กลวิธีที่ 9
หยั่งเชิง
“วันนี้ดูเหนื่อยๆ นะครับ น่าจะหาเวลาพักผ่อนบ้าง ยังไงก็มีเวลาเหลืออีกหลายวัน ถ้ามีอะไรคืบหน้าพวกผมต้องแจ้งคุณอยู่แล้ว” นักวิจัยซิวตบบ่าหนาของเพื่อนร่วมงานชาวไทย บุคคลที่วันนี้ใต้ตาดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
เหมรัชต์วางแก้วกาแฟในมือลง ก่อนให้คำตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ “ผมเลื่อนตั๋วกลับเป็นพรุ่งนี้เช้า มีงานด่วนต้องรีบกลับไปจัดการครับ”
“กะทันหันอีกแล้ว ขาดพนักงานไปคนหนึ่งจะรันงานไม่ได้เลยหรือยังไง ผมอดสงสัยไม่ได้นะว่ามาตรฐานของสาขาประเทศไทยเป็นแบบไหนกัน” ผู้ฟังขมวดคิ้ว ออกจะรู้สึกไม่ยุติธรรมที่พนักงานธรรมดาต้องแบกรับภาระหนักอึ้งบนบ่าราวกับเป็นเจ้าของบริษัทก็ไม่ปาน
“คุณซิวเข้าใจผิดแล้วครับ มันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไร”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเหมือนอย่างที่คุณพูด จำเป็นต้องตามคุณกลับไทยก่อนกำหนดเชียวหรือ ทำอย่างกับว่าฝ่ายกลยุทธ์มีคุณแค่คนเดียว”
ครั้งแรกที่เจอเหมรัชต์เมื่อสี่ปีก่อน เขารู้สึกไม่ชอบหน้าเอาเสียเลย แม้ว่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เพื่อนร่วมงานชาวไทยคนนี้จริงจังยิ่งกว่าคนแก่ ไหนจะไร้ซึ่งอารมณ์ขัน ทั้งยังพูดจาเหมือนหุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมมา ไม่ผิดที่เขาจะคิดว่าอีกฝ่ายทำตัวอวดเบ่ง ด้วยนิสัยเช่นนี้เขาจึงแทบไม่สุงสิงด้วยโดยไม่จำเป็น กระทั่งวันที่ทีมวิจัยของเขาต้องไปตรวจเทคโนโลยีเครื่องจักรที่สาขาประเทศไทยทำให้เขาค้นพบความจริงเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานคนนี้หลายเรื่อง
หากถามว่า ‘ความไม่ยุติธรรม’ หน้าตาเป็นเช่นไร ให้มองที่เหมรัชต์แล้วจะได้คำตอบ
“อย่าหาว่าผมทำตัวสอดรู้สอดเห็นเลยนะครับ แต่บางอย่างคนในทีมของคุณทำแทนได้อยู่แล้ว บริษัทไม่ใช่สถานสงเคราะห์ที่จะเลี้ยงคนไม่มีประโยชน์เอาไว้ อีกอย่างด้วยความสามารถของคุณ การย้ายมาประจำที่ฮ่องกงไม่ใช่เรื่องยาก ตำแหน่งระดับหัวหน้าก็มีตั้งมากมาย ทำไมคุณไม่ลองพิจารณาความก้าวหน้าข้อนี้ดูบ้าง”
“ผมชอบอยู่บ้านเกิดเมืองนอนมากกว่า” เหมรัชต์ยกยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าได้รับคำชวนเป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่ต่อให้ผลประโยชน์ยวนใจมากกว่านี้…ตัวเขาก็ไม่สามารถตกปากรับคำได้
“คุณสามารถเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นบ้านเกิดเมืองนอนได้นะครับ เผื่อว่าคุณยังไม่รู้”
“ผมถือสัญชาติไทยนะครับ”
