11

11

11

 

พ่อมิ่งมาชะเง้อคอรอลูกสาวที่ท่าน้ำตามคาด ยิ่งได้เห็นลูกสาวเปียกปอนมาพร้อมกับชายหนุ่ม ก็ยิ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างไม่เก็บอาการ

“เหตุใดจึงเปียกกันมาเช่นนี้เล่า”

“พอดีว่าฝนตกระหว่างที่พี่พฤกษ์พายเรือมาส่งฉันน่ะจ้ะพ่อ”

“ถ้าพากันไปแล้วเปียกฝนกลับมาเยี่ยงนี้ ก็อย่าพาไปอีกเลยจะดีกว่า”

“ฉันขอโทษจ้ะพ่อมิ่ง ที่ดูแลศรีแพรไม่ดี”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกขอรับ แต่กระผมคงไม่อนุญาตให้ศรีแพรมาพบ หรือไปไหนมาไหนกับคุณท่านอีกแล้ว”

“คือว่าฉัน...” พฤกษ์พยายามจะขอร้องมิ่ง และอยากจะยอมรับไปตามตรงว่าเขาได้ล่วงเกินศรีแพรไปแล้ว แต่ถูกสายตาห้ามปรามของศรีแพรห้ามเอาไว้เสียก่อน 

ชายหนุ่มเข้าใจว่ามันไม่ง่ายเลยที่คนเป็นพ่อซึ่งหวงลูกสาวจะยอมรับได้ว่า ชายหนุ่มที่เพิ่งจะเห็นหน้าค่าตากันไม่กี่ครั้ง แถมยังหาข้ออ้างพาศรีแพรออกจากบ้านจะมาล่วงเกินลูกสาวตั้งแต่พาออกนอกบ้านครั้งแรก การยอมรับไปตามตรงอาจจะทำให้ศรีแพรถูกพ่อทำโทษโดยที่เขาช่วยอาจจะช่วยอะไรเธอไม่ได้

“กลับไปเถิดขอรับ แล้วไม่ต้องมาพบกับศรีแพรอีก” มิ่งยื่นคำขาดก่อนจะกึ่งจูงกึ่งลากลูกสาวให้ขึ้นเรือน 

พฤกษ์ยังยืนอยู่ตรงนั้น เขามองสบสายตากับศรีแพรที่หันมามองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ไม่แพ้กัน

“ศรีแพร” พฤกษ์เรียกหญิงสาวก่อนจะขยับริมฝีปากพูดกับเธอโดยไม่มีเสียง แต่ศรีแพรก็อ่านริมฝีปากได้ว่า

‘พี่รักเจ้า’

 

พฤกษ์พายเรือกลับเรือนด้วยอาการอ้างว้างในอก นี่กระมังที่เขาเรียกว่าคิดถึงใจแทบขาด คิดถึงแม้เพิ่งจะห่างจากศรีแพรเมื่อครู่นี้เท่านั้น ยิ่งนึกถึงคำพูดของพ่อมิ่งที่บอกว่าไม่ให้พบกับศรีแพรอีก หัวใจของชายหนุ่มก็แทบจะทนไม่ไหว 

การได้เป็นของกันและกันอย่างลึกซึ้งทำให้ชายหนุ่มอยากจะมีศรีแพรอยู่เคียงข้างตลอดเวลานับจากเวลานี้เป็นต้นไป แต่ด้วยเขาเองก็เป็นลูกผู้ชายที่ต้องเข้าตามตรอกออกตามประตู แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าข้ามขั้นตอนไปเสียแล้ว แต่หากกลับมาเข้าตามตรอกได้เร็วเท่าไหร่ เขาก็น่าจะได้ร่วมหอกับศรีแพรเร็วเท่านั้น

