2
กาลเวลาผันผ่าน นานเท่าใดทั้งสามก็ลืมนับ แต่หลายสิ่งรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปหมด ทั้งบ้านเมือง สภาพแวดล้อม สิ่งปลูกสร้างที่มาแทนพื้นที่ป่าที่ถูกแผ้วถางเพื่อสร้างรีสอร์ต บ้านพักตากอากาศที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ความเจริญนำมาซึ่งน้ำไหล ไฟสว่าง หนทางสะดวกสบาย โดยแลกกับพื้นสีเขียวที่เริ่มหายไป
จะเหลือก็แต่กลุ่มต้นไม้อันประกอบไปด้วยต้นพฤกษ์ หรือต้นจามจุรีสีทองอายุหลายร้อยปี ต้นตะเคียนทอง และต้นกล้วยตานีที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เนื่องจากเป็นที่เลื่องลือกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของนางตะเคียนทองและนางตานีที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นี้
ร้านกาแฟของพฤกษ์เป็นร้านที่สร้างขึ้นจากไม้สักทองทั้งหลัง ไม้ทุกชิ้นขัดเงาวับจับสีทองระเรื่อ ร้านกาแฟแห่งนี้ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมเรือนไทยที่มีหน้าจั่วและหลังคาสูง ผสมผสานกับสไตล์โมเดิร์นที่ผนังของตัวร้านกรุกระจกเพื่อเพิ่มความโปร่งสบายตา และทำให้ร้านดูกว้างขึ้น ที่เพดานประดับโคมไฟห้อยระย้าแบบฝรั่ง ที่ผนังประดับด้วยเครื่องทองเหลืองที่หล่อเป็นรูปสัตว์หิมพานต์อันวิจิตรงดงามราวกับมีชีวิต
ทุกๆ บานกระจกมีผ้าม่านปักลายวิจิตรงดงามด้วยฝีมือช่างปักผ้าสมัยโบราณประดับห้อยระย้า พื้นที่ภายในร้านแบ่งออกเป็นสัดส่วน เริ่มจากด้านนอกที่เป็นส่วนระเบียงด้านหน้าร้าน เป็นบริเวณที่มีไว้สำหรับบริการลูกค้าที่ต้องการสัมผัสกับธรรมชาติอันแสนร่มรื่น ภายใต้ร่มเงาของต้นจามจุรีต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขากินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง
ถัดจากระเบียงเข้ามาภายในร้านที่เป็นห้องกระจก เมื่อเดินเข้ามาภายในบริเวณนี้จะเห็นเคาน์เตอร์ชงกาแฟตั้งอยู่ด้านในสุดของร้าน ผู้ที่เข้ามานั่งอยู่ในห้องกระจกจะได้เห็นขั้นตอนการชงกาแฟ และได้สัมผัสกับกลิ่นกรุ่นของกาแฟคั่วบดซึ่งคัดสรรสายพันธุ์มาอย่างดี อีกทั้งบาริสต้ายังสกัดออกมาใหม่ๆ จนหอมฟุ้งไปทั่วร้าน
นอกจากนี้ยังมีส่วนของห้องจัดเลี้ยง และห้องประชุมสำหรับเหล่าเทวดาหรือวิทยาธรที่มาใช้สถานที่สำหรับถกปัญหา หรือมีงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ อยู่เป็นประจำ โดยห้องดังกล่าวมีโต๊ะประชุมที่ทำจากไม้สักทองเข้ากับสไตล์การออกแบบของร้าน ในส่วนของเก้าอี้ทุกตัวก็บุด้วยผ้าไหมเนื้อดี
ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นฝีมือของน้องสาวคนรองของพฤกษ์ที่ออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างร้านกาแฟรุกขอะโรมาด้วยตัวเอง ในขณะที่น้องสาวคนเล็กเป็นผู้ดูแลเรื่องงานผ้าทุกชนิด ทั้งผ้าม่านตกแต่งและงานเฟอร์นิเจอร์บุผ้าทุกชิ้น โดยน้องสาวคนนี้เป็นคนลงมือทำขึ้นมาด้วยตัวเองทุกชิ้นด้วยความพิถีพิถัน
ร้านกาแฟที่ออกแบบได้อย่างสวยงาม ตกแต่งอย่างวิจิตรประณีต และที่สำคัญที่สุดคือ รสชาติของกาแฟที่แสนล้ำเลิศตราตรึง ทำให้ร้านรุกขอะโรมาเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดได้ลิ้มรสกาแฟนี้แม้เพียงหยดเดียว เนื่องจากพฤกษ์อำพรางร้านกาแฟของเขาเอาไว้ในมิติที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น ดังนั้น ในสายตาของคนทั่วไป จึงเห็นเพียงแต่ต้นจามจุรีต้นใหญ่มหึมาสมกับที่ตั้งตระหง่านมาหลายร้อยปี รวมถึงต้นตะเคียนทองและต้นกล้วยตานีพร้อมกลิ่นควันธูปโชยคลุ้ง และเครื่องเซ่นไหว้ที่ตั้งบูชาอยู่ทั่วบริเวณเท่านั้น...
นางตะเคียนสาวเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในร้านกาแฟของพี่ชาย มือทั้งสองข้างสลับกันปัดแป้งฝุ่นที่เปรอะตามตัวจนขาวโพลนไปทั้งร่าง พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดฟังไม่เป็นศัพท์มาแต่ไกล
“มากันอีกแล้ว ไม่เบื่อกันบ้างหรือไง ทำไมไม่ไปต้นอื่นกันบ้างนะ”
“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้หวย แล้วทีนี้เป็นไง เดี๋ยวสักพักก็จะมีพวงมาลัยกับผ้าสามสีมาอีก แล้วไหนจะชุดไทยแขวนรุงรังเกะกะ แกมีเวลาเก็บนักหรือไง” พฤกษ์พูดกึ่งขำที่ต้องมาเห็นน้องสาวมีแป้งขาวโพลนติดตามตัวซ้ำๆ มานานหลายปี
“เคียนนี่ไม่ได้ใบ้หวยนะคะ ก็แค่บอกเลขไปมั่วๆ แต่ดันถูกเองนี่นา” นางตะเคียนทองซึ่งเรียกตัวเองว่าเคียนนี่แทนชื่อเดิมที่ชื่อว่ามาลีแย้งพี่ชาย เธอตั้งใจจะทำให้ตัวเองไม่ขลัง เพราะไม่มีเวลาเก็บกวาดต้นตะเคียนที่อาศัยอยู่บ่อยนัก แม้ว่าหนึ่งเดือนบ้านเธอจะรกอยู่แค่สองวันก็เถอะ แต่สถาปนิกสาวอย่างเธอก็งานยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลากระดิกตัวอยู่แล้ว
“อย่าว่าแต่พี่เคียนนี่เลยค่ะ ตอนนี้แป้งฝุ่น ผ้าสามสีแล้วก็ชุดไทยลามมาถึงบ้านของตานี่แล้ว ชุดไทยที่เอามาแขวนก็มีแต่สีเขียว นี่ไม่คิดว่านางตานีจะชอบสีอื่นบ้างหรือไง”
นางตานีสาวผู้ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากมาลาเป็นตานี่ มีแป้งฝุ่นขาวโพลนไปทั้งตัวไม่ต่างจากพี่สาวเดินตามเข้ามาในร้านกาแฟติดๆ นี่ขนาดเธอไม่ได้ใบ้หวยเลยสักเลข แต่คอหวยก็ยังจะพยายามนับกล้วยในเครือที่ออกลูก แล้วนำไปซื้อหวยจนถูกรางวัลโดยบังเอิญ ทำให้นางตานีสาวได้แต่เหนื่อยหน่ายใจ