“ก่อนอื่นคุณต้องสะกดคำว่า ‘อารมณ์ขัน’ ให้ถูก แล้วชีวิตคุณจะมีสีสันขึ้นเยอะ” บุรุษก็คือบุรุษวันยังค่ำ พอโยงถึงเรื่องผู้หญิงสีหน้าท่าทางก็ดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากตอนทำงานลิบลับ
“ลองเดตสาวฮ่องกงสักคนสิครับ เผื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนทางจิตใจให้คุณอยากอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต” นักวิจัยซิวยักไหล่ให้คำตอบราวกับเป็นเรื่องง่ายดายที่จะหาผู้หญิงสักคนลงหลักปักฐานด้วย จนลืมสังเกตว่าผู้ฟังออกจะตัวแข็งทื่อเล็กน้อย แม้แต่สีหน้ายังออกจะซับซ้อน
“ผมมีเพื่อนผู้หญิงสวยน่ารักอยู่หลายคน การศึกษาก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ หน้าที่การงานก็ไม่เลว แน่นอนว่ายังโสด คืนนี้ไปดื่มด้วยกันสิครับ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับพวกเธอ”
เหมรัชต์นิ่งงัน ในห้วงความคิดปรากฏใบหน้าของคนผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าคุณสมบัติที่เพื่อนร่วมงานชาวฮ่องกงพูดมาค่อนข้างจะตรงกับ ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ทุกข้อ
สวยน่ารัก…เขาที่ไม่ได้มองผู้หญิงมานานก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ พอโยงมาถึงเรื่องการศึกษา การที่คนคนหนึ่งพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และยังสามารถพูดสเปน แน่นอนว่าคงไม่ได้ครูพักลักจำแบบขอไปที การศึกษาน่าจะอยู่ในระดับดีถึงดีมากด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องหน้าที่การงาน ด้วยค่าครองชีพในฮ่องกง เผลอๆ เธออาจจะเงินเดือนสูงกว่าเขาสองถึงสามเท่าตัว และยังมีโอกาสก้าวหน้าขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
ดังนั้น…ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวอีกฝ่ายเลยสักนิด
“ขอบคุณที่หวังดีนะครับ แต่ผมยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน”
“คุณเหมรัชต์ คุณยังหนุ่มยังแน่น ถ้าไม่คิดเรื่องแต่งงานตอนนี้แล้วจะคิดตอนไหน ไม่ได้ๆ ครั้งนี้ผมขอมัดมือชกเลยก็แล้วกัน ถือว่าเลี้ยงฉลองก่อนกลับไทย!” นักวิจัยซิวไม่ยอมให้ถูกปฏิเสธ ล้วงอุปกรณ์สื่อสารจากกระเป๋ากางเกง ไม่ฟังคำห้ามปรามของเพื่อนร่วมงานแม้แต่น้อย
“คุณซิว ผม…”
“เชื่อผมเถอะครับคุณเหมรัชต์ คุณไม่ผิดหวังแน่นอน เพื่อนของผมสวยจริงๆ มีคนหนึ่งจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยอีด้วยนะ ลองเปิดใจคุยกับเธอดู วันหลังคุณอาจต้องมาขอบคุณผมที่เป็นพ่อสื่อให้ก็ได้” ขณะทำท่าจะกดโทร. นัดเพื่อนผู้หญิงให้ออกมาพบกันคืนนี้ กลับถูกขัดด้วยเสียงก้องราวกัมปนาทจนโทรศัพท์แทบหลุดมือ
ปัง!!!
