13

13

13

 

ร้านกาแฟของพฤกษ์มีลูกค้าวนเวียนเข้ามาอุดหนุนตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางอัปสรสาวคนงามที่มาจับจองโต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ชงกาแฟตั้งแต่เช้า พร้อมด้วยสมาร์ตโฟนและสายชาร์จแบตเตอรี่

“คุณพฤกษ์คะ ช่วยมาดูให้หน่อยค่ะ โทรศัพท์ของฉันต่อวาย-ฟายไม่ได้” 

นางอัปสรขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มหลังจากสั่งกาแฟและขนมมากินตั้งแต่ร้านเปิด จนเวลาผ่านมาถึงช่วงสาย บลูเบอร์รีชีสพายกับกาแฟเย็นในแก้วเพิ่งจะพร่องลงไปนิดเดียว และคาดว่าต่อให้เวลาผ่านไปจนถึงเวลาปิดร้าน ขนมกับกาแฟก็คงจะหมดไปไม่ถึงครึ่ง

“ไหนขอผมดูหน่อยครับ อ้อ คุณไม่ได้เปิดรับวาย-ฟายที่เครื่องโทรศัพท์น่ะครับ มาครับ เดี๋ยวผมกดให้” 

พฤกษ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้นางอัปสรสาว เขาช่วยดูโทรศัพท์ให้เธอโดยที่ไม่ทันสังเกตเลยว่า นางอัปสรผู้นั้นจับจ้องเขาด้วยดวงตาเป็นประกายแค่ไหน รุกขเทวดาหนุ่มแนะนำวิธีการใช้โทรศัพท์ให้นางอัปสรสาวอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ทุกคำพูดนั้นแทบจะไม่เข้าหูเธอ เพราะมัวแต่เคลิบเคลิ้มใบหน้าที่หล่อราวรูปสลักของเจ้าของร้านหนุ่ม 

“ลองทำดูนะครับ ถ้าไม่ได้อีกเดี๋ยวผมมาดูให้” พฤกษ์ต่อไวไฟให้นางอัปสรเสร็จ ดูว่าเธอใช้อินเทอร์เน็ตได้ลื่นไหลดีแล้ว จึงมาประจำที่หน้าเคาน์เตอร์ต่อ

“อีกแล้วค่ะคุณพฤกษ์ โทรศัพท์ต่อไวไฟไม่ได้อีกแล้วค่ะ แหม แย่จังเลยนะคะ ซื้อโทรศัพท์ใหม่ทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกทีเลย ทำโน่นทำนี่ไม่ค่อยเป็น” 

นางอัปสรคนเดิมร้องขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นลินิน ที่เดินมาดูโทรศัพท์ให้

“ไหนขอดูหน่อยสิคะ อ๋อ คุณเผลอปิดรับวาย-ฟายอีกแล้วค่ะ ถ้าโทรศัพท์มีปัญหาอีก ก็ให้สังเกตตรงนี้นะคะ ถ้ามันไม่ขึ้นว่าเปิด ก็ให้กดเปิด แบบนี้ค่ะ” ลินินอธิบายทุกขั้นตอนและแนะนำให้นางอัปสรลองทำด้วยตัวเอง จนแน่ใจว่านางอัปสรนางนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องวาย-ฟายอีก จึงเดินไปกวาดพื้นต่อ หลังจากนั้นก็เก็บถ้วยกาแฟไปล้างที่หลังร้าน จึงได้เห็นมะยมยืนกอดอกพร้อมกับทำหน้ามุ่ยอยู่

“เป็นอะไรไปมะยม ทำหน้าบึ้งตึงเชียว เหนื่อยเหรอ” 

“เปล่าจ้ะ มะยมแค่เซ็ง”

“เซ็งอะไร ไหนลองบอกพี่มาซิ” ลินินถาม เจ้าหัวจุกจึงทำหน้าบุ้ยใบ้ไปทางหน้าร้าน

“พี่นินดูโน่นสิ เห็นยายผู้หญิงที่สวมเสื้อขนนกฟูฟ่องนั้นไหม” กุมารทองตัวตุ้ยนุ้ยพูดพร้อมกับพยักพเยิด ในขณะเดียวกันก็เปิดตู้เก็บเครื่องบดกาแฟชนิดมือหมุนและกาน้ำร้อน เพื่อเตรียมไปให้คนที่กำลังพูดถึง

“ใครมาเหรอมะยม” ลินินมองตามสายตามะยม จึงเห็นว่ามีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่ง สวมชุดสูทเข้ารูปดูภูมิฐาน ที่บริเวณปกเสื้อและช่วงไหล่มีขนนกปักประดับฟูฟ่องอย่างที่มะยมว่ากำลังเดินเข้ามาในร้าน หญิงสาวคนนี้งดงามราวนางฟ้า แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะนับตั้งแต่ลินินเข้ามาทำงานในร้านกาแฟแห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่มีนางอัปสรที่งดงามไร้ที่ติเข้ามาอุดหนุนกาแฟอยู่เสมอ 

