การได้สรงน้ำอุ่นในอุณหภูมิที่พอดีพอเหมาะทำให้ หม่อมเจ้าทัตเทพ ชัยนราพงศ์ หรือ ‘ท่านชายทัต’ ผ่อนคลายกล้ามมังสาจากการขับรถขึ้นเหนือเป็นระยะทางร่วมเก้าร้อยกิโลเมตร เอกบุรุษผู้สง่างามทรงเปิดประตูห้องบรรทมแล้วเสด็จออกไปยังส่วนของห้องนั่งเล่น ก่อนจะเปิดบานประตูข้างห้องนั่งเล่นเพื่อเสด็จออกไปยังส่วนของระเบียงกว้าง ทันทีที่บานประตูกระจกถูกเลื่อนเปิดออกสามชีวิตที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าก็หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
“ขอโทษที่มาถึงมืดๆ เลยทำให้วุ่นกันแบบนี้” ท่านชายทัตตรัสกับลูกจ้างทั้งสามขณะก้าวพระบาทไปยังจุดที่ตั้งสำรับเอาไว้ เนตรดำขลับหลุบมองผ้าเช็ดโอษฐ์ที่วางอยู่ข้างสำรับ ทรงกางผ้าผืนดังกล่าววางลงบนพระเพลาแล้วจึงหันไปตรัสกับนวลโดยตรง
“ฉันดีใจที่ป้ายังจำได้ว่าทุกครั้งที่ตั้งสำรับต้องมีผ้าเช็ดปากมาด้วย”
“จำได้สิจ๊ะ เรื่องเกี่ยวกับพ่อเลี้ยง ป้าจำได้ทุกเรื่อง” นวลตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือความดีใจอย่างปิดไม่มิด
ท่านชายทัตทรงยิ้ม แม้นในยามที่ปลอมองค์มาเป็น ‘พ่อเลี้ยง’ อยู่บนดอยเช่นนี้ก็ยังคงมีคนงานดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าหลวงในวังที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดจากหม่อมมารดาของพระองค์เอง
ท่านชายทัตเอื้อมหัตถ์ไปตักแกงหน่อไม้ใส่บวบขึ้นเสวย เมื่อน้ำแกงร้อนต้องชิวหาเอกบุรุษก็ยกมุมโอษฐ์ขึ้น
“รสมือยังดีเหมือนเดิม”
“แกงหม้อนี้ลุงกับป้าไม่ได้ทำดอกพ่อเลี้ยง” สมกล่าว
“หืม...” ท่านชายทัตครางพลางชายเนตรไปยังใบหน้าแต้มยิ้มของสม “ลุงจะบอกว่าแกงนี้หลานสาวลุงทำงั้นรึ”
“ครับ กลิ่นจันทน์ทำ เมื่อกลางวันลุงเดินไปทางไร่ไผ่ฝั่งกระโน้นเลยแวะเก็บหน่อไม้มาหลายหน่อ พอพ่อเลี้ยงมาถึงเลยไปเก็บบวบมาเพิ่ม” สมตอบ
“ส่วนฝีมือป้าจานโน้นจ้ะ น้ำพริกหนุ่ม ผักลวก ป้าจำได้ว่าพ่อเลี้ยงชอบ” นวลกล่าว
เมื่อได้รับคำยืนยันเช่นนั้น ท่านชายจึงเอี้ยววรกายทอดพระเนตรดวงหน้าของคนรสมือดีที่กำลังจดจ่อกับการเป่าไอร้อนจากปากเพื่อสร้างไออุ่นให้แก่มือที่กุมกันทั้งสองข้าง ซึ่งเย็นเยียบจากอุณหภูมิรอบกายที่ลดลงทุกขณะ
“ฉันมามืดๆ ค่ำๆ แบบนี้คงยังไม่ได้กินข้าวกินปลากันสินะ” ท่านชายเจ้าของไร่เกริ่น และเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดจากคนทั้งสามจึงส่ายพักตร์น้อยๆ “เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนตามสบายเถิด พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อ”
“แต่ว่า...” นวลอึกอัก
