับใจขนาดนี้ ฉันควรดีใจด้วยซ้ำ อย่างน้อยความกระโดกกระเดกก็ช่วยให้ความสาวของฉันปลอดภัยแม้ว่าจะต้องนอนร่วมเตียงกับเสี่ยทุกคืนก็ตาม”

                ปวินท์เฝ้ามองภรรยาหน้างอ เก็บปิ่นโตซ้อนใส่เถาด้วยท่าทางไม่พอใจ นึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ปากลั่นพูดคล้ายจะดูถูกเธอ โดนปรามาสซึ่งหน้าเป็นใครก็คงหัวร้อน และต่อให้กรวีร์ไม่ถือสาโดยมารยาทเขาไม่สมควรพูดจาว่าร้ายเธอ มันเหมือนกับว่าเธอไม่มีค่าในสายตาเขาเลย

                “กีวี่”

                “อะไร”

                ชายหนุ่มนึกขำน้ำเสียงห้วนจัดของเธอ เออ...งอนจริงด้วยแฮะ ปวินท์เอื้อมไปจับมือที่กำลังวุ่นวายกับการเก็บปิ่นโต เจอเธอชักสีหน้าใส่ทำเอาอึ้งไปเหมือนกัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะยั่วอะไรเธอหรอกนอกจากขอบคุณและชื่นชมฝีมือการทำกับข้าวของเธอเท่านั้น

                “กับข้าวอร่อยมาก”

                “ฮึ! ไม่ต้องมาพูดเพราะปะเหลาะกินเลย ถึงฉันจะกระโดกกระเดก แต่อยู่กับฉันไม่ต้องกลัวอดตาย กระติกน้ำเก๊กฮวยทิ้งไว้ให้เสี่ยแล้วกัน เลิกงานเก็บกลับบ้านด้วยนะ” สั่งเสร็จก็หมุนกายเดินหิ้วปิ่นโตออกห่างจากเขาเรื่อยๆ ได้ยินเสียงคนข้างหลังตะโกนตามมา

                “แล้วฉันจะรีบกลับนะ”

                กรวีร์หันกลับไปหาสามี “เรื่องของเสี่ย จะรีบหรือลั้นลา ฉันก็ไม่มีปัญญายกบ้านเสี่ยหนีไปไหนหรอก”

                “รอฉัน ไปเยี่ยมแม่พร้อมกัน”

                หญิงสาวไม่ตอบแถมยังสะบัดหน้าหนี เดินทำหูทวนลมไม่รู้ไม่ชี้กลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ปวินท์ยืนมองจนลับตา ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ ขยายเป็นยิ้มกว้างพร้อมส่ายศีรษะระอาใจ ใครจะคิดว่าคำพูดไม่กี่คำจะไปบาดจิตบาดใจเธอเข้า กรวีร์คงเคืองเขาน่าดู 

                ชายหนุ่มคิดพลางยกกระติกน้ำเก๊กฮวยขึ้นมาดูด กรวีร์ไม่ใจร้ายเก็บกระติกกลับก็นับว่ายังมีเมตตาต่อเขาอยู่บ้าง ถึงจะจืดไปหน่อย แต่พอนึกถึงความตั้งใจของคนซื้อมาให้ก็ชื่นใจไม่น้อย แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว

                นึกออกละว่าจะง้อลูกสาวเจ๊หวียังไง

 

                กรวีร์จอดรถหน้าร้านกัญญาบาร์เบอร์ เดินหน้าตูมเข้าไปหาแม่ ช่วงบ่ายในร้านไม่มีคน เจ๊หวีของเธอเลยนอนดูลิเกสบายใจเฉิบ หญิงสาวลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ แม่

                “แม่สระผมให้หน่อยดิ”

                “ไปอารมณ์ไม่ดีมาจากไหนล่ะ ถึงมาให้แม่สระผมให้น่ะ” คุณกัญญาลุกขึ้นนั่ง กดรีโมตปิดทีวี หันมาถามลูกสาวอย่างสนใจ “แล้วเป็นไงบ้าง เสี่ยไปป์ดีกับหนูไหม”

                “ไม่ดี ลูกเขยเสี่ยแม่นั่นแหละที่ทำให้หนูอารมณ์เสีย กวนประสาท พูดถึงก็หัวร้อนขึ้นมาเลย หน็อย...มาว่าหนูกระโดกกระเดก ชิ! ใครจะไปเรียบร้อยเหมือนครูหลินแฟนเก่านั่นล่ะ”

                “อะๆ ใจเย็นๆ ขึ้นไปนอนบนเตียง เดี๋ยวแม่สระผม เกาหัวให้จะได้อารมณ์ดีขึ้น”

                กรวีร์ปีนขึ้นไปนอนบนเตียงสระ ปล่อยเส้นผมลงอ่าง หลับตาลงรอให้แม่สระผมให้ สายน้ำเย็นไหลผ่านศีรษะทำอารมณ์เดือดพล่านค่อยๆ สงบลง นี่เป็นเคล็ดลับดับความโกรธเฉพาะตัวของเธอ ตอนเด็กๆ เวลาที่เธอโกรธใครแม่ก็จะจับสระผมแบบนี้จนติดเป็นนิสัย

                “แม่...” หญิงสาวเรียกทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท

                “อะไรเหรอ”

                “เล่าเรื่องเสี่ยกับครูหลินให้หนูฟังหน่อยสิ หนูว่าครูนี่ยังแอบหวังอะไรกับลูกเขยแม่อยู่นะ แต่ที่หนูได้ข่าวมาเขาเป็นคนทิ้งเสี่ยไปป์ไม่ใช่เหรอ”

                “จะว่าไปเรื่องนี้มันซับซ้อนเกี่ยวพันกันหลายทาง ทั้งผลประโยชน์ของผู้ใหญ่และความรักของหนุ่มสาว” 

