4

กลวิธีที่ 4 นักแสดงฝึกหัด

กลวิธีที่ 

นักแสดงฝึกหัด

 

‘ซุนเป่ากรุ๊ป’ บริษัทโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่ที่ก่อตั้งมาแล้วกว่าสามสิบปี ครอบคลุมการให้บริการด้านโลจิสติกส์เต็มรูปแบบ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การให้บริการคลังสินค้า การกระจายสินค้า รวมไปถึงการนำเข้า ส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีสาขาและพันธมิตรการค้ากระจายอยู่ทั่วโลก แค่เฉพาะในฮ่องกงก็กินส่วนแบ่งตลาดเกินกว่าสี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นหัวเรืออย่าง ‘อู๋เหิง’ หรือ ‘อาเธอร์ อู๋’ จึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของฮ่องกงอย่างไม่มีข้อกังขา

ชีวิตของผู้นำตระกูลอู๋ควรจะพรั่งพร้อมไปด้วยความสุข มองเผินๆ มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เว้นเสียแต่ว่าทายาทเพียงคนเดียวดันปฏิเสธหัวชนฝาที่จะสืบทอดความยิ่งใหญ่ของเขา อีกทั้งพักหลังมานี้ก็หาเรื่องปวดหัวมาให้ไม่เว้นวัน โดยเฉพาะวีรกรรมล่าสุดที่ทำเอาบุรุษมากความสามารถพูดไม่ออก 

ขอมาเดินเล่น…

เป็นครั้งแรกที่เมลิซซาเห็นด้วยกับบิดาว่ามันเป็นเหตุผลไร้สาระที่สุดในโลก ไม่แปลกที่เธอจะโดนเขกหัวเรียกสติ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าโดนขนาดนั้นทำไมความฉลาดถึงไม่เพิ่มขึ้นบ้าง

หญิงสาวยืนมองพนักงานคนแล้วคนเล่าเดินเข้าตึกสูงทันสมัย คนที่จะเข้าไปข้างในได้ล้วนแล้วแต่มีบัตรผ่านพนักงานห้อยคอ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มี บางทีที่บิดาอนุญาตคงหมายถึงให้เธอเดินเล่นอยู่แค่บริเวณนี้ ชมตึก ชมผู้คน ชมต้นไม้ ชมถนน ชมรถยนต์ ถ้าหายบ้าเมื่อใดก็ให้รีบกลับบ้าน

สมกับเป็นปะป๊าสุดที่รักจริงๆ

ทว่ามาถึงถ้ำเสือแล้วจะยอมแพ้ก็ใช่เรื่อง เธอเองก็มีแผนรับมือเตรียมไว้ อีกทั้งยังอยากทดสอบว่าพนักงานของซุนเป่ากรุ๊ปจะไม่รู้จักบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านประธานใหญ่จริงหรือ คิดได้ดังนั้นจึงเดินเชิดหน้าตรงไปยังเคาน์เตอร์ติดต่อด้วยบุคลิกมั่นใจเต็มเปี่ยม 

พนักงานต้อนรับยิ้มหวาน สอบถามด้วยท่าทางเป็นมิตรอย่างยิ่งยวด “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงมาติดต่อแผนกไหนคะ”

เมลิซซาเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนที่บิดากล่าวก่อนหน้านี้จะเป็นความจริงทุกประการ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจสักนิด เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากให้พนักงานซุนเป่ากรุ๊ปมาพินอบพิเทาขนาดนั้น โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้บริษัทแม้แต่นิดเดียว 

“ดิฉันมาพบคุณ ปีเตอร์ เหวิน ค่ะ” ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและบุคลากร เธอไม่เห็นตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าการเข้าหาเจ้าของชื่ออย่างตรงไปตรงมา จากนั้นค่อยยื่นข้อเสนอสุดสะท้านใจทีหลัง 

“ไม่ทราบคุณผู้หญิงได้นัดไว้ล่วงหน้ารึเปล่าคะ” 

“ไม่ได้นัดค่ะ”

“ไม่ทราบคุณผู้หญิงจะให้ดิฉันแจ้งว่าใครขอเข้าพบคะ”

“บอกแค่ว่ามีคนมีธุระจะคุยด้วยก็พอค่ะ เรื่องอื่นฉันจัดการเอง”

“เอ่อ…สักครู่นะคะ”