คิดได้อย่างนั้นพฤกษ์ก็รีบเร่งฝีพาย หมายจะให้ถึงบ้านโดยเร็วเพื่อบอกพ่อกับแม่ให้ไปขอศรีแพรตามประเพณี หากเป็นไปได้ก็จะพาพ่อแม่ไปสู่ขอศรีแพรจากพ่อมิ่งค่ำวันนี้เลย

พอกลับมาถึงเรือนพฤกษ์ก็ต้องผิดหวัง เมื่อน้องสาวคนเล็กแจ้งว่า พ่อดู่กับแม่บุปผาไปเยี่ยมญาติที่เมืองมหาชัย อีกสองวันกว่าจะกลับ ทำให้ชายหนุ่มทำหน้าราวกับโลกจะแตก

“สองวันเชียวรึ” พฤกษ์ถามย้ำกับน้องสาว

“เจ้าค่ะ พ่อยังบอกอีกว่าหากยังไม่เสร็จธุระ ก็อาจจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน” มาลาบอกกับพี่ชายตามที่พ่อได้บอกเอาไว้ก่อนไปพบญาติ

“โธ่ ถ้านานขนาดนั้นพี่คงอกแตกตายแน่ๆ”

“ถึงกับอกแตกตายเชียวรึเจ้าคะ พี่พฤกษ์มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ หากน้องช่วยได้น้องยินดีจะช่วยเหลือ” มาลาถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าช่วยพี่ไม่ได้หรอกมาลา แต่พี่ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วงพี่ ธุระของพี่ต้องรอให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาจัดการให้เท่านั้น”

“เอ...ท่าทางดูร้อนรนอยากให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาเร็วๆ เช่นนี้ สงสัยธุระของพี่พฤกษ์จะเป็นเรื่องขอสาวเป็นแน่ใช่หรือไม่เจ้าคะ” มาลากวาดสายตามองเสื้อผ้าที่เปียกหมาดของพี่ชาย ก็พาให้นึกถึงถึงสาวที่เขาพาไปส่งบ้านแล้วอดจินตนาการไปไกลไม่ได้

“ไม่ใช่ธุระของเจ้า อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลยน่า” พฤกษ์ทำเสียงเข้มกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่อาจซ่อนสีแดงระเรื่อบนใบหน้าขาวหมดจดของเขาได้

“เจ้าค่ะ น้องไม่ล้อพี่พฤกษ์แล้วก็ได้ ขอไปเย็บย่ามต่อนะเจ้าคะ แม่หญิงเรือนคหบดีจีนเร่งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วเจ้าค่ะ” มาลาบอกพี่ชาย ก่อนแยกตัวออกไปก็ยังมิวายยิ้มทะเล้นหยอกล้อ จนถูกพฤกษ์ถลึงตาใส่มาลาจึงรีบวิ่งปร๋อเข้าห้องของตนไป

เมื่อมาลาแยกตัวไปแล้ว พฤกษ์ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงได้เห็นร่องรอยที่ศรีแพรฝากเอาไว้บนร่างกายของเขาเป็นรอยเล็บที่ครูดยาวตรงหัวไหล่ ยิ่งพาให้ใจชายหนุ่มร้อนรุ่ม เมื่อนึกถึงบทรักที่เขาและเธอได้บรรเลงร่วมกันแล้วก็พานให้คิดถึงศรีแพรใจแทบขาด 

ชายหนุ่มอยากจะตามพ่อกับแม่ไปเมืองมหาชัยก็เกรงว่าจะดูเป็นคนไม่รู้กาลเทศะ จึงต้องข่มความปรารถนานี้ไว้จนกว่าพ่อและแม่ของเขาจะกลับมา 

 

เมื่อความมืดมาเยือน พฤกษ์นอนฟังเสียงกบเขียดร้องประสานแล้วก็ยิ่งหงอยเหงา ประกอบกับกลิ่นหอมของลูกจันสุกที่ลอยมาตามลมนั้นยิ่งทำให้พฤกษ์คิดถึงแก้มนวลที่เขาได้เชยชมชิดใกล้