                คุณกัญญาชะเง้อหน้ามองออกไปทางหน้าร้าน ประตูปิดใครเปิดเข้ามาต้องได้ยินเสียง เจ้ากระทรวงข่าวลือไม่อยากปากสว่าง เรื่องนี้แม้ไม่ใช่ความลับ แต่พูดมากไปก็ไม่ดี การจับคู่ให้นลินกับธนชิตเป็นบาปที่ติดอยู่ในใจ

                “แต่คุณชิตแกก็รักครูหลินอยู่นะ”

                “ไม่สรุปแบบนี้สิแม่ ต้นเรื่องมันเป็นยังไง”

                “มันก็เริ่มจากผลประโยชน์ของพวกผู้ใหญ่นั่นแหละ เงินต่อเงินน่ะ”

                “ลูกเขยแม่ก็รวยนะ เขาบอกหนูเอง”

                “รวยจริง แต่บางทีมีเงินอย่างเดียวก็ไม่พอ” 

                คุณกัญญาเริ่มเท้าความ ขณะที่มือบรรจงนวดศีรษะให้ลูกสาว

                “บ้านครูหลินเขาเป็นตระกูลใหญ่ ญาติเยอะ ผอ. นครกับคุณสายสร้อย พ่อแม่ครูหลินน่ะมีคนนับหน้าถือตามากมาย ส่วนบ้านเจ๊ปิ๋มก็รวยมากอย่างที่เรารู้ การที่ลูกชายเจ๊ปิ๋มซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแม่เงินกู้รายใหญ่ มีคนรู้จักมากมายจะไปรักไปชอบลูกสาวบ้านไหน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ต้องเห็นดีเห็นงามสนับสนุน”

                “เสี่ยไปป์กับครูหลินเลยได้คบกันโดยไม่มีอะไรขวางกั้นสินะ แล้วทำไมครูหลินถึงทิ้งเสี่ยหนูล่ะแม่”

                “ก็เพราะว่ารักอย่างเดียวมันกินไม่ได้ไงละลูก พ่อแม่ครูหลินเขาขาดอำนาจคอยหนุนหลัง มีเงินไม่มีอำนาจชีวิตมันก็เป็นปัญหานะ เวลาจะทำอะไรแต่ละทีต้องมีคนคอยซัปพอร์ตเอื้อผลประโยชน์ให้จะได้ไม่ติดขัด ซึ่งจุดนี้ทางฝั่งของนายกครองเขาตอบโจทย์ได้มากกว่าทางเจ๊ปิ๋ม แล้วคุณชิตดูจะชอบครูหลินมากซะด้วยเลยไม่ขัดข้องที่จะคบหา แม้จะรู้ว่าฝ่ายหญิงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วก็จะเอาให้ได้นั่นแหละ นายกครองก็เลย...”

                “เลยอะไรแม่”

                “ติดต่อแม่ให้ไปลองหยั่งเชิงฝั่งครูหลิน”

                กรวีร์ลืมตามองหน้าแม่ “อย่าบอกนะว่าแม่มีส่วนทำให้เสี่ยกับครูหลินเลิกกัน”

                “เฮ้ย พูดอะไรอย่างนั้นเล่า” คุณกัญญาปิดน้ำ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาพันรอบศีรษะลูกสาว “แม่ก็เป็นแค่คนส่งสาร คนตัดสินใจน่ะ ครูหลินกับครอบครัวเขาต่างหาก ฝั่งหนึ่งก็ต้องการคนซัปพอร์ต ส่วนอีกฝั่งก็ได้ฐานคะแนนเสียง ลงตัวขนาดนี้ใครจะไม่สนล่ะ แล้วก็ใช่ว่าเรื่องมันจะเลวร้าย เพราะถึงลูกชายนายกจะแย่งเอาแฟนเสี่ยไปป์ไป แต่ลูกสาวนายกก็พร้อมดามใจให้เสี่ยเสมอ เสียแต่ว่าเสี่ยเขาไม่เล่นด้วย ลุกไปหน้ากระจกเดี๋ยวแม่เป่าผมให้”

                “นายกครองวิทย์นี่ฉลาดเนอะ ดองสองข้างได้ทั้งเงิน ได้ทั้งคนนับหน้าถือตา แต่เสี่ยก็น่าขัดใจนะ แทนที่จะลองคบกับลูกสาวนายกแก้เผ็ด แบบนั้นคงมันพิลึก” 

                “แม่ว่าคู่นี้ไปกันไม่รอด ลูกสาวนายกคนละเรื่องกับครูหลินเลยจ้ะ แล้วเสี่ยไปป์ก็นิสัยตรงไปตรงมา ไม่แทงข้างหลังใครแน่”

                “หวยเลยมาออกที่หนูสินะ ต้องพลีกายขัดดอกให้แม่แล้วยังต้องตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของเสี่ยอีกด้วย ฮื่อ...ทำไมซวยซับซวยซ้อนแบบนี้”

                “ก็ใครใช้ให้ปากไว ตกลงยอมเป็นเมียเสี่ยล่ะ” คุณกัญญาสมน้ำหน้า ก่อนเล่าต่อ “ตอนที่เลิกกับครูหลินนะ ใครๆ ก็พากันเป็นห่วง แต่เสี่ยแกชิลมาก ใช้ชีวิตตามปกติต่างจากเดิมก็แค่เคยไปไหนมาไหนกับครูหลิน ก็เปลี่ยนเป็นไปคนเดียว เดี๋ยวๆ ทำไมจู่ๆ ถึงมาถามแม่เรื่องเสี่ยกับครูหลินล่ะ”

                “หนูแค่สงสัยว่าครูหลินยังตัดใจจากเสี่ยไม่ได้น่ะแม่” หญิงสาวเพิ่มเสียงแข่งกับไดร์เป่าผมของแม่

