9

บทที่ 9

9

 

ฉัน...หน้าตาเหมือนคนที่เห็นผู้ชายสำคัญกว่าอนาคตตัวเองงั้นเหรอคะ

ใช่ค่ะ! ฉันเป็นคนแบบนั้นแหละค่ะ

รสิกายอมรับกับตัวเองอย่างขมขื่นใจ เมื่อนึกไปถึงตอนที่ตั้งคำถามนี้กับกันต์ แต่พอกลับมาถึงห้องพักตัวเอง อาบน้ำเสร็จแล้วมานั่งอ่านหนังสือเรียนเพื่อเตรียมตัวสำหรับชั่วโมงเรียนอันหนักหน่วงในวันรุ่งขึ้น เธอกลับไม่มีสมาธิจนอ่านหนังสือไม่เข้าหัวสักตัวอักษร จิตใจคอยแต่จะเหม่อลอยไปไกล เผลอเมื่อไรก็คอยแต่ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากตัวเองอยู่ไปมา ลูบจนปากชาไปหมดแล้ว...แอร๊ยยย!!!

คนคิดหน้าแดงก่ำเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ถูกความป่าเถื่อนครอบงำนั้น ทนไม่ไหวต้องฟุบหน้าลงกับหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ หวีดร้องอย่างไร้เสียงใส่หนังสือเรียน ก่อนเสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กสาวจะดังขึ้นเบาๆ มันมีทั้งความเขินอาย ทั้งความสนุกสนานเปี่ยมสุข แถมยังมีความซุกซนแอบซ่อนไว้ ซึ่งในที่สุดก็แสดงออกมาทางสีหน้าแววตาฉ่ำวาวหวาน

ให้พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่รับผิดชอบตัวเองแค่ไหน อย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงอายุยี่สิบปี เพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กมาได้ไม่เท่าไร แถมยังไม่เคยมีประสบการณ์กับเพศตรงข้ามให้ใจเต้นตึ้กตั้กแบบนี้มาก่อน ย่อมผ่านค่ำคืนนี้ไปได้แบบขวยเขินตัวแทบแตก คิดเองเขินเอง วนเวียนไปอยู่แบบนี้แหละ

พออ่านหนังสือไม่รู้เรื่องหนักๆ เข้ารสิกาก็ปิดหนังสือปิดไฟล้มตัวลงนอน แต่...พอจะนอนก็คอยแต่คิดถึงเขาอีก โอ๊ย! หญิงสาวพลิกตัวไปมาอยู่นานกว่าจะนอนหลับลงได้

อาการใจลอยไม่มีสมาธินั้นตามหลอกหลอนรสิกาไปถึงในห้องเรียน จนวิชาการใดๆ ที่อาจารย์อธิบายในวันนี้ไม่ซึมซับเข้าสู่สมองเธอสักประโยคเดียว สาวน้อยรสิกาในชุดนักศึกษาทอดถอนใจขณะไล่ขอยืมชีตและเลกเชอร์จากเพื่อนที่พอจะสนิทกัน เพื่อเอาไปทำสำเนาไว้ทบทวน แม้เพื่อนจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่คนเรียนเก่งอย่างเธอต้องมาขอยืมโน้ตจากคนอื่น แต่เพื่อนๆ พวกนั้นต่างก็เคยได้ติวหรือโน้ตจากรสิกาไปหลายครั้งแล้ว จึงไม่ได้ถามหรือบ่นอะไร ถือว่าเป็นการมอบน้ำใจต่างตอบแทนกันและกัน

แม้จะไม่ถาม...แต่ก็มีสายตาสงสัยแหละ รสิการับสมุดโน้ตมามือไม้สั่นกังวลเหลือเกินว่าจะถูกจับได้ว่ามัวแต่คิดเรื่องผู้ชายจนเรียนไม่รู้เรื่อง คิดเลยเตลิดไปไกลเลยว่าถ้าถูกถามจะต้องตอบยังไง ไปไม่เป็นจริงๆ

อีตากันต์นะอีตากันต์ เขามัน...มัน...เป็นผู้ชายแบดกายที่เป็นภัยต่อการศึกษา!

ระหว่างที่รสิกาก่นด่าศัตรูของการเรียนที่เป็นตัวทำลายสมาธิเธอ คนที่ถูกหญิงสาวระลึกถึง...ในแง่ร้ายก็กำลังหลับลึกอยู่ในห้องพักที่โรงแรม หลังจากประชุมทางไกลข้ามโลกมาทั้งคืนจนถึงตอนสายกันต์ก็แบตฯ หมดอาบน้ำนอนโดยสั่งไว้ว่าห้ามใครมาปลุกจนกว่าเขาจะตื่นเอง

เมื่อคุณอารัณย์เปิดประตูห้องพักออกมาจึงพบเพียงถุงขนมวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงส่วนกลาง พอเขาเปิดดูก็เจอคุกกี้ดอกไม้กับชาคาโมมายล์อยู่ในนั้นก็เดาได้ว่าของนั้นใครเป็นคนฝากมาให้ ชายวัยกลางคนส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจ...อ่อนใจกับลูกชายตัวเอง ก่อนหันไปสั่งถาวรให้สั่งกาแฟสดจากร้านกาแฟด้านล่างขึ้นมาให้เขา

“หมอสั่งงดกาแฟไงครับนาย ได้แต่ชาแล้วละครับ คุณหนูรัสส่งชาคาเฟอีนต่ำมาให้หลายรสเลย เลือกสักรสชาติมาชงดื่มเถอะครับ” ถาวรค้านเจ้านายได้อย่างไม่กลัวเกรงสีหน้าบูดบึ้งของคนไม่ได้ดื่มกาแฟเลยสักนิด

คุณอารัณย์สบถนิดหน่อย แต่ก็ยอมเลือกชาดอกไม้ที่รสิกาส่งมาหลายชนิดนั้นออกมา ชามะลิผสมใบชาอู่หลงนั้นดูน่าดื่มอยู่ไม่น้อยทีเดียว