พนักงานสาวลังเล ตามหลักแล้วการเข้าพบผู้บริหารระดับสูงก็ควรจะนัดหมายก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่โผล่มาแบบไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ แต่เพราะอยู่ฝ่ายต้อนรับที่เห็นคนมากหน้าหลายตามานานหลายปี การแต่งกายและบุคลิกของผู้มาเยือนไม่ธรรมดาเลยสักนิด ดังนั้นจึงต่อสายไปยังเลขาฯ ของผู้อำนวยการเหวินเพื่อสอบถามให้แน่ใจว่าจะให้เข้าพบได้หรือไม่ 

ระหว่างที่คุยก็ลอบพิจารณาเจ้าของใบหน้าสวยเป็นระยะ น่าแปลกที่ดันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าใดก็นึกไม่ออกนี่สิ

ไม่นานก็วางหูโทรศัพท์ ก่อนจะแจ้งผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ต้องขออภัยคุณผู้หญิงนะคะ ทางเลขาฯ แจ้งว่าวันนี้ผู้อำนวยการเหวินไม่พบคนจากภายนอกค่ะ”

“ถ้าฉันได้พบเขา เขาไม่มีทางตำหนิคุณอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าเกิดอะไรหลังจากนี้คุณรับผิดชอบไหวไหมคะ” เมลิซซาลองเลียนแบบพฤติกรรมวางอำนาจของพวกคนใหญ่คนโตในละครโทรทัศน์ แต่ยังไม่ทันได้แสดงครบสูตร ผู้ชมกลับปฏิเสธทั้งรอยยิ้ม 

“ขออภัยคุณผู้หญิงด้วยนะคะ ดิฉันไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจค่ะ หากคุณผู้หญิงมีธุระสำคัญ ลองติดต่อเลขาฯ ของผู้อำนวยการเหวินเป็นการส่วนตัว หรือไม่ก็ลองเข้ามาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้นะคะ” พนักงานสาวเสนอแนะทางเลือกที่ดีกับทั้งสองฝ่าย หากรู้จักกันจริง คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาทางติดต่อโดยตรง

เมลิซซามุ่นหัวคิ้ว การเจอใครสักคนทำไมมันยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้ แต่ไหนๆ คิดจะปลอมตัวแล้วก็ต้องเอาให้สุด การแนะนำชื่อและฐานะตัวเองเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอคิดจะทำ คิดได้ดังนั้นจึงหยิบยกคนใกล้ตัวที่พอจะเป็นโล่คุ้มกันให้ได้ขึ้นมากล่าวอ้าง 

“ถ้างั้นลองบอกไปว่า…ตัวแทนของ เลลาห์ เฉิน จากหย่งคังกรุ๊ปมาขอพบ” 

 

เลขานุการโจว ผู้ช่วยของผู้อำนวยการเหวินเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้เจ้านายเป็นรอบที่สอง ครั้งนี้อดเหลือบมองแขกสาวสวย ตัวแทนจากหย่งคังกรุ๊ปไม่ได้ จริงอยู่ที่ฝั่งนั้นมีอิทธิพลมาก อีกทั้งยังมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับซุนเป่ากรุ๊ปมานานหลายสิบปี แต่ผู้มาเยือนก็ถือว่าเป็นพนักงานที่ยังอ่อนอาวุโสเกินกว่าจะเป็นผู้บริหารคนสำคัญ ตามหลักแล้วควรจะนอบน้อมกับทางนี้ถึงจะถูก 

แต่ภาพที่ปรากฏดันตรงกันข้ามกับที่เธอคิด เป็นเจ้านายของเธอนั่งเก็บไม้เก็บมือ จะหยิบจับอะไรก็ระแวดระวัง ส่วนอีกฝ่ายกลับนั่งไขว่ห้างตามสบาย กรีดกรายนิ้วเรียวยาวจิบกาแฟอย่างคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ไม่เหมือนกำลังคุยเรื่องธุรกิจเลยสักนิด แต่เหมือนกำลังถกกันด้วยเรื่องคอขาดบาดตายเสียมากกว่า แน่นอนว่าเจ้านายของเธอตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด 

“คุณเลขาฯ โจว” ปีเตอร์ เหวิน กระแอมกระไอ คนที่เผลอทำตัวเสียมารยาทจึงค่อยถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ พร้อมทั้งเก็บความสงสัยออกไปกับตัวด้วย 