“นางกินรีจ้ะพี่นิน นางเป็นเซลส์ที่คอยเก็บเมล็ดกาแฟกับใบชามาส่งพี่พฤกษ์ มาทีก็นั่งยาว ขอนั่นขอนี่ อย่างเครื่องบดกาแฟกับชุดชงชานี่ แล้วไหนจะน้ำร้อนอีก ขอแล้วก็อีก ไม่จบไม่สิ้น มาแต่ละครั้งก็ต้องชวนพี่พฤกษ์คุยอยู่ครึ่งค่อนวัน มะยมละเหนื่อยแสนเหนื่อย” 

กุมารทองบ่นจนหัวที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่เอียงกะเท่เร่ ลินินจึงต้องช่วยจับหัวให้เข้าที่ จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์บดกาแฟและชงชามาถือเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นมะยมอาจจะทำหล่นแตก เนื่องจากของที่เต็มไม้เต็มมือจนเกินกำลังที่กุมารทองที่ยังอยู่ในร่างของเด็กจะหอบหิ้วไหว

“เอาน่ะ อย่าบ่นเลย เดี๋ยววันนี้พี่จะช่วยมะยมเอง” ว่าแล้วก็ช่วยยกอุปกรณ์และน้ำร้อนไปให้นางกินรีชุดขาวที่โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ โดยมีพฤกษ์นั่งรออยู่ที่นั่นแล้ว

 

นางกินรีที่นำเมล็ดกาแฟและใบชามาให้พฤกษ์ผู้นี้ดูสวยสะดุดตากว่านางอัปสรนางอื่นด้วยบุคลิกที่ดูภูมิฐาน เธอสวมชุดสูทสีขาวทั้งชุด ผมของเธอเส้นเล็กดำขลับเงางามและหนานุ่มราวขนของนก ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาที่กรีดอายไลเนอร์เสียจนคมกริบดูสวยโฉบเฉี่ยว มือและนิ้วยาวเรียวเปิดกระปุกชาที่นำมาเสนอขายแล้วยื่นให้รุกขเทวดาหนุ่ม

“ชาดอกหว้าจากต้นหว้าใหญ่ในป่าหิมพานต์ค่ะคุณพฤกษ์ นกไปเก็บมาจากริมสระอโนดาตเลยนะคะ” 

นางกินรีซึ่งมีนามว่าสกุณียื่นกระปุกชาดอกหว้าใหญ่ให้ชายหนุ่ม พฤกษ์รับกระปุกนั้นมาดมใกล้ๆ เพื่อสูดดมกลิ่นหอมแล้วยิ้มออกมาด้วยความพอใจที่ในที่สุด ก็ได้ชาที่ตนตามหามานานเสียที

“ขอบคุณนะครับคุณนกที่หามาให้ผมจนได้”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ต่อให้ต้องยกเขาพระสุเมรุ นกก็ต้องหามาให้ลูกค้าประจำอย่างคุณพฤกษ์ให้ได้”

“แหม...” 

เสียงที่เอ่ยแทรกขึ้นมานั้นไม่ใช่เสียงของพฤกษ์แต่อย่างใด แต่เป็นเสียงของลินินที่เผลอเปล่งออกมาขณะที่นำน้ำร้อนบรรจุในกระบอกเก็บความร้อนมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นหญิงสาวก็เดินไปหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ ทำทีเป็นหยิบแก้วกาแฟมาเช็ดทั้งที่มันแห้งและสะอาดอยู่แล้ว เพื่อหาข้ออ้างที่จะได้ยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป

พฤกษ์หันไปนิ่วหน้าใส่ลินินนิดหนึ่ง จากนั้นก็หันมายิ้มให้นางกินรีสาวแทนคำขอโทษที่คนของเขาแสดงกิริยาไม่ดีใส่

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมเกรงใจ”

“เกรงใจอะไรกันคะ มันเป็นหน้าที่ของนกอยู่แล้วค่ะที่ต้องบริการลูกค้าให้ดีที่สุด อีกอย่าง คุณพฤกษ์เองก็เป็นลูกค้าที่ดี นกก็ต้องดูแลคุณพฤกษ์ให้เต็มที่เช่นกัน คุณพฤกษ์จะได้ไม่เปลี่ยนใจไปซื้อเมล็ดกาแฟจากเซลส์คนอื่น”

“คุณนกน่ารักขนาดนี้ ผมจะเปลี่ยนใจได้ยังไงล่ะครับ”

“แหม คุณพฤกษ์เนี่ย ช่างปากหวานจริงเชียว” นางกินรีสาวยิ้มออกมาด้วยท่าทางปลื้มปริ่ม ไม่เสียแรงเลยที่เธอเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทเฟ้นหาเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีจนแทบจะทั่วทั้งป่าหิมพานต์มาให้เขา เพื่อที่จะได้เห็นรอยยิ้มพอใจที่ชายหนุ่มมอบให้ 