“เอาละๆ เดี๋ยวพี่จะให้มะยมไปช่วยทำความสะอาดบ้านให้พวกแกก็แล้วกัน” พฤกษ์พูดถึงกุมารทองหัวหักที่มีคนนำมาทิ้งไว้ที่ใต้ต้นจามจุรีสีทองเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีก่อน ชายหนุ่มเห็นแล้วสงสารจึงให้มาอยู่ร่วมวิมาน เพื่อให้ช่วยดูแลบ้านของน้องๆ ในวันที่ต้องรับศึกหนักจากคอหวยที่แห่กันมาจุดธูป ถูแป้ง และถวายของเซ่นไหว้กันทุกๆ สิบห้าวัน
“เคียนนี่ไม่เข้าใจเลย ทำไมมนุษย์พวกนี้ไม่ยอมไปหางานหาการทำกัน วันๆ รอแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ จากการเล่นหวยกันอยู่ได้ ดูอย่างพวกเราสิ ยังทำงานหาเงินง่กๆ เพื่อซื้อของที่อยากกินอยากใช้” เคียนนี่ยังบ่นไม่เลิก เธอเองเป็นนางตะเคียนทองผู้มีอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่เคยรู้ล่วงหน้าหรือไม่เห็นอนาคตหรอกว่าหวยจะออกอะไร แล้วคนพวกนี้จะมาหวังอะไรจากตัวเลขของเธอกัน
“ก็ยุคนี้สมัยนี้เงินทองหายาก แม้จะไม่มีโจรชุกชุมเหมือนสมัยที่พวกเรามีชีวิตอยู่ แต่ข้าวของก็แพงเอาๆ อะไรที่ได้มาง่ายๆ แบบไม่ต้องเหนื่อยจึงเป็นหนทางที่ทำให้มนุษย์พวกนี้มีความหวัง พวกแกเองก็อย่าทำให้มนุษย์พวกนี้งมงายก็แล้วกัน”
“ค่ะพี่พฤกษ์ เคียนนี่ว่าเคียนนี่จะพรางต้นตะเคียนทองของเคียนนี่สักระยะค่ะ ถ้าคนมาหาเลขไม่เห็นต้นไม้ ก็คงจะกลับไปกันเอง”
“ตานี่ก็เหมือนกันค่ะ นี่ก็ว่าจะไปอยู่ที่ชอปสักระยะเพราะกระเป๋าที่เพิ่งออกคอลเล็กชันใหม่กำลังขายดี” นางตานีพูดแล้วก็ยิ้มปลื้มใจที่เธอปั้นแบรนด์ตานี่คอลเล็กชันให้โด่งดังได้สำเร็จ กระเป๋าผ้าพิมพ์ลายเลียนแบบใบกล้วยตานี กับกระเป๋าถือผ้ากำมะหยี่สุดหรูหราออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายหัวปลีกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนมีบริษัทข้ามชาติเข้ามาติดต่อขอนำกระเป๋าแบรนด์ของเธอไปขายต่างประเทศเลยทีเดียว
“จะว่าไป พวกเราก็อยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปีแล้วสินะ” พฤกษ์พูดขึ้น ทำให้น้องสาวทั้งสองนับนิ้วพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“นั่นสินะคะ สองร้อยกว่าปีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลย” เคียนนี่ผู้ซึ่งได้ทำงานในสิ่งที่ตนรักไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผ่านพ้นวันเวลามานานขนาดนี้ การเป็นสถาปนิกอิสระ รับออกแบบและสร้างบ้านทำให้เธอมีเรื่องที่ท้าทายให้ทำอยู่เสมอ
“แปลว่า กว่าสองร้อยปีที่ผ่านมา พวกเรามีความสุข เราก็เลยไม่รู้สึกทรมานกับวันเวลาที่ผ่านไปนานขนาดนี้สินะคะ” ตานี่พูดเสริม