ต้นตอของเสียงเกิดจากหญิงสาวที่ไม่มีใครรู้ว่าเข้ามาในห้องตอนไหน ริมฝีปากอวบอิ่มยังคงรอยยิ้มหวานฉ่ำเหมือนทุกครั้ง ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลับฉายรังสีอำมหิตพุ่งตรงไปยังโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กจนผู้เป็นเจ้าของถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะ แต่ฉันไม่คิดว่าประตูจะหนักขนาดนี้…เลยเผลอปล่อยหลุดมือ” เสียงหวานเยียบเย็นยิ่งกว่าอากาศในขั้วโลกเหนือ ขณะชักมือบางที่กุมด้ามจับประตูกลับคืนมาด้วยกิริยาเชื่องช้า น่ามอง หากไม่ใช่คนตาบอด ดูก็รู้ว่าผู้ลงมือจงใจเหวี่ยงปิดประตูสุดแรง แต่ทำไปเพื่ออะไรนั้น เหมือนจะมีแค่เจ้าตัวที่รู้เหตุผล
“คุณทั้งสองอย่าตำหนิกันเลยนะคะที่ฉันทำตัวเสียมารยาท”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับคุณเมลิซซา พวกเราไม่ได้คุยเรื่องสำคัญอะไร ใช่ไหมครับคุณเหมรัชต์” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่นักวิจัยซิวก็รีบยัดโทรศัพท์คืนที่เดิม ทั้งยังส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังชายหนุ่มอีกคนในห้อง แต่กลับพบว่าทั้งสองต่างจ้องหน้ากันเขม็งราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตมานับพันปี
แปลกจริง…เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย
“แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ นานๆ ทีได้สังสรรค์ก็ไม่เลว คืนนี้ให้ผมเป็นเจ้ามือนะครับ ถือว่าฉลองที่พวกเราได้ทำงานร่วมกันอีกครั้ง” เหมรัชต์ละสายตาจากผู้มาใหม่ ก่อนหันไปพยักหน้ากับเพื่อนร่วมงานชาวฮ่องกง
“เจ้ามือ? หมายความว่ายังไงนะครับ คุณยอมไปเจอเพื่อนของผมแล้วเหรอ” นักวิจัยหนุ่มยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สีหน้าจึงมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
“อย่างที่คุณซิวพูด หลายคนก็น่าสนุกดี คงต้องรบกวนคุณให้ชวนคนอื่นๆ ด้วย”
“นั่นไม่มีปัญหาครับ…”
ชายหนุ่มชาวฮ่องกงมองคนทั้งสองสลับไปมา ในฐานะนักวิจัยที่จบสาขาวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ เขาสัมผัสได้ถึงประจุไฟฟ้ารุนแรงไหลบ่าไปทั่วห้อง ราวกับว่าถ้ายังฝืนอยู่ตรงนี้คงต้องถูกชอร์ตอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ดูเหมือนคนที่ยืนขวางประตูจะไม่ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตหน้าไหนออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!
“หืม? จะไปดื่มกันที่ไหนเหรอคะ ฟังดูน่าสนุกจังเลย ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจ ฉันขอติดสอยห้อยตามไปด้วยคนนะคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ทันไรกลับถูกเสียงทุ้มพูดขัดขึ้น
“ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเหลือหลายเรื่อง แต่คุณอาจจะยังไม่ทราบ ผมแจ้งกับผู้อำนวยการเหวินแล้วว่าคงไม่รบกวนคุณไปมากกว่านี้ นี่เป็นการเลี้ยงฉลองในทีม คุณอาจจะอึดอัดก็ได้” หากมีไหวพริบสักหน่อย คงสามารถสรุปคำพูดยาวเหยียดเหลือแค่ ‘ไม่ได้ชวน’
“คุณเหมรัชต์ใจดีจังเลยนะคะ เป็นห่วงความรู้สึกของฉันด้วย แต่จริงๆ ฉันเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี รับรองว่าไม่สร้างความอึดอัดให้คนอื่นแน่นอน อีกอย่างกระเพาะฉันก็เล็กแค่นี้ ฉันไม่กินเยอะหรอกค่ะ คุณที่เป็นเจ้ามือคงไม่ถึงกับล้มละลายหรอก” เจ้าของดวงตากลมโตทำหน้าไร้เดียงสาขณะทำไม้ทำมือประกอบการอธิบาย ไม่ใช่ว่าแปลความนัยของเขาไม่ออก แต่เธอไม่คิดจะแปล ใครจะทำไม