“ว่ายังไงคะผู้อำนวยการเหวิน คุณเห็นด้วยกับข้อเสนอของฉันไหมคะ” เจ้าของเสียงใสเอ่ยถามทำลายความเงียบ ก่อนจะวางแก้วกาแฟกระทบจานรองกระเบื้องดังกริ๊งเบาๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้คนที่กำลังถูกบีบคั้นสะดุ้งขึ้นมา

“คุณหนูครับ ได้โปรดเห็นใจผมด้วยนะครับ ถ้าท่านประธานใหญ่ทราบเรื่องนี้ ผมอยู่ไม่ถึงเกษียณแน่ๆ” ชายวัยกลางคนวิงวอน ผมหงอกที่ย้อมสีดำปิดไว้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์เหมือนจะหลุดล่อนออกมาหลายเส้น วินาทีนั้นเขาดูเหมือนคนอายุเจ็ดสิบ แปดสิบก็ไม่เกินจริง

“แต่ถ้าคุณไม่รับข้อเสนอของฉัน คุณก็จะอยู่ไม่ถึงเกษียณเหมือนกัน” เมลิซซาตีหน้าบึ้งขู่เข็ญ ทั้งๆ ที่ในใจเอ่ยขอโทษไปแล้วร้อยรอบ การต้อนคนอื่นให้จนมุมไม่ใช่นิสัยของเธอเลยสักนิด 

“คุณหนู! ได้โปรดเห็นใจที่ผมทุ่มเทครึ่งชีวิตให้ซุนเป่ากรุ๊ปเถอะครับ” 

ปีเตอร์ เหวิน นึกย้อนไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เลขาฯ โจว แจ้งว่ามีคนจากหย่งคังกรุ๊ปมาขอพบกะทันหัน แน่นอนว่าเขาต้องต้อนรับขับสู้อย่างดี แต่พอเงยหน้าขึ้น...เอกสารที่กำลังอ่านก่อนเริ่มการประชุมก็พลันร่วงกราวจากมือ

นี่มันคนจากหย่งคังกรุ๊ปที่ไหน! ดูคิ้วตานั่นสิ ดูรอยยิ้มปนเจ้าเล่ห์นั่นสิ ดีเอ็นเอของท่านประธานใหญ่แห่งซุนเป่ากรุ๊ปออกจะเด่นชัดบนหน้าอีกฝ่ายขนาดนั้น ไฉนเลขานุการของตนถึงเป็นพวกตาไร้แววได้ขนาดนี้!

“ผู้อำนวยการเหวิน คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ป๊ารู้เรื่องที่ฉันมาบริษัทแล้วค่ะ ท่านเป็นคนอนุญาตให้ฉันมาเอง แต่ปัญหาก็คือฉันไม่รู้จักใครที่นี่เลย ถึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณลุงเหวินที่ใจดีกับฉันที่สุดในโลก” เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล เมลิซซาจึงเปลี่ยนมาตีหน้าเศร้า เปลี่ยนสรรพนามจากห่างเหินมาใกล้ชิดอย่างรวดเร็ว ไหล่ตั้งตรงเมื่อครู่งองุ้มเหมือนคนอับจนหนทางในชีวิต 

“ตัวผมเป็นแค่พนักงานธรรมดา คุณหนูพูดแบบนั้นผมรับไว้ไม่ไหวนะครับ” ปีเตอร์ เหวิน โบกไม้โบกมือปฏิเสธ ให้นับญาติกับบุตรสาวของท่านประธานใหญ่มันออกจะหนักหนาสาหัสเกินไป 

“ฉันจำได้นะคะ ตอนเด็กๆ ฉันค้นเอกสารสำคัญมานั่งพับจรวดจนโดนป๊าดุ ก็มีแต่คุณลุงเหวินคอยปลอบใจว่าไม่เป็นไร หนำซ้ำยังจูงมือฉันไปกินขนมด้วย หม่าม้าก็เล่าให้ฟังตลอดเลยว่าคุณลุงเหวินยอมอยู่ทำงานจนดึกดื่นเพราะความไม่เอาไหนของฉัน” เมื่อเห็นคู่สนทนามีท่าทีอ่อนลง หญิงสาวจึงเริ่มเท้าความไปถึงเรื่องในอดีตก่อนที่ซุนเป่ากรุ๊ปจะเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่อย่างเช่นในปัจจุบัน ตอนนั้นที่ตั้งสำนักงานยังเป็นตึกขนาดกลางอยู่เลย แถมเทคโนโลยีก็ไม่ทันสมัยเท่านี้

“เป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคนที่ต้องดูแลคุณหนูอยู่แล้วครับ”