พฤกษ์ไม่พูดอะไร เขาได้แต่ยิ้มให้น้องสาว เพราะรุกขเทวดาเองก็มีความสุขที่ได้อยู่ร่วมวันเวลาเหล่านี้กับน้องๆ ชายหนุ่มได้ทำในสิ่งที่รัก ซึ่งก็คือเปิดร้านกาแฟ ได้พบปะเหล่านางฟ้าและเทวดามากมาย แต่จะมีใครรู้ว่าเขาผ่านวันเวลามาอย่างทุกข์ทรมานเพียงใด
นับตั้งแต่ทั้งสามสิ้นลมหายใจกลายเป็นวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าพฤกษ์นั้นรู้สึกผิดกับน้องสาวทั้งสองที่เขาไม่สามารถปกป้องพวกหล่อนได้ เสียแรงที่เขาเป็นผู้ชายคนเดียวในบรรดาสามพี่น้อง แต่ไม่เคยฝึกปรือวิชากระบี่กระบองให้เชี่ยวชาญ เกิดเหตุร้ายขึ้นมาจึงไม่สามารถที่จะรับมือกับพวกโจรได้ ฉะนั้นการไปเกิดใหม่แต่เพียงลำพังจึงเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี ดังนั้น ตราบใดที่เคียนนี่และตานี่ยังอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข เขาก็จะอยู่กับน้องๆ ไม่ว่าจะผันผ่านวันเวลาไปอีกนานแค่ไหน
เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อประตูหน้าร้านถูกเปิดออก ทำให้ทั้งสามหันไปมอง จึงเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นนางอัปสรแสนงดงามผู้เรืองรองไปด้วยละอองนางฟ้ารอบกายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนางฟ้า
ยุคนี้สมัยนี้นางอัปสรไม่สวมชฎาห่มสไบกันแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่กันนั้นเป็นไปตามยุคสมัย อย่างที่นางอัปสรนางนี้สวมใส่ก็เช่นกัน เธอสวมเสื้อยืดเอวลอยคู่กับกางเกงยีนเอวต่ำ อวดเอวคอดอรชรและผิวขาวเนียนละเอียดเปล่งปลั่ง บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นนางอัปสรวัยรุ่นที่มีอิสระทางความคิดนางหนึ่ง
เมื่อเดินเข้ามาถึงหน้าเคาน์เตอร์ชงกาแฟ รอยยิ้มละไมก็ส่งให้เจ้าของร้านหนุ่ม เธอมาที่นี่แทบทุกวันด้วยความหลงใหลกลิ่นรสหอมละมุนของกาแฟไม่แพ้หลงเสน่ห์เจ้าของร้าน พฤกษ์กระดกริมฝีปากยิ้ม ค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความต้อนรับพร้อมกับมองลูกค้าสาวด้วยความเอาใจใส่
“เอสเพรสโซร้อนเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”
บาริสต้าหนุ่มถาม ด้วยเหตุนี้กระมังนางอัปสรนางนี้จึงหลงใหลเจ้าของร้านหนุ่มมากมายนัก ไม่ใช่เพียงเพราะผิวที่ขาวเนียนละเอียด ไม่ใช่เพียงเพราะริมฝีปากแดงระเรื่อราวผลตำลึงสุก แต่คือความเอาใจใส่ที่พฤกษ์มีให้ลูกค้าของเขาทุกรายที่มาอุดหนุน
“ค่ะ เอสเพรสโซร้อนแก้วหนึ่ง เหมือนเดิม” สั่งแล้วนางอัปสรก็ยิ้มหวานให้ ก่อนจะไปนั่งรอที่โต๊ะที่ตั้งอยู่ใกล้เคาน์เตอร์ชงกาแฟมากที่สุด เพื่อลอบมองท่วงท่าการชงกาแฟที่แสนทะมัดทะแมงของบาริสต้าหนุ่ม