                “อืม...เขารักกันมาตั้งหลายปี สาเหตุที่เลิกก็ไม่ใช่ทะเลาะขัดคอกันสักหน่อย ถึงครูหลินจะมีคนใหม่ แต่เป็นไปได้ว่ายังไม่ลืมรักเก่า”

                “ผู้หญิงหลายใจ รักใครหลายคน” กรวีร์นิ่วหน้าครุ่นคิด ท่ามกลางเสียงไดร์ที่แม่กระหน่ำเป่าใส่หัวเธอ

                “เอ้า! ไปว่าเขา”

                “หรือที่เสี่ยเร่งหาเมียเพราะอยากให้ครูหลินตัดใจจากเขาได้เร็วๆ โคตรลงทุนเลยวุ้ย พลอตนิยายน้ำเน่าชัดๆ แต่นอกจากนี้หนูก็ยังนึกหาเหตุผลอื่นไม่ได้ เสี่ยน่ะต้องมีแผนอะไรสักอย่าง ไม่ได้อยากมีเมียจริงจังหรอกแม่เชื่อหนู เมื่อคืนนอนด้วยกัน เสี่ยก็ไม่ได้มีทีท่ากระสันอยากจับหนูทำเมียเลยนะ”

                “ไม่ดีหรือไง หนูก็ไม่ได้รักใคร่ชอบพอกับเสี่ยนี่นา รักษาเนื้อรักษาตัวเอาไว้ก่อน ค่อยๆ เรียนรู้นิสัยใจคอกันไป ไม่แน่นะอยู่กันไปสักพักความรู้สึกอาจจะเปลี่ยน ความรักสุกงอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย ได้กันตอนนั้นก็ยังไม่สาย แล้วถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริงหนูจะได้ไม่ต้องหย่าไงลูก”

                “โอ๊ย...กระโดกกระเดกแบบหนูเสี่ยเขาไม่เอาหรอก” กรวีร์นึกแล้วยังเคืองไม่หายพูดมาได้ คนปากเสีย!

                หลังจากสระผมจนสบายใจ หญิงสาวช่วยแม่ปิดร้านและขับรถกลับบ้านปรานต์ปราณนต์ กรวีร์หิ้วปิ่นโตสองเถาเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมล้างทำความสะอาด เห็นป้าแป๋วกำลังหั่นผักเตรียมทำกับข้าวเย็นอยู่ เธอจึงส่งเสียงทักทาย

                “กลับมาแล้วค่า เย็นนี้ทำอะไรกินคะแม่ครัวใหญ่” เธอถาม เดินเข้าไปที่ซิงก์น้ำและเอาปิ่นโตออกมาล้าง

                “หลายอย่างเลย อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมล่ะ ป้าจะทำเพิ่มให้”

                “หนูเลี้ยงง่ายกินได้ทั้งนั้นค่ะป้า เดี๋ยวล้างปิ่นโตเสร็จแล้วหนูช่วยนะคะ”

                บ้านนี้ไม่มีคนทำงานบ้านอยู่ประจำ แต่ทุกสัปดาห์จะมีคนมาทำความสะอาดให้ ส่วนเรื่องอาหารการกินป้าแป๋วจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ป้าสามีไม่หวงวิชา เวลากรวีร์สงสัยก็จะบอกเคล็ดลับให้ไม่ปิดบัง

                “ไปป์ว่าไงบ้างล่ะ” รอยยิ้มของป้าเปี่ยมด้วยความหวัง หลานสะใภ้อย่างเธอจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มเฝื่อนๆ

                “เสี่ยชมว่ากับข้าวอร่อยค่ะ”

                “ถือว่าไม่เลวนะ ยังรู้จักชมให้กำลังใจเมีย พรุ่งนี้ก็ทำไปส่งอีกแล้วกัน เดี๋ยวป้าช่วย”

                หญิงสาวอยากจะปล่อยให้อดเหลือเกิน แต่จะเป็นการหักหาญน้ำใจคนแก่ ถ้าลำพังผัวปากเสียนั่นละก็ได้กินแค่วันนี้วันเดียวละ

 

                ปวินท์เดินเข้าบ้านในตอนเย็น สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงหัวเราะชอบใจของป้าแป๋วซึ่งเขาไม่ได้ยินนานแล้ว ตั้งแต่แม่ไปอยู่โรงพยาบาล ป้าแป๋วต้องอยู่เฝ้าบ้าน ทำกับข้าวเหงาๆ คนเดียว ไม่รู้ว่าหลานสะใภ้โม้อะไรให้ฟังถึงได้หัวเราะลั่นบ้านอย่างนั้น

                จากที่ตั้งใจว่าจะขึ้นห้อง เท้าของปวินท์ก็เปลี่ยนทิศเดินตรงไปทางครัว ดีเหมือนกันจะได้เอาของที่ซื้อติดมือมาง้อเมียซะเลย ลองหยั่งเชิงดูซิ ลูกสาวเจ๊หวีจะหายเคืองเขาไหม

                “ตอนนั้นนะคะ หนูกับเปรมตกใจแทบตายนึกว่าไฟจะไหม้ห้องแล้วซะอีก”กรวีร์หันหลังให้ประตู เธอจึงไม่เห็นสามี คิดว่าอยู่กับป้าแค่สองคนจึงเล่าไปออกท่าทางไปอย่างสนุกสนาน

                “แล้วทำไงกัน”

                “ก็ต้องรีบวิ่งลงไปยืมถังดับเพลิงของลุงยามค่ะ ลุงแกมองค้อนหนูเป็นอาทิตย์ คงกลัวว่าหนูจะเผาหอแกอีก กว่าจะทดลองทำสำเร็จหม้อพังไปตั้งสามใบแน่ะค่ะ”

                “เอาไว้วันหลังให้เพื่อนส่งมาบ้านเราสักใบ ป้าจะได้ลองหัดใช้บ้าง หวังว่าจะไม่ต้องใช้ถังดับเพลิงนะ” 

                กรวีร์หัวเราะเสียงใส “เดี๋ยวนี้หนูโพรแล้ว รับรองไม่ไหม้ค่ะ”

                ป้าแป๋วชะงักเมื่อเหลือบเห็นหลานชายยืนพิงกรอบประตูแอบฟังอยู่ ปวินท์ยิ้มพลางสั่นหน้าห้ามไม่ให้ป้าบอกเมีย ชายหนุ่มค่อยๆ ย่องเข้ามาวางมือหมับที่เอวหญิงสาว

                “ทำไรอยู่!”