ท่านชายทัตเทพทรงพระสรวลอย่างไม่ดังนักแล้วจึงรับสั่งต่อ “ฉันยังไม่หนีกลับกรุงเทพฯ คืนนี้ดอก รอบนี้ฉันจะพักจิบไวน์อยู่กับลุงกับป้าที่นี่สักสองเดือน”
สมและนวลหันมาสบตากันแล้วอมยิ้ม ยินดีเสียยิ่งกว่ายินดีที่พ่อเลี้ยงจะมาพักอยู่ในไร่หลายเดือนเช่นนี้
“งั้นลุงกับป้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน ถ้าหากพ่อเลี้ยงต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกหาพวกเราได้ตลอดเวลา”
หม่อมเจ้าทัตเทพพยักพักตร์รับน้อยๆ คล้อยหลังทั้งสามที่เดินลับประตูไปแล้วจึงเอื้อมหัตถ์ไปตักแกงหน่อไม้ใส่บวบขึ้นเสวยอีกรอบ
“รสมือแบบนี้ค่อยสมกับที่ยกโทษให้หน่อย”
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับสำรับเครื่องคาวที่สองย่าหลานปรุงถวายแล้ว ท่านชายทัตจึงแวะรินวิสกี้ชั้นดีที่ขนมาจากวัง จากนั้นจึงเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงในห้องบรรทม แล้วเอนวรกายแกร่งพิงแท่นบรรทม
“ป่านนี้เสด็จพ่อกับพี่ชายพัฒน์คงถูกหม่อมแม่ซักหูชา”
ท่านชายตรัสถึงพระองค์เจ้าชัยนราพงศ์ผดุงเดช ผู้เป็นพระบิดาและหม่อมเจ้าภูมิพัฒน์ ชัยนราพงศ์ ผู้เป็นเชษฐา ที่คาดว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะพระบิดาที่ประทานพระอนุญาตให้พระองค์ได้หยุดพักผ่อน หลังจากที่ทรงโหมงานหนักแทนเชษฐาที่เสด็จไปเรียนต่อที่ยุโรปรอบสองจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนถึงสองปีเต็ม และเมื่อท่านชายพัฒน์เสด็จนิวัตได้ไม่ถึงสัปดาห์ ท่านชายทัตก็คุกพระชงฆ์ลงเบื้องหน้าพระพักตร์พระบิดาเพื่อขอประทานพระอนุญาตไปสำราญพระอิริยาบถ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามใครตามหา ห้ามแม้กระทั่งคนสนิทที่ตามติดพระองค์เป็นเงาไม่ให้ร่วมเดินทางมาด้วย
เมื่อพระบิดาพระทัยอ่อนประทานพระอนุญาตให้ตามประสงค์แล้ว ท่านชายทัตจึงทรงหยิบกุญแจรถยนต์คันโก้ขับมุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที ทิ้งหน้าที่รับหน้าตอบคำถามหม่อมผกาผู้เป็นมารดาไว้ให้เชษฐาผู้แสนดีและพระบิดาผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา
‘ช่วงสองปีที่ผ่านมา ชายก็ต้องคอยตอบคำถามร้อยแปดของหม่อมแม่แทนพี่ชายพัฒน์เหมือนกันนั่นแหละน่า แต่ของชาย ชายทิ้งให้พี่ชายพัฒน์รับหน้าที่แทนแค่สองเดือนเอง’
หัตถ์แกร่งหมุนแก้วเครื่องดื่มสีอำพันเล่นแล้วทรงพระสรวลทุ้มต่ำ ยามหวนนึกถึงบทสนทนาที่ทรงมีกับเชษฐาที่วิ่งตามมาเกาะประตูรถที่กำลังเคลื่อนที่ออกจากวัง
“อยู่วังให้ได้เกินวันละหกชั่วโมงนะพี่ชายพัฒน์”
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