สิบนาทีต่อมาเจ้านายกับลูกน้องวัยกลางคนก็นั่งร่วมโต๊ะจิบชาแกล้มขนมกันอย่างสำราญใจ ชาอู่หลงผสมดอกมะลินั้นให้กลิ่นสดชื่นของดอกไม้สดเคล้าความเข้มหอมของใบชาชั้นดีที่คลี่ตัวในน้ำร้อนอุณหภูมิพอเหมาะ คายกลิ่นรสหอมละมุนอบอวลในปาก 

“อา...” คุณอารัณย์ส่งเสียงพึงพอใจหลังซดน้ำชาร้อนๆ ไปหมดแก้ว “มีลูกสาวนี่มันดีกว่าลูกชายจริงๆ พับผ่าสิ”

“ไอ้วร แกว่าฉันควรให้เส้นตายกับไอ้กันต์มันไหม ว่าถ้ายังพาหนูรัสเข้าบ้านมาไม่ได้ภายในสามวันนี้ ฉันจะตัดมันออกจากกองมรดก” อารัณย์ปรึกษาลูกน้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“มุกเดียวกับคราวก่อน กลัวว่าคุณกันต์จะรู้ทันไม่ยอมหลงกลแล้วสิครับนาย” นายถาวรท้วงติงอย่างรอบคอบ

“อืม...แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ ว่าทำยังไงจะได้คุกกี้...เอ่อ หมายถึงยายหนูรัสมาอยู่ใกล้ตัวได้”

ถาวรลอบถอนใจเบาๆ มองเจ้านายที่ดูท่าทางจะเมาคุกกี้ หน้ามืดอยากได้สะใภ้จนไม่ลืมหูลืมตาแล้วก็...นะ

“ถ้าเจ้านายต้องการจริงๆ ผมว่ามันก็มีวิธีอยู่นะครับ” ถาวรเอ่ยขึ้นช้า เปิดกล่องคุกกี้รสช็อกโกแลตวอลนัตออกมา กัดเข้าไปคำหนึ่ง เคี้ยวช้าๆ แบบครุ่นคิด

“วิธีอะไรวะ” คุณอารัณย์สงสัย ดึงกล่องคุกกี้รสใหม่ที่เพิ่งถูกเปิดมากินบ้าง

“เจ้าพวกนั้นบอกว่า...คุณกันต์ไปเหมาคุกกี้นี่จากร้านดอกไม้มาจนหมด นายรู้ไหมครับว่าเพราะอะไร” ถาวรเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบคุกกี้ชิ้นที่สอง...รสช็อกโกแลตวอลนัต เขาชิมไปแล้วหลายรสชาติ ล้วนอร่อยถูกปากทั้งหมด รสมือคนทำดีจริงๆ

“ทำไมล่ะ เล่าๆ มาให้หมด อย่ากั๊กได้ไหมเล่า” คุณอารัณย์จุปากจึ๊กจั๊กขัดใจที่ลูกน้องยึกยักไม่ยอมบอกออกมาเสียที

“เจ้านายก็รู้ว่าคุณกันต์ไม่กินของหวาน แต่...ที่เหมาหมดคุกกี้มาหมดร้าน เพราะเป็นของที่คุณหนูรัสทำเองกับมือครับ” ถาวรเฉลยยิ้มๆ ให้เจ้านายที่ทำตาโต

“โวะ ไอ้ลูกชายโง่ของฉันมันชักฉลาดขึ้นละเว้ย...เฮ้ย” คุณอารัณย์ยิ้มกว้างแทบจะตบเข่าฉาด 

“แถมเจ้าพวกนั้นยังเล่าว่าคุณกันต์กินขนมเข้าไปตั้งหลายชิ้นด้วยนะครับ” ถาวรยังไม่ยอมหยุดเมาท์

“ให้มันได้ยังงี้เซ่ ลูกพ่อ ไอ้วร เดี๋ยวแกไปจองห้องจัดเลี้ยงโรงแรมเลยนะ ฉันจะจัดเลี้ยงงานแต่งรับขวัญสะใภ้ซะหน่อยเว้ย” คุณอารัณย์ถูมือไปมาด้วยท่าทางหมายมั่นปั้นมือ สีหน้าปลื้มปริ่มสุดๆ

“ใจเย็นก่อนครับนาย ก่อนอื่นต้องหาวิธีให้คุณกันต์รับคุณหนูรัสมาให้สำเร็จก่อนนะครับ” ถาวรรีบเบรกเจ้านายไม่ให้ออกตัวแรงเกินไป ก่อนที่ทั้งเจ้านายและลูกน้องจะสุมหัวกันซุบซิบแผนการที่เป็นความลับกันเสียงเบา สีหน้าเคร่งเครียด

แต่พูดคุยอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้ข้อสรุป จนประตูห้องของกันต์เปิดออก ชายหนุ่มเดินออกมาในชุดลำลองสะอาดสะอ้าน ผมใส่เจลหวีเสยเรียบดูหล่อเหลาเอาการ

พูดก็พูดเถอะ...ลูกชายเขานี่มันหล่อได้พ่อชัดๆ แหละนะ

คุณอารัณย์คิดอย่างกระหยิ่ม ถามบุตรชายด้วยสีหน้าอมยิ้ม “แกจะไปไหนเรอะ ไอ้กันต์” 

“ไปข้างนอกครับป๊า” กันต์ตอบพลางยกนาฬิกาขึ้นมองเวลาที่ใกล้ค่ำ

“ไปหาสาวเรอะ” คุณอารัณย์พลอยยกนาฬิกาขึ้นดูก่อนขมวดคิ้วนิ่วหน้า นี่มันก็เย็นย่ำป่านนี้แล้ว ถ้าจะไปรับรสิกาจากมหาวิทยาลัยก็ค่อนข้างจะสายไปหน่อย แต่...ก็ไม่แน่ ยังพอทันดินเนอร์มื้อค่ำอยู่นะ