ไม่ง่ายเลยที่พฤกษ์จะยิ้มให้ใครแบบนี้ เนื่องจากเป็นที่เลื่องลือว่า รุกขเทวดาเจ้าของร้านกาแฟรุกขอะโรมานั้นแสนเย็นชากับผู้หญิง แต่กับสกุณี เขากลับยิ้มแย้มแถมยังหยอดคำหวาน เช่นนี้แล้วจะให้สกุณีไม่คิดเข้าข้างตัวเองได้อย่างไร

“ผมพูดจริงๆ นะครับ คุณนกหาของหายากมาให้ผมได้เสมอ วันนี้ผมขอเลี้ยงเครื่องดื่มคุณนกแทนคำขอบคุณก็แล้วกันนะครับ คุณนกอยากดื่มอะไรครับ เดี๋ยวผมชงให้”

“นกขอกาแฟดำก็แล้วกันค่ะ” สกุณีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมกริบเปล่งประกายไปด้วยความสุขที่รุกขเทวดาหนุ่มเอาใจใส่เธอถึงเพียงนี้ 

ขณะที่พฤกษ์ลุกจากเก้าอี้เพื่อไปชงกาแฟ นางกินรีสาวก็หันไปเบ้ปากใส่ลินินที่ยังคงยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟด้วยความสะใจที่พฤกษ์ให้ความสนใจเธอมากกว่า 

พฤกษ์เลือกเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุด บดใหม่ แล้วบรรจุลงเครื่องสกัด ทุกขั้นตอนดูพิถีพิถันกว่าปกติมาก ซึ่งมากจนลินินรู้สึกได้ ว่านางกินรีนางนี้ดูพิเศษกว่าลูกค้าสาวๆ รายอื่นๆ ที่เทียวมาดื่มกาแฟตลอดทั้งวัน และดูเหมือนว่าจะพิเศษกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ

“นินเอาไปเสิร์ฟให้เองค่ะ” ลินินอาสา พฤกษ์จึงวางแก้วกาแฟไว้บนถาด แล้วให้เธอนำไปเสิร์ฟนางกินรีสาว

กาแฟดำหอมกรุ่นถูกยกมาถึงโต๊ะที่สกุณีนั่งรอ ขณะที่ลินินยกถ้วยกาแฟจากถาดมาวางบนโต๊ะนั้น อยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“โอ๊ย! ร้อน...ร้อนมาก แสบไปหมดแล้ว” 

นางกินรีสาวร้องลั่นพร้อมกับสะบัดมือข้างที่ถูกกาแฟลวกไปมา ทำให้พฤกษ์รีบปรี่เข้ามาหาเธอ แล้วหยิบกระดาษทิชชูที่วางไว้บนโต๊ะมาซับคราบกาแฟที่มือให้นางกินรีสาว พร้อมกับขอโทษเธอเป็นการใหญ่

“ผมขอโทษนะครับคุณนกที่คนของผมซุ่มซ่าม ดูซิเนี่ย มือแดงหมดแล้ว” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับจับมือนางกินรีสาวมาดูใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรค่ะ แผลแค่นี้เดี๋ยวนกหาสมุนไพรในป่าหิมพานต์รักษาเอาก็ได้”

“ทำไมต้องรอกลับไปรักษาที่ป่าหิมพานต์ด้วยล่ะครับ ที่นี่ก็มีสมุนไพรรักษาแผลน้ำร้อนลวกอยู่   เดี๋ยวผมจะให้มะยมไปหยิบมาให้นะครับ” 

พฤกษ์หันไปสั่งงานกุมารทอง โดยที่ไม่คิดจะสนใจหญิงสาวอีกคนที่ยืนกุมมืออยู่ตรงนั้น ท่าทีห่วงใยและเอาใจใส่นางกินรีของพฤกษ์ทำให้ลินินปวดร้าวหัวใจ จนลืมความแสบร้อนจากการถูกกาแฟลวกอยู่หลายเท่า 

เธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น อยู่มองภาพบาดตาบาดใจแล้วบอกกับตัวเองว่า พฤกษ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้รักเธออีกแล้ว...