“ฉันเคยยัดเยียดตัวเองเป็นเจ้าสาวของรุ่นพี่ไคลน์ด้วยนะคะ แต่รุ่นพี่กลับบอกว่าไม่ชอบฉัน น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้กลับมาร่วมงานแต่งงานของเขา ไม่อย่างนั้นฉันต้องหาของขวัญชิ้นใหญ่มอบให้เขาและภรรยาแน่ๆ” พูดถึงรักแรกก็อดเศร้าใจไม่ได้ ขอบคุณที่ทำให้เธอรู้จักคำว่าอกหักตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ

“คุณหนูสวยน่ารักเสียขนาดนั้น จะให้พยักหน้ายอมรับคุณหนูเป็นเจ้าสาวก็ออกจะเกินความสามารถของเจ้าไคลน์ไปบ้าง” สีหน้าของชายวัยกลางคนมีเลือดฝาดขึ้นมาเมื่อพูดถึง ‘ไคลน์ เหวิน’ ลูกชายที่แสนภาคภูมิใจ ซึ่งปัจจุบันอีกฝ่ายได้รับมอบหมายให้ดูแลสาขาอยู่ที่ประเทศจีน หลังจากแต่งภรรยาได้หนึ่งปีก็มีหลานชายให้เขาอุ้ม ทุกวันนี้หลานชายแสนน่ารักอายุสามขวบเข้าไปแล้ว 

“ฉันคงสวยน่ารักมากเลยใช่ไหมคะ รุ่นพี่ไคลน์ถึงได้ชมฉันอยู่บ่อยๆ ว่า ‘เด็กผีสาง’ ทุกวันนี้ฉันยังแปลไม่ออกเลยค่ะว่าเขาหมายความว่ายังไง” 

“ฮ่าๆๆ ผมได้แต่หวังว่าคุณหนูจะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดในอดีต” 

เมลิซซาที่นั่งเค้นความทรงจำตลอดสองวันลอบถอนหายใจ นับว่าการอดหลับอดนอนไม่ทำให้สมองเธอเสื่อมสภาพ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะลืมชื่อและลืมหน้าตาของ ปีเตอร์ เหวิน เสียสนิทก็เถอะ แต่พอมานั่งนึกก็ยังจำหลายเหตุการณ์ได้ดี และเมื่อมีเสียงหัวเราะเข้ามาแทรกเป็นระยะ บรรยากาศก็ดูผ่อนคลายมากขึ้นหลายสิบเท่า

“ฉันเชื่อว่าคุณคงพอจะรู้เรื่องของฉันกับป๊ามาบ้าง” หลังจากอ้อมโลกมานาน ในที่สุดหญิงสาวก็กลับเข้าสู่จุดประสงค์หลักในการมาเยือน

“หลายปีมานี้ฉันยืนกรานที่จะไม่สืบทอดธุรกิจไม่ว่าจะถูกบังคับขนาดไหนก็ตาม แต่พอโตขึ้นฉันเองก็เข้าใจถึงความรักความหวังดีของท่าน ฉันคิดได้ว่าตัวเองควรวางอคติลง และลองเปิดใจเรียนรู้งานเล็กๆ น้อยๆ ถ้าชอบฉันก็จะได้ลุยต่อ แต่ถ้าไม่ชอบฉันจะได้หาวิธีคุยกับป๊าให้เข้าใจ ดังนั้นฉันได้แต่หวังว่าคุณลุงเหวินคงไม่รังเกียจที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ฉัน เพราะนอกจากคุณและป๊าแล้ว ฉันเองไม่รู้จักใครในบริษัทนี้เลย” 

“อันที่จริงผมคิดว่าคุณหนูควรบอกความต้องการกับท่านประธานใหญ่อย่างตรงไปตรงมา การเริ่มต้นจากตำแหน่งพนักงานเล็กๆ อย่างเลขาฯ ไม่เหมาะสมกับฐานะของคุณหนูเลยสักนิด อีกทั้งถ้าท่านประธานใหญ่ทราบเรื่องจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน เพราะสุดท้ายแล้วตำแหน่งของคุณหนูคือว่าที่ผู้บริหารสูงสุดของอาณาจักรแห่งนี้ คุณหนูไม่ใช่คนที่จะอยู่ใต้อาณัติใคร” 