“ไม่ไหวแล้ว” ชายหนุ่มลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทะมัดทะแมง ก่อนจะแอบย่องลงจากเรือนเพื่อพายเรือออกจากท่าน้ำ 

ชายหนุ่มพายเรือผ่านท่าน้ำของศรีแพรไปก่อน เมื่อเห็นว่าเรือของพ่อมิ่งจอดอยู่ก็คิดอยู่นานว่าจะทำเช่นไรดี จะหันหัวเรือกลับเรือนดีหรือไม่ แต่ความคิดถึงแทบขาดใจทำให้ชายหนุ่มไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ทั้งสิ้น พฤกษ์จึงพายเรือไปจอดห่างจากท่าน้ำบ้านของหญิงสาวอยู่พอควร ก่อนจะเดินเท้าลัดเลาะไปจนถึงบ้านของหญิงคนรัก

‘กึก’ 

เสียงของแข็งกระทบหน้าต่างสองสามครั้งจนศรีแพรสังเกตได้ว่าผิดปกติ จึงเปิดหน้าต่างออกดู ถึงได้เห็นพฤกษ์ที่มายืนแหงนหน้าทำตาปริบๆ อยู่ตรงหน้าต่างข้างเรือนของเธอ เขาถือก้อนหินและกำลังทำท่าจะโยนใส่บานหน้าต่างห้องของศรีแพรอีกครั้ง

“พี่พฤกษ์ มาได้อย่างไรเจ้าคะ”

“พี่คิดถึงเจ้าจนทนไม่ไหวศรีแพร หย่อนผ้าลงมารับพี่ขึ้นไปหน่อย” พฤกษ์เอ่ยเสียงกระซิบ ดีที่เขาได้ยินเสียงกรนลั่นบ้านของมิ่ง จึงรู้ว่าเขาน่าจะหลับอยู่ จนไม่รู้ว่ามีใครย่องมาหาลูกสาว

“กลับไปเถิดเจ้าค่ะ เดี๋ยวพ่อมาเห็นเข้า”

“พี่ไม่กลับ ถ้าศรีแพรไม่ดึงพี่ขึ้นไป พี่ก็จะยืนอยู่ตรงนี้ ยืนให้พ่อมิ่งมาแพ่นกบาลให้แตกต่อหน้าเจ้าเลย”

“โธ่ พี่พฤกษ์เจ้าขา...” ศรีแพรได้แต่อ่อนใจ เพราะรู้ดีว่าหากพ่อมิ่งตื่นขึ้นมาเห็นพฤกษ์มาหาเธอถึงที่บ้านกลางดึกเช่นนี้ คงไม่ทำแค่แพ่นกบาลพฤกษ์ แต่จะจับเธอฟาดจนหวายหักคามือด้วยเป็นแน่

“พี่คิดถึงเจ้าเสียจนนอนไม่หลับจึงพายเรือมาหา อยากคุยกับเจ้า อยากเห็นหน้าเจ้า ขอให้พี่ได้กอดเจ้าให้ชื่นใจสักนิดเถิดหนา” พฤกษ์เอ่ยคำหวานด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้คนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างปฏิเสธเขาไม่ลง 

“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่พี่พฤกษ์ต้องสัญญาว่าจะรีบกลับไปก่อนที่พ่อจะตื่นนะเจ้าคะ”

“พี่สัญญา รีบหย่อนผ้ามาให้พี่ไต่ขึ้นไปเถิด”

“จับแน่นๆ นะเจ้าคะ” ศรีแพรนำผ้านุ่งหลายผืนมาพันเป็นเกลียว ผูกต่อกันให้ยาว จากนั้นก็มัดปลายข้างหนึ่งโยงไว้กับขื่อห้อง ส่วนปลายอีกข้างนั้นโยนไปให้ชายหนุ่มปีนขึ้นมาหา