“นี่จ้ะพี่พฤกษ์” มะยมถือยาทาแผลน้ำร้อนลวกมาสองหลอด หลอดหนึ่งยื่นให้พฤกษ์ ส่วนอีกหลอดยื่นให้ลินิน

“นี่จ้ะพี่นิน ทาเองได้ไหม ถ้าไม่ได้เดี๋ยวมะยมทาให้” 

กุมารทองเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ ทำให้พฤกษ์หันไปมองมือข้างหนึ่งของลินินที่เป็นรอยแดงแล้วถึงกับมือไม้อ่อน เขาปล่อยมือจากสกุณีทันที แล้วปรี่เข้ามาหาหญิงสาว

“นิน...โดนกาแฟลวกแล้วทำไมไม่บอกพี่” 

ถ้อยคำห่วงใยที่มาช้าเกินไปนั้นทำให้ลินินน้ำตาร่วง เธอไม่ได้เจ็บแผลเลยสักนิด แต่เธอเจ็บใจที่พฤกษ์ไม่คิดที่จะสนใจเธอตั้งแต่แรก เสียใจที่แม้แต่กุมารทองหัวหักจนหมุนได้รอบยังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง

“พี่ไปดูแลคนสำคัญของพี่เถอะค่ะ นินดูแลตัวเองได้” 

พูดแล้วก็สะบัดตัวเดินออกไปทางหลังร้าน โดยมีพฤกษ์เดินตามไปติดๆ ทิ้งให้นางกินรีสาวอยู่กับมะยมตามลำพัง

“คุณนกทางยาเองได้ไหมจ๊ะ หรือจะให้มะยมทาให้”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย จะทายาทำไม อย่ามาสะเออะ!” สกุณีกระแทกเสียงใส่ ทำให้มะยมสะดุ้งจนหัวแทบหลุด

“โอ๊ยๆ พูดเบาๆ ก็ได้จ้ะ มะยมแค่คอหักจ้ะ หูไม่ได้ตึง” เจ้าหัวจุกบ่นอุบหลังจากประคองหัวตัวเองจนเข้าที่เข้าทางแล้ว

“อีนางคนนั้นมันเป็นใคร”

“ใครอีกล่ะจ๊ะ”

“ก็คนที่มาช่วยงานที่ร้านกาแฟไง มันบังอาจมากนะที่กล้าทำกาแฟหกใส่ฉัน คอยดูเถอะ ฉันจะให้คุณพฤกษ์ไล่มันออก” สกุณีพูดพร้อมกับพยายามชะโงกหน้ามองไปทางหลังร้าน เพื่อที่จะมองว่าพฤกษ์กับผู้หญิงคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่

“ไม่มีทางหรอกจ้ะ เพราะว่าพี่พฤกษ์ให้ความสำคัญกับพี่นินมากกว่าดวงวิญญาณดวงอื่นๆ ที่มาอยู่ที่นี่ พี่พฤกษ์ให้พี่นินไปกินข้าวบนวิมานด้วยนะจ๊ะ” มะยมได้ทีจึงยั่วโมโหสกุณีให้เธอโมโหเล่น

“ฉันจะไปจัดการมัน อีนางดวงวิญญาณชั้นต่ำ” สกุณีทำท่าจะเดินไปที่หลังร้าน แต่ถูกมะยมขวางเอาไว้เสียก่อน

“พี่พฤกษ์คงไม่พอใจแน่ หากคุณนกทำอะไรแบบนั้น” มะยมว่าพร้อมกับกางแขนสั้นป้อมขวางนางกินรีสาวเอาไว้อย่างเต็มที่ ทำให้สกุณีจำต้องหยุดการกระทำทุกอย่างเอาไว้ ก่อนจะระบายความโกรธด้วยการกรี๊ดออกมาเสียงดังลั่นใส่หน้ามะยม

“กรี๊ด!!” 

เมื่อระบายอารมณ์เสร็จ ก็หยิบกระเป๋าถือแล้วเดินกระแทกเท้าออกจากร้านไป

“โอ๊ย ยายนกบ้านี่ ลับหลังพี่พฤกษ์ทีไรเป็นแบบนี้ทุกที” มะยมยกมือขึ้นขยับหัวตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะจัดการทำความสะอาดคราบกาแฟที่หกเลอะเทอะทั้งบนโต๊ะและบนพื้นอย่างรู้หน้าที่

 

พฤกษ์เดินตามลินินมาจนทัน เขาเดินไปขวางหน้าเธอไว้ ลินินก็พยายามจะเบี่ยงตัวแล้วเดินหนี แต่ถูกพฤกษ์จับไหล่แล้วรั้งตัวเธอให้หันกลับมาเผชิญหน้า จึงได้เห็นว่าน้ำตาของหญิงสาวกำลังไหลอาบแก้ม

“เจ็บมากไหม ไหนขอพี่ดูแผลหน่อยซิ” พฤกษ์ถามพร้อมกับดึงมือที่ลินินมาดูใกล้ๆ แต่หญิงสาวสะบัดมือออกแล้วไขว้แขนไว้ด้านหลัง

“นินไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”

“อย่าดื้อสินิน ยื่นมือมาให้พี่ดูเดี๋ยวนี้ว่าเป็นอะไรมากไหม” พฤกษ์ทำเสียงดุ แต่แววตาที่มองหญิงสาวนั้นห่วงใยเธอเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รอให้ลินินยื่นมือมาเอง ชายหนุ่มใช้จังหวะที่หญิงสาวเผลอดึงแขนข้างที่ถูกกาแฟลวกมาดูใกล้ๆ 