สารถีหนุ่มเหลือบตามองเอกบุรุษผู้งามสง่าที่ประทับอยู่เบาะด้านหลังผ่านทางกระจกมองหลัง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงระคนห่วงใย
“แวะตรวจให้กระหม่อมสบายใจเถิดฝ่าบาท”
“จะแวะตรวจให้เสียเวลาไปไย ฉันรู้ตัวฉันดีดอกจำรูญ” สุรเสียงทุ้มดังขึ้นจากทางเบาะหลัง
“ฝ่าบาทกลับดึกและเสด็จออกจากวังเช้าตรู่มาหลายวันติด กระหม่อมเกรงว่า...” มหาดเล็กคู่ใจเกริ่นแล้วหยุดพูดไปเสียดื้อๆ
“หึ” เสียงทรงพระสรวลทุ้มต่ำดังขณะเบนพักตร์คมไปทางกระจกด้านข้าง “นายยังห่วงฉันมากกว่าน้องชายที่คลานตามกันมาเสียอีก ไม่รู้ว่าป่านนี้ชายทัตจะไปเที่ยวเล่นสุขสบายอยู่ที่ไหน จะรู้บ้างหรือไม่ว่าทำให้ฉันต้องวุ่นวายนัก แล้วเจ้าจำรัสได้บอกกระไรนายหรือไม่ว่าเจ้านายหนีไปพักใจพักกายที่ใด”
“หามิได้ฝ่าบาท กระหม่อมคาดคั้นนักหนา เจ้าจำรัสก็ยังยืนยันคำเดิมว่าท่านชายทัตไม่ได้รับสั่งสิ่งใดไว้เลยกระหม่อม” จำรูญเอ่ยถึงจำรัสผู้เป็นน้องชายและเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดหม่อมเจ้าทัตเทพ
“อืม ถ้าเช่นนั้นนายคงต้องทนลำบากกับฉันแบบนี้ไปอีกสักพัก” หม่อมเจ้าภูมิพัฒน์ หรือท่านชายพัฒน์ ตรัสกับมหาดเล็กขณะที่อีกฝ่ายจอดรถเทียบหน้าตำหนักใหญ่ภายในเขตกำแพงวังชัยนราพงศ์
“กระหม่อม” จำรูญค้อมศีรษะรับ
ท่านชายพัฒน์วางหัตถ์ลงบนบ่าของคนสนิท จากนั้นจึงทรงดำเนินเข้าไปด้านในตำหนักที่ไร้ซึ่งนางกำนัลอย่างเช่นในช่วงเวลากลางวัน
“ชายทัตนะชายทัต ทำให้พี่ต้องหลบหม่อมแม่กลับบ้านดึกดื่นเช่นนี้ทุกคืน ข้าวที่วังแทบไม่ได้แตะต้อง ลำบากเจ้าจำรูญซื้อหามาให้ทุกมื้อ ต้องกลับวังดึกขึ้นทุกวัน ไม่เช่นนั้นหม่อมแม่จะจับเวลาดักรอได้เหมือนคืนก่อนอีก เฮ้อ...” ราชนิกุลหนุ่มถอนปัสสาสะเมื่อสามารถหลบหลีกการดักรอของหม่อมผกาขึ้นมาถึงห้องบรรทมได้ปลอดภัยอีกหนึ่งคืน
“My one and only prayer is that some day you'll care,
My hopes, my dreams come true, my one and only you.
No one will ever know how much I love you so
My only prayer will be someday you'll care for me
But it's o-only make believe.”๒
ทางฝั่งราชนิกุลหนุ่มที่หนีมาอิงแอบธรรมชาติยังคงมีแก้ววิสกี้ในหัตถ์ ทรงยิ้มสลับกับฮัมเนื้อร้องตามแผ่นเสียงอย่างสำราญตราบจนกระทั่งผล็อยบรรทมลงท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา
เรือนไม้สักหลังงามตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของไร่ ซึ่งเจ้าของสถานที่เลือกที่จะออกแบบบ้านที่มีกระจกและระเบียงล้อมรอบ เพื่อที่จะได้ทอดพระเนตรอาณาจักรเล็กๆ ส่วนพระองค์ได้ทั่วทุกมุม