รุกขเทวดาผู้นี้ช่างรูปงามเหลือเกิน ผิวของเขาขาวหมดจด งดงามไร้ที่ติดุจดั่งรูปปั้น รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ยามเดินเหินแผ่นหลังก็ตรงอย่างผู้มีบุคลิกภาพดี และที่ชวนมองยิ่งกว่าสิ่งใดคือดวงตาหวานซึ้งของเขา กรอบใบหน้าเรียวได้รูปที่ประกอบไปด้วยคิ้วเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักได้รูปแต้มสีแดงระเรื่อตามธรรมชาตินั้นทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่แวะเวียนมาที่ร้านนี้เป็นนางไม้และนางอัปสร
“เอสเพรสโซร้อนครับ”
นางอัปสรถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกฉุดให้หลุดจากภวังค์ด้วยเสียงทุ้มหวาน แก้มของนางแดงระเรื่อขึ้น มือไม้บิดไปมาด้วยความเขินอาย
“กาแฟยังหอมกรุ่นเหมือนทุกวันเลยนะคะ” นางอัปสรพูดเป็นนัย หมายจะให้รุกขเทวดาหนุ่มเข้าใจว่าเธอมาดื่มกาแฟที่นี่บ่อยแค่ไหน
“ครับ รับขนมไว้กินคู่กับกาแฟไหมครับ” พฤกษ์ยิ้มรับคำชมอย่างรักษามารยาท ก่อนจะถามลูกค้าด้วยคำถามที่ใช้ถามเธอทุกวัน
“วันนี้มีขนมอะไรบ้างคะ”
“มีบลูเบอร์รีชีสพาย บราวนี แล้วก็เค้กฝอยทองมะพร้าวอ่อนครับ” รุกขเทวดาหนุ่มบอกรายการขนมที่มีขายในร้าน ขนมพวกนี้นางไม้นางหนึ่งนำมาฝากขาย ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นเค้กฝอยทองมะพร้าวอ่อนก็แล้วกันค่ะ”
“ได้ครับ” พฤกษ์รับคำ ก่อนจะบอกราคาค่าอาหารและเครื่องดื่ม นางอัปสรสาวจึงหยิบเอาถุงเงินที่อยู่ในกระเป๋าถือมาเปิดออก พร้อมกับยื่นดอกพิกุลทองคำให้เจ้าของร้านหนุ่มตามจำนวนเป็นค่ากาแฟและขนม
เมื่อฝ่ามือเรียวยื่นมารับ ปลายนิ้วของนางอัปสรก็แตะบนฝ่ามือของรุกขเทวดาหนุ่มนิดหนึ่ง หัวใจของนางอัปสรเต้นระรัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนน่าสัมผัส นี่แหละหนามือของชายผู้ไม่เคยจับดาบกรำศึก ช่างนุ่มละมุนเสียนี่กระไร
“ขอบคุณครับ” รุกขเทวดาเอ่ยเพียงเท่านั้นก็กลับไปประจำที่หลังเคาน์เตอร์อย่างไม่คิดจะสานความสัมพันธ์ต่อ เขาเป็นเช่นนี้จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วว่าเป็นรุกขเทวดาแสนเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก พฤกษ์ไม่เคยชายตามองนางไม้หรือนางอัปสรไม่ว่าพวกนางจะงดงามเพียงใด ความใส่ใจที่มีให้กับลูกค้าสาวแต่ละรายก็เท่าเทียมกันหมด ไม่ได้พิเศษสำหรับนางหนึ่งนางใด
“เป็นนางฟ้าอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ดันอยากเป็นนก” เคียนนี่กระซิบกระซาบกับน้องสาวในขณะที่ลอบสังเกตลูกค้าสาวตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านกาแฟ จนกระทั่งมานั่งมองพี่ชายของพวกเธอด้วยสายตาหวานเชื่อมอยู่ในขณะนี้