ตอนได้ยินทายาทเพียงคนเดียวของท่านประธานใหญ่ยื่นข้อเสนอขอลองมาเป็นเลขานุการชั่วคราว และยังต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากพนักงานทั้งบริษัท ปีเตอร์ เหวิน ถึงกับปาดเหงื่อเม็ดโต 

เขาถือเป็นหนึ่งในคนสนิทที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสองเป็นอย่างดี มีหรือที่ท่านประธานใหญ่จะทำใจปล่อยให้บุตรสาวสุดที่รักต้องกลายเป็นมดงานใต้อำนาจผู้อื่น ไม่เพียงแค่นั้น...ความเสี่ยงของผลลัพธ์ยังเป็นห้าสิบห้าสิบ หากคุณหนูมีใจรักชอบอยากสืบสานต่อก็แล้วไป นั่นคงเป็นผลดีกับทุกฝ่าย แต่ถ้าผลลัพธ์ดันออกมาตรงกันข้าม เช่นนั้นไม่ถือว่าเขาหาเรื่องบั่นทอนอายุขัยตัวเองหรอกหรือ

“ไม่ว่าใครก็ต้องเริ่มจากศูนย์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะป๊าของฉัน คุณ หรือว่าตัวฉันเอง” 

“มันไม่เหมือนกันนะครับคุณหนู”

“ทำไมจะไม่เหมือน ฉันอยากให้คุณลุงเหวินมองฉันให้ชัดๆ อีกรอบ ถ้าฉันขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแบบไม่มีประสบการณ์ทำงานเลย คุณไม่กลัวว่าฉันจะทำซุนเป่ากรุ๊ปพังครืนในคืนเดียวเหรอคะ”

“เช่นนั้นคุณหนูยิ่งต้องไปเรียนรู้งานกับท่านประธานใหญ่โดยตรง”

“ในเมื่อคุณไม่ให้โอกาสฉัน ฉันก็คงต้องสารภาพความจริงแล้ว” เมลิซซาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ วิธีนี้เป็นท่าไม้ตายที่ใช้ได้ผลกับผู้อาวุโสมานักต่อนัก

“ฉันอยากเซอร์ไพรส์ป๊าค่ะ ในฐานะลูกสาวเอาไหน ป๊าคงดีใจถ้าฉันจับเข่าคุยเรื่องซุนเป่ากรุ๊ปกับท่านรู้เรื่อง สักเล็กน้อยก็ยังดี ฉันเลยได้แต่มาขอร้องคุณลุงเหวินให้รับปากช่วยฉันสักครั้ง” 

หญิงสาวเดาความคิดจากสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคู่สนทนาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าเธอเองก็ไม่ได้พูดสวยหรู จริงอยู่ที่เธออยากเจอเขาคนนั้น แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ไหนๆ ก็เข้ามาถึงถ้ำเสือแล้ว เธอจะถือโอกาสนี้ลองเปิดใจศึกษาธุรกิจโลจิสติกส์ไปในเวลาเดียวกัน เผื่อเทพเซียนบนฟ้าจะดลบันดาลให้เธอเก่งกาจขึ้นมาในชั่วพริบตา ถึงเวลานั้นจะได้มีข้อต่อรองในการเลือกสามีในอนาคตให้ตัวเอง

“คุณหนูครับ ท่านประธานใหญ่ไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องที่คุณหนูจะมาเป็นแค่เลขาฯ...” 

“ฉันรู้ว่าคุณกังวลเรื่องอะไร” ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของซุนเป่ากรุ๊ปตัดบทก่อนที่คู่สนทนาจะพูดจบ เธอใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวส่งสัญญาณเตือนว่าจะไม่ยอมถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง อีกทั้งน้ำตาที่กำลังจะร่วงเผาะเมื่อครู่พลันไหลย้อนกลับได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ 

“ฉันขอยืนยันว่าตัวฉันพร้อมรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมด ในเมื่อฉันคิดจะเรียนผูก…ฉันย่อมต้องเตรียมวิธีแก้เอาไว้ ฉันจะไม่ทำให้คุณหรือใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของฉันอย่างแน่นอน”

“…”

“สรุปจะตกลงไหมคะ”

 

เหมรัชต์มาถึงก่อนเวลาประชุมเกือบชั่วโมง เขาถูกจัดให้อยู่ในห้องรับรองเล็กๆ เป็นส่วนตัวเหมือนครั้งก่อน แฟ้มเอกสารมากมายถูกหยิบออกจากกระเป๋าผ้ามาวางกองเต็มโต๊ะ และยังมีแลปทอปรุ่นเก่าที่เปิดหน้าพรีเซนเทชันค้างไว้ เขาใช้เวลาอันมีค่าที่เหลือตรวจสอบทุกอย่างให้ละเอียดถี่ถ้วนจะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ระหว่างที่อยู่ต่อหน้าตัวแทนสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนอื่นๆ 