“ก็ไม่เชิง” กันต์ยักไหล่ ทำปากเบ้ สีหน้าขัดใจจนคุณอารัณย์ชักสงสัย 

“ทำไมล่ะ ทำสีหน้าเหมือนไม่เต็มใจแบบนี้ แกจะไปไหนกันแน่” 

“ไปบาร์แถวชายหาดครับ” กันต์ตอบพลางหันไปพยักหน้ากับทีมบอดีการ์ดตัวเองเป็นเชิงถามว่า พวกเขาเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง เหล่าหนุ่มๆ ในชุดลำลองที่สวมเสื้อเชิ้ตดำคล้ายๆ กันพยักหน้าตอบ ส่งสัญญาณความพร้อม

“เฮ้ย!” คุณอารัณย์ตกใจ “แกจะ...พายายหนูรัสไปเที่ยวร้านเหล้าเรอะ”

กันต์กลอกตามองบน ทำสีหน้าอ่อนใจ “ผมจะพายายนั่นไปได้ยังไงล่ะป๊า ขืนพาเข้าไปได้โดนห้ามว่าอายุไม่ถึงแน่ๆ”

“แต่คุณรัสก็อายุยี่สิบแล้วนะครับ พาไปเที่ยวตามที่แบบนั้นได้แล้วนี่” ถาวรบอกอย่างรอบคอบ

“โอ๊ย ไม่พาไปหรอก ท่าทางเหมือนเด็กอายุสิบหกสิบเจ็ดแบบนั้นน่ะ ขี้เกียจโดนข้อหาพรากผู้เยาว์” กันต์โบกมือก่อนกวักเรียกลูกน้องให้เดินตามเขาไปทางประตูออกสู่โถงทางเดินไปยังลิฟต์

“อ้าว เฮ้ย ไอ้กันต์ แล้วหนูรัสล่ะ” คุณอารัณย์ตะโกนไล่หลังบุตรชายไปอย่างชักหัวเสีย แต่ไอ้ลูกชายผู้ไม่ได้ดังใจของเขากลับโบกมือเนือยๆ กลับมาด้วยทีท่าไม่ใส่ใจ

“หน็อย...ไอ้...ไอ้ลูกเวร! ถ้าแกไม่ได้ตัวหนูรัสกลับบ้านมาให้ฉันภายในสามวันนะ...” คุณอารัณย์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห

“รู้แล้วน่า ป๊าอะโคตรขี้บ่นเลย”

กันต์ตอบกลับมาแบบกวนโมโหสุดๆ จนได้ยินเสียงด่าของบิดาตามหลังมาอีกชุดใหญ่ เขาจึงทำท่าพอใจ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนสีหน้าที่อ่านไม่ออกนั้น

“หน็อย...ไอ้เวรเอ๊ย ทีเรื่องที่ให้ไปทำละไม่ทำ วันๆ หาแต่เรื่อง” คุณอารัณย์ยังบ่นตามหลังไปอย่างหัวเสียก่อนทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หันไปสั่งงานถาวร “ไอ้วร เดี๋ยวแกให้ไอ้เอกพ่อไอ้เอ้มันพาคนตามไปดูด้วยละกัน ให้พ่อมันตามไปคอยคุมไว้ ไอ้เอ้มันจะได้คอยปรามไอ้ลูกเวรตะไลของฉันไว้ได้บ้าง ไม่ให้ทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง ไม่งั้นปล่อยพวกมันไปกันเองได้เตลิดไปไกลแหงๆ”

“แต่ท่าทางนายน้อยก็ไม่ได้เหมือนกำลังจะไปเที่ยวเลยนะครับนาย” ถาวรติงขึ้นมา

“ก็นั่นแหละ ฉันถึงต้องส่งคนตามไปดูมันไว้ไง ไอ้เด็กพวกนี้มันห้าวไม่ลืมหูลืมตา เดี๋ยวได้ไปเหยียบตีนใครเขาเข้า” คุณอารัณย์บอกอย่างรอบคอบ

“ห้าวเหมือนนายตอนหนุ่มๆ แหละครับ” ถาวรพึมพำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“แกว่าอะไรนะไอ้วร” คุณอารัณย์ได้ยินไม่ถนัด แต่เดาออกได้รางๆ ถึงความกวนประสาทของลูกน้องตัวเอง

“ผมว่า...ออกกำลังสักหน่อยช่วยให้หลับสบายดีครับนาย” ถาวรแก้ตัวน้ำขุ่นๆ พลางยิ้มกวนประสาทใส่สายตาขวางๆ ของคนเป็นเจ้านาย

กันต์ที่อยู่บนรถตู้กำลังเดินทางไปตามถนนสายที่มุ่งสู่ชายทะเล ห่างจากตัวอำเภอไปหลายสิบกิโลเมตร เป็นที่ท่องเที่ยว มีชายหาดให้เล่นน้ำและชมทัศนียภาพของท้องทะเลที่ไม่เคยขาดสีสันจากนักท่องเที่ยว ด้านหนึ่งเป็นโรงแรมและรีสอร์ต มีทั้งที่เน้นความสะดวกสบายและแบบที่เน้นความเป็นธรรมชาติ อีกฟากหนึ่งเป็นร้านค้าร้านอาหารไว้คอยบริการความต้องการอันหลากหลายของนักท่องเที่ยว มีตั้งแต่ร้านอาหารเล็กๆ แผงลอย ร้านรถเข็นไปจนถึงร้านอาหารแบบครอบครัว หลากหลายราคา และถ้าเลยไปกว่านั้นอีกคือ แหล่งเริงรมย์ที่มีผับ บาร์ คาราโอเกะ และอีกหลากหลายธุรกิจกลางคืนรวมตัวกันอยู่หนาแน่น

“ยังมีรายงานอะไรที่ฉันควรรู้อีกไหม” กันต์ที่เรียกหาข้อมูลมาอ่านดูตลอดการเดินทางบนรถ มีการสั่งงานวางแผนหลายอย่างจนน่าจะครบหมดแล้ว...เว้นแต่... 