“แล้วพี่เคียนนี่ไม่แปลกใจบ้างเลยเหรอคะว่าสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทำไมพี่พฤกษ์ถึงไม่มีใครที่ถูกตาต้องใจเลยสักคน ทั้งที่นางอัปสรเอย นางกินรีเอย นางไม้เอย มีแต่คนสวยๆ ทั้งนั้นที่แวะเวียนกันเข้ามาจีบพี่ชายเรา”
“แปลกใจจนเลิกแปลกใจไปแล้วละ”
“หรือว่า...พี่พฤกษ์จะไม่มองหญิง”
“คิดอะไรแบบนั้นเล่า!” เคียนนี่เอ็ดน้องสาว ทำให้คนที่กำลังถูกกล่าวถึงเงยหน้าจากการเช็ดแก้วกาแฟขึ้นมามอง ก่อนจะหันไปเช็ดต่ออย่างไม่สนใจสิ่งใด
“ก็พี่พฤกษ์เล่นไม่มองหญิงใดเลยนี่คะ”
“นั่นอาจเป็นเพราะพี่พฤกษ์ยังไม่เจอใครที่ถูกใจก็ได้” เคียนนี่แก้ตัวให้พี่ชาย
“แต่ตานี่เคยเห็นพี่พฤกษ์คุยกับพวกคนธรรพ์ กับเทวดาแล้วท่าทางจะถูกคอกันมากทีเดียว”
“เค้าก็คุยกันตามประสาผู้ชายนั่นแหละ พี่มีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ชายหลายคน เวลาคุยกันก็จะประมาณพี่พฤกษ์คุยกับเทพผู้ชายพวกนี้แหละ แกเนี่ยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนะยายตานี่ นี่แกดูซีรีส์วายมากเสียจนเอามาจิ้นพี่ชายตัวเองกับเทพองค์อื่นๆ ใช่ไหมเนี่ย”
เคียนนี่ดับจินตนาการน้องสาวที่ชอบดูซีรีส์ทั้งของไทยและของต่างประเทศแล้วอินจนเก็บเอามาปะปนกับเรื่องจริง
“แหะ โทษทีค่ะ ตานี่ก็คิดไปเรื่อยเปื่อย” นางตานีสาวยิ้มเขินก่อนจะพูดต่อ
“แล้วพี่เคียนนี่คิดว่าพี่พฤกษ์จะรักใครเข้าสักวันไหมคะ”
“อันนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
นางตะเคียนกับนางตานีลอบถอนหายใจ สำหรับทั้งสองนางแล้ว พฤกษ์เป็นผู้ชายที่อบอุ่นที่สุด อ่อนโยนที่สุด ดูแลพวกเธอดีที่สุด แต่กับสตรีนางอื่นกลับทำตัวเย็นชาราวกับว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ คำเลื่องลือเกี่ยวกับตัวพฤกษ์นั้นไม่ผิดเพี้ยนจากความจริงนัก ว่ารุกขเทวดาผู้นี้รูปงามราวรูปสลัก แต่น่าเสียดายที่เย็นชาไร้หัวใจและไร้ความรู้สึกไม่ต่างจากหุ่นปั้น
ยิ่งทั้งสองนางเห็นนางอัปสรพยายามแสดงกิริยาอย่างเปิดเผยว่ามีความรู้สึกพิเศษกับรุกขเทวดาหนุ่ม ทั้งเคียนนี่และตานี่ก็อดเห็นใจไม่ได้ เนื่องจากรู้ดีว่านางอัปสรนางนี้จะไม่ได้รับความรู้สึกใดจากพี่ชายของพวกเธอกลับไป
กี่ครั้งกี่หนแล้วที่พฤกษ์ไม่มองหญิงใดเลย ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเพราะเหตุใด นอกจากชายหนุ่มที่ไม่เคยบอกให้ใครรู้ถึงความรู้สึกภายในใจซึ่งถูกเก็บซ่อนมากว่าสองร้อยปี...
ความคิดเห็น |
---|