7

บทที่ 7

7

 

ใต้แสงไฟช่วงพลบค่ำถนนอิฐแบบโบราณปูเรียงเป็นระเบียบ สองฟากถนนตั้งแผงอาหารไว้หลากหลาย หลายร้านเปิดหน้าร้านออกมาจากอาคารโบราณสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ที่แม้จะไม่ได้บูรณะจนใหม่เอี่ยม แต่ก็ยังรักษากลิ่นอายดั้งเดิมของบ้านเรือนโบราณอายุนับร้อยปีไว้เป็นอย่างดี บริเวณเมืองเก่านี้เป็นถนนคนเดินในทุกเย็นวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์สัปดาห์สุดท้ายของทุกเดือน ช่วงหัวค่ำจึงแพรวพรายด้วยแสงไฟทั้งจากโคมไฟถนนและบรรดาร้านค้าที่คึกคักแน่นขนัดไปด้วยผู้คนทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาก่อนเลยไปสู่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเล

ถึงจะคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวแค่ไหน แต่ภาพของคนกลุ่มใหญ่ที่ล้วนเป็นผู้ชายตัวโตๆ เดินล้อมกันต์กับรสิกาไว้ตรงกลาง อย่างไรก็เป็นที่แปลกตาจนรสิกาถูกร้องทักตลอดทาง

“เพื่อนหนูรัสเองค่ะ” รสิกาเลือกตอบคำอย่างยิ้มแย้ม ขณะ เพื่อน’ ผู้มีสถานภาพสามีตีทะเบียนทำปากเบ้ สีหน้าไม่สบอารมณ์กับสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านที่ดูทุกคนจะรู้จักยายหนูรัสกันหมด

“ปกติเธอกินอะไร” กันต์ถามอย่างหมดความอดทนเมื่อเห็นรสิกายังเที่ยวทักทายชาวบ้านไม่เลิก

“ทุกทีมื้อเย็นฉันกินข้าวกล่องที่เหลือจากกลางวันค่ะ หรือไม่งั้นก็ลูกชิ้นปิ้ง หรือหมูปิ้งสักสองไม้ก็อิ่มมากแล้ว” รสิกาหันไปอธิบายด้วยสีหน้าสดใส ไม่มีรอยน้อยเนื้อต่ำใจในเมนูอาหารอันอัตคัดนั้นเลยสักน้อย

“ลูกชิ้นปิ้ง?” กันต์เลิกคิ้วสงสัย

“นั่นไงคะ ที่เสียบไม้วางขายอยู่ตรงนั้นไง หรือไม่งั้นหมูปิ้งนมสดเจ้าลุงชัยก็อร่อยนะคะ น้ำจิ้มแจ่วกินกับข้าวเหนียวอร่อยมากเลยล่ะค่ะ” รสิกาแนะนำเมนูโปรดที่กินมาตลอดสี่ห้าปีมานี้ พอหันมาเห็นสีหน้าเหวี่ยงๆ ของหนุ่มเจ้าอารมณ์ข้างตัว เธอก็ต้องกลอกตามองบน ข่มใจนิดหน่อยก่อนถามเอาใจ “คุณกันต์อยากทานอะไรล่ะคะ ฉันจะพาไปหาร้านแถวนี้ มีที่เด็ดๆ ดีๆ อร่อยอยู่หลายร้านเลยค่ะ”

“ฉันจะกินซีฟูด แถวนี้มันอยู่ติดทะเลไม่ใช่หรือไง มีซีฟูดร้านไหนที่เรคคอมเมนต์บ้าง” กันต์บอกด้วยสีหน้าที่ไม่อารมณ์ดีขึ้นสักนิด

“ซีฟูดเหรอคะ” รสิกาอึ้งไปแป๊บก่อนเปิดรอยยิ้มกว้างชี้นิ้วไปทางตะแกรงย่างขนาดใหญ่ตรงหน้า

“หมึกย่างน้ำจิ้มซีฟูดของเจ๊ภาก็แจ่มค่ะ น้ำจิ้มเผ็ดแซ่บอร่อยมากเลย รอแป๊บนะคะ” ว่าแล้วรสิกาก็ตรงไปสั่งปลาหมึกปิ้งจากร้านที่เธอชี้บอก

ตะแกรงร้อนๆ ถูกรมไฟจนดำวางเรียงไว้ด้วยปลาหมึกหลากหลายชนิดและขนาดตัวนอนร้อนๆ รอให้เลือกรับประทาน

ไม่กี่นาทีต่อมาถุงปลาหมึกปิ้งร้อนๆ ก็ถูกยื่นตรงหน้า

“นี่ค่ะ ปลาหมึกปิ้งน้ำจิ้มซีฟูดสุดแซ่บ สูตรซูเปอร์เผ็ดระดับสิบ ใครได้กินรับรองต้องร้องซี้ดส์” รสิกาการันตี ไม่ได้เอะใจเลยสักนิดถึงสายตาดุดันที่กันต์ส่งมาให้ ทั้งบรรดาลูกน้องของเขาที่ทำท่าเลิ่กลั่กกันใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะห้ามปรามรสิกาก็ใช้ไม้แหลมจิ้มปลาหมึกชิ้นหนึ่งขึ้นมา ยื่นไปตรงหน้ากันต์เสียแล้ว

“ชิมสิคะ อร่อยนะ” รสิกาบอกเขาอย่างแปลกใจไม่น้อย ก็...เห็นเขาบอกว่าอยากกินซีฟูดไม่ใช่หรือไง นี่ปลาหมึกปิ้งเจ้าที่อร่อยที่สุดบนถนนนี้แล้วนะ แถมน้ำจิ้มซีฟูดที่เขาเรียกร้องนั้นก็เคลือบฉ่ำออกขนาดนี้ ทำไมยังทำหน้าขัดใจอยู่อีก