                “ว้ายแม่แหก!” กรวีร์สะดุ้งตกใจสุดตัว จังหวะเธอหมุนกายกลับมาอย่างรวดเร็วเกินไปทำให้ร่างกายเสียสมดุลจนเกือบล้มหงายหลัง ยังดีที่ปวินท์มือไวรวบเอวไว้ทัน

                ชายหนุ่มรั้งร่างภรรยาเข้ามาชิด ปลายจมูกแทบติดกัน กรวีร์รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่สัมผัสใบหน้า ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้าง ก่อนใช้มือสองข้างดันอกเขาออก 

                “เสี่ยเล่นอะไร ฉันตกใจหมด ดีนะที่ไม่ได้ถือมีด” หญิงสาวดุ ทว่าสองแก้มแดงก่ำ ไม่ยอมสบตาสามี

                “สงสัยอยากแกล้งเมียเล่น เฮ้อ...ป้านึกขึ้นได้ว่าลืมยาดมไว้บนห้อง ฝากดูหม้อต้มยำด้วยนะกีวี่ เดี๋ยวป้ามา” ป้าแป๋วขยิบตาส่งซิกกับหลานชายก่อนปลีกตัวออกไป ปล่อยให้ข้าวใหม่ปลามันอยู่กันตามลำพัง

                “ถ้าฉันหัวใจวายตายระหว่างเป็นเมียเสี่ย เสี่ยต้องจ่ายเงินชดเชยให้แม่ฉันด้วยนะ เล่นอะไรบ้าๆ” กรวีร์หนีไปตั้งหลักที่หน้าเตา ยึดเอาหม้อต้มยำของป้าแป๋วเป็นที่พึ่ง

                “เย็นนี้ทำอะไรให้ผัวกิน”

                มาอีกแล้วลูกตาแพรวพราวพร้อมคำพูดชวนจั๊กจี้หัวใจ หญิงสาวทำปากยื่น “ดูเอา ทำเท่าที่เห็นนี่แหละ เดี๋ยวตักใส่ปิ่นโตไปฝากแม่กับพี่ปาล์มด้วย เสี่ยไปอาบน้ำเตรียมตัวสิ”

                “หายเคืองหรือยัง”

                “เคืองอะไร ใครเคือง ไม่เคื้อง...ไม่เคืองเลย” กรวีร์เมินหนี ใครใช้ให้เขามาว่าเธอล่ะ

                ปวินท์มองอาการของคนที่บอกไม่เคืองแล้วยิ้มออกมาพลางยื่นของในมือให้ “ฉันซื้อดอกไม้มาง้อ”

                “ดอกอะไรของเสี่ย ห่อซะแน่น” คนงอนเป็นงง จ้องห่อกระดาษที่เขาบอกว่าเป็นดอกไม้อย่างสงสัยพลิกไปพลิกมา

                “ลองเปิดดูสิ พรุ่งนี้เอาไปส่งให้ด้วยนะ จะรอชิม” ปวินท์ยักคิ้วกวนๆ แล้วหมุนร่างเดินออกจากครัว เขาจะรีบขึ้นห้องไปดูซิว่ากรวีร์ใช้ยาสระผมยี่ห้ออะไร ทำไมยังได้กลิ่นหอมติดปลายจมูกอยู่เลย สมกับเป็นลูกสาวร้านทำผมจริงๆ

                ปวินท์ไม่รู้หรอกว่ากรวีร์จะหายโกรธหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ พรุ่งนี้เธอต้องเอาข้าวกลางวันพร้อมน้ำเก๊กฮวยเย็นชื่นใจไปส่งให้เขาอีก ถ้าถึงตอนนั้นยังไม่หายงอน ค่อยหาวิธีง้อใหม่ พรุ่งนี้จะมีกับข้าวอะไรบ้างนะ ลาภปากแท้ๆ ชายหนุ่มยกมือลูบท้องคิดครึ้มๆ เพิ่งรู้ว่ามีเมียทำกับข้าวอร่อยมันดีอย่างนี้

                ทางด้านกรวีร์ที่ยืนจ้องแผ่นหลังสามีสลับกับดอกไม้ในห่อกระดาษ เสี่ยบ้าจะแกล้งอะไรกันอีกก็ไม่รู้ เธอปิดเตาแล้วเดินเอาห่อกระดาษมาวางที่โต๊ะ เริ่มแกะมันออก ให้ตายเถอะ ไม่รู้ว่าจะขำหรือจะเคืองกับมุกง้อสาวของเสี่ยไปป์ดี

                “ตาบ้าเอ๊ย! ใครเขาใช้ดอกเก๊กฮวยอบแห้งง้อสาวกันล่ะ”

 

                ปวินท์พากรวีร์มาถึงโรงพยาบาลเกือบหนึ่งทุ่ม มือข้างหนึ่งของเขาถือปิ่นโต ส่วนอีกข้างจับมือภรรยาไว้เหมือนกลัวเธอจะเดินหลง