“ผมกังวลแทนคนในทีมต่างหาก ถ้ามีคนนอกอยู่ด้วย พวกเขาก็คงต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม”
“คนนอกเหรอคะ ตายจริง คุณเหมรัชต์พูดแบบนี้ ‘เพื่อนสาว’ ของคุณซิวได้ยินคงเสียใจแย่ คุณเป็นคนนัดเจอเธอแท้ๆ แต่กลับตั้งแง่ตั้งแต่เริ่มต้น ระวังคนอื่นจะเข้าใจผิดเอานะคะ” เมลิซซาจดปลายนิ้วชี้ชิดริมฝีปาก ยิ่งเห็นคนหน้านิ่งขมวดคิ้วก็ยิ่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิม มาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องรักษาหน้ากันอีกเหรอ เธอเองก็อยากจะรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายถอยก่อนกัน
“คุณเมลิซซาไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ ผมดูแล ‘เพื่อนสาว’ ของคุณซิวได้ แต่ใครกันที่จะสละเวลามาดูแลคุณ” เหมรัชต์เน้นย้ำบางคำ ชั่วขณะนั้นเขาเห็นคู่สนทนากัดฟันกรอด ไม่คิดจะเก็บงำความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
“แหม คุณเหมรัชต์หยอกแรงเกินไปแล้ว” เมื่อไม่อาจต่อกรแบบหนึ่งต่อหนึ่ง หญิงสาวจึงไม่ลังเลที่จะดึงคนนอกเข้ามาช่วยเหลือ “คุณซิวคิดว่ายังไงคะ ถ้ามีฉันเพิ่มอีกสักคนจะลำบากรึเปล่า”
ต่อให้เป็นอัจฉริยะก็ยากจะผ่านด่านสาวงาม นักวิจัยซิวถูกรอยยิ้มเจิดจ้าปั่นป่วนความคิด ดังนั้นจึงเผลอคล้อยตามอย่างว่าง่าย “หลายคนก็สนุกดีนะครับ อีกอย่างเพื่อนๆ ของผมน่าจะมาแจมด้วย คุณเมลิซซาไม่เหงาหรอกครับ คุณเหมรัชต์ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบคุณมากนะคะคุณซิว ฉันถามไม่ผิดคนจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับคุณเมลิซซา ผมยินดี คุณเหมรัชต์ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ใช่ไหมครับคุณเหมรัชต์”
“…” เจ้าของชื่อเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำราวกับว่าประโยคคำถามดังกล่าวเป็นเพียงสายลมพัดผ่าน
“เอ่อ คุณเหมรัชต์…”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ พึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปจัดการ” เมลิซซาสะกดกลั้นไม่ให้ถลาเข้าไปทุบคนหน้านิ่งสักผัวะ ท่าทางของเขามันยั่วโมโหจนเธอคันไม้คันมือเหลือคณนา
“อ้อ เกือบลืมไปเลย เมื่อเช้าฉันโดนผีตะกละเข้าสิง เลยซื้อของพวกนี้มาเยอะเกินไป ถ้าคุณซิวไม่รังเกียจช่วยรับไว้แทนคำขอบคุณจากฉันนะคะ” หญิงสาวฝืนยิ้มกว้างประหนึ่งนางงามมิตรภาพ พลางยื่นถุงในมือให้นักวิจัยหนุ่ม ก่อนสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปโดยไม่ชายตาแลคนที่เอาแต่นิ่งเงียบ โชคร้ายที่เธอไม่มีตาหลัง จึงไม่เห็นว่าใครบางคนลอบมองตามเช่นกัน
“คนอะไรทั้งสวยทั้งใจดี ไม่แปลกที่เพื่อนของผมจะเพ้อถึงคุณเมลิซซาหนักมาก ผมหมายถึงเจ้าฉือน่ะ เห็นบอกว่าคุณเมลิซซานี่สเปกเลย” นักวิจัยซิวมองตามร่างระหงด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม บุรุษอกสามศอกคนไหนจะไม่ใจอ่อนยวบให้แก่สาวสวยกันล่ะ แต่เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังแปล๊บ เมื่อหันกลับไปก็พบนัยน์ตาสีสนิมจ้องมองผ่านแว่นอย่างไม่ใคร่พอใจนัก