แสงแรกของวันส่องกระทบกระจกใสผ่านม่านขาวบาง พาไอร้อนเข้ามากระทบวรกายแกร่งบนแท่นบรรทมพร้อมสายลมหนาว เนตรคมกะพริบและปรือขึ้นอย่างแช่มช้า จากนั้นจึงเสด็จเข้าไปในห้องสรง แล้วจึงเปิดประตูห้องบรรทมเสด็จออกไปยืนรับลมหนาวที่ระเบียงกว้าง
“ดอกไม้ที่นี่งามเหลือเกิน” ท่านชายทัตเทพทรงยิ้มยามทอดพระเนตรดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์ที่แข่งกันชูช่อล้อลมแข่งกันเบ่งบานรับแสงอรุณ
“ถ้าพี่ชายพัฒน์ พี่ชายวัชร ชายดิน มาเห็นคงได้เปิดไวน์กินกันแต่หัววัน” เมื่อได้อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามก็อดนึกถึงเชษฐาและสหายสนิทไม่ได้
“แล้วนั่นต้นอะไรดอกงามเหมือนซากุระของญี่ปุ่นเทียว” ท่านชายเคลื่อนเนตรคมไปยังต้นไม้ใบเดี่ยวรูปรีแบบไข่ปลายใบเรียวแหลม ช่อดอกสีชมพูกระจุกใกล้ปลายกิ่ง แผ่ความสวยสดไปทั่วทั้งต้น
“อืม ดีจริง นอกจากจะมีไม้ดอกไม้ใบให้ชมแล้วยังมีกายกรรมลิงให้ดูแต่เช้าอีกด้วย” ตรัสสุรเสียงทุ้มกลั้วพระสรวล ยามทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิงสาวจอมซนถกชายผ้าถุงเพื่อปีนขึ้นไปตัดช่อดอกสีชมพู และปีนกลับลงมาเมื่อได้ช่อดอกไม้งามตามจำนวนที่ต้องการแล้ว จากนั้นจึงนำช่อดอกดังกล่าวไปจัดใส่กระบอกไม้ไผ่สีเหลืองทองหลายขนาด
“อ้าว แล้วนั่นจะไปไหนอีก อยู่นิ่งๆ เหมือนคนปกติบ้างไม่ได้เลยหรือไร” ท่านชายทัตเทพตรัสกับองค์เอง เมื่อเจ้าลิงน้อยจอมซนจัดดอกไม้ลงกระบอกไม้ไผ่เรียบร้อยแล้วก็คล้องตะกร้าเข้าเรียวแขนกลมกลึงเดินนวยนาดไปยังท้ายไร่ เนตรคมเบิกกว้างยามสบเข้ากับสะโพกกลมกลึงที่ยักย้ายผึ่งผายรับกับจังหวะการก้าวขา
“เป็นบ้าอะไรเนี่ย มองอะไรไม่เข้าเรื่อง” ตรัสพลางหมุนองค์เสด็จกลับเข้าไปในห้องบรรทม “สงสัยจะดื่มหนักไปหน่อย เลยเผลอนึกพิเรนทร์แต่เช้า อาบน้ำสักรอบเห็นจะดี”
เมื่อชำระภาพความผึ่งผายออกจากห้วงความจำได้เป็นบางส่วน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนน้อยส่วนนิดจากภาพจำใบใหญ่ ท่านชายทัตเทพจึงเสด็จลงจากเรือนที่พระสหายสนิทเคยตั้งชื่อให้อย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ตำหนักหนีร้อน มาพึ่งเย็น’ ครานั้นทรงพระสรวลเสียยกใหญ่กับชื่อตำหนักอันยาวเฟื้อย แต่เมื่อได้เสด็จกลับมาเยือนสถานที่แห่งนี้อีกครั้งก็อดที่จะคล้อยตามไม่ได้
“ช่างคิดช่างทำนักนะเจ้าวานรน้อย” หม่อมเจ้าทัตเทพตรัสเมื่อทอดพระเนตรแจกันกระบอกไม้ไผ่ฝีมือเจ้าวานรน้อยประจำไร่ซึ่งวางประดับเรียงรายอยู่ตามมุมต่างๆ
“พ่อเลี้ยง”
หม่อมเจ้าทัตเทพหันไปทอดพระเนตรตามเสียงเรียก
“ขยันแต่เช้าเลยนะลุง”