                “ปล่อยมือเถอะเสี่ย ฉันเดินเองได้ ใครผ่านไปผ่านมามองกันใหญ่แล้ว” กรวีร์กระตุกมือเตือน แต่ปวินท์ไม่ยอมปล่อย

                “ฉันกำลังช่วยเธอประกาศศักดาอยู่ไม่รู้เหรอ ปล่อยให้มองกันไปเถอะ จะนินทาอย่างไรเธอก็ยังเป็นเมียฉันวันยังค่ำ ไม่เสียหาย” ตอนท้ายชายหนุ่มเอียงหน้ามากระซิบใกล้ๆ จนเธอต้องเอนร่างหนี

                “ฮื้อ หูฉันยังไม่ตึง ไม่ต้องมาพูดใกล้อย่างนี้ก็ได้”

                “ก็รักเมียมาก ไม่อยากอยู่ห่างเลย”

                ฮึ! กรวีร์แค่นเสียงผ่านจมูก เมื่อกลางวันเธอเป็นคนสั่งให้เขารักเธอมากๆ เพื่อความปลอดภัย ตอนนี้เขาก็บอกรักเธอได้หน้าตาเฉย กวนประสาทชะมัด เธอไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขา ปล่อยให้ยิ้มร่าอย่างผู้ชนะไปก่อนแล้วกัน

                สามีภรรยามาถึงห้องพักของคุณปรารถนา กรวีร์เป็นคนเปิดประตูและเดินนำหน้าปวินท์ ค่ำนี้ดูเหมือนจะมีแขกคุ้นหน้ามาเยี่ยมแม่สามีของเธอ นลินน่ะพอรู้จัก แต่ผู้ชายกับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ นั่นใครกัน

                “พี่ไปป์...”

                ปวินท์เกือบวางปิ่นโตไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำ ผู้หญิงคนนั้นก็จีบปากจีบคอถลาเข้าไปเกาะแขนแถมยังชนกรวีร์เสียกระเด็น เมียเสี่ยไปป์ขยับหลีกทางให้ ถอยไปยืนดูผู้หญิงคนหนึ่งเกาะกอดแขนสามีด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

                “คุณนิดกับคุณชิตมากันยังไงครับ” ปวินท์เห็นสายตาพร้อมอาละวาดของภรรยาแล้วก็ค่อยๆ แกะแขนณิชมนออก เขาถามพลางขยับถอยไปหาภรรยา แต่โดนเธอเชิดใส่เดินหนีไปยืนเกาะข้างเตียงของคุณนายปรารถนาโน่น เสี่ยไปป์ไม่ยอมแพ้ พอสลัดณิชมนหลุดเขาก็ตามไปยืนข้างๆ ยกแขนขึ้นโอบไหล่ล็อกตัวเมียเอาไว้ไม่ให้หนี

                ณิชมนไม่ถูกใจสิ่งที่เห็น จึงเอ่ยถาม

                “นิดได้ข่าวลือแปลกๆ เลยชวนพี่ชิตกับพี่หลินมาเยี่ยมป้าปิ๋มค่ะ เพิ่งถึงก่อนพี่ไปป์แป๊บเดียว”

                “ไปป์มาก็ดี จะได้บอกเรื่องกีวี่ ให้ทุกคนได้ร่วมยินดีด้วย” คุณปรารถนาเกริ่นนำให้ลูกชาย พลางส่งยิ้มให้ลูกสะใภ้

                “ยินดี? ยินดีเรื่องอะไรคะ” ณิชมนปรายตามองผู้หญิงที่ปวินท์โอบไหล่อย่างไม่เป็นมิตร

                “ยินดีที่ผมกับกีวี่ตกลงใช้ชีวิตร่วมกันครับคุณนิด” ปวินท์ประกาศ และภรรยาก็ยิ้มกว้างช่วยเสริม

                “ถ้าได้ยินข่าวลือแปลกๆ เรื่องเสี่ยมีเมียรบกวนช่วยยืนยันแทนเราสองคนด้วยนะคะ เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ ฉัน...กีวี่ค่ะ”

                “แหม...ใครก็ช่างกล้าตั้งชื่อนะคะ เก๋ดีไม่มีคนซ้ำ กีวี่ยี่ห้อยาขัดรองเท้าน่ะหรือคะ”

                เอาละ กรวีร์ไม่ชอบขี้หน้าผู้หญิงปากดีคนนี้! สัญญาณปรปักษ์ชัดเจนมาก ดูออกแหละว่าอยากได้เสี่ยไปป์ นี่คงจะเป็นลูกสาวนายกครองวิทย์ที่แม่พูดถึงสิท่า แต่แหม...ไม่ต้องมาแสดงความเป็นศัตรูกับเธอเปิดเผยนักก็ได้ ไม่หัดดูงานจากครูหลินซะบ้างว่าร้ายอย่างมีระดับน่ะต้องทำตัวอย่างไร

                หญิงสาวเหยียดยิ้ม แอบเหล่ไปทางสามี ใบหน้าปวินท์เรียบเฉย เธอจะรอดูซิปฏิกิริยาของเขาจะออกมาแนวไหน เมื่อใครก็ไม่รู้กำลังเล่นงานเมียของเขาอยู่

                อืม...ไม่เลวแฮะ กรวีร์แอบยิ้มในใจเมื่อได้ยินสามีเอ่ยขึ้นว่า

                “กีวี่ที่แปลว่าเมียผมครับ” 

                ปวินท์ตอบแทนภรรยาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจนแฝงความดุดันเอาไว้เต็มเปี่ยม นัยน์ตาคมมีร่องรอยความไม่พอใจปรากฏ หากอีกฝ่ายยังพูดจาถากถางภรรยาเขาไม่หยุดก็คงได้ถึงจุดแตกหักกันแน่ ณิชมนจะสนุกปากเกินไปแล้ว ไม่ว่าเขากับกรวีร์จะเกี่ยวพันกันในฐานะใดก็ตาม เจ้าหล่อนก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดว่ากรวีร์ต่อหน้าเขา หรือเก็บเอาไปพูดนินทาลับหลังก็ไม่ได้!