พฤกษ์ไต่ผ้านุ่งของศรีแพรขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เมื่อขาข้างหนึ่งคร่อมขอบหน้าต่าง ขาอีกข้างกำลังจะก้าวตามมา แต่กลับตวัดไม่พ้น ชายหนุ่มจึงเสียหลักล้มลงกับพื้นกระดานเสียงดัง ‘ตึง’ ทำให้เสียงกรนชะงักลง

“พ่อตื่นแล้วเจ้าค่ะ พี่พฤกษ์ไปหาที่ซ่อนเร็วเข้า” ศรีแพรหันซ้ายหันขวา เมื่อหันไปเห็นหีบผ้า ก็รีบเดินไปเปิดออกแล้วกวักมือเรียกพฤกษ์ให้ลงไปซ่อนตัวอยู่ข้างใน 

พฤกษ์รีบลนลานเข้าไปนอนคุดคู้อยู่ในหีบนั้น ขณะเดียวกันหญิงสาวก็รีบแก้มัดผ้าออกจากขื่อ แล้วรีบกลับไปนอนบนเตียง ทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรอฟังจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคนในบ้านก้าวมาหยุดที่หน้าห้อง พร้อมกับเสียงร้องถาม

“ศรีแพร หลับหรือยังลูก”

“ยังจ้ะพ่อ” ผู้เป็นลูกขานรับ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง 

“พ่อได้ยินเสียงอะไรตึงตังดังมาจากห้องลูก เลยมาดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่” มิ่งถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปสำรวจภายในห้องของลูกสาว

“ไม่มีนี่จ๊ะ พ่อหูฝาดไปหรือเปล่า”

“แต่เสียงมันดังจนพ่อทำให้ตื่นเชียวหนา”

“อ้อ คงจะเป็นเสียงแมวกระโดดกระมังจ๊ะ เมื่อครู่มีแมวกระโดดเข้ามาในห้องลูก แล้วก็กระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างแล้วจ้ะ”

“แมวอย่างนั้นรึ แต่ว่าเสียงมันดังมากเลยหนา เห็นท่าจะตัวใหญ่กว่าแมวหลายเท่า”

“แมวจริงๆ จ้ะพ่อ ฉันเห็นเองกับตา” ศรีแพรยืนยันอย่างพยายามเก็บอาการไม่ให้มีพิรุธ

“เออๆ แมวก็แมว ว่าแต่ลูกเองก็ลงกลอนประตูหน้าต่างดีๆ หนา แล้วนั่น...เหตุใดจึงนอนไม่ปิดหน้าต่าง แมวมันจึงย่องกระโจนเข้ามาได้อย่างไรเล่า”

“จ้ะพ่อ ลูกจะปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” พูดแล้วก็เดินไปปิดหน้าต่างลงกลอนตามที่พ่อบอก ทำให้มิ่งคลายใจแล้วว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นพ่อขอไปนอนต่อ พรุ่งนี้ต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืด” มิ่งพูดพร้อมกับหาวหวอดๆ ก่อนจะเดินกลับห้องนอนของตน

ศรีแพรงับประตูห้องลงกลอน แล้วถอนหายใจยาว เธอโกหกพ่อ แถมยังทำเรื่องที่น่าลงหวายให้หลังขาดเนื่องจากเพิ่งจะหย่อนผ้ารับผู้ชายให้เข้ามาหลบอยู่ในห้อง ส่วนคนที่เป็นต้นเหตุนั้น เมื่อออกจากที่ซ่อนได้ก็ตรงเข้ามากอด พร้อมทั้งพรมจูบหญิงสาวจนทั่วใบหน้าและลำคอระหง

“ไหนพี่พฤกษ์บอกว่าจะกอดอย่างเดียวอย่างไรเจ้าคะ ปล่อยน้องเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวพ่อได้ยิน”

“พ่อเจ้าคงหลับไปแล้ว ฟังเสียงกรนนั่นสิ” พฤกษ์เงียบเสียงลง ทำให้ได้ยินเสียงกรนสนั่นแทบจะทันทีที่มิ่งกลับไปนอนที่ห้อง