“ไอ้เนี่ยมันคือของกินได้งั้นเรอะ” กันต์ถามพลางจิกสายตาเข้าใส่เจ้าก้อนเกรียมไฟสีนวลๆ ที่มีชิ้นผักหรืออะไรสักอย่างสีเขียวๆ แดงๆ เคลือบไว้ราวไวต์บอลอาบสมุนไพร

“กินได้สิคะ นี่ไง”

เห็นกันต์ไม่ยอมเปิดปากรับเสียที เอาแต่จิกสายตาดุดันมาใส่ รสิกาไม่รู้จะทำยังไง จึงเอาปลาหมึกชิ้นนั้นเข้าปากเสียเอง 

ปลาหมึกสดใหม่เนื้อหนึบปิ้งได้ที่ไม่เหนียวเกินเคี้ยวเด้งสู้ฟันกำลังดี แถมด้วยไข่ปลาหมึกหนุบหนับกับรสเปรี้ยวมะนาวแท้ เค็มนิดๆ หวานอ่อนๆ เคล้ากลิ่นกระเทียม ผักชี และเครื่องเทศที่แฝงมา ผสานกับพริกตำหยาบสีเขียวๆ แดงๆ ที่ระดับความเผ็ดสูงสุด เข้มข้นจนแทบเคลือบเนื้อปลาหมึกจนหญิงสาวต้องเคี้ยวไปสูดปากไปด้วย

“กินเร็วๆ ยังร้อนๆ อยู่ อร่อยนะ อ้า...อ้ำ” รสิกายังอุตส่าห์มีน้ำใจจิ้มชิ้นปลาหมึกอีกคำหนึ่งมายื่นชิดปากกันต์ ที่เมื่อเธอกินให้ดูแล้วเขาจึงจำต้องอ้าปากรับอาหารชิ้นนั้นเข้าไปเคี้ยวสองสามทีก่อนจะรับรู้ได้ถึงรสชาติเผ็ดร้อนที่แสบซ่านเต็มปาก

Holy Shit!” 

เกิดความอลหม่านขึ้นในทันที แทนที่กันต์จะคายความเผ็ดร้อนนั้นออกกลับเผลอกลืนมันลงคอ ชายหนุ่มถึงกับสำลักหน้าเขียวหน้าแดง ถึงขั้นด่าไม่ออกเลยทีเดียว ได้แต่ชี้หน้ารสิกาถลึงตาใส่อย่างดุร้าย 

...

“ขอโทษนะคะ...คุณกันต์ ฉัน...ฉัน...ไม่รู้นี่ว่าคุณกินเผ็ดไม่ได้” รสิกาพึมพำเสียงอ่อน มีความสำนึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม

“เธอวางยาฉัน ฉันจะฟ้องพ่อว่าเธอเอายาพิษให้ฉันกิน” น้ำเสียงเคียดแค้นงึมงำผสานกับเสียงสูดปาก ชายหนุ่มดื่มน้ำจากแก้วไปด้วย ความเผ็ดร้อนยังทิ้งร่องรอยเป็นเหงื่อที่ยังซึมบนดวงหน้าแดงก่ำ แถมริมฝีปากของเขาเหมือนจะเห่อบวมขึ้น จนรสิกาต้องเกร็งหน้าแทบตาย กว่าจะปั้นหน้าสำนึกผิดไว้ได้ ไม่เผลอหลุดหัวเราะอย่างใจอยาก

“เธอหัวเราะเยาะฉันเหรอ” กันต์เข่นเขี้ยวใส่ยายคนอ่านง่ายที่ปิดบังสีหน้าแววตาไม่เคยอยู่

“ปะ...เปล่านะคะ” รสิการีบปฏิเสธเสียงสูง

“เธอเอายาพิษให้ฉันกินแล้วยังหัวเราะเยาะฉันอีก!” กันต์พูดอย่างโมโห

“รอให้พ่อฉันรู้เรื่องนี้ก่อนเถอะ ฮึ่ม!

หน็อย...นาย...นายขี้ฟ้องเอ๊ย

แม้จะไม่ได้กลัวผู้ที่เขาจะไปฟ้อง...สักเท่าไร แต่ข้อหาที่เขาหาความเธอมันก็ร้ายกาจมากอยู่ ทำให้รสิกาจำต้องพยายามเจรจาสงบศึก

“มันไม่ใช่ยาพิษเสียหน่อย ฉันก็กินให้คุณดูอยู่นี่คะ” รสิกาพยายามแก้ตัว “นี่ๆ กินให้ดูอีกทีก็ได้”

หญิงสาวบอกพลางหยิบถุงปลาหมึกปิ้งเจ้ากรรมมาเปิดจิ้มชิ้นปลาหมึก จงใจคลุกน้ำจิ้มจนพริกเคลือบฉ่ำยกขึ้นให้ดูก่อนเอาเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับให้กันต์ดู

“ยาพิษที่ไหนกัน ยาพิษที่ไหนจะอร่อยขนาดนี้ ซู้ด...” คนพูดเองทนความเผ็ดร้อนไม่ไหว ต้องสูดปาก หน้าแดง จมูกแดงไปหมดเหมือนกัน

รสิกาคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำเข้าไปดับความดุเดือดของรสชาติในปาก แต่ยังไม่อาการหนักเท่ากันต์ที่ยังคงดื่มหมดแก้วจนต้องคอยเติมน้ำแทบจะทุกห้านาที