                ชายหนุ่มมองภรรยาก็เห็นว่าเธอกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน ริมฝีปากของกรวีร์ค่อยๆ คลี่ยิ้มสดใส สอดประสานมือนุ่มเข้ากับมือเขา ถึงจะอยู่กับเธอไม่นานก็พอจะจับสัญญาณกันได้ ไอ้รอยยิ้มแบบนี้เขาเตรียมใจไว้อาลัยล่วงหน้าให้ณิชมนได้เลย

                สายตาเพชฌฆาตที่กำลังเงื้อดาบชัดๆ ปวินท์ไม่มีปัญหาเลยสักนิด หากกรวีร์คิดจะเอาคืนบ้าง เขาจะอยู่เคียงข้างเธอสุดกำลัง

                “ตอนแม่ตั้งท้องฉันท่านอยากกินแต่กีวี่ค่ะ ก็เลยตั้งชื่อตามนั้น ว่าแต่คุณไม่รู้จักลูกกีวี่จริงๆ เหรอคะ โถๆ โตมาแบบไหน ที่บ้านคงไม่เคยซื้อให้กินเลย ไม่เป็นไรเนาะ ไว้วันหลังถ้าคุณมาเยี่ยมแม่กับพี่ปาล์มอีกก็ลองแวะมาชิมนะคะ ฉันจะซื้อติดห้องเผื่อไว้ คุณจะได้ทำความรู้จักกับกีวี่ที่แท้จริง”

                เอาไปร้อยคะแนนเต็ม! ปวินท์บีบมือภรรยา ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนรอยยิ้มสะใจ

                คนถูกตอกหน้าดวงตาลุกวาบ ณิชมนคงพุ่งตัวเข้ามาตบปากกรวีร์แล้วถ้าไม่ถูกพี่ชายยึดแขนส่งสายตาห้ามไว้ ธนชิตกระซิบเตือนถึงความเหมาะสม น้องสาวจึงยอมหุบปาก แต่สีหน้าและแววตายังคงขุ่นเคืองเห็นได้ชัด

                ผู้ใหญ่สุดในห้องอย่างคุณนายปรารถนาเห็นว่าการปะทะคารมระหว่างสองสาวยุติแล้ว อดนึกขำลูกสะใภ้ไม่ได้ เออ...ถูกใจแม่นัก ฟาดมาฟาดกลับแบบนี้ค่อยเหมาะเป็นลูกสะใภ้เจ๊ปิ๋มหน่อย ต่อไปคงคายตะขาบยกให้เป็นทายาทอสูรตามทวงหนี้ให้แม่ได้สบาย

                “เอาละๆ หยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอแล้วก็อย่าถือสาหาความกันเลยนะ ฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการแล้วกัน กีวี่นั่นคุณชิต ส่วนคนที่หนูจะซื้อกีวี่มาฝากชื่อคุณนิด ลูกๆ ของนายกครองวิทย์เขา ครูหลินนี่เคยเจอกันแล้วเนาะ” คุณปรารถนายังอุตส่าห์พูดขยี้ให้ณิชมนเจ็บใจเล่น ก่อนจะหันไปพยักยิ้มกับลูกชาย “ว่างๆ ไปป์ก็พาเมียไปไหว้นายกหน่อย รู้จักไว้คนกันเองทั้งนั้น”

                “ครับแม่”

                “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” กรวีร์ฉีกยิ้ม ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เพราะดูจากหนังหน้าแล้วลูกสาวนายกก็คงอายุไล่เลี่ยกับเธอ ส่วนลูกชายไม่เห็นจะสนใจเธอสักเท่าไร สายตาของคุณชิตเลยไปหาสามีเธอโน่น

                “ข่าวดีของเสี่ยไปป์ทำผมตกใจนะครับ ไม่บอกไม่กล่าวกันบ้าง หนีไปมีเมียเฉย เสี่ยนี่ร้ายใช่เล่น”

                “แค่ผมกับกีวี่เข้าใจกันเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญหรอกครับ เราสองคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ผู้ใหญ่สองฝ่ายรับรู้ แต่เพราะแม่กับปาล์มยังไม่หายดี เราจึงรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย แล้วค่อยฉลองกันอย่างเป็นทางการ”

                “ดีครับ อย่าลืมแจกการ์ดเราสองคนด้วย” ธนชิตโอบไหล่นลิน แกล้งกระเซ้าคนรักเสียงดังให้ได้ยินกันทั่วถึง “เห็นไหมหลิน คู่เราโดนแซงแล้ว คราวนี้ถ้าผมขอ คุณห้ามบ่ายเบี่ยงแล้วนะ”

                นลินยิ้มเฉย ไม่ได้ตอบโต้อะไร              

                “ปุบปับแบบนี้คงไม่ได้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับพี่ไปป์หรอกนะคะ” ณิชมนพูดแทรกขึ้นมา

                “ถ้าหมายถึงอุบัติเหตุแบบดารา ฉันก็ต้องยอมรับค่ะว่า...ยังไม่ท้อง” กรวีร์แกล้งเว้นจังหวะให้ทุกคนใจหายใจคว่ำเล่น ก่อนจะหัวเราะพร้อมแกล้งเอียงศีรษะซบต้นแขนสามี “แม้...เสียดายจัง”

                ลูกสาวเจ๊หวีบรรจงยิ้มหวานหยด สบตากับสามีอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่ณิชมน 

                “เสี่ยเขาเป็นสุภาพบุรุษมากค่ะ ไม่เคยคิดฉวยโอกาสทำให้ฉันเสื่อมเสียก่อนหน้านั้น ตั้งแต่เรารู้จักกันจนถึงวันจดทะเบียน” รวมๆ แล้วก็ประมาณหนึ่งวันถ้วน “ระหว่างเรา ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จริงไหมคะเสี่ยขา”

