บทที่ ๘

น้องสาว

หลังจากกระจ่างกับสิ่งที่สงสัย วันเวลาก็เตรียมจะกลับบ้านเพื่อไปทบทวนแผนการที่จะทำวันพรุ่งนี้ ทว่ายังไม่ทันเดินถึงประตูทางออก ใครบางคนก็เข้ามาทักทายเธอก่อน