ก๊อก ก๊อก 

เสียงเคาะประตูดังขัดสมาธิ ทว่าชายหนุ่มก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เชิญครับ” 

ผู้มาใหม่เปิดประตูเข้ามา ก่อนเดินมาหยุดอยู่ด้านข้าง ยืนนิ่งอยู่นานโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ 

เหมรัชต์ละสายตาจากตัวหนังสือยาวพรืดเต็มหน้ากระดาษไปยังของระเกะระกะบนโต๊ะ พลันเข้าใจสาเหตุได้ทันที มือหนาหยิบแฟ้มหนาซ้อนกันเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างชั่วคราว กล่าวโดยไม่มองผู้มาใหม่เลยสักนิด

“วางไว้ตรงนี้ก็ได้ครับ ขอบคุณมากครับ” 

จากที่ตั้งใจจดจ่อสมาธิอยู่กับงาน ทว่ากลิ่นกาแฟหอมกรุ่นกลับไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้ โดยเฉพาะคนที่อดหลับอดนอนทั้งคืน เขาถอดแว่นพลางนวดขมับเพื่อพักสายตาชั่วคราว ก่อนจะคว้ากาแฟดำมาดื่มรวดเดียวหมด แต่จนแล้วจนรอดคนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับไม่ยอมถอยออกไปสักที ในฐานะผู้มาเยือนเป็นครั้งคราวจะเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายก็ใช่เรื่อง นัยน์ตาเหนื่อยล้าจึงเหลือบมองด้วยความสงสัย

“!!!” 

เหมรัชต์พลันตัวแข็งค้างทันทีที่สบดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าตนเองเคยรู้สึกแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใด ความรู้สึกที่เหมือนกับโดนไฟช็อตอย่างแรงจนสมองมึนงงไปหมด แม้แต่มือที่ถือแก้วกาแฟยังคลายออกจากกันโดยไม่รู้ตัว

ตุบ!

แก้วกระเบื้องสีขาวหล่นกระแทกพื้นพรม กลิ้งไปหยุดข้างรองเท้าส้นสูงของคนผู้หนึ่ง

“โชคดีนะคะที่ดื่มหมดแล้ว ถ้าหกเปื้อนเสื้อคงแย่แน่ๆ เพราะคุณคงไม่ได้พกชุดสำรองไปไหนมาไหนด้วย” ผู้มาใหม่กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ ทว่าสำหรับคนฟังแล้ว…ในหูกลับได้ยินแค่เพียงเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง 

‘พนักงานสาว’ ย่อตัวหยิบแก้วที่ยังหลงเหลือความร้อนระอุขึ้นมาวางบนถาด ก่อนจะถือวิสาสะลากเก้าอี้ล้อเลื่อนมานั่งข้าง ‘ตัวแทนหุ้นส่วนจากประเทศไทย’ เธอรักษาระยะพอเหมาะ ไม่ใกล้หรือว่าไม่ไกลจนเกินพอดี 

“ครั้งนี้พวกเราสามารถแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการได้แล้วใช่ไหมคะ” รอยยิ้มหวานล้ำปรากฏบนใบหน้าของผู้พูด ทั้งยังยื่นมือไปหาคนที่เอาแต่เบิกตากว้างราวกับพบเจอเรื่องแปลกประหลาดในชีวิต

“…” คิ้วเข้มของเหมรัชต์ขมวดแน่นราวกับปมเชือก หน้าผากปรากฏความตึงเครียดหลายเส้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องบ้าๆ แบบนี้มันจะเกิดขึ้นจริง 

คนที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสพบกันอีก…ตอนนี้กลับนั่งอยู่ตรงหน้า 

“ขอแนะนำตัวนะคะ ฉัน ‘เมลิซซา เซี่ย’ เลขาฯ ของผู้อำนวยการเหวิน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” 

ชายหนุ่มสบแววตาเป็นประกายสลับกับมือขาวเนียน ใช่ว่าจะมีหลุมดำให้เขากระโดดหนี สุดท้ายก็ตัดสินใจจับมือแผ่วเบาเป็นการทักทาย แต่ไหนเลยที่อีกฝ่ายจะยอมให้เขาทำแบบขอไปที นิ้วเรียวเล็กที่ดูเหมือนจะไม่มีแรงเป็นฝ่ายกุมมือเขาแน่น แสดงความจริงใจในการแนะนำตัวอย่างถึงที่สุด