“ถ้าอย่างนั้น พี่พฤกษ์ก็กลับไปก่อนที่พ่อจะตื่นอีกครั้งเถอะเจ้าค่ะ”

“อะไรกัน พี่ยังไม่ทันได้ชื่นใจเลยหนา จะไล่พี่กลับแล้วรึ”

“พี่พฤกษ์ก็ได้กอดน้อง ได้จูบน้องแล้วนี่เจ้าคะ”

“เท่านี้ไม่พอหรอกศรีแพร ที่พี่มาหาเจ้าถึงที่นี่ ก็เพราะว่า...” 

เสียงแหบพร่านั้นเงียบหายไปพร้อมกับการจูบซุกไซ้ข้างแก้ม หญิงสาวอยากจะผลักไส แต่สัมผัสอันแสนรัญจวนใจนั้นพาให้เธอเคลิบเคลิ้มไปกับความวาบหวาม จนไม่รู้ตัวว่าผ้านุ่งกับผ้าคาดอกถูกปลดลงไปกองอยู่กับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่นานศรีแพรก็ถูกอุ้มมานอนที่เตียง เธอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความต้องการที่ถูกกระตุ้นจากชายหนุ่ม 

พฤกษ์กระซิบคำรักในทุกๆ สัมผัส ทำให้ศรีแพรยิ่งอ่อนระทวยเมื่อถูกเขาแตะต้อง เขามอบความสุขให้เธอในแบบที่หญิงสาวไม่เคยคิดว่า จะมีความสุขเช่นนี้อยู่บนโลก ความสุขอันแสนลึกล้ำที่ชาตินี้เธอจะมีไว้ให้พฤกษ์ได้สัมผัสแต่เพียงผู้เดียว

หลังจากปลดปล่อยแรงอารมณ์แห่งความสุขสมเนิ่นนานเท่าใดก็ไม่อาจรู้ ร่างเปลือยเปล่าก็นอนโอบกอดกันแนบชิดด้วยความอ่อนล้า และเพียงครู่เดียวพฤกษ์ก็จูบซุกไซ้แก้มนวลเปล่งปลั่งอีก มือไม้ก็ซุกซนราวกับจะส่งสัญญาณว่าเพลงรักกำลังจะบรรเลงอีกครั้ง

“อย่าเจ้าค่ะพี่พฤกษ์ พอได้แล้ว”

“ไม่พอดอก กระทั่งรุ่งสางก็ยังไม่พอ” พฤกษ์พูดด้วยเสียงอู้อี้เนื่องจากใบหน้ายังคงนัวเนียอยู่ที่อกคู่งาม 

“พี่พฤกษ์อยู่จนถึงรุ่งสางไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะอีกไม่กี่ชั่วยามพ่อต้องตื่นนอนแล้ว” ศรีแพรใช้แรงที่อ่อนระทวยเต็มทีจากการถูกปลุกเร้าอารมณ์ดิ้นจนออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มได้สำเร็จ ก่อนจะลุกขึ้นมานุ่งผ้าปกปิดร่างกาย

“เหตุใดพ่อเจ้าจึงตื่นแต่เช้านักเล่า พี่ยังอยากอยู่กับเจ้าต่ออีกสักนิด” พฤกษ์ทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกขัดใจ 

“พ่อต้องไปทำธุระที่บ้านญาติที่อยู่ต่างเมืองเจ้าค่ะ แล้วจะค้างที่นั่นคืนหนึ่ง กลับมาบ้านในเช้าของอีกวัน” 

พฤกษ์ได้ยินอย่างนั้น ก็ยิ้มกว้างด้วยดวงตาเป็นประกาย

“ถ้าอย่างนั้น คืนพรุ่งนี้พี่ก็ไม่ต้องปีนหน้าต่างหาเจ้าแล้วสินะ”