“อืม แค่แดงนิดหน่อย ทายาเดี๋ยวก็หาย” พฤกษ์เห็นแผลแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เนื่องจากแผลของลินินไม่ได้รุนแรงถึงขนาดเป็นแผลพุพอง

“ก็บอกแล้วไงคะว่านินไม่ได้เป็นอะไร พี่พฤกษ์กลับไปดูแลคนสำคัญของพี่พฤกษ์เถอะค่ะ”

“ใครเหรอคนสำคัญของพี่”

“ก็คุณนก กินรีที่พี่พฤกษ์ยิ้มหวานให้เป็นพิเศษนั่นไงคะ”

“พี่ไม่ได้ยิ้มหวานให้ใครเป็นพิเศษเสียหน่อย”

“อ้อ พี่ยิ้มหวานให้ทุกคนเลยสินะคะ ไม่ว่าจะเป็นนางอัปสร นางไม้ หรือว่ากินรี ดีค่ะ เสน่ห์แรงดี ถึงว่าสิ พี่ถึงเร่งให้นินไปถอนคำสาบานนัก”

“นิน!”

“ทำไมคะ นินพูดผิดตรงไหน”

“ผิดทุกเรื่องนั่นแหละ ทั้งเรื่องที่พี่ยิ้มหวานให้คนอื่น ทั้งเรื่องที่อยากจะเร่งให้นินถอนคำสาบาน”

“แล้วที่พี่พฤกษ์อยากถอนคำสาบานนักหนา ไม่ใช่เพราะพี่พฤกษ์อยากได้อิสระ แล้วไปเริงรื่นกับนางอัปสรหรือนางกินรีนางใดนางหนึ่งเหรอคะ” คราวนี้ลินินเอ่ยปนเสียงสะอื้น

“พี่ไม่ได้เป็นอย่างที่นินพูด ที่พี่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อนินทั้งนั้น ช่วยเข้าใจกันหน่อยได้ไหม”

“พี่พฤกษ์ต่างหากละคะที่ไม่เข้าใจนิน พี่ไม่เป็นนินพี่ไม่รู้หรอก ว่าการคิดถึงคนรักจนตายมันทรมานแค่ไหน  ตอนที่พี่พฤกษ์ตาย ตอนนั้นศรีแพรอายุสิบหก แล้วกว่าศรีแพรจะตายในชาตินั้น อายุก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบ พี่พฤกษ์คิดว่านินทรมานแค่ไหนกับห้าสิบสี่ปีที่คิดถึงพี่คะ” 

“ศรีแพรตายไปในชาตินั้น พอไปเกิดใหม่ความทรงจำก็หายไป ส่วนพี่ กับสองร้อยกว่าปีที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงมาโดยตลอด มันเทียบกันไม่ได้หรอกนะนิน”

“ถ้าพี่ยังคิดถึง แล้วพี่จะไปถอนคำสาบานทำไมคะ ถ้าถอนคำสาบาน แล้วพี่พฤกษ์จะเลิกคิดถึงนินอย่างนั้นเหรอ”

“เปล่า”

“ถ้าเปล่าแล้วทำไมต้องทำคะ เราเคยพลัดพรากจากกัน แล้วก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะคำสาบาน ถ้าเราไปถอนคำสาบานกัน เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยนะคะ”

“แต่ถ้าเราไม่ทำ นินจะอยู่อย่างไร้คู่แบบนี้ไปทุกภพทุกชาตินะ” 

“แต่ในทุกๆ ชาติที่นินเกิดใหม่ นินก็ไม่เคยต้องการมีใครนอกจากพี่ จะกี่ภพกี่ชาติ นินก็จะรอที่จะได้เจอกับพี่พฤกษ์คนเดียวเท่านั้น” 

“เพราะแบบนี้ พี่ถึงอยากถอนคำสาบานไงล่ะ ถ้านินเป็นอิสระแล้ว พี่จะได้ไม่ทุกข์ ไม่รู้สึกผิดหรือติดค้างกันอีก”

“หมายความว่าที่ผ่านมา พี่พฤกษ์แค่รู้สึกผิดที่ติดค้างคำสาบานที่มีต่อนินเท่านั้นเองเหรอคะ” 

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“พี่พฤกษ์!” หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มเสียงสะอื้น เธอไม่คิดเลยว่าความรักความโหยหาที่มีต่อเขาจะไร้ค่าได้ถึงเพียงนี้

“นี่คือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว อย่าให้การพบกันของเราครั้งนี้ต้องเปล่าประโยชน์เลยนะนิน”

“เปล่าประโยชน์อย่างนั้นเหรอคะ เราต้องรอคอยกันมาเป็นร้อยๆ ปีกว่าจะได้กลับมาเจอกันแบบนี้ แต่พี่กลับใช้โอกาสนี้ทำให้เราสองคนต้องพลัดพรากจากกันตลอดกาล ใครกันแน่ที่ทำให้การเจอกันครั้งนี้มันเปล่าประโยชน์” 