“มันเผ็ดขนาดนี้ เธอก็หยุดกินสิ ดูซิ กินเข้าไปได้ยังไง เผ็ดจนปากเจ่อหมดแล้ว” กันต์ชี้หน้าก่อนจะใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบริมฝีปากแดงก่ำส่ายไปมาอย่างมันเขี้ยว

“อื้อ!” รสิกาปัดมือเขาออกก่อนชี้หน้าเขาบ้าง “ว่าแต่เค้าปากเจ่อ ตัวเองก็เจ่อ เนี่ยๆๆ ฮ่าๆๆ” 

คนพูดจิ้มนิ้วลงบนริมฝีปากชายหนุ่มที่เห่อบวมขึ้นจากความเผ็ดเช่นกัน ก่อนจะต้องร้องออกมา

“โอ๊ย! คุณกันต์! คุณกัดนิ้วฉันทำไมเนี่ย” เสียงใสหวีดดัง ก่อนดึงมือตัวเองกลับมาใช้มืออีกข้างกุมนิ้วที่ถูกงับไว้อย่างหวงๆ

คนบ้านี่เขาเป็น...เป็นหมารึไง มาไล่งับคนอื่นแบบนี้!

“ถ้าเธอกล้าล้อฉันอีกที คราวนี้ไม่ได้โดนแค่กัดแน่” กันต์ทำหน้าดุเสียงดุเหวี่ยงใส่

ทั้งๆ ที่...ทั้งที่เพิ่งงับมือชาวบ้านด้วยพฤติกรรมเหมือนเด็กห้าขวบเนี่ยนะ

“ทำไม คุณจะกินฉันเข้าไปรึไง” รสิกาถูกความไร้เหตุผลและพฤติกรรมเหมือนเด็กๆ ของอีกฝ่ายกระตุ้นจนทนไม่ไหว เชิดหน้าท้าทายเขาอย่างไม่ยอมแพ้ขึ้นมาบ้าง

“ก็...พอไหวนะ...” กันต์ว่าพลางกวาดตาไปทั่วร่างผอมบางตรงหน้า “ถึงไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่ฉันไม่เกี่ยงหรอก ในเมื่อพ่อยัดเยียดเธอให้ฉันนักนี่”

ถึงตอนนี้...ต่อให้เป็นคนซื่อบื้อแค่ไหนก็ต้องสัมผัสได้ถึงนัยของเขาแล้วแหละว่าการ กิน ของเขาไม่ใช่กิริยาของการเอาอาหารใส่ปากเคี้ยวแน่ๆ

“...คนเลว” คำพึมพำนั้นดังอยู่ในคอผ่านริมฝีปากขมุบขมิบ แต่คนหูหาเรื่องก็ยังอุตส่าห์ได้ยินอีก

“ว่าอะไรนะ อะไรเลวๆ” กันต์ถามเสียงเหี้ยม ขยับตัวเข้ามาทำท่าดุดันราวกับจะกระโจนใส่ ทำให้รสิกาต้องผงะถอยจนหลังชนพนักพิง หญิงสาวคว้าของใกล้มือขึ้นมา เอาหมอนอิงนุ่มๆ ขวางไว้ตรงหน้า เป็นกันชนที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี

“ฉะ...ฉันว่า...ฉันบอกว่า...อาหารมาแล้วค่ะ” รสิการ้องอย่างยินดีที่ดึงความสนใจของชายหนุ่มไปยังถาดเสิร์ฟได้ อาหารหลายอย่างถูกลำเลียงออกมาวางบนโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งด้วยกันภายในบริเวณร้านที่มีโต๊ะหลายตัว

หลังจากที่กันต์สำลักรุนแรงและหัวเสียขนาดหนัก รสิกาจึงจำต้องหาที่ให้เขานั่งพักคลายอารมณ์ลงสักหน่อย โชคดีที่ที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากร้านดอกไม้นาร์ซิสซัสของศิริดารา รสิกาจึงพากันต์และพวกลูกน้องไปยังร้านดอกไม้ที่ส่วนคาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งด้วยระแนงไม้สีขาว โต๊ะ เก้าอี้ โซฟาไม้สไตล์วินเทจ และยังมีเก้าอี้หวายที่มีกองหมอนอิงสีหวานวางสุมไว้ กระถางไม้ประดับและดอกไม้สวยๆ ถูกวางและแขวนไว้จนเหมือนอยู่ในสวนป่าที่มีกลิ่นดอกไม้หอมหวานอบอวล

“คุณกันต์ดูหิวๆ กินเมี่ยงนี่รองท้องไปก่อนดีไหมคะ” รสิกาชี้ชวนให้ชายหนุ่มดูในถาดที่มีของหลากหลายอยู่ในนั้น

กันต์ขมวดคิ้วมองของในถาดตรงหน้า เต็มไปด้วยเครื่องปรุงที่เหมือนกับข้าวที่ยังทำไม่เสร็จ แล้วพนักงานเสิร์ฟยกจากครัวมาให้ลูกค้าทั้งที่ยังไม่ปรุง แต่รสิกากลับหยิบกลีบดอกไม้ขึ้นมา ใช้ช้อนเล็กตักเครื่องปรุงเหล่านั้นอย่างละนิดอย่างละหน่อยก่อนหยอดน้ำข้นๆ เหนียวๆ ลงไป พับมันเป็นก้อนแล้วยื่นมาตรงหน้า