“พรุ่งนี้พี่พฤกษ์จะมาหาน้องอีกรึเจ้าคะ”

“ก็ต้องมาสิ หากไม่มาพี่คงขาดใจตายเป็นแน่”

“แต่ว่าคืนนี้พี่พฤกษ์ก็...” หญิงสาวได้แต่กระดากอาย เนื่องจากตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา พฤกษ์พาเธอล่องลอยสู่สวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า

“หากเจ้าแต่งไปเป็นเมียพี่ พี่ก็จะทำอย่างนี้ทุกคืนจนกว่าเจ้าจะตั้งท้องลูกของพี่”

“ถ้าอย่างนั้นน้องไม่แต่งกับคุณพี่แล้วเจ้าค่ะ”

“ฆ่าพี่ให้ตายเสียเถิด ถ้าหากพี่ไม่ได้แต่งกับเจ้า พี่ก็ขอตายเสียดีกว่าอยู่” 

ถ้อยคำหวานนั้นทำให้ศรีแพรขวยเขินเสียจนต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม กิริยานั้นทำให้พฤกษ์ดึงเธอเข้ามากอด พรมจูบไปทั่วใบหน้าของเธอ และทำท่าจะปลดผ้าคาดอกของเธอออกอีกครั้ง

“อย่าเจ้าค่ะ พี่พฤกษ์ต้องกลับออกไปได้แล้ว” ศรีแพรร้องห้าม เพราะถ้าเธอตามใจเขา คงไม่แคล้วที่พ่อมิ่งจะตื่นมาเห็นเป็นแน่ว่า มีคนแอบย่องมาอยู่ในห้องของลูกสาวเกือบตลอดทั้งคืน

พฤกษ์ทำเสียงประท้วงนิดหนึ่ง ก่อนจะยอมปล่อยหญิงสาวออกจากอ้อมแขน แล้วลงจากเตียงไปสวมเสื้อผ้าแต่โดยดี แต่ก่อนกลับพฤกษ์ยังจูบแก้มศรีแพรอีกฟอด ด้วยหลงใหลในกลิ่นหอมคล้ายลูกจันสุกจากตัวเธอ เขาหลงเธอแล้วในรูปรสกลิ่นเสียง 

ชายหนุ่มไม่อยากห่างเธอเลยแม้แต่เสี้ยววินาที แต่ด้วยเสียงกรนที่เงียบลง และเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ทำให้พฤกษ์จำต้องกระโดดลงจากเรือนทางหน้าต่าง แล้วรีบหนีออกไปก่อนที่มิ่งจะจับได้ว่า มีแมวขโมยตัวใหญ่แอบย่องมาหาลูกสาวตัวเองถึงบนเรือน...

 

คืนที่สองของการแอบย่องมาหาสาวไม่ทุลักทุเลเหมือนคืนแรก เนื่องจากพ่อมิ่งไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มจึงไม่ต้องปีนหน้าต่างเข้ามา พฤกษ์มาหาศรีแพรตั้งแต่หัวค่ำ เชยชมหญิงสาวด้วยความคิดถึงแล้วจึงโอบกอดเธอไว้ ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ ราวกับกำลังกลัดกลุ้มอะไรบางอย่าง

“พี่พฤกษ์เป็นอะไรรึเจ้าคะ”

“พี่อุตส่าห์ดีใจที่คุณพ่อคุณแม่ของพี่เสร็จธุระเร็วกว่ากำหนดและกลับมาจากบ้านญาติที่ต่างเมืองแล้ว พี่จะให้มาสู่ขอศรีแพรในวันนี้พ่อมิ่งก็ไม่อยู่เสียนี่ ครั้นจะให้มาสู่ขอวันพรุ่งนี้ตอนที่พ่อมิ่งกลับมา พี่ก็ต้องไปทำธุระให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ต่างเมืองพร้อมกับมาลีกับมาลา อีกตั้งสามวันกว่าจะกลับ”