                “จ้ะ มหัศจรรย์มากๆ” 

                สองผัวเมียจ้องตาอย่างรู้กัน ความหวานชื่นนั้น ทำให้ใครบางคนอยากกรีดร้อง และเข้ามาดึงทึ้งแยกคู่รักออกจากกัน

                “คนเจ็บชักจะหิวข้าวแล้ว บ่าวสาวเบาหวานกันก่อนจ้า” ประภามนท์เบรกบรรยากาศหวานซึ้ง 

กรวีร์ยิ้มเขินบอกกับน้องสาวสามีอย่างเอาใจ

                “เดี๋ยวหนูเตรียมให้นะคะ เย็นนี้มีของชอบพี่ปาล์มด้วย”

                ประภามนท์ยิ้มบาง “ได้แม่ครัวเพิ่มขึ้นมาอย่างนี้ มีหวังเราสองคนโดนขุนจนอ้วนแน่แม่ กินๆ นอนๆ ทั้งวัน”

                “ถือว่าได้หยุดพักไปด้วยไง” ปวินท์ช่วยเลื่อนโต๊ะสำหรับใช้วางถาดข้าวของโรงพยาบาลมาเตรียมรอ 

                นลินไม่อยากรบกวนเวลาจึงสะกิดชวนคนรักกลับ ธนชิตเห็นด้วยจึงเอ่ยขอตัว

                “เห็นป้าปิ๋มแข็งแรงแบบนี้ อีกไม่นานคงกลับบ้านได้แล้ว กินข้าวให้อร่อยนะครับ พวกเราขอตัวกลับก่อน หลินเขาว่าจะแวะเยี่ยมพ่อของนักเรียนด้วย” ธนชิตกระตุกชายเสื้อน้องสาว สั่งทั้งคำพูดและสายตา “กลับบ้านกันเถอะนิด”

                “พี่ชิตกับพี่หลินไปเยี่ยมพ่อเด็กนักเรียนก่อนก็ได้ ฉันไม่รู้จัก ไม่อยากไป ขออยู่คุยกับป้าปิ๋มดีกว่า” ณิชมนดึงดัน

                “เขากำลังจะกินข้าวกันนะนิด”

                “แค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้กวนอะไรสักหน่อย พี่จะไปเยี่ยมใครก็ไปสิ”

                “นิด!”

                “ไม่เป็นไรหรอกคุณชิต ปล่อยเถอะ ไม่ได้รบกวนอะไร” คุณปรารถนาช่วยออกหน้าแก้สถานการณ์ให้ ขี้เกียจฟังพี่น้องทะเลาะกัน

                “เยี่ยมเสร็จก็โทร. มา เจอกันที่รถ” ณิชมนไม่สนความลำบากใจของใครทั้งนั้น เธอจะอยู่ อยู่ขวางนางเมียพี่ไปป์ไปเนี่ยละ หมั่นไส้ ทำเป็นยิ้มหน้าบาน

                ขณะที่ภรรยากำลังดูแลข้าวปลาอาหารให้แม่กับน้อง ปวินท์ก็ถอยออกมานั่งดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่อยากเกะกะ ปล่อยให้กรวีร์ทำได้ถนัดมือ แต่กลายเป็นว่าความคิดนั้นดันมาเปิดโอกาสให้ณิชมนเข้าถึงตัวเขา ลูกสาวนายกครองวิทย์เบียดกายนั่งกระแซะชวนเขาคุยอย่างสนิทสนม ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ภรรยาปรายตามอง เขาขยับตัวถอยทุกครั้งที่มีโอกาส

                กรวีร์ดึงสายตากลับมาหาประภามนท์เพราะฝ่ายนั้นแตะหลังมือของเธอที่เพิ่งช่วยตักกับข้าวเติมให้ น้องสามีส่ายหน้า กระซิบเสียงเบา

                “อย่าใส่ใจ”

                หญิงสาวยิ้มออก ประภามนท์คงคิดว่าเธอหึง ไม่หรอกที่เธอเมียงมองและขรึมลงนั้นเพราะกำลังนึกหาทางแก้เผ็ดลูกสาวนายกต่างหาก สามีน่ะเธอไม่หวงหรอก แค่ถูกชะนีนั่งถูๆ ไถๆ คงไม่สึกหรอ แต่ใครใช้ให้ยายนั่นมาชน มาว่าเธอเป็นยาขัดรองเท้า เดี๋ยวเถอะจะเจอดี

                คุณปรารถนากับประภามนท์กินอิ่มในเวลาไล่เลี่ยกัน ขณะที่กรวีร์กำลังเตรียมจะเก็บปิ่นโต เสียงโทรศัพท์ของณิชมนก็ดังขึ้น คงเป็นพี่ชายโทร. มาตามนั่นละ เพราะเจ้าหล่อนลุกขึ้นแล้วเดินมาลา

                “นิดกลับก่อนนะคะป้าปิ๋ม พี่ปาล์ม แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ หายไวๆ นะคะ”

                “จ้ะ ขอบใจมากนะ” คุณปรารถนาบอก ส่วนประภามนท์ก็ยิ้มส่ง

                “พี่ไปป์ขา...ลงลิฟต์เป็นเพื่อนนิดหน่อยสิคะ”

                “อุ๊ย! เสี่ยขา...” ภรรยาบรรจงเรียกเสียงหวานเจี๊ยบ แน่นอนว่าถ้ามีตัวเลือก ปวินท์ต้องเลือกภรรยาก่อนอยู่แล้ว ชายหนุ่มผละจากณิชมนตรงเข้าไปหากรวีร์

                “มีอะไรเหรอจ๊ะ”