“นี่อะไร” กันต์มองอย่างไม่ไว้ใจ ยายนี่จะเอาของประหลาดอะไรมาให้เขากินอีกล่ะ “มันกินได้ด้วยเรอะ...หน้าตามันเหมือน...เหมือนกลีบดอกไม้”

“เมี่ยงคำกลีบบัวหลวงค่ะ” รสิกาอธิบายให้คนเข้าใจอะไรยากฟัง “เปลี่ยนจากใช้ใบชะพลูหรือใบทองหลางมาเป็นกลีบบัวหลวงค่ะ”

“แล้ว...ทำไมมันมีอะไรเหนียวๆ กับไอ้ประหลาดๆ พวกนี้ มันกินได้แน่นะ” กันต์รับมาพลิกดู แต่ยังไม่ยอมกิน เขาทำสีหน้าสงสัยแบบจะไม่ยอมถูกยายหน้าซื่อนี่ถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง 

“นี่...คุณไม่เคยกินเมี่ยงคำหรือคะ” รสิกาสงสัยขณะจีบนิ้วห่อกลีบบัวเข้าเป็นคำแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวให้เขาดูอีกที เคี้ยวไปก็มองอาการสั่นหน้าของคนตรงหน้าอย่างแปลกใจไม่น้อยเลย

“มันเรียกว่าเมี่ยงคำค่ะ จะใช้ใบไม้หรือกลีบดอกบัวรองสำหรับห่อเป็นคำ เครื่องเมี่ยงมีกุ้งแห้ง อันฝอยๆ นี้คือมะพร้าวหั่นเอาไปคั่วจนกรอบหอม อันนี้มะนาวหั่น นี่ขิงหั่นเต๋า หอมแดง ถั่วลิสง และก็...ลูกโดด พริกขี้หนูเพิ่มรสชาติแฝงให้ลุ้นตอนเคี้ยว ถ้าคุณไม่กินเผ็ดฉันเอาออกให้ก็ได้ค่ะ” รสิกาว่าพลางตักส่วนผสมแต่ละอย่างใส่ลงในกลีบบัวที่ใช้ห่อโดยเลี่ยงไม่ตักพริกเข้ามา

“แล้วไอ้น้ำเกรวีนี่คืออะไร” กันต์ยังไม่คลายใจ เขาถามให้แน่ถึงส่วนผสมสุดท้ายที่ถูกหยอดลง

“น้ำราดค่ะ เป็นน้ำตาลกับส่วนผสมอีกหลายอย่าง ไม่เผ็ดหรอกค่ะ ลองชิมดู” รสิกาว่าแล้วก็ยัดเมี่ยงคำกลีบบัวเข้าปากคนสงสัยให้หายสงสัยเสียเลย

กันต์ทำหน้าแหยงๆ ขณะลองเคี้ยว ทีแรกค่อยๆ เหมือนกลัวจะเจออะไรแปลกๆ แต่หลังจากเคี้ยวหลายคำเข้า สีหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ 

“อืม...เฮิร์บ หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม เดี๋ยว...ไอ้รสชาติเผ็ดนิดๆ นี่มันคืออะไร” กันต์พยายามแยกแยะรสชาติ

“ขิงค่ะ ให้รสเผ็ดร้อน แต่ไม่มากหรอก” รสิกาว่าพลางห่อเมี่ยงให้ตัวเองบ้าง แต่คราวนี้ใส่พริกเข้าไปเสียหลายเม็ดเพื่อความสะใจ จนคนมองอยู่ตาค้างไปเลยเมื่อเห็นเธอเอามันเข้าปากเคี้ยว สีหน้าฟินยิ่งนัก

“มันอร่อยเหรอ ไอ้พริกเนี่ย” กันต์ถามอย่างยังแหยงๆ 

“อร่อยออก คุณกันต์ลองดูไหมคะ เดี๋ยวหนูรัสหั่นให้ครึ่งเม็ดละกัน” รสิกาเชิญชวนด้วยสีหน้าหลอกล่อ พอมีอารมณ์นึกสนุกสรรพนามแทนตัวก็เปลี่ยนไปเป็นกันเองโดยไม่รู้ตัว

“หนึ่งในสาม” กันต์ยอมตาม แต่ยังมีข้อแม้อีก

ไอ้...ไอ้คนเยอะสิ่งเอ๊ย!’

หญิงสาวกลอกตามองบน แต่ยอมเอาใจเขาโดยหั่นพริกเม็ดเล็กนั้นออกเป็นเสี้ยวเล็กๆ ใส่ให้ในเมี่ยงอีกคำที ห่อเป็นคำแล้วยื่นให้ คราวนี้กันต์รับมาเข้าปากเอง เคี้ยวด้วยท่าทางระแวงก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิด

“เอาอีกมะ...” รสิกาถามยิ้มๆ “ติดใจอะดิ๊”

แม้จะกวนประสาทกัน แต่ก็ตักเครื่องเมี่ยงคำบริการส่งให้อย่างไม่เกี่ยงงอน คราวนี้กันต์ยอมกินพริกครึ่งเม็ดเข้าไป ด้วยสีหน้าแบบ...เหมือนกำลังจะเข้าโรมรันกับศัตรูตัวร้าย...