“ก็รอให้พี่พฤกษ์กลับมาก่อนก็ได้นี่เจ้าคะ น้องไม่ได้เร่งรัดเสียหน่อย”

“ถึงศรีแพรจะไม่เร่ง แต่เป็นพี่เองที่ทนคิดถึงน้องไม่ไหว อีกตั้งสามวันกว่าพี่จะกลับ พี่ต้องขาดใจตายก่อนแน่ๆ” พูดแล้วก็ประทับจูบลงบนแก้มนวล ดอมดมกลิ่นหอมจากเนื้อกายสาวเอาให้เต็มปอด 

“อีกแค่สามวันเท่านั้นเจ้าค่ะ หลังจากนี้เราก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้ว”

“พี่ไม่อยากไปไหนเลย อยากจะอยู่กับศรีแพรที่นี่ หากพี่ไม่ห่วงมาลีกับมาลาแล้วละก็ พี่จะขัดคำสั่งคุณพ่อคุณแม่ดูสักครา แล้วปล่อยให้น้องเดินทางกันเพียงสองคน”

               “อย่าเลยเจ้าค่ะ รีบไปทำธุระให้คุณพ่อคุณแม่เถิด แค่สามวันเท่านั้น น้องรอได้” ศรีแพรกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดพฤกษ์แน่นขึ้น เธอทั้งรักและทั้งเชื่อมั่นว่าอีกสามวันจะมีการสู่ขอเธอไปเป็นเมียอย่างถูกต้องตามประเพณีตามที่พฤกษ์ว่า และเธอจะทำหน้าที่เมียที่ดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

               ในเวลาเช้าตรู่ ศรีแพรเดินมาส่งพฤกษ์ที่ท่าน้ำ ก่อนลงเรือพฤกษ์จูบที่หน้าผากเธอ โอบกอดเธอไว้แนบแน่น ราวกับจะเก็บกักไออุ่นเอาไว้ในที่ยามห่างกัน

               “พี่ไม่อยากไปเลย ไม่อยากห่างเจ้าเลยแม้แต่วันเดียว”

               “แต่ว่าตอนนี้พี่พฤกษ์ต้องเร่งพายเรือออกไปจากท่าน้ำบ้านน้องก่อนเจ้าค่ะ เพราะพ่อคงจะใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว”

               “จริงสินะ” พฤกษ์ทำหน้าละห้อย ก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดจากหญิงสาวแล้วเดินลงไปนั่งในเรือ ก่อนจะพายเรือออกไป ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยืนส่งเขาอยู่ที่ท่าน้ำตาเศร้าสร้อย

“หากพี่ไม่ได้กลับมาหาเจ้าอีกเลย เจ้าจะลืมพี่หรือไม่”

“พูดอะไรเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ กำลังจะเดินทางแท้ๆ” ศรีแพรทำเสียงตำหนิ แต่ภายในใจลึกๆ นั้นรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็จะกลับมาหาเจ้าให้ได้ รอพี่นะศรีแพร”

“เจ้าค่ะ น้องจะรอพี่พฤกษ์ ไม่ว่านานแค่ไหนน้องก็จะรอ น้องสัญญา”

พฤกษ์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มให้กับหญิงสาวก่อนจะพายเรือจากไป ศรีแพรยืนมองชายหนุ่มพายเรือห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับหายไปในสายหมอกที่ลอยต่ำปกคลุมผิวน้ำในตอนเช้า 

ภายในใจหญิงสาวรู้สึกวูบโหวงอย่างแปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไรเพราะความรู้สึกตื้นตันใจที่พฤกษ์จะมาสู่ขอเธอในอีกสามวันข้างหน้า ศรีแพรเฝ้านับวันเวลาที่จะถึงวันนั้น อีกสามวันก็จะถึงวันที่เธอและพฤกษ์จะได้ครองคู่กันตลอดไป...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น