“เอ่อ เยอะแยะขนาดนี้ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งดีกว่า” หนุ่มชาวฮ่องกงพยายามคลี่คลายสถานการณ์ แต่ก็ถูกเพื่อนร่วมงานปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ตามสบายครับ ผมไม่หิว” เหมรัชต์หน้าตึง กล่าวจบลุกออกจากห้องตามไปติดๆ
คนถูกทิ้งได้แต่ก้มมองของในมือ ในใจพลันผุดคำถามขึ้นมา
เดี๋ยวนะ…นี่เขาทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ
ถึงจะไม่ใช่ช่วงสุดสัปดาห์ แต่ร้านคาราโอเกะก็ยังเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย ทุกห้องถูกจับจองจนเต็ม แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหลายช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา หนุ่มสาวออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งวัยกลางคนที่ชวนกันออกมาสังสรรค์
คืนนี้นักวิจัยซิวจองห้องขนาดกลางสำหรับสิบสองคน แบ่งเป็นชายหญิงอย่างละครึ่ง นั่งหันหน้าเข้าหากัน ตัวเขาเองและเพื่อนๆ ล้วนจับคู่สาวๆ กันเรียบร้อย จะเหลือก็แต่บุคคลทั้งสี่ที่ยืนมองหน้ากันอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
เหมรัชต์ เมลิซซา นักวิจัยฉือ และโซเฟีย สาวพนักงานธนาคารเพื่อนสมัยเรียนของนักวิจัยซิวที่ถูกเรียกมาเพื่อทำความรู้จักกับเหมรัชต์โดยเฉพาะ
“คุณเมลิซซา เชิญครับ” นักวิจัยฉือรวบรวมความกล้าชวนคนสวยจับคู่กับตน
เจ้าของชื่อเหลือบมองคนใส่แว่นเล็กน้อย ก่อนเขยิบเข้าไปนั่งด้านในแต่โดยดี ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าเหมรัชต์และสาวพนักงานธนาคารนั่งปิดท้ายแถว ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าตำแหน่งลุกง่ายออกง่ายเอื้อประโยชน์อะไรหลายอย่าง เช่นการชวนกันออกไป ‘สูดอากาศ’ ด้านนอก
“สวัสดีค่ะ ฉันโซเฟีย อัน หรือคุณจะเรียกโซเฟียก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ผู้พูดเป็นหญิงสาวหน้าตาหมดจด แต่งตัวด้วยของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้า เธอแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร พร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็กแฮนด์ทักทาย
“เหมรัชต์ครับ” เหมรัชต์แนะนำตัวกลับตามมารยาท กุมมือเล็กเบาๆ ก่อนจะรีบคลายออก
เคร้ง!
“เอ้า! ทุกคนหมดแก้ว”
การเริ่มต้นด้วยเบียร์เย็นๆ เป็นการละลายพฤติกรรมที่ดีที่สุด ดังนั้นของเหลวสีทองซาบซ่าจึงถูกกรอกลงท้องแก้วแล้วแก้วเล่า สาวๆ แก้มแดงเรื่อขณะทำท่าทางเหมือนคนคออ่อน เว้นแต่คนสวยหนึ่งคนที่กระแทกแก้วดังปึง แววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดจวนเจียนจะระเบิด
เมลิซซาดูภาพยนตร์เกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังวิเศษมาตั้งมาก แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งเรื่องอัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เธอพยายามวางศักดิ์ศรีหนักอึ้งอย่างยากลำบาก เป็นฝ่ายชวนผู้ชายบ้าและใจร้ายคุยตั้งแต่เช้า แต่ก็ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ หรือจะชวนคุยผ่านคนอื่น เขาก็จะเปลี่ยนเรื่องไปแบบดื้อๆ เธอทำกระทั่งแกล้งเดินชนแรงๆ เขาก็มองทะลุเธอไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันนี้เธอพึ่งเข้าใจพลังวิเศษของตัวเองโดยแจ่มแจ้ง เป็นมนุษย์มายี่สิบห้าปี อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นอากาศธาตุแบบไม่รู้ตัว
ทำเกินไปแล้ว!