“อะไร มีอะไรอีก รีบรายงานมา” ชายหนุ่มสั่งเสียงดุเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของพวกลูกน้องที่เหมือนมีเรื่องอะไรแต่ไม่กล้าพูดออกมา

“นายใหญ่ให้...ให้พ่อผมตามมาด้วยครับ” เอ้หรืออนลเอ่ยขึ้น สีหน้าอึดอัดใจสุดๆ

“แล้ว...?” กันต์หรี่ตามองหน้า ไอ้เอ้ เพื่อนกึ่งลูกน้องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ

“คุณกันต์อย่า...อย่าสั่งผมให้ไปทำอะไรประหลาดๆ นะครับ ไม่งั้นผมโดนพ่อผมกระทืบตายแหงๆ” อนลยิ้มแหยๆ ความอ้อนวอนเปี่ยมล้นในสีหน้า เป็นสีหน้าอ้อนวอนที่ไม่เข้ากับนิสัยโฉดชั่วของมันเลยจริงๆ

อนลเป็นผู้ชายตัวใหญ่หุ่นหมี หน้าโหดมีไรเคราบางๆ กับประกายฆาตกรในแววตาที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ เหมาะจะพกมันมาไว้เป็นกันชนได้เป็นอย่างดี เมื่อรวมเอ้กับบอดีการ์ดหน้าโหดอีกหลายคนเข้าไป พวกเขาก็กลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีใครอยากมายุ่งด้วย

“เออๆๆ รู้แล้ว พวกแกก็ระวังตัวกันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวน้าเอกแกเอาไปฟ้องพ่อฉันอีก” กันต์บอกอย่างหัวเสียแต่ก็ครั่นคร้ามอยู่ไม่น้อยเลย ถึงแม้ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงจะเป็นลูกน้องของพ่อเขาซึ่งก็เหมือนลูกน้องเขาอีกที แต่ด้วยความที่โตมาเห็นกันมาตั้งแต่เด็กทำให้อดไม่ได้ที่จะมีความเกรงใจ น้า พวกนั้นอยู่ไม่น้อย

“นอกจากนี้แล้วมีอะไรอีกไหม” กันต์เช็กความพร้อมรอบสุดท้ายก่อนลงจากรถ เพื่อไม่ให้มีเรื่องกวนใจอะไรอีก

“เอ่อ...เรื่อง...คุณหนูรัสครับ” ดรัณภพ ลูกน้องร่างสูงผิวขาวอมชมพูผมสีอ่อนแบบลูกครึ่งเอ่ยขึ้นมาแบบอึดอัดอีกคนหนึ่ง

“หนูรัสทำไม” กันต์ถามพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า นี่ไอ้หมอนี่...คงไม่ได้อยากให้เขาพายายหนูรัสมาด้วยอีกคนหรอกนะ

“คนที่ให้ตามดูรายงานว่าคุณหนูรัสเลิกเรียนแล้วมีคนมารับเธอออกไป” ดรัณภพบอกพลางมองสีหน้านายน้อยอย่างหยั่งเชิงว่าจะเริ่มเหวี่ยงวีนเมื่อไร “สารวัตรพงศ์เผ่ามารับคุณหนูรัสออกไปครับ”

“ตำรวจ!” กันต์แค่นเสียงพลางทบทวนความทรงจำไปถึงร่างสูงใหญ่ล่ำสันของนายตำรวจหนุ่ม...คนที่รสิกาเรียกมันว่า...พี่แพน สินะ ฮึ่ม! “มันพาหนูรัสไปที่ไหน”

“ไปร้านอาหารครับ” ดรัณภพตอบแบบแหยงๆ ชักจับได้ถึงความหัวร้อนของเจ้านายที่เริ่มพุ่งปะทุเดือด “ระ...ร้านอาหารธรรมดาครับ คนพลุกพล่าน ส่วนมากเป็นมาแบบครอบครัวหรือคนมาคุยงานครับ” 

คนรายงานเห็นเจ้านายนิ่วหน้าสีหน้าขุ่นเคืองขมวดคิ้วแน่นขึ้นทุกทีแล้วก็ให้ใจหาย เขารีบยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองยื่นให้ ในนั้นมีรูปในแชตส่งงานของลูกน้องกลุ่มที่ให้คอยจับตาดูรสิกาส่งมา เป็นรูปชายหนุ่มกับหญิงสาวนั่งอยู่ด้วยกันในร้านอาหารจริงๆ

กันต์รับอุปกรณ์สื่อสารชิ้นนั้นมาดูเพ่งมอง ก่อนจะสไลด์หน้าจอเลื่อนดูรูปอื่นๆ ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่มีภาพการพบปะกันของรสิกากับนายตำรวจพงศ์เผ่าที่มายืนรอหน้าประตูมหาวิทยาลัย วันนี้ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีน และรองเท้ากีฬา ไม่มีแจ็กเกตที่ให้กลิ่นอายความเป็นตำรวจคลุมทับมา แน่นอนว่าไม่มีวิทยุหรือร่องรอยอาวุธและกุญแจมือที่มักถูกซ่อนอยู่ในแจ็กเกต ทำให้มองเผินๆ แทบไม่รู้ว่าเขาเป็นตำรวจ

นอกจากจะ นอกเครื่องแบบ’ แล้ว...เผลอๆ อาจนอกเหนือหน้าที่จากงานราชการด้วยมั้ง

ฮึ่ม!...