“เช็กแฮนด์ต้องทำแบบนี้ค่ะ”

“…”

“ว่าแต่คุณจะไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอคะ”

“ผม...เหมรัชต์ ตัวแทนจากสาขาประเทศไทย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เสียงทุ้มติดจะแข็งทื่อเล็กน้อย ไม่มีความดีใจเจือปนแม้เสี้ยวกระผีก ตั้งแต่ต้นจนจบ หัวคิ้วยังผูกแน่นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน 

ยังจะ ‘บังเอิญ’ เป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกเหรอ

“ค่ะ คุณหามมะราส ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะคะ” เมลิซซาทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ พลางบีบมืออบอุ่นอีกหลายครั้งเพื่อย้ำเตือนว่าเธอไม่ได้ฝันไป 

หามมะราส?

ชื่อที่อีกฝ่ายเรียกทำเอาชายหนุ่มสะดุดกึก หากไม่ได้กำลังจับมือและมองตาเขาอยู่คงคิดว่าเรียกคนอื่นแน่ๆ ไม่ใช่แค่แผลงเสียงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม แต่ยังเติม ‘เอส’ ท้ายเสียงชัดถ้อยชัดคำ อันที่จริงเขาไม่ได้ถือสาเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ แต่เพราะเจอกันที่บริษัทจะปล่อยผ่านก็คงไม่ดีนัก หากในอนาคตมีเรื่องด่วนเรื่องสำคัญ ถ้าเรียกแล้วเขาไม่หันคงไม่เป็นผลดีกับใคร 

“ผมชื่อเหมรัชต์ครับ” สีหน้าของผู้พูดกลับมาราบเรียบดังเดิม ขณะตั้งใจออกเสียงช้าๆ เพื่อให้ผู้ฟังเลียนแบบตามได้ง่าย แน่นอนว่าต้องตัด ‘เอส’ ที่ไม่จำเป็นออก

“ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ” เมลิซซาชักมือที่ค้างในท่าเช็กแฮนด์กลับคืนมา สองแก้มแดงระเรื่อง พึ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้ว่าตัวเองหลงเข้าใจผิดมาได้ตั้งนาน แถมยังมีหน้าไปสอนคนอื่นเป็นตุเป็นตะ

“หัมมะรัด?”

“...” เหมรัชต์กลับมาขมวดคิ้วอีกรอบ ชื่อใหม่ฟังดูแย่ยิ่งกว่าชื่อแรกเป็นหมื่นเท่า

“หรรมมา...” 

“เรียกสั้นๆ ว่าเหมก็ได้ครับ” เสียงทุ้มตัดบทก่อนที่คู่สนทนาจะพาออกนอกเรื่องไปไกลกว่านั้น 

“ได้ค่ะ คุณเหม สั้นแบบนี้ค่อยสะดวกหน่อย” เมลิซซาพยักหน้ารัวๆ ยิ้มแย้ม 

ทั้งสองคนแนะนำตัวกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของใครของมัน

สำหรับเหมรัชต์คือการตรวจเช็กเอกสารทั้งหมดอีกรอบ ส่วนคนที่อ้างว่าเป็นเลขาฯ ก็ย้ายตัวเองไปนั่งอีกมุมของโต๊ะ เท้าคาง ยิ้มแป้นมองเพื่อนร่วมห้องเพียงหนึ่งเดียวราวกับหุ่นยนต์รอคำสั่ง 

ชายหนุ่มพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่นาน แต่ในที่สุดก็ทนความอึดอัดจากการถูกจ้องมองไม่ไหว เอ่ยปากไล่แขกไม่ได้รับเชิญด้วยถ้อยคำสุภาพ 

“อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาประชุมแล้ว คุณกลับไปทำงานเถอะครับ”

“ฉันลืมบอกเรื่องสำคัญกับคุณไปได้ยังไง หน้าที่ของฉันคือได้รับมอบหมายมาให้ดูแลคุณในระหว่างที่อยู่ฮ่องกง ดังนั้นขาดเหลืออะไรก็บอกนะคะ ฉันยินดีช่วยคุณอย่างเต็มที่” 