ให้ตายสิ คนบ้าอะไรกลัวพริกขนาดนี้

นี่...ถ้าเขากินพริกทีเดียวเต็มเม็ดได้เมื่อไร เธอต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้ไหมเนี่ย

หนูกันต์ เก่งมากเลยค่ะ ลูกชายคุณแม่

“อันนั้นอะไร” กันต์ชี้ถามอาหารอีกสองสามอย่างในจานอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่จัดมาในจานสวยงาม

“อันนี้ก๋วยเตี๋ยวดอกไม้ลุยสวนค่ะ” รสิกาบอกพลางหยิบจานมาวางใกล้ๆ ให้กันต์ได้เห็นรายละเอียดของอาหาร

เส้นก๋วยเตี๋ยวแผ่นใหญ่ห่อไส้หลายอย่าง มีทั้งหมูยอ ปูอัด และกุ้ง รวมกับผักสารพัดชนิดและเมื่อวางดอกไม้ไว้ด้านล่างติดแผ่นแป้ง พอห่อม้วนเข้าไป แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จะทำให้เห็นกลีบดอกไม้หลากสีสันทะลุผ่านเส้นก๋วยเตี๋ยวสีขาวเกือบใสออกมา และวิธีการหั่นเฉียงทำให้เห็นไส้ข้างในที่เป็นผักสารพัดสีกับเนื้อสัตว์หลากชนิด จนดูคล้ายเป็นถ้วยนุ่มๆ ลายดอกไม้ที่มีสีสันราวกับขนมหวาน รสิกาเอาช้อนเล็กตักน้ำราดหยอดใส่นิดเดียวก่อนใช้ส้อมจิ้มยื่นส่งให้

“ลองดูค่ะ อาจเผ็ดนิดหน่อย แต่หนูรัสราดน้ำจิ้มนิดเดียว คุณกันต์น่าจะทานได้นะคะ” รสิกาบอกอย่างเอาใจ เผื่อ...เผื่อว่าเขาหายโมโห จะได้ไม่ไปฟ้องพ่อเขาว่าโดนเธอแกล้งยังไงล่ะ

กันต์ยังมีสีหน้าคลางแคลงใจ แต่เมื่อเหลียวมองไป โต๊ะใกล้ๆ กันที่อยู่รายรอบคือบรรดาบอดีการ์ดของเขาที่นั่งประจำที่และกำลังพากันสวาปามของบนโต๊ะที่เป็นแบบเดียวกันด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ยังไม่มีใครมีท่าทางทรมานชักดิ้นชักงอเลยสักคน ชายหนุ่มจึงยอมรับส้อมมาส่งอาหารเข้าปากเคี้ยว รับรู้ได้ถึงรสชาติเผ็ดร้อนจางๆ แต่ก็รสอ่อนจนแทบไม่รู้สึก ความเผ็ดร้อนถูกรสชาติสดใหม่กรุบกรอบอร่อยของผักสดกลืน แถมด้วยชิ้นเนื้อสัตว์รสชาติแปลกลิ้นที่ส่งเสริมให้อาหารคำนั้นมีรสชาติสมบูรณ์แบบ

กำลังจะคิดอยู่ว่า...ยายหนูรัสนี่ก็มีรสนิยมในเรื่องอาหารไม่เลวเลยทีเดียว กันต์ก็ต้องเบิกตาโพลงใส่เมื่อยายหนูรัสใช้ส้อมอีกคันจิ้มก๋วยเตี๋ยวลุยสวนอีกคำหนึ่งมาจุ่มน้ำจิ้มจนชุ่มก่อนเอาเข้าปากเคี้ยวด้วยท่าทางสุขสม...สุขสมแบบสูดปากไปด้วยน่ะ

กันต์มองดวงหน้าที่เหงื่อเกาะพราว จือปากเจ่อๆ สูดปากอย่างเผ็ดร้อนของหญิงสาวด้วยสายตาเหม่อลอยนิดๆ ความคิดแวบหนึ่งในสมองลอยมาและผ่านไปโดยเจ้าตัวแทบไม่รู้ตัว...

ยายหนูรัส...ท่าทางหล่อนก็แซ่บใช้ได้เลยนะเนี่ย

จานถัดไปเป็นสลัดผักรวมกุ้งทอด มีกลีบดอกไม้หลายชนิดแทรกปน มีทั้งดอกอัญชัน กลีบกุหลาบ และกลีบดอกไม้อีกหลายสีจนเหมือนเป็นจานจัดดอกไม้ ดูสวยเกินกว่าจะรับประทานได้

“ทำไมอาหารที่นี่ถึงมีแต่ดอกไม้เป็นส่วนผสม” กันต์ถามแบบทึ่งๆ เมื่อดึงเอาจานยำส้มโอที่รสิกาคลุกส่วนผสมจนเข้าที่มาไว้ตรงหน้า ในจานที่มีชิ้นส้มโอกับเครื่องยำรสจัดจ้านยังอุตส่าห์มีดอกเข็มแซมเข้ามาจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อร่อยดี เปรี้ยวๆ หวานๆ เค็ม เผ็ด กึ่งๆ ของคาวกึ่งๆ ของหวานบอกไม่ถูก

“ที่นี่เป็นร้านดอกไม้ไงคะ คุณซีดาร์เลยหากิมมิกมาเล่นกับอาหารให้เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่...น้ำหวานๆ สีเหลืองนั่นก็เป็นน้ำดอกเก๊กฮวยค่ะ” 

กันต์เลิกคิ้วมองม็อกเทลในแก้วทรงสูงในมือ น้ำถูกแช่เย็นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ไม่ใช่เกิดจากการเอาไปปั่น น้ำสีเหลืองทองส่งกลิ่นหอมจางๆ เป็นเอกลักษณ์ หวานน้อยคล่องคอ แถมยังปักดอกไม้น่ารักเข้าไปอีก