กันต์กัดฟันกรอดเมื่อเลื่อนภาพย้อนกลับไปไล่เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่ทั้งคู่เจอกัน ลักษณะที่เหมือนมีการพูดคุยกันสักพักหนึ่งนั้นไม่เหมือนคนที่มีนัดกันไว้ล่วงหน้า รสิกามีสีหน้าลำบากใจ แต่หลังจากสารวัตรพงศ์เผ่าทำท่าเหมือนพูดอะไรด้วยอีกหลายคำ เธอจึงพยักรับก่อนเดินตามพงศ์เผ่าไปที่รถ ไอ้หมอนั่นมันมีรถเก๋งรุ่นท็อปขับเสียด้วย

หน็อย...ไหนใครบอกว่าตำรวจนั้นเงินเดือนน้อย แล้วนี่อะไร เงินเดือนสารวัตรมันพอให้ออกรถใหม่ป้ายแดงมารับผู้หญิงของเขาไปกินข้าวเลยเชียวเหรอ ไอ้หมอนี่...ต้องเป็นตำรวจนอกรีตที่หาเงินโดยมิชอบแหงๆ

“ไปสืบประวัติไอ้ตำรวจนี่มาให้ฉันที” กันต์สั่งเสียงแข็ง เหลือบมองนาฬิกาอีกรอบ เริ่มค่ำแล้ว...นี่มันใช่เวลาที่จะออกไปไหนมาไหนกับผู้ชายอื่นหรือไงหา ยายตัวยุ่ง

ภาพล่าสุดคือภาพในร้านอาหาร ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกันในโต๊ะที่เว้นระยะห่างจากกันพอควร ไม่ได้มีท่าทางภาษากายใดๆ ที่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมแบบคู่รักเช่นการโน้มตัวเข้าหา การกระซิบกระซาบ หรือกระเซ้าเย้าแหย่กันแบบคู่รักเลย นั่นทำให้ความขุ่นเคืองของกันต์บรรเทาลงได้บ้าง

แต่! แล้วเขาก็พบจุดที่ให้อภัยไม่ได้!

ยาย...ยายหนูรัส นี่หล่อน...หล่อน...

“หน็อย แต่งตัวซะสวยเชียวนะ ทีตอนอยู่กับฉันไม่เห็นเคยแต่งตัวแบบนี้เลย นี่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวรัดรูปกับกระโปรงสั้นด้วย ไปเดตกับไอ้ตำรวจนี่จริงๆ ใช่ไหม” กันต์กัดฟันพูดขึ้นอย่างหัวเสีย นึกอยากสั่งคนขับให้ตีรถพุ่งตรงไปที่ร้านอาหารในภาพ ไปถึงแล้วเขาจะกระโจนเข้าไปบีบคอยายหนูรัสเขย่าซะเดี๋ยวนี้เลย แน่นอนว่าต้องหลังจากสั่งลูกน้องให้อัดไอ้ตำรวจนั่นให้น่วมเสียก่อนนะ

“คุณ...คุณกันต์ครับ ที่คุณหนูรัสใส่คือชุดนักศึกษาครับ” อนลบอกเบาๆ แบบสุดแสนเกรงใจ แต่อย่างไรการแก้ไขความเข้าใจผิดให้เจ้านายอาจลดความหัวร้อนของเขาลงได้บ้างก็เป็นได้...หรือเปล่านะ...

ไม่เลยสักนิด!

อนลคิดอย่างทุกข์ระทมเมื่อสบตาคมดุที่ตวัดมองมาแบบขวางๆ 

“อะไรคือชุดนักศึกษาวะ” กันต์ถามเสียงเหวี่ยง ยังจับจ้องภาพหญิงสาวในชุดพอดีตัว...แบบที่ไม่เคยสวมให้เขาเห็นด้วยสายตาร้อนผ่าวๆ

“ชุดเครื่องแบบที่นักศึกษาใส่เวลาไปมหาวิทยาลัยไงครับ เหมือนเครื่องแบบนักเรียนน่ะ” อนล...ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องแบบสาวๆ ในชุดยูนิฟอร์มอธิบายแบบอึกๆ อักๆ

นาทีนี้เขาภาวนาขออย่าให้เจ้านายถามต่อเลยว่าไปรอบรู้เรื่องแบบนี้มาจากไหน นึกแล้วอยากเขกหัวตัวเองขึ้นมารำไร 

ไอ้เอ้เอ๊ย ไอ้เอ้ ทำไมมึงต้องไปแสดงความเห็นด้วยวะเนี่ย บอกไปว่าไม่รู้ก็สิ้นเรื่องไปแล้ว

เขาไม่เคยรู้เลยว่าเครื่องแบบนักศึกษา เครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่นหรือชุดคอสเพลย์ ม. ต้น ม. ปลาย มันเป็นยังไง ไม่รู้จริงจริ๊ง!

“แล้วทำไมยายนั่นไม่เคยใส่มาให้ฉันเห็นเลยล่ะ” กันต์ยังกังขา สีหน้าเหวี่ยง

“นายครับ...คุณหนูรัสมีเรียนวันเสาร์อาทิตย์นะครับ เราไม่เคยมาดักเจอคุณหนูรัสวันที่เธอมีเรียนเลยนะครับ” ดรัณภพกัดฟันอธิบาย...อธิบายให้คนที่นิสัยเหวี่ยงจนไม่ลืมหูลืมตาเข้าใจในกฎเกณฑ์มนุษย์โลก

คือ...ถ้าคนอื่นเขาแต่งชุดนี้แค่เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ การที่ไม่เคยไปพบกันในวันดังกล่าวก็ต้องไม่เคยเห็นเขาแต่งชุดนั้นเป็นธรรมดาปะ มันเข้าใจยากตรงไหนวะเนี่ย!?