“สำหรับพี่ การรอคอยที่จะได้เห็นนินเป็นอิสระ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่เคยเปล่าประโยชน์หรอก” 

พฤกษ์พยายามเก็บความสะเทือนใจที่ได้เห็นน้ำตาของหญิงสาว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะใช้ช่วงเวลาเหล่านี้กับเธอให้มีความสุขที่สุด แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า หากท้ายที่สุดแล้วก็ต้องจากกันอยู่ดี โดยที่หญิงสาวยังต้องทุกข์ระทมกับความเดียวดายไร้คู่ไปทุกภพทุกชาติ

“ก็ได้ค่ะ ถ้านี่คือความสุขของพี่พฤกษ์ นินก็จะยอมทำ นินจะยอมถอนคำสาบานให้พี่ และนับจากนี้เราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ให้คิดเสียว่าเราไม่เคยรักกัน ไม่เคยรอคอยที่จะได้พบกันมาก่อน” 

ถ้อยคำตัดพ้อปนเสียงสะอื้นของหญิงสาวบาดลึกในหัวใจรุกขเทวดาหนุ่มเหลือเกิน ลินินคงจะไม่รู้ว่าเขาเองก็เจ็บปวดแสนสาหัสมากแค่ไหนที่ต้องเป็นฝ่ายขอตัดสัมพันธ์กับเธอ แต่ทุกอย่างที่เขาทำไปนั้นก็ล้วนแล้วแต่เพื่อลินินทั้งสิ้น 

หากถึงวันที่วิญญาณของหญิงสาวกลับเข้าร่าง ลินินก็จะลืมทุกสิ่งและพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในขณะที่พฤกษ์นั้นยังคงต้องจมอยู่กับความทรมานจากความคิดถึงต่อไปโดยไม่มีวันสิ้นสุด...

 

ค่ำวันนี้สามพี่น้องมาร่วมรับประทานอาหารกันพร้อมหน้าเช่นเคย แต่แทนที่จะเป็นมื้อค่ำอันแสนสุข ก็กลับกลายเป็นช่วงเวลาอันแสนอึดอัดเพราะท่าทางมึนตึงของทั้งพฤกษ์และลินิน ทำให้นางตะเคียนทองและนางตานีสาวหันมามองตากันอย่างรับรู้ถึงความผิดปกติ 

“อาหารไม่อร่อยเหรอคะพี่พฤกษ์ ทำไมวันนี้กินนน้อยจัง” เคียนนี่ถามพี่ชายด้วยความเป็นห่วง เพราะโดยปกติแล้ว หากได้กินข้าวกันพร้อมหน้า พฤกษ์จะเจริญอาหารมากกว่านี้

“อย่าว่าแต่พี่พฤกษ์เลย พี่นินก็กินน้อยเหมือนกัน สงสัยอาหารจะไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละค่ะพี่เคียนนี่” ตานี่พูดเสริม

“อาหารอร่อยมากค่ะ แต่ว่าวันนี้พี่ไม่ค่อยหิวเลยกินได้น้อย” 

“พี่ก็กินไม่ค่อยลงเหมือนกัน” พฤกษ์พูดพร้อมกับรวบช้อนโดยที่ข้าวในจานนั้นยังเหลืออยู่เกินครึ่ง  

“โธ่!...อย่าเพิ่งอิ่มกันสิคะ ยังไม่ได้กินของหวานเลย วันนี้เคียนนี่มีของหากินยากมาฝากทุกคนด้วยนะคะ ลูกค้าที่จ้างให้เคียนนี่ไปออกแบบบ้านอุตส่าห์ให้มา” ว่าแล้วก็หันไปสั่งมะยมให้ยกของหวานมาให้ แค่เพียงกลิ่นหอมของขนมหวานที่ลอยมาแต่ไกลก็ทำให้พฤกษ์ใจสั่นสะท้าน เขาอยากจะขอตัว แต่ด้วยความหอมรัญจวนใจนั้นทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้

“ข้าวเหนียวลูกจันน้ำกะทิค่ะ ที่บ้านลูกค้าของเคียนนี่มีต้นลูกจันอายุเกือบร้อยปี ต้นนี้ออกลูกเป็นลูกอินกับลูกจันในต้นเดียวด้วยนะคะ สูตรขนมนี้ก็สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน รับรองว่าอร่อยค่ะ” 

เคียนนี่เลื่อนถ้วยขนมหวานไปตรงหน้าพฤกษ์ เขาหยิบมันขึ้นมาตักกินคำหนึ่ง ทันทีที่ความหอมละมุนคลุ้งอยู่ในปาก เขาก็เผลอเหลือบไปมองหญิงสาว 