                “เสี่ยช่วยหยิบขาปิ่นโตตรงนั้นให้หน่อยสิคะ เมียเอื้อมไม่ถึง” 

                ใครเห็นก็ต้องรู้ละว่ากรวีร์จงใจใช้เล่ห์มารยาดึงสามีมาที่ตัว ขาปิ่นโตนั่นไม่ได้อยู่ห่างจากมือเธอสักเท่าไรเลย ทุกคนรู้ แน่นอนว่าณิชมนก็รู้ และปวินท์ไม่ได้เลือกตัวเอง ลูกสาวนายกจึงสะบัดหน้าพรึบเดินลงส้นออกจากห้องไปด้วยความริษยา ขัดใจไปหมดทั้งปวินท์ ทั้งนางเมียตัวดี

                พอลูกสาวนายกพ้นห้องไปแล้ว กรวีร์ก็เปลี่ยนโหมด รอยยิ้มอ่อนหวานอันตรธานไป เธอรับขาปิ่นโตที่สามีส่งมาให้แล้วพยักพเยิดสั่ง

                “เสี่ยเก็บต่อทีนะ ฉันนึกได้ว่าลืมของ ขอลงไปเอาแป๊บ” เธอแบมือรอ “ขอกุญแจรถด้วย”

                “ลืมอะไรเหรอ”

                “ลืมใจไว้ที่เสี่ยไงคะ”

                “อืม...งั้นรีบไปเถอะจ้ะ” ปวินท์หยิบกุญแจรถในกระเป๋าส่งให้

                “เมียพี่ไปป์ฮาดีนะ น่าจะอยู่ด้วยแล้วไม่เครียด” ประภามนท์เอ่ยขึ้นหลังจากที่กรวีร์เดินออกไป

                “ฉันประสาทจะกินละสิไม่ว่า ขนาดคุณนิดยังต้องถอยเลยแกเห็นไหม” ชายหนุ่มมองประตูห้อง ได้แต่นึกแล้วก็สงสัยว่ากรวีร์ลืมอะไร ตอนลงจากรถเขาว่าหยิบมาครบหมดแล้ว

                ปวินท์ไม่มีทางได้รู้หรอกว่ากรวีร์ลืมอะไร ที่พูดไปเพราะหญิงสาวแค่อยากหาข้ออ้างออกมาจากห้องต่างหาก กรวีร์มองเห็นณิชมนหลังไวๆ ล็อกเป้าเสร็จก็ตรงเข้าไปหาทันที เธอยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าลูกสาวนายกยืนรออยู่หน้าลิฟต์

                “คงไม่ได้ตามมาส่งฉันใช่ไหม” ณิชมนถามเสียงห้วน หน้าลิฟต์ไม่มีใครก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงเข้าใส่กันจะดีกว่า สีหน้าของกรวีร์ไม่ได้บอกว่ามาดีอยู่แล้ว

                “ฉันก็ไม่ใช่คนมีน้ำใจมากมายขนาดนั้นหรอกค่ะ อย่าห่วงเลย แค่อยากมาดูให้แน่ใจว่าคุณนิดกลับถึงรถจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ทำเป็นว่ากลับแล้วแอบดักรอเสี่ย เห็นนั่งซุบซิบๆ กับผัวฉันไม่เลิก บอกตรงๆ ฉันไม่ไว้ใจค่ะ”

                ณิชมนเชิดหน้าขึ้น “คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องดักหรอกจ้ะ พี่ไปป์เป็นฝ่ายต้องมาหาฉันต่างหาก”

                “อุต๊ะ! เสี่ยเคยไปหาด้วยเหรอคะ แหมได้ข้อมูลใหม่ละ แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่เสี่ยยังโสด ธรรมดาเนาะก็อาจจะมีอารมณ์เหงาๆ กันบ้าง แต่ตอนนี้เสี่ยมีเมียแล้ว อะไรที่เคยทำคงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่”

                “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพี่ไปป์จะจริงจังกับเธอ คงลงทุนวางแผนไว้เยอะสินะถึงทำให้เขายอมจดทะเบียนได้”

                “โอ๊ย...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะคุณขา แค่นั่งสวยๆ เขาก็ขอให้ฉันจดทะเบียนด้วยแล้ว งงมาก”

                “ใช่ เป็นฉันก็งง แต่เคลมเร็วแบบนี้ คงไม่เท่าไร ได้ง่าย เบื่อง่าย” ณิชมนเบ้ปาก ก่อนจะสะบัดหน้า ก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ที่เพิ่งจะเลื่อนเปิด สองสาวยืนเผชิญหน้ากันอย่างไม่หวั่นเกรง “รักษาให้ดีๆ แล้วกันทะเบียนสมรสน่ะ ระวังจะกลายเป็นใบหย่าไม่รู้ตัว ฉันไม่ถือสาหรอกถ้าเขาจะเคยหย่าร้างมาก่อน”

                ลิฟต์ปิดแล้ว แต่เมียเสี่ยไปป์ยังไม่หายจากอาการอิหยังวะ โอ้โห...หนูนิดคนนี้กรวีร์ละยอมใจในความกระหายหิว ดูเหมือนฐานะเมียเสี่ยของเธอจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบซะแล้ว แฟนคลับเสี่ยไปป์ทำไมเยอะแท้ นอกจากครูหลินนางร้ายสายซีรีส์เกาหลี ยังอุตส่าห์มียายคุณนิดนี่งอกขึ้นมาอีกคน จะเอาให้ได้ว่างั้นเถอะ แหม...

                “พี่ไปป์ต้องเป็นฝ่ายมาหาฉันต่างหาก” หญิงสาวบีบเสียงเลียนแบบล้อคำพูดณิชมนอย่างหมั่นไส้ “แหวะ! ตอนนี้เขาเป็นผัวฉันย่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น