ลูกน้องเหนื่อยใจจนแทบอยากเอาหัวโขกคอนโซลหน้ารถ

“ชิ...แล้ว...แล้วทำไมไม่ไปเปลี่ยนชุดอื่นก่อนล่ะ” กันต์ยังราวีหาเรื่องไม่เลิกรา

“หมอนั่นดักอยู่หน้ามหาวิทยาลัย คงไม่มีใครมีปัญญาหนีกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดใหม่มาได้หรอกนะครับ” ดรัณภพอธิบายด้วยสีหน้าหน่าย

“หรือ...หรือคุณกันต์จะกลับไปดูทางนั้นก่อนไหมครับ วันหลังค่อยมาที่นี่ใหม่” อนลถามออกมาอย่างมีความหวัง...หวังว่าจะสลัดพ่อตัวเองออกไปได้ 

“ไม่” กันต์ทำปากเบ้ สีหน้าขัดใจสุดๆ สั่งเสียงแข็ง “มาถึงนี่แล้ว ทำเรื่องนี้ก่อนค่อยว่ากัน”

คนเป็นนายว่าพลางขยับตัวทำท่าจะลงจากรถ บรรดาบอดีการ์ดทั้งของเขาทั้งพวกน้าๆ ชุดสีน้ำเงินต่างก็พากันขยับตามเข้าประจำตำแหน่ง มีคนลงไปเปิดประตูรถให้ จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็เคลื่อนเข้าไปในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง โดยคนที่ถูกอารักขาอยู่ตรงกลางมีสีหน้าบูดบึ้งเหมือนไปโกรธใครมา ยิ่งวนเวียนคิดไปถึงเรื่องที่สลัดออกจากหัวไม่หลุดก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น เข่นเขี้ยวอาฆาตอยู่ในใจ

ยายหนูรัสนะยายหนูรัส เดี๋ยวคอยดูเหอะ ให้เขาเสร็จธุระทางนี้ก่อนเหอะ ต้องมีคนถูกจัดการหนึ่งอัตรา!

 

“คุณแพน...อยากให้หนูรัสถูกเขาจัดการเหรอคะ” รสิกาเอ่ยถามขึ้นมาน้ำเสียงสะเทือนใจเมื่อได้ยินคำขอของนายตำรวจหนุ่ม

“หนูรัส พี่แพนต้องการความช่วยเหลือจากหนูรัสจริงๆ นะคะ” สารวัตรพงศ์เผ่าบอกเสียงเว้าวอน...สายตาก็เว้าวอน เมื่อมารวมกับใบหน้าที่ดูดีหล่อคมเข้มของเขาแล้ว...มันคงรู้สึกดีและชวนระทวยกว่านี้...มากๆ ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาขอนั่นมันไม่ใช่

“แต่...จะให้หนูรัสเป็นสาย คอยรายงานความเคลื่อนไหวของคุณกันต์และสืบว่าเขามาทำอะไรผิดกฎหมายเนี่ย...ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยเหรอคะ” รสิกากัดฟันต้านทานพลังทำลายล้างของนายตำรวจหนุ่มที่ฮอตที่สุดในอำเภอ

คือ...ความ อ.ห...เอ่อ...โอ้โห! ของภารกิจที่เขาเอ่ยปากขอให้ช่วยนั้น มันทำลายความหลงใหลใฝ่ฝันในหนุ่มหล่อชวนฝันที่สาวๆ พากันหวีดร้อง ซึ่งเคยมีรสิการวมอยู่ในบรรดาสาวๆ พวกนั้น แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

เขานี่มัน...ตำรวจจริงๆ เหรอ นี่เขาคิดจะใช้ให้คนอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง ไม่มีทักษะในการสืบสวนเลยไปทำภารกิจที่อันตรายให้แบบนี้...

คือ...นี่อยากได้ผลงานเอาไปเลื่อนขั้นจนไม่สนอะไรแล้วใช่ไหมเนี่ย

“จริงๆ ผมกำลังพยายามช่วยหนูรัสอยู่นะ” สารวัตรพงศ์เผ่าบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังอย่างไรก็เป็นการล่อหลอกกันแหละ

“ช่วยยังไงคะ” รสิกาถามน้ำเสียงข่มใจ ไม่ให้ชักสีหน้าหรือตวาดใส่ผู้ชายตรงหน้า

“ก็หนูรัสถูกเขารังควาน และจากที่หนูรัสเล่ามา เขายังโอนเงินจำนวนมากมาให้หนูรัสด้วย...ทีนี้ถ้าเขาเป็นพวกทำผิดกฎหมายข้ามชาติขึ้นมา เงินที่เขาโอนให้หนูรัสก็เท่ากับเป็นการรับของโจร ฟอกเงิน สมรู้ร่วมคิด...นี่ผมกำลังจะช่วยกันตัวหนูรัสออกมาจากข้อหาพวกนั้นให้มาเป็นพยาน เป็นผู้ช่วยตำรวจแบบสวยๆ ชิลชิลเลยนะ” สารวัตรพงศ์เผ่าพูดจบก็ยิ้มกว้างใส่ดวงตาที่เบิกโตของคนฟัง

รสิกาเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ริมฝีปากสั่นระริกแทบอยากหลุดถ้อยคำสบถด่า

ทีแรกเขามาดักรอที่หน้ามหาวิทยาลัย พร้อมกับเสนอตัวว่าจะให้คำปรึกษา เรื่องที่เธอถูกคุกคามจากคน...คนที่ดูร้ายๆ

แล้วนี่ทำไม...ทำไมเธอถึงจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายไปแล้วล่ะ!

“ยะ...ยัดเยียดข้อกล่าวหา ข่มขู่บังคับให้ผู้อื่นกระทำการอันฝืนใจนี่...มันไม่ผิดจรรยาบรรณตำรวจเหรอคะ” รสิกากัดฟันถามเสียงเหวี่ยงใส่นายตำรวจตรงหน้า ไม่เหลือความเกรงใจใดๆ แล้ว ถ้าหากว่าเขาจะเล่นงานเธอขนาดนี้

พงศ์เผ่ากะพริบตางุนงงไปวูบหนึ่งก่อนรอยยิ้มจะค่อยๆ ผุดพราย ความพออกพอใจปรากฏในสีหน้า ขณะเอนตัวลง บอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเบาสบาย

“เรื่องพวกนี้ในทางปฏิบัติแล้วมันมีข้อยกเว้นอยู่ เพื่อความปลอดภัยของผู้คนส่วนใหญ่แล้วเราสามารถข้ามกฎเกณฑ์บางอย่างได้” เขาเว้นจังหวะ ยิ้มกว้างใส่คนที่เบิกตาโต อ้าปากค้าง กับการเลือกใช้ช่องว่างทางจริยธรรมของเขา “แน่นอนว่ามันต้องมีบางคนยอมเสียสละ แต่ก็เพื่อความสงบสุขของสังคม ต้องมีใครสักคนที่เหมาะสมมารับบทฮีโรนี้ และคนคนนั้น...”