“เช้าๆ แบบนี้อากาศดี ทำอะไรก็เพลินมือ” สมวางจอบที่กำลังขุดดินเตรียมลงดอกไม้พุ่มใหม่ข้างบันไดเรือนใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นนายใกล้ๆ “เช้านี้ให้ตั้งสำรับตรงไหนดีครับ”
“ใต้ต้นไม้ต้นโน้นก็ได้ ดอกกำลังงามเทียว”
สมชะโงกมองตามสายตาของพ่อเลี้ยงแล้วพยักหน้ารับ “อ๋อ ต้นนางพญาเสือโคร่ง ได้ครับ เดี๋ยวผมไปบอกแม่นวลก่อนว่าพ่อเลี้ยงตื่นแล้ว แล้วก็จะให้กลิ่นจันทน์ไปเตรียมที่ไว้ด้วย”
“ทำเป็นรึ”
“ถึงจะทโมนไปหน่อย แต่กลิ่นจันทน์ก็พอมีฝีมือเรื่องงานบ้านงานเรือนอยู่บ้าง” สมตอบกลั้วขำ ด้วยเข้าใจความนัยน์ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของผู้เป็นนายดี
“เช่นนั้นก็เร่งให้หล่อนแสดงฝีมือเสียสิ ชักช้าแดดจะมาเสียก่อน”
สมมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นนายแล้วอมยิ้ม จากนั้นจึงเดินกลับไปที่เรือนครัวเพื่อแจ้งข่าวกับภรรยาและหลานสาว
“พ่อเลี้ยงตื่นแล้วนาแม่นวล”
“ข้าวต้มก็ใกล้เสร็จพอดี” นวลตอบโดยที่ยังไม่ละมือจากการคนข้าวต้มในหม้อบนเตา
“แล้วนี่กลิ่นจันทน์ไปไหนเสียล่ะ” สมถาม
“วิ่งไปเก็บไข่ไก่ที่เล้ามาเพิ่ม เห็นว่าเย็นนี้จะต้มไข่พะโล้” นวลตอบ และก่อนที่สมจะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เจ้าของชื่อก็เดินยิ้มหวานเข้ามาในโรงครัว
“ปู่ถามหากลิ่นจันทน์ มีอะไรให้กลิ่นจันทน์ทำหรือเปล่าจ๊ะ”
“พ่อเลี้ยงให้ตั้งสำรับใต้ต้นนางพญาเสือโคร่ง” สมเอ่ยกับหลานสาว
“ได้จ้ะปู่ งั้นกลิ่นจันทน์ขอไปเตรียมเสื่อกับเบาะนั่งก่อนนะจ๊ะ” กลิ่นจันทน์ตอบ เมื่อผู้เป็นปู่พยักหน้าอนุญาตหญิงสาวจึงหันไปเอ่ยกับผู้เป็นย่า “กลิ่นจันทน์เตรียมที่นั่งเรียบร้อยแล้วจะมาช่วยย่าจัดสำรับนะจ๊ะ”
“อือ ไปเถอะๆ” นวลว่า
หญิงสาวชะโงกหน้ามองข้าวต้มในหม้อที่นวลกำลังคนอยู่เล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังโรงเรือนที่ใช้เก็บของ กวาดสายตามองเสื่อที่เธอจักแหย่งและหวายแล้วนำมาสานเป็นลวดลายด้วยตัวเอง เลือกหยิบผืนที่มั่นใจว่าประณีตสวยงามที่สุดสองผืน จากนั้นจึงเดินไปเลือกเบาะรองนั่งที่เธอไปเก็บปุยสีขาวจากผลต้นงิ้วหรือที่ย่าเธอเรียกว่านุ่นมายัดด้วยตัวเอง“เอาลายนี้ก็แล้วกัน” เมื่อเลือกเบาะรองนั่งได้แล้วหญิงสาวจึงหอบทั้งเสื่อและเบาะรองนั่งนำไปปูใต้ต้นนางพญาเสือโคร่ง