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลหรอกครับ อีกอย่างผู้อำนวยการเหวินไม่เห็นแจ้งผมเรื่องนี้เลย บางทีอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดรึเปล่า” สีหน้าผู้พูดออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ก็พอจะมองออกว่าไม่ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน 

“เดี๋ยวผู้อำนวยการเหวินก็คงแจ้งคุณเป็นการส่วนตัวค่ะ เพราะฉันเองก็พึ่งได้รับคำสั่งมาเมื่อเช้า ตอนที่เห็นว่าเป็นคุณก็ตกใจมากเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าหงุดหงิดหรืออะไรนะคะ ฉันดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งมากกว่า” เมลิซซากล่าวด้วยแววตาแน่วแน่ ต้องการสื่อสารผ่านภาษากายว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่พูดมากแค่ไหน อีกอย่างที่นี่คืออาณาจักรของบิดาเธอ การที่เธอจะอยู่หรือไป สิทธิ์ขาดอยู่ที่เธอคนเดียวเท่านั้น 

ชายหนุ่มไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำ เพียงหลุบตาและถอนหายใจ ภายในห้องจึงเหลือแค่เสียงพลิกเอกสารสลับกับเสียงขยับเก้าอี้ดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นบางครั้ง คนทำงานก็ทำไป คนจ้องก็จ้องไป นับว่าต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนโดยสมบูรณ์

ถึงจะผ่านไปพักใหญ่ แต่เมลิซซาก็ยังสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นโครมครามอยู่ในอก แค่คำว่าดีใจไม่อาจใช้อธิบายความรู้สึกได้อย่างครอบคลุม เธอรู้ดีว่ามันเป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น โดยเฉพาะทุกครั้งที่นัยน์ตาสีสนิมใต้แว่นทรงรีลอบมองเธออยู่เนืองๆ ก่อนจะดึงสายตากลับไปยังกระดาษสีขาวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

เธออยากบอกเขาเหลือเกินว่า...อยากมองก็มองไปเลย เธอมีเวลานั่งให้เขามองได้ทั้งวัน ไม่สิ...เธอมีเวลาว่างตลอดทั้งสัปดาห์ที่เขาอยู่ฮ่องกงเลยต่างหาก พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องทำงานของ ปีเตอร์ เหวิน

‘วันนี้มีประชุมสรุปผลประกอบการไตรมาสแรกของสาขาฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ทราบคุณหนูต้องการที่จะเข้าไปฟังไหมครับ’

‘ปกติแล้วสาขาของประเทศไหนมีผลประกอบการดีที่สุดคะ’ เมลิซซาเอ่ยถาม พร้อมทั้งนึกข้ออ้างไปสู่คนที่เธอหมายปอง แต่นับว่าฟ้าเบื้องบนเข้าข้าง คำตอบจากผู้อำนวยการของซุนเป่ากรุ๊ปทำเอาเธอยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหู 

‘ประเทศไทยครับ ยอดการนำเข้าและส่งออกแต่ละปีสูงมาก มาเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การวางแผนและบริหารจัดการก็ทำได้ดี พวกเราได้รับผลกำไรจากทางฝั่งนั้นไม่ใช่น้อย ถ้าคุณหนูสนใจรายละเอียด ผมจะแนะนำตัวแทนจากสาขาประเทศไทยให้คุณหนูรู้จัก เขาเป็นคนอายุน้อย แต่มีความสามารถมากทีเดียว’

‘ฟังดูเป็นคนน่าสนใจนะคะ ว่าแต่เขาชื่ออะไรเหรอคะ เผื่อเจอหน้าจะได้ทักทายกันถูก’

‘เหมรัชต์ครับ เขาชื่อเหมรัชต์…’

ผู้ชายที่คนระดับผู้อำนวยการชมเปาะนั่งอยู่เบื้องหน้าเธอนี่เอง เขาแต่งกายเหมือนเมื่อวันแรกที่พบกัน สูทสำเร็จรูปสีดำ เสื้อเชิ้ตสีฟ้า กางเกงขาตรงทรงโบราณ รองเท้าหนังที่มีรอยยับย่น นาฬิกาเรือนเก่า เธอพินิจพิเคราะห์อยู่นานจนกระทั่งหลุบตามองนิ้วเรียวยาวที่กำลังพลิกหน้าเอกสาร

สี่เดือนผ่านไป…ยังคงปราศจากเครื่องประดับจำพวกแหวนเช่นเดิม

แปลกจริงๆ ความรู้สึกโล่งใจแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันนะ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น