“ว่าแต่สำเนียงพูดแบบนี้…คุณเหมรัชต์เป็นคนที่ไหนเหรอคะ” โซเฟียถามคำถามทั่วไป พยายามเล่นหูเล่นตากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นระยะ
เหมรัชต์ย่อมสัมผัสได้ว่าตนเองถูกแววตาประหนึ่งเข็มพันเล่มทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่าง แต่เขาพิสูจน์มาแล้วว่าการต่อความยาวสาวความยืดไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะก็สิ้นเรื่อง
“ผมเป็นคนไทยครับ”
“ว้าว! ฉันชอบทะเลที่ประเทศไทยมากเลยค่ะ ไว้รอบหน้าต้องรบกวนให้คุณเหมรัชต์เป็นไกด์พาเที่ยวซะแล้ว” หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองมีดีพอสมควร หากเป็นผู้ชายปกติคงจะตอบรับด้วยความยินดี แต่น่าเสียดายที่คู่สนทนากลับเอาแต่ถามคำตอบคำ หลุบตามองโต๊ะเหมือนคนเข้าสังคมไม่เป็น
“ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ก็ยินดีครับ”
“ว่าแต่งานอดิเรกของคุณเหมรัชต์คืออะไรเหรอคะ คุณชอบตีกอล์ฟรึเปล่าเอ่ย ฉันเป็นเมมเบอร์คลับกอล์ฟดีๆ ครั้งหน้าพวกเราไปด้วยกันได้นะคะ ถือว่าเป็นการขอบคุณดีลในอนาคตของพวกเรา”
เจ้าของแว่นตาทรงรีจับแก้วเย็นเฉียบ ก่อนจะส่ายเบาๆ ให้คำตอบ “ผมไม่เคยตีกอล์ฟมาก่อนเลยครับ”
“แล้วปกติคุณทำอะไรในวันหยุดคะ”
“ทำโอทีครับ”
“…”
โซเฟียหน้าม้าน เริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ตอนได้ยินเพื่อนชวนมาก็คิดว่าจะได้พบคนหนุ่มอนาคตไกล แต่พอได้เจอก็อดผิดหวังไม่ได้ ด้วยอาชีพการงานที่ต้องพบปะคนหลากหลาย เธอย่อมรู้ดีว่าไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก ดังนั้นจึงยอมเปิดใจให้โอกาสคนน่าเบื่อตรงหน้า ทว่าผลลัพธ์ช่างได้ไม่คุ้มเสีย อย่าได้ริไปเทียบลูกค้าที่มาก้อร่อก้อติกเธอเลย แค่ผู้ชายคนอื่นๆ ในห้องเขาก็ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุด
เสียเวลาแต่งหน้า แต่งตัวจริงๆ
สาวพนักงานธนาคารเลิกพยายามสานสัมพันธ์กับคนที่ทำโอทีเป็นงานอดิเรก เหลือบมองหญิงสาวข้างๆ ที่ทำตัวเสียมารยาทเท้าคางจ้องเธอมาตั้งแต่ต้น ทั้งหน้าตาและการแต่งกายของอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ชะงัด ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็เฟอร์เฟกต์ไร้ที่ติ ช่างเป็นคนที่เสแสร้งได้แนบเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงที่เธอเคยพบพานมาทั้งชีวิต ซึ่งเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนประเภทนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร และเดาได้ว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ชอบหน้าเธอเช่นกัน
ทำไมไม่สลับคู่ให้รู้แล้วรู้รอดนะ…
“ไม่ทราบว่ามีอะไรติดหน้าฉันรึเปล่าคะ” โซเฟียโพล่งถามอย่างอดไม่ได้ ถึงจะใช้น้ำเสียงสุภาพ แต่ผู้หญิงด้วยกันย่อมฟังออกว่าประโยคดังกล่าวแฝงความไม่พอใจอยู่ไม่ใช่น้อย
“รอยร้าวน่ะค่ะ เอ่อ…ไม่ใช่สิฉันอาจจะใช้คำผิดไป หมายถึงมีคราบแป้งติดตรงแก้มค่ะ” เมลิซซายิ้มจนตาหยี ขณะดึงทิชชูหลายแผ่นส่งให้
“อ้อขอบคุณค่ะ”
“จะว่าไปคุณโซเฟียผิวสุขภาพดีมากเลยนะคะ เห็นเลือดฝาดซิบๆ เลย เอ่อ…หมายถึงแก้มมีเลือดฝาดค่ะ”
“อุ๊ย! ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันก็เข้าคอร์สบำรุงนิดหน่อย ก็ไม่แพงหรอกค่ะ ประมาณหมื่นกว่าเหรียญแค่นั้น แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณที่ชมนะคะ”
เหมรัชต์มุ่นหัวคิ้วมองคนที่กำลังซับหน้าอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สลับกับคนที่กล้าหาเรื่องชาวบ้านบนโต๊ะสังสรรค์ พบว่าดวงตากลมโตคู่นั้นจับจ้องมาที่เขาพอดี ทั้งยังยกยิ้มมุมปากประหนึ่งผู้ชนะในสงครามเย็น
“ว่าแต่คุณเมลิซซาเรียนจบจากที่ไหนเหรอครับ พวกผมจบจากมหาวิทยาลัยอี รู้จักกันมาหลายปีแล้วครับ” หลังจากนั่งเงียบมาตั้งนาน นักวิจัยฉือจึงถือโอกาสชวนคู่ของตนคุยบ้าง มหาวิทยาลัยอีนับว่ามีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของฮ่องกง การสอบเข้าไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเขาจึงวาดหวังว่าจะสร้างความประทับใจให้แก่สาวที่ตนหมายปอง
เมลิซซาที่กลั้นขำจนไหล่สั่นกลอกตากลับมายังคู่สนทนา อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อตอนแรกสลายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน ต่อให้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็มีความสุขมากที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนี้
“ว้าว พวกคุณนับว่าเป็นหัวกะทิเลยนะคะ เป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้รู้จักกัน”
“ฮ่าๆๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เรียกว่าเป็นความโชคดีน่าจะถูกต้องกว่า”
ตัวอย่างการตัดบทสนทนาแบบน่าเกลียดมีอยู่ให้เห็นทนโท่ คนอารมณ์ดีพลันนึกสนุกอยากเลียนแบบขึ้นมาบ้าง
“เฮ้อ ฉันอิจฉาชีวิตวัยรุ่นของพวกคุณจริงๆ ตัวฉันไม่จบมหาวิทยาลัยค่ะ มีปัญหานิดหน่อยเลยไม่ได้เรียนต่อในฮ่องกง” หญิงสาวยิ้มมุมปาก เธอไม่ได้พูดปดเสียหน่อย ก็เธอไม่ได้จบมหาวิทยาลัยในฮ่องกงนี่นะ เธอจบจากลอนดอนต่างหาก
“ปัญหาทางบ้านเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันทำในสิ่งที่ครอบครัวคาดหวังไม่ได้ คะแนนสอบออกมาแย่มากๆ จนถูกไล่ออกจากบ้าน” ทั้งๆ ที่รู้คำตอบ แต่เธอก็จงใจทำข้อสอบมั่วให้คะแนนออกมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุด แน่นอนว่าโดนปะป๊าสุดที่รักทุบไปสองที หลังจากนั้นก็หอบเงินออกจากบ้านไปเรียนต่อในสิ่งที่ชอบ
“เอ่อ…แล้วคุณเมลิซซาเรียนมัธยมที่ไหนเหรอครับ” นักวิจัยฉือถามต่ออย่างระมัดระวัง ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของคนที่ตนหมายปองโดยไม่จำเป็น ใครจะไปคิดว่าชะตากรรมสาวสวยจะรันทดขนาดนี้
“ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยม…ฉันเรียนโรงเรียนธรรมดามาตลอดค่ะ คนที่มีความสามารถน้อยนิดอย่างฉันคงสอบเข้าโรงเรียนระดับหนึ่งไม่ไหว” แน่นอนว่าธรรมดาสำหรับเหล่าทายาทผู้มีอิทธิพล สำหรับคนอื่นเธอไม่รู้
พอได้ยินคำตอบโซเฟียก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน นอกจากหน้าตาสวยๆ ก็ไม่มีอะไรเทียบเธอได้สักนิด จึงเปิดปากแนะนำ ‘คนไม่มีการศึกษา’ อย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
“สมัยนี้ถ้าอยากจะก้าวหน้าเรื่องอาชีพการงาน มีปริญญาติดตัวไว้บ้างน่าจะดีกว่านะคะ ฉันได้ยินว่ามหาวิทยาลัยแซดเปิดรับนักศึกษาแบบไม่ต้องสอบ แถมยังมีเรียนภาคค่ำด้วย ถ้าคุณเมลิซซาสนใจ ฉันพอจะแนะนำให้ได้”
“ขอบคุณมากค่ะ นี่สินะความแตกต่างระหว่างคนเก่งกับคนไม่เอาไหน ฉันแทบไม่รู้เรื่องอะไรนอกจากแต่งหน้าแต่งตัวเลยค่ะ ถ้ามีคนเก่งๆ อย่างคุณโซเฟียให้คำแนะนำจะต้องดีมากแน่ๆ”
คิ้วเข้มของเหมรัชต์คลายออกจากกันในท้ายที่สุด พลางเหลือบมองคนนั่งเท้าคางตอบคำถามด้วยท่าทางสบายๆ นึกถึงสุภาษิต ‘ปั้นน้ำเป็นตัว’ ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะ ‘มีความสามารถอันน้อยนิด’ เหมือนอย่างที่พูด คนเรามีความสามารถและความถนัดต่างกัน สิ่งที่เธอเชี่ยวชาญใช่ว่าคนอื่นจะเลียนแบบได้ อีกอย่าง…คนที่นั่งอ่านเอกสารวิจัยภาษาอังกฤษจบทั้งเล่มได้แบบไม่ทุกข์ร้อน ทั้งยังยืนคุยกับนักวิจัยชาวฝรั่งเศสคล่องปรื๋อ น่าจะห่างไกลกับคำว่า ‘ไม่เอาไหน’ คนละโยชน์
เพียงแค่…ไม่มีใครสังเกตตอนที่ตุ๊กตาล้มลุกตัวนี้แสดงความสามารถก็เท่านั้น
“คุณเมลิซซาก็ชมเกินไป ฉันแค่ขยันกว่าคนอื่นนิดหน่อย เลยได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนระดับหนึ่งมาตลอด พอเรียนจบปริญญาตรีได้สองปีก็ต่อปริญญาโท แต่เอาเถอะ...พวกเราอย่าคุยเรื่องเครียดกันเลยค่ะ มาดื่มให้แก่มิตรภาพของพวกเราดีกว่า” โซเฟียปิดปากหัวเราะ ก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด
“ดื่มให้แก่มิตรภาพของเรา” เมลิซซาหันไปชนแก้วกับคนข้างเคียง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มสวมแว่นเป็นคนสุดท้าย เขาคล้ายจะถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมชนแก้วกับเธออย่างเลี่ยงไม่ได้
“เฮ้ๆ ฝั่งนั้นไม่ร้องเพลงกันเหรอ มาๆ ไม่ร้องสามเพลง ผมไม่ให้กลับบ้านนะ” เสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากหัวโต๊ะ ก่อนที่นักวิจัยฉือจะผลักคนไทยเพียงหนึ่งเดียวออกไปสังเวยแก่ไมโครโฟนไร้สาย
“ไปเลยคุณเหมรัชต์! ผมอยากได้ยินคุณร้องเพลงมาตั้งนานแล้ว”
“ขอโทษครับ ผมร้องเพลงไม่เป็น” เหมรัชต์ขืนตัวสุดชีวิต นัยน์ตาสีสนิมหลังแว่นเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ พึ่งตระหนักได้ว่าไม่น่าตกปากรับคำมาที่นี่ตั้งแต่แรก พลางก่นด่าการตัดสินใจผิดพลาดซึ่งเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ
“ร้องเลยคุณเหมรัชต์! ร้องเลย! ร้องเลย!” คนทั้งสิบปรบมือเป็นเสียงเดียวกัน ฝ่ายชายที่เริ่มกรึ่มๆ เข้ามาช่วยดึงคนใส่แว่นคนละไม้คนละมือให้ออกไปยืนด้านหน้า ไม่ได้สนใจเลยว่าเหยื่อจะมีสีหน้าย่ำแย่แค่ไหน
พลั่ก!
เหมรัชต์ผลักอกคนที่ล็อกแขนกระเด็นไปหลายก้าว ก่อนจะกล่าวย้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ขอโทษนะครับ ผมร้องเพลงไม่เป็น”
“เอาน่า! นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี มา! เดี๋ยวผมช่วยคุณร้องเอง” จนใจที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้สติลดน้อยลง ถึงจะถูกปฏิเสธขนาดนั้นกลับมองเป็นเรื่องล้อเล่น
“คุณเหมรัชต์! ร้องเลย! ร้องเลย!”
“สักหน่อยนะคะคุณเหมรัชต์!”
ปึง!
เสียงกระแทกแก้วกับโต๊ะดังมากพอที่จะเรียกสายตาทุกคู่มารวมกันที่จุดเดียว ไม่ว่าจะหญิงหรือชายพลันเงียบกริบโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่นานร่างในชุดเดรสสูทสีเขียวอ่อนก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มหวานให้ทุกคนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
“ฉันไม่คิดว่าคุณเหมรัชต์จะร้องเพลงเพราะกว่าฉันนะคะ”
“…”
“หรือใครมั่นใจว่าร้องเพลงได้เพราะกว่าฉัน ก็ลองค้านมาดู”
ความคิดเห็น |
---|