“วางแจกันตัดสักหน่อยน่าจะงาม” คนช่างคิดพึมพำแล้วเดินไปยังทิศทางของเรือนหลังใหญ่ หยิบขันโตกใบเขื่องพร้อมแจกันไม้ไผ่สีทองที่เธอเพิ่งจัดเสร็จเมื่อครู่ นำไปวางบนเสื่อ จากนั้นขยับตัวออกห่างจากบริเวณที่จัดไว้พอประมาณ กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเอียงหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเดินไปเก็บดอกนางพญาเสือโคร่งที่เพิ่งร่วงลงจากต้นใหม่ๆ คัดดอกที่สดและบอบช้ำน้อยที่สุดร่วมสิบดอกนำไปวางประดับบนเสื่อและขันโตก ขยับตัวออกห่าง พิศมองไปรอบๆ ตัวอีกรอบ แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อช่วยผู้เป็นย่าจัดสำรับ โดยหารู้ไม่ว่ากิริยาอ่อนช้อยทว่าคล่องแคล่วของเธออยู่ในสายตาคู่หนึ่งตลอดเวลา
“ดูเถิด แทนที่จะเก็บกวาดให้เรียบร้อย กลับเก็บของร่วงของหล่นไปโปรยให้สกปรกเล่นเสียอย่างนั้น ซนจริงเทียว”
ท่านชายทัตเทพส่ายพักตร์ ทั้งที่วาดวิมานในอากาศเอาไว้ตั้งแต่เสด็จออกจากวังว่าจะอาศัยไร่แห่งนี้ปลีกวิเวกหลีกหนีจากความวุ่นวายทั้งปวง และใช้เวลาอยู่กับองค์เองให้มากที่สุด แต่ไม่เลย เพราะตั้งแต่ตื่นบรรทมจวบจนถึงเวลานี้ไม่ว่าจะเสด็จไปปลีกวิเวก ณ จุดใด แม่วานรน้อยก็ช่างขยันเดินตามไปทำงานวนไปเวียนมาจนพระองค์อดที่จะหอบแทนไม่ได้ เอกบุรุษถอนปัสสาสะจากนั้นจึงเสด็จไปประทับตรงโต๊ะไม้สักใต้ถุนเรือน กระทั่งสมมาตามเมื่อสำรับมื้อแรกของวันจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว
ราชนิกุลหนุ่มขมวดขนงยามทอดพระเนตรเห็น ‘ของร่วงของหล่น’ ที่กลิ่นจันทน์โปรยเอาไว้ เพราะนอกจากเจ้าของร่วงของหล่นที่ว่านั้นจะไม่สร้างความสกปรกให้ระคายเนตรแล้ว เหล่าบุปผาดอกงามที่วางเรียงรายอยู่บนเสื่อสานผืนแข็งกลับช่วยขับให้เสื่อผืนดังกล่าวอ่อนหวานมีชีวิตชีวา เมื่อเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะชายเนตรไปยังร่างบอบบางของคนที่ถึงแม้นจะแลดูซุกซนในบางคราแต่ก็ใช่ว่าจะกระโดกกระเดกจนเกินงาม
“แปลกพิลึก”
“...”
สุรเสียงทุ้มดังขึ้นขณะย่อองค์ลงประทับบนเบาะที่จัดเตรียมไว้ สม นวล และกลิ่นจันทน์เหลือบตามองกันแล้วก้มหน้าลง เห็นทีพวกตนคงจะจัดที่จัดทางไม่ถูกใจผู้เป็นนายเสียแล้ว
“เพิ่งจะเคยเห็นดอกไม้หล่นเกลื่อนพื้นแต่งามจับตาเช่นนี้ สั่งลมสั่งไม้กันได้ดอกรึ”
สม นวล และกลิ่นจันทน์ผ่อนลมหายใจออกพร้อมกันด้วยความโล่งอก ก่อนที่หญิงสาวผู้มีอำนาจสั่งลมสั่งไม้ได้จะเงยหน้าขึ้นตอบ
“บังคับไม่ได้ดอกจ้ะ กลิ่นจันทน์ไม่ได้เรียนคาถาอาคมมา ดอกไม้ที่นี่ก็หล่นตามลมเกลื่อนพื้นเหมือนทุกที่ แต่ที่พ่อเลี้ยงเห็นวางอยู่บนเสื่อกลิ่นจันทน์จับโปรยไว้เอง”
“งั้นรึ”
เอกบุรุษยกมุมโอษฐ์ขึ้น ชักสนุกเสียแล้วที่มีคนกล้าโต้ตอบพระองค์เช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาหากพระองค์ตรัสในทำนองนี้ พวกมหาดเล็ก นางข้าหลวงในวัง หรือแม้แต่พนักงานในบริษัทต่างก็ก้มหน้าก้มตาตัวสั่นงันงก ประหนึ่งพระองค์ออกโอษฐ์สั่งนำตัวพวกนั้นไปลงโทษก็ไม่ปาน คงมีแต่เจ้าจำรัสมหาดเล็กส่วนพระองค์ที่กล้าบ้าง แต่น้ำเสียงและแววตาของเจ้านั่นก็ไม่ได้น่าดู น่าฟัง และน่าแกล้งอย่างแม่วานรน้อยประจำไร่