“ร้านนี้...” กันต์ชักเริ่มเอะใจ

“เป็นร้านที่ฉันทำงานพิเศษอยู่ค่ะ” รสิกาตอบเสียงสดใส

คนฟังพยักหน้ารับเนิบๆ สงสัยจนเลิกสงสัยแล้วละว่า...แถวนี้มีที่ไหนที่เธอไม่เคยไปทำงานพิเศษอยู่บ้างวะ

“บอกฉันซิว่าทำไมเธอถึงต้องทำงานเยอะนักหนาแบบนี้” กันต์ถามอย่างสงสัย “เธอเป็นพวกเอเนจีมากเกินจนอยู่เฉยไม่ไหว หรือเป็นพวกไม่ชอบให้มือว่างกันแน่หือ? แม่คนขยัน”

“คุณกันต์...ไปเอาที่ไหนมาคะว่าฉันเป็นคนขยัน ฉันเป็นคนโคตรขี้เกียจเลยค่ะ ถ้าเป็นไปได้ชีวิตนี้อยากจะนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยค่ะ” รสิกาท้วงเขาด้วยเสียงสุดแสนจริงจัง

“แล้วเธอทำงานไปทำไมเยอะแยะ แค่ครึ่งวันมานี้เธอเล่าเรื่องงานพิเศษของเธอที่เคยทำมามากกว่าสิบงานแล้วนะ” กันต์บ่นยายคนชีวิตน่าเบื่อที่วันๆ ทำแต่งาน แถมถ้าไม่ใช่งานรูทีนน่าเบื่อ ก็ยังเป็นพวกงานบริการที่ค่าแรงน้อยนิดอย่างไม่น่าทนทำเลยสักนิด

“เพราะฉันจนค่ะ” รสิกาบอกอย่างเต็มปากเต็มคำ น้ำเสียงมั่นใจ ก่อนหันมาเห็นสีหน้าตกตะลึงของชายหนุ่มข้างกาย เธอจึงขยายความอีกหน่อย “ฉันไม่มีเงินไงคะ ไม่งั้นฉันจะใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆ เชยๆ แล้วก็แบกจ๊อบขนาดนี้เหรอคะ ของชาวบ้านเขาอาจจะอายุน้อยร้อยล้าน แต่ฉันนี่อายุน้อยร้อยจ๊อบค่ะ”

คนพูดยกแก้วขึ้นกระดกน้ำสีหวานในแก้วด้วยท่วงท่าราวกับจะดื่มเฉลิมฉลองให้เกียรติแก่ความจนของตนแบบเย่อหยิ่ง

“แล้ว...ครอบครัวเธอล่ะ” กันต์เอ่ยขึ้น แล้วก็ต้องประหลาดใจกับตัวเองเหมือนกัน นี่...เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่เขาให้ความสนใจถามไถ่ชีวิตของใครสักคน...ใครสักคนที่เป็นผู้หญิงเสียด้วย

ช่วยไม่ได้ที่เขาจะมีความคิดออกไปในทางหมิ่นแคลนสตรี ก็ใครใช้ให้พวกหล่อนทุกคนที่เขารู้จักเอาแต่อยากจะปีนขึ้นเตียงของเขากันเล่า 

ด้วยรูปโฉม ด้วยทรัพย์สิน ด้วย...ความจนของผู้หญิงพวกนั้นเหรอ ไม่รู้สิ...แต่ผู้หญิงพวกนั้นแต่ละคนเมื่อเทียบกับสตรีตรงหน้าแล้ว ทุกคนล้วนแต่มีฐานะดีกว่ารสิกากันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครที่บ้าทำงานเก็บเงินเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนยายสาวน้อยร้อยจ๊อบตรงหน้าเขาเลย

“เสียหมดแล้วค่ะ” รสิกาบอกก่อนพบว่าอีกฝ่ายกะพริบตางุนงง

“เสีย?” กันต์ทวนคำ

“เสียชีวิต ตาย มรณะ ไปวัดกันหมดแล้วค่ะ อย่ามาเล่นมุกบอกว่าเสียก็ให้เอาไปซ่อมนะ” ท้ายประโยครสิกาหรี่ตามองคนที่ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรซึ่งพอถูกดักคอเขาจึงได้แต่ยักไหล่ ทำปากเบ้ แต่...ก็ยังอยากรู้อยู่อีกนิดหน่อย

“นานแล้วเหรอ”

“ห้าปีมาแล้วค่ะ แม่เสียก่อน จากนั้นพ่อก็ตามไป เหลือฉันคนเดียวตอนอายุสิบห้า” รสิกาเล่าด้วยน้ำเสียงไม่สะเทือนใจนัก ระยะเวลา...กลืนกินความโศกเศร้าสูญเสียไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว หรืออาจเป็นการทำงานหามรุ่งหามค่ำ อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยกับการเรียน มีอะไรทำไม่ว่างเว้น จึงทำให้เธอลืมไปที่จะเสียใจ

“แล้ว...ไม่มีญาติ ไม่มีใครเข้ามาดูแลเธอเลยเหรอ” กันต์ถามอย่างอดรู้สึกหวิวโหวงในใจไม่ได้

แม้เขาจะโตมาในสังคมอเมริกันที่เด็กๆ ต่างดูแลตัวเอง แต่...ผู้หญิงตรงหน้านั้นต่างออกไป ยายหนูรัสนั้นดูเป็นเด็กสาวใสซื่อที่พร้อมจะถูกหลอกได้ง่ายๆ ขนาดตอนนี้ยังดูเป็นแบบนี้แล้ว...เมื่อห้าปีก่อนเธอจะไม่เหมือนเด็กเล็กๆ ที่เคว้งคว้างในโลกกว้างที่ไร้ผู้ปกครองดูแลเลยหรือไงกัน ความอาทรแบบแปลกๆ ก่อตัวขึ้นมาจนเขาเองยังแปลกใจ

“ฉันไม่มีญาติเลยค่ะ มีแค่ครอบครัวของเพื่อนพ่อที่เข้ามาคอยช่วยเหลือ...บ้าง” รสิกาสบสายตาคล้ายมีคำถามของกันต์ เขาไม่ถามต่อ ดูเหมือนว่าน่าจะรับรู้ได้ถึงความลำบากใจของเธอ หญิงสาวเปิดรอยยิ้มขัน...ขื่นๆ

“คนเรา...มันก็มีเรื่องราวซับซ้อนที่บางทียากเกินบอกใครอยู่เยอะไปใช่ไหมล่ะคะ อุ๊ย นั่น อาหารจานหลักเสร็จแล้วค่ะ คุณกันต์หิวหรือยังคะ” รสิกาหันเหความสนใจไปยังถาดอาหารที่ลำเลียงออกมาจากห้องครัวพร้อมกับหญิงสาวสูงโปร่งผมหยักศกยาวถึงกลางหลังผู้เดินตามพนักงานเสิร์ฟของเธอออกมา

“คุณซีดาร์สวัสดีค่ะ” รสิกายกมือไหว้นายจ้าง หนึ่งในบอสสาวของงานพิเศษมากมายที่เธอใช้เป็นแหล่งรายได้หาเลี้ยงชีพ

“หนูรัส วันนี้พาเพื่อนมาเที่ยวเต็มร้านเลยนะ” ศิริดาราทักทายอย่างอารมณ์ดี เธอเป็นคนยิ้มง่าย รอยยิ้มกดบุ๋มลึกเป็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม หญิงสาวสวยหวานอยู่ในชุดเดรสวินเทจ

“คุณซีดาร์มีอะไรให้หนูรัสช่วยไหมคะ” รสิกาอาสาอย่างไม่สนใจสถานะเลยสักนิดว่าตอนนี้เธอกำลังเป็นลูกค้า...เป็นแขก ไม่ใช่กำลังเป็นพนักงานร้าน เล่นเอากันต์ต้องหันไปถลึงตาใส่อย่างโมโห

“โอ๊ย...ไม่ต้อง พวกข้างในเขาช่วยกันทำเสร็จหมดแล้วละจ้า” ศิริดาราโบกมืออย่างยิ้มแย้ม 

“ว้า...แย่จัง กะจะช่วยงานแล้วเอามาเป็นส่วนลดค่าอาหารสักหน่อย” รสิกาแกล้งบ่นปนแซว ทำท่าทางเสียดาย

“ไม่ทันละย่ะ ตอนนี้ที่เธอทำได้มีอย่างเดียวคือกิน!” ศิริดาราหัวเราะพลางสั่งเด็กให้ลำเลียงอาหารลงบนโต๊ะ

“วันนี้มีกับข้าวไทยนะ กุ้งทอดซอสมะขาม แกงหมูใบชะมวง ยำถั่วพูกุ้งสด ใบเหลียงผัดไข่ ปีกไก่ทอดน้ำปลา และไข่ตุ๋นต้มยำหม้อไฟทะเล หนูรัสอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหมจ๊ะ” ศิริดาราบรรยายชุดอาหารที่วันนี้จัดเตรียมไว้

“หูย...น่าอร่อยจังค่ะ” รสิกาชื่นชมหม้อไฟเดือดปุดที่เต็มไปด้วยกุ้งและปลาหมึกฟูฟ่องอยู่บนไข่ตุ๋นนุ่มๆ เดือดๆ “...แต่...หนูรัสลืมไปว่าเพื่อนหนูรัสทานเผ็ดไม่ได้น่ะสิคะ กลัวว่าเขาจะ...” รสิกาเหลือบมองชายหนุ่มร่วมโต๊ะด้วยสายตากังวล อาหารหลายอย่างมีรสจัด ไม่รู้ว่าเขาจะกินได้โดยไม่โวยวายไหม

“งั้นเดี๋ยวเพิ่มอะไรที่รสไม่จัดอีกสักอย่าง เอาแกงจืดหรือไข่เจียวดี” ศิริดาราถามอย่างเอื้อเฟื้อ

“ไม่ต้องหรอก กินได้ครับ” กันต์บอกปัดไปเมื่อเห็นว่าอาหารบนโต๊ะนั้นมากเกินพอแล้ว ที่จริงเขาก็อยู่ง่าย กินง่ายนะ ไม่รู้ยายหนูรัสจะมายัดเยียดข้อหากินยากให้เขาได้ไง

“งั้น...ถ้าจะเอาอะไรเพิ่มบอกเด็กได้เลยนะ ขอตัวไปดูร้านดอกไม้ก่อนนะคะ” ศิริดารายิ้มพลางถอยออกมาอย่างมีมารยาท

รสิกาหันมาหยิบโถข้าวตักให้กันต์และตัวเองก่อนชักชวนเขากิน เริ่มจากของง่ายๆ อย่างกุ้งทอดซอสมะขามและปีกไก่ทอด จากนั้นก็เริ่มไต่ระดับด้วยหมูใบชะมวงที่มีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดติดปลายลิ้นด้วยเครื่องแกงที่ค่อยๆ ทวีความเผ็ดร้อน แต่ก็อร่อยจนหยุดไม่ได้จริงๆ เนื้อหมูตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม รสเปรี้ยวอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของใบชะมวงที่สุดแสนเข้ากับเครื่องพริกแกงที่แอบซ่อนความร้อนแรงไว้ ถือเป็นการอุ่นเครื่องประสาทสัมผัสปลายลิ้นให้ชินกับความร้อนแรงก่อนจะไปถึงหม้อไฟที่ทั้งร้อนทั้งเผ็ดแซ่บซี้ด แต่ก็อร่อยจนหยุดไม่อยู่อีกเช่นกัน ทั้งกุ้งตัวมหึมา ทั้งปลาหมึกชิ้นโตขาวอวบ แถมยังมีรสสัมผัสละมุนของไข่ตุ๋นนุ่มลิ้นคล่องคอ แม้จะมีรสพริกเผ็ดร้อนของต้มยำร้อนๆ ที่ลวกปลายลิ้น แต่ก็ทำให้คนที่ได้ลิ้มรสชาติแปลกใหม่ลืมตัว ลืมตาย ลืมไปว่าตนลิ้นตนกินเผ็ดไม่ได้ เผลอตัวจนต้องเติมข้าวเสียหลายจาน

“ฉันลืมไป นี่มันก็ค่ำมากแล้ว ไม่ควรให้คุณกันต์กินมื้อดึกเยอะเกินไป เดี๋ยวคุณก็นอนแล้วนี่นา” รสิกาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ มองเขาอย่างเป็นกังวลนิดหน่อย เพราะมัวแต่คิดจะเอาใจให้เขาได้กินของอร่อย ลืมไปเลยว่ามันอาจทำให้เขาไม่สบายท้องตอนนอนได้

“ไม่หรอก ฉันทำงานกลางคืน กว่าจะนอนก็เช้า” กันต์บอกพลางยกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่บอกเวลาสองประเทศ ที่อเมริกาตอนนี้เป็นเวลาสายแล้ว

“ฮะ!?” รสิกาผงะนิดหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดตามคำเขา จนกันต์ต้องเอานิ้วจิ้มหน้าผากเธอจนหน้าหงาย

“คิดอะไรฮะ ฉันทำงานคุยกับพวกลูกน้องที่ทางอเมริกาโน่น ตอนนี้ที่นั่นกำลังเป็นตอนสายๆ อยู่ เธอนี่...คิดว่าฉันจะทำอะไรงั้นเรอะ”

คนเข่นเขี้ยวใส่ เพราะสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้านั้นมีคำว่า อาชญากร เด้งขึ้นมาชัดเจนมากเลยทีเดียวเมื่อเขาบอกว่าทำงานกลางคืน...หน็อย...คิดดีให้กันบ้างก็ได้นะยายหนูรัสนี่

“คุณกันต์ทำอะไรที่อเมริกาเหรอคะ” รสิกาทนความสงสัยไม่ไหว

“ธุรกิจ...ธุรกิจแบบถูกกฎหมาย เสียภาษีถูกต้องน่ะ” กันต์อธิบายก่อนถอนใจใส่สีหน้าไม่เชื่อถือสักนิดของเธอ

“รู้จักบริษัทในเครืออลันกรุ๊ปไหม” กันต์ถามพลางล้วงอกเสื้อ หยิบบุหรี่ออกมา แต่ยังไม่ทันเอาออกจากกล่องก็ถูกรสิกาแตะมือห้ามไว้

“ไม่รู้จักค่ะ คุณกันต์อย่าสูบเลยค่ะ ในร้านห้ามสูบบุหรี่นะคะ” 

กันต์ทำปากเบ้ แต่ก็ยอมเก็บบุหรี่กลับเข้าไปในเสื้อ จากนั้นเขาก็ตาพร่าไปวูบหนึ่ง เพราะรสิกาส่งยิ้มเบิกบานมาให้พร้อมกับคำขอบคุณ

“เธอ...ไม่รู้จักคุณพ่อฉันมาก่อนจริงๆ น่ะเหรอ” ชายหนุ่มพยายามดึงสติกลับมาที่การสนทนาอีกครั้งหนึ่ง มองอาการส่ายหน้าของอีกฝ่าย ที่มีดวงตาใสซื่อแล้วก็ตอบตัวเองได้ว่า เธอไม่ได้มีจริตมารยาใดๆ ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ ขณะทำใจว่า...คงต้องแนะนำตัวกันแบบเป็นทางการ...เสียที...มั้ง

“เครืออลันกรุ๊ปเป็นเครือข่ายที่มีการลงทุนหลายอย่าง หนึ่งในทรัพย์สินที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ โรงแรมและกาสิโนในลาสเวกัส” กันต์เล่าพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเปิดหน้าเว็บเพจของบริษัทขึ้นมา ส่งให้หญิงสาวรับไปดู

หน้าเว็บไซต์เป็นเพจต่างประเทศที่เป็นภาษาอังกฤษล้วน ซึ่งบอกถึงเครือข่ายตนเอง ความเป็นมา ข่าวสารต่างๆ และที่ทำให้รสิกาตาโตก็คือ...ภาพของอารัณย์ในชุดสูทสุดเนี้ยบกับข่าวความเคลื่อนไหวในฐานะซีอีโอและยังมีภาพกันต์อีกหลายข่าวเลย...ในฐานะผู้จัดการใหญ่

รสิกาหันไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าทึ่งๆ ห่อปากรูปตัวโอก่อนถามออกมา...เป็นคำถามที่ทำเอากันต์ที่กำลังดื่มน้ำแทบพ่นน้ำออกทางจมูก

“คุณกันต์...ไม่ได้เป็น...ไม่ได้เป็นมิจฉาชีพจริงๆ เหรอคะเนี่ย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น