ความหอมของลูกจันที่ละลายอยู่ในน้ำกะทิพาให้เขานึกถึงวันนั้น...วันที่ฝนโปรยปรายโดยมีเขาและเธออยู่ในกระท่อม กลิ่นหอมของลูกจันนั้นทำให้เขาหวนคิดถึงกลิ่นแก้มนวลที่ยังคงหอมรัญจวนไม่รู้ลืม

“อิ่มแล้วเหรอคะพี่พฤกษ์ ไม่ชอบเหรอคะ พี่ชอบกลิ่นลูกจันไม่ใช่เหรอ ตานี่คิดว่าพี่จะชอบขนมนี่เสียอีก” คราวนี้เป็นตานี่ที่ทักพี่ชาย เพราะเห็นว่าเขากินเข้าไปแค่คำเดียวเท่านั้น

“พี่อิ่มแล้ว วันนี้รู้สึกเพลียๆ น่ะ อยากจะพักผ่อน”

“ว้า เสียดายจัง ขนมอร่อยๆ แต่พี่พฤกษ์กลับกินได้น้อย” เคียนนี่แกล้งทำเสียงน้อยใจ

“พี่ขอโทษ เอาไว้วันหลังจะกินให้เยอะกว่านี้ ส่วนถ้วยนี้ พี่ยกให้มะยม”

“ให้มะยมจริงๆ เหรอจ๊ะ” กุมารทองที่คอยนั่งรับใช้อยู่ไม่ห่างดีใจจนหัวสั่นหัวคลอนตอนที่พฤกษ์หันมาพยักหน้า จากนั้นก็คว้าถ้วยขนมข้าวเหนียวลูกจันน้ำกะทิไปตักกิน พร้อมกับทำเสียงงึมงำด้วยความเอร็ดอร่อย

“เอาของพี่ไปกินด้วยสิมะยม พี่ก็กินไม่ค่อยลงเหมือนกัน” ลินินเองก็เลื่อนถ้วยขนมไปทางกุมารทองตัวอ้วน มีหรือที่มะยมจะพลาด เด็กน้อยจ้วงกินขนมถ้วยแรก แล้วตามด้วยถ้วยที่สองแทบจะทันที

“พี่นินไม่ชอบขนมแบบนี้เหรอคะ เคียนนี่คิดว่าพี่นินจะชอบลูกจันเหมือนพี่พฤกษ์เสียอีก” นางตะเคียนทองถาม

“ปกติพี่ชอบกินขนมไทยมากค่ะ แต่ว่าวันนี้รู้สึกเพลียๆ เลยกินอะไรไม่ค่อยลง” ลินินพูดพลางปรายตาไปมองคนที่ทำหน้าเคร่งขรึม แล้วก็นึกน้อยใจที่พฤกษ์ไม่สังเกตเลยว่าเธอเองก็กินข้าวได้น้อย อีกทั้งยังไม่แตะของหวานเลยสักคำ

“แหม ทำไมพร้อมใจกันเพลียทั้งพี่พฤกษ์กับพี่นินเลยคะเนี่ย” ตานี่พูดแกมหยอก หวังจะได้ยินคำอธิบายถึงสาเหตุของความบึ้งตึงของทั้งสอง แต่ทั้งคู่ก็เอาแต่เงียบ

“พี่ขอไปพักผ่อนก่อนนะ ฝากดูแลทำความสะอาดโต๊ะอาหารด้วยนะมะยม” 

นอกจากจะไม่มีคำอธิบายแล้ว รุกขเทวดาหนุ่มยังกลับห้องพักเร็วกว่าปกติอีกด้วย ปล่อยให้น้องสาวสองคนมองตามด้วยความสงสัย ส่วนลินินนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าซ่อนความทุกข์ระทมใจ

“พี่พฤกษ์กับพี่นินทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าคะ” ตานี่ตัดสินใจถามออกไปตามตรง

“เปล่าค่ะ พวกพี่ไม่ได้ทะเลาะกัน”

“แล้วทำไมพวกพี่บึ้งตึงใส่กันแบบนี้ล่ะคะ” เคียนนี่เองก็อดสงสัยไม่ได้เช่นกัน เธอไม่อยู่บ้านแค่วันเดียว เหตุใดพี่ชายและอดีตพี่สะใภ้ของเธอจึงได้มีท่าทีหมางเมินได้ถึงเพียงนี้

“พี่พฤกษ์คงจะรำคาญพี่ และอยากให้พี่ไปจากที่นี่เสียทีละมั้งคะ”

“ไม่มีทาง” เคียนนี่กับตานี่พูดออกมาแทบจะพร้อมกัน

“จริงๆ นะคะ พี่พฤกษ์ขอร้องให้พี่ไปถอนคำสาบาน เพราะพี่พฤกษ์ไม่อยากยึดติดกับพี่อีกแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนนะคะ พี่นินรู้เรื่องคำสาบานแล้ว นี่ก็แสดงว่า...” ตานี่พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว

“ค่ะ วันนี้พี่เผลอไปดมชาดอกปาริชาตเข้า ตอนนี้พี่ระลึกชาติได้ทั้งหมดแล้วค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น พี่นินก็รู้แล้วใช่ไหมคะว่าครั้งหนึ่ง พี่เคยเป็นพี่ศรีแพร คนรักของพี่พฤกษ์” เคียนนี่ถามต่อ

“ค่ะ พี่รู้แล้ว และพี่ก็จำความรู้สึกในชาตินั้นได้ดีว่าพี่เสียใจมากแค่ไหนที่ต้องจากกับพี่พฤกษ์โดยที่ไม่ทันได้ล่ำลา แล้วพอมาเจอกันในชาตินี้ พี่พฤกษ์กลับทำเหมือนไม่อยากจะเจอพี่อีกแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะว่าพี่พฤกษ์อยากจะมีอิสระ อยากจะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับใครบางคน แต่ติดตรงที่เคยสัญญารักกับพี่เอาไว้” พูดแล้วลินินก็ร้องไห้โฮ จนเคียนนี่ต้องรีบเข้ามาปลอบใจ

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ตั้งแต่พวกเราตายเป็นผีกันอยู่ที่นี่ พี่พฤกษ์ไม่เคยชายตามองหญิงใดเลย ต่อให้เป็นนางกินรีหรือว่านางอัปสรสวยหยาดฟ้ามาดินมาจากไหน พี่พฤกษ์ก็ไม่เคยชายตาแลเลยค่ะ” เคียนนี่พูดแก้ต่างให้พี่ชาย

“แล้วทำไมพี่พฤกษ์ถึงอยากถอนคำสาบานนักล่ะคะ”

“พี่พฤกษ์เองก็ทนทรมานเพราะความคิดถึงพี่ศรีแพรมาตลอดกว่าสองร้อยปีนั้นแหละค่ะ แต่พอมารู้ว่าพี่ศรีแพรตายแล้วเกิดใหม่ ผ่านความทุกข์ทรมานจากการไร้คู่มาสามภพสามชาติ เพราะติดค้างคำสาบานกับพี่พฤกษ์ ก็เลยทนไม่ได้ที่จะเห็นพี่ศรีแพรอ้างว้างโดดเดี่ยว 

“ตอนนี้พี่นินอยู่ในสภาวะวิญญาณออกจากร่าง พอถึงเวลาก็ต้องกลับไปอยู่ในร่างเดิม พี่นินกับพวกเราก็จะไม่ได้เจอกันอีกเพราะถือว่าอยู่คนละโลกกัน ถ้าไม่รีบถอนคำสาบานเสียตั้งแต่ตอนนี้ คำสาบานก็จะตามพี่นินไปเรื่อยๆ แล้วกว่าจะมาบรรจบพบกันอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ภพกี่ชาติ เคียนนี่ว่า พี่พฤกษ์ห่วงพี่นินตรงนี้มากกว่า”

“โธ่...พี่พฤกษ์” ลินินรำพึงรำพันอย่างรู้สึกเข้าใจพฤกษ์มากขึ้น

“แต่ในความคิดของตานี่ พี่พฤกษ์ก็ควรจะมีความสุขกับการที่ได้มาเจอกับพี่นินบ้างนะคะ ไม่ใช่เอาแต่หลอกตัวเองว่าไม่รักไม่แคร์พี่นินอยู่อย่างนี้ ทำไปก็เจ็บปวดไป เพื่ออะไรก็ไม่รู้”

“ก็คงจะเป็นอย่างที่น้องเคียนนี่พูด พี่พฤกษ์คงห่วงพี่ ไม่อยากให้พี่ต้องมีคำสาบานคอยตามติดทุกชาติทุกภพ”

“แล้วพี่นินจะยอมให้ทุกอย่างมันจบลงง่ายๆ แบบนี้เหรอคะ” ตานี่ถามต่อ

“ไม่อยากจบก็ต้องจบแหละค่ะ เพราะพี่คงทำอะไรไม่ได้ ก็พี่พฤกษ์พยายามตีตัวออกหากพี่เสียขนาดนี้”

“แต่ตานี่ว่า ตานี่มีวิธีนะคะ”

“วิธีอะไรเหรอคะ” ลินินถามด้วยความสนใจ

“ก็วิธีที่จะทำให้พี่พฤกษ์ได้ใช้ช่วงเวลาอันน้อยนิดนี้มีความสุขให้ได้มากที่สุดยังไงล่ะคะ ไหนๆ ก็ได้เจอกันแล้ว ต่อให้ต้องถอนคำสาบาน ต่อให้ชาติหน้าจะไม่ได้พบกันอีก แต่วันนี้ ตอนนี้ เราอยู่กับปัจจุบัน ก็รีบมีความสุขเสียสิคะ”

“พี่ก็อยากจะทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง”

“เดี๋ยวตานี่จัดการให้เองค่ะ” นางตานีสาวพูดพลางอมยิ้มอย่างคนเจ้าแผนการ...

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น