แถมที่ผ่านมาพระองค์ยังไม่เคยเห็นแววตาของสตรีนางใดเป็นประกายใสซื่อเช่นนี้มาก่อน เพราะแววตาของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่พยายามเข้าใกล้พระองค์ล้วนมี ‘มารยา’ บางอย่างแอบแฝง ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ช่ำชองเรื่องสตรีมากนัก แต่จิตใต้สำนึกก็สอนพระองค์ว่าไม่ควรสบดวงตาของพวกนางหากไม่จำเป็น แต่กับแม่วานรน้อยนามกลิ่นจันทน์คนนี้พระองค์มั่นพระทัยว่าในดวงตากลมโตของเจ้าหล่อนไร้ซึ่งสะพานที่ทอดยาว
“ข้าวต้มหมูรึ นึกอยากกินอยู่พอดี”
“จ้ะ ป้าเห็นว่าอากาศเย็น พ่อเลี้ยงน่าจะอยากซดน้ำร้อนๆ”
ท่านชายทัตเทพตักข้าวต้มหมูขึ้นเป่าระบายความร้อนก่อนนำเข้าโอษฐ์
“อร่อย คล่องคอ”
นวลยิ้มกว้างรับคำชม ทั้งสามนั่งรอพ่อเลี้ยงทัตเทพรับอาหารเช้าอยู่เงียบๆ จนกระทั่งข้าวต้มพร่องไปครึ่งค่อนชามผู้เป็นนายจึงเปิดบทสนทนาขึ้นอีกรอบ
“ขอบใจลุงกับป้าที่ดูแลไร่ให้อย่างดี ต้นไม้ที่ลงไว้ก็เริ่มโต อีกไม่นานคงออกผลให้ชื่นใจ”
“เมื่อเช้าลุงขึ้นไปหาดูเมล็ดกาแฟที่พ่อเลี้ยงเคยเอามารอบก่อนบนบ้านแต่หาไม่เจอ เช้านี้เลยไม่มีกาแฟให้พ่อเลี้ยงกิน” สมกล่าวพร้อมยิ้ม
“ไม่เป็นไร รอบนี้ฉันขนมาอีกแยะ แต่ยังอยู่ในรถ”
“งั้นเดี๋ยวลุงจะให้กลิ่นจันทน์ขนของในรถไปจัดเข้าที่” สมว่าต่อ
“ขอบใจมาก” ตรัสกับสมแต่เหลือบเนตรมองเรียวแขนเล็กของคนที่จะช่วยยกและจัดของเล็กน้อย ก่อนจะรับสั่งต่อ “สายๆ ฉันจะออกไปหานายดินสักหน่อย ไม่รู้ว่าเห็นฉันตัวเป็นๆ ที่นี่จะบ่นยาวแค่ไหน”
“พ่อเลี้ยงจะให้ป้าเตรียมอาหารเย็นเผื่อด้วยหรือเปล่า” นวลถามด้วยน้ำเสียงที่ยินดีอย่างปิดไม่มิดจนท่านชายเจ้าของบ้านทรงอดที่จะอมยิ้มน้อยๆ ตามไม่ได้
ดูเถิด เจ้าเพื่อนสนิทคนนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือร้าย แค่เพียงเอ่ยพาดพิงถึงคนของเขายังกระตือรือร้นอยากหุงหาข้าวปลาอาหารไว้บริการถึงเพียงนี้
“ฉันก็ไม่มั่นใจดอกหนาว่าคนปากหวานของป้าเขาจะว่างตามมาด้วยหรือไม่ สองปีที่ฉันไม่ได้มาอุตส่าห์วางใจฝากผีฝากไข้ให้ช่วยแวะมาดูมาแลแทน แต่ที่ไหนได้ เจ้าคนดีของป้านวลกลับส่งแต่ลูกน้องเอาเงินมาจ่ายแทนไม่ใช่ดอกรึ”
“อย่าว่าเธอเลย เธอคงยุ่งจริงๆ นั่นแหละจ้ะพ่อเลี้ยง” นวลช่วยแก้ต่างให้อย่างรวดเร็ว นั่นยิ่งทำให้เอกบุรุษทรงพระสรวลขึ้นอีกรอบ จากนั้นจึงหันกลับมาจัดการสำรับบนขันโตกต่อจนแล้วเสร็จ
ความคิดเห็น |
---|