“ต้องไม่ใช่ฉันแน่นอนค่ะ” รสิกาตัดบท

หญิงสาวอยากลุกขึ้นหันหลังวิ่งหนีไปให้ไกล ติดแต่เพียงอีกฝ่ายเป็นตำรวจ และในอำเภอเล็กๆ นี้ก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา ถ้าหากเขาเกิดบ้าจี้วิ่งตามเธอขึ้นมา...

ภาพที่ออกมามันจะ...มันจะไม่ใช่อาชญากรคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีตำรวจหรอกหรือ!

ภายในไม่ถึงชั่วโมงข่าวลือที่เธอวิ่งหนีตำรวจคงแพร่สะพัดไปทั่ว...จากปากต่อปาก เกมกระซิบคำที่เล่าลือกันไปทั่วอำเภอมันจะไม่กลายเป็นว่า เธอไปก่อคดีร้ายแรงอะไรสักอย่าง...เท่าที่ขาเมาท์ขี้มโนพวกนั้นจะจินตนาการไปถึง และโดนตำรวจไล่ตามจับตัว...โดนคนระดับสารวัตรไล่จับนี่...ต้องไม่ใช่คดีไก่กาอาราเร่แน่นอน

ฮือออ...

แล้ว...ชีวิตน้อยๆ ของเธอที่อยู่อย่างยากเย็นอยู่แล้วจะไม่ยิ่งลำบากหนักกว่าเดิมอีกหรือ

ชีวิตในอำเภอเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนไปในวิถีชีวิตกึ่งชนบทกึ่งทันสมัยของเมืองที่เริ่มพัฒนาทำให้การดำรงชีวิตยังต้องอาศัยการยอมรับจากสายตาชาวบ้านอยู่ไม่ใช่น้อย หากว่าเกิดมีข้อด่างพร้อยขึ้นมา การโดนสังคมรังเกียจในเมืองเล็กแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลยสักนิด การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นั้นไม่อาจเมินเมยต่อผู้คนได้เหมือนในเมืองใหญ่ที่ไม่ต้องแคร์ว่าเพื่อนข้างบ้านจะมองเช่นไร

รสิกาแทบอยากถอนใจยาวเหยียดเมื่อนึกขึ้นได้ถึงข้อหาที่ถูกคุณอมรรัตน์ปรักปรำเมื่อวานนี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ภรรยาเพื่อนคุณพ่อเธอจะไปเที่ยวโพนทะนาเรื่องพวกนั้นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ถ้าหากไม่โวยวายสิแปลก...

ใช่มันแปลกๆ จริงๆ ด้วยที่ป่านนี้คุณอมรรัตน์ยังไม่พาคุณธนัตหรือเอเธนส์มาเป็นพยานในการจิกด่าหาเรื่องเธอเลย ปกติแล้วหญิงวัยกลางคนผู้สุดแสนเจ้าอารมณ์คนนั้นเคยอดทนเก็บอารมณ์ได้ที่ไหน ยิ่งกับเป้าหมายอย่างรสิกาที่มักเลี่ยงความขัดแย้งเสมอมา ยิ่งรสิกายอมเธอยิ่งได้ใจยิ่งกดข่มเหยียบย่ำ...

“หนูรัส...นี่เป็นคนหัวแข็งพูดยากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย” สารวัตรพงศ์เผ่าเอนตัวลงพิงเบาะพร้อมเลิกคิ้วถาม ...เหมือนมีรอยขำขันในสายตาที่จ้องข้ามโต๊ะมองมาอย่างพิจารณาเป็นพิเศษ

“ฉันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วละค่ะ เพียงแต่เราไม่สนิทกันถึงขนาดที่คุณแพนต้องรู้ว่าฉันเป็นคนยังไง” รสิกาบอกเสียงเรียบ กีดกันเขาให้ห่างออกไปด้วยสรรพนามแบบไม่นับญาติ

พงศ์เผ่าเปิดรอยยิ้มขันๆ ปนมันเขี้ยวเมื่อมองหน้าเชิดๆ แบบไว้ตัวของสตรีตรงหน้า ที่ดูอย่างไรก็...เหมือนเด็กอวดดีที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่เนียนเลยสักนิด ยายหนูรัสนี่...ตลกดีเป็นบ้าเลย

“แล้วหนูรัสจะทำยังไง ถ้าเขาเข้ามาข่มขู่อีก” พงศ์เผ่าถามจี้จุด เป็นประเด็นที่ทำเอาสีหน้าอวดดีนั้นบิดเบ้ไปนิดหนึ่ง

“หนูรัส...เอ่อ ฉันว่าจะไปคุยกับคุณลุงอารัณย์ คุณพ่อของเขาค่ะ คุณลุงเป็นคนมีเหตุผล ต้องรับฟังฉันแน่นอน” รสิกาบอกแผนการออกไป 

คนฟังทำท่าคิดกลอกตา สีหน้ามีเค้าของมารร้ายเคลือบฉาบ

“แต่...หนูรัสต้องไม่ลืมนะ ว่าคนที่สั่งให้กันต์มาบังคับหนูรัสให้แต่งงานด้วยคือตาลุงนั่น...แล้วเขาจะยอมให้หนูรัสปฏิเสธได้จริงๆ เหรอ” พงศ์เผ่าถามยิ้มๆ จับจ้องสีหน้าลำบากใจของสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่ปิดบังความขบขันไม่อยู่ รู้อยู่หรอกว่าแกล้งเด็กน่ะ แต่...

“ฉันจะพยายามเจรจาให้ถึงที่สุดเลยค่ะ” รสิกากัดฟันบอกเขาออกไป แม้ไม่เหลือความมั่นใจเลยสักนิดเดียว

“หนูรัส ฟังพี่แพนนะ พี่แพนไม่ได้จะบังคับให้หนูรัสทำอะไรที่มันอันตราย แต่ในสถานะที่หนูรัสกำลังจะโดนเขาพาตัวไปแบบนั้น ทำไมเราไม่ให้ความร่วมมือกันล่ะ พี่แพนก็จะพยายามช่วยหนูรัสออกมา กันไว้เป็นพยาน หรือถ้าหนูรัสกำลังลำบากหรือตกอยู่ในอันตรายก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือจากพี่แพนได้ตลอดเวลา” พงศ์เผ่าเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงชวนคล้อยตามสุดๆ

“และเรื่องสืบข่าว ถึงเวลานั้นถ้าหนูรัสคิดว่ามันอันตราย หรือไม่อยากทำ พี่แพนก็ไม่ได้ไปบีบคั้นบังคับให้หนูรัสต้องทำอะไรเสี่ยงๆ เลยสักนิด การจะทำหรือไม่ทำมันก็อยู่ที่การตัดสินใจของหนูรัสอยู่ดี คิดดูสิ มันไม่ได้มีการฝืนใจกันเลยนะ มีแต่พี่ที่อยากช่วยเหลือหนูรัสล้วนๆ เลยจริงๆ”

รสิกามองบุรุษตรงหน้า ชายผิวคล้าม ผมเกรียน ล่ำสันจนเห็นกล้ามเนื้อแน่นๆ นูนออกมาจากเสื้อยืดฟิตพอดีตัว เขานั่งเอนตัวพิงอยู่บนเบาะเก้าอี้อาร์มแชร์ตรงข้ามเธอ ส่งสายตาที่ทั้งเว้าวอนทั้งล่อหลอกมาให้ แถมด้วยรอยยิ้มกริ่มโกงๆ แบบมุมปากโค้งสูงขึ้นข้างเดียวนั่น...เป็นรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆ...และไม่สาวในอำเภอนี้หลอมละลายมานักต่อนักแล้ว

รสิกาเอง...เมื่อก่อนนี้ก็เคยเผลอใจไปเหมือนกัน...แต่น่าประหลาดที่วันนี้รอยยิ้มนั่นไม่อาจสั่นคลอนเธอได้เลย

พูดถึงรอยยิ้มสั่นคลอนหัวใจ...ความทรงจำกลับพาเธอย้อนรำลึกไปถึงดวงหน้าหล่อเหลาเอาแต่ใจของใครอีกคน ใครคนนั้นต่างหากล่ะที่เป็นเจ้าของจังหวะใจเต้นระทึกตึ้กตั้กยามยิ้มล่อลวงใส่ตากัน

เดี๋ยวสิ!’

รสิกาแทบจะสลัดหัวเพื่อตั้งสติ

นี่...กำลังเจรจาเรื่องคอขาดบาดตายแท้ๆ ทำไมไพล่ไปคิดถึงผู้ชายอยู่ได้ รสิกาเตือนตัวเองก่อนโอดครวญในใจ

โอ๊ย...นี่ฉันเป็นชะนีที่ของขาดเหรอเนี่ย

“คุณแพนคะ ถ้าฉันจะตอบตกลง...ฉันมีเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่งที่ต้องขอร้องให้คุณแพนช่วยค่ะ” รสิกาเอ่ยขึ้นหลังจากตั้งสติไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว

“ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องยาก” พงศ์เผ่าดักทางไว้ก่อน กวาดตามองสีหน้าลำบากใจของหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาพราวพรายระยิบระยับ เต็มไปด้วยความสนุกสนานในอารมณ์ที่ได้ล่อหลอกรังแกเด็กสาวเล่น

“สำหรับคุณแพนมันไม่ยากหรอกค่ะ แต่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ยากมากสำหรับฉันค่ะ”

“ทำซะอยากรู้เลย รีบเล่ามาซิว่ามีอะไรที่เป็นเรื่องยากจนหนูรัสคนเก่งของฉันยังจัดการไม่ได้อยู่อีก” พงศ์เผ่าเอ่ยเย้าๆ 

“เรื่อง...เรื่องคุณป้าอมรรัตน์ที่เข้าใจฉันผิดและจะต้องไปวีนกับคุณลุงธนัตกับคุณเอเธนส์น่ะค่ะ” รสิกาเอ่ย สีหน้าเริ่มมีความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ และมีความคลายใจอยู่ไม่น้อยเลยที่พบคนที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เธอได้ “คุณแพนช่วยไปกล่อมคุณป้าให้หายโมโหและช่วยอธิบายความจริงให้คุณลุงกับคุณเธนส์เข้าใจให้ฉันได้ไหมคะ”

รสิกาพูดออกมาแล้วก็เห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วทำท่าคิดหนัก จนเธอต้องสำทับ

“ถ้าคุณแพนช่วยฉันเรื่องนี้ ฉันก็จะพยายามช่วยคุณในเรื่องนั้นให้ค่ะ”

พงศ์เผ่ายิ้มพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ไม่ได้ถามสิ่งที่สงสัยในหัวออกไป...หนูรัส เธอไปเอาวิธีคิดเจรจาต่อรองแบบนี้มาจากไหนกันนะ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสาวซื่อๆ ที่เขาเห็นมาหลายปีจะมีพัฒนาการก้าวกระโดดได้ขนาดนี้...น่าสนใจจริงๆ 

อืม...นอกจากช่วยเธอพูดกับครอบครัวเอเธนส์ให้แล้ว...สงสัยว่าเขาต้องตั้งใจช่วยให้เธอยกเลิกทะเบียนสมรสที่โดนบังคับนั้นให้ได้ด้วยสินะ

สารวัตรหนุ่มคิดพลางจ้องมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะด้วยสายตาหมายมาดแบบ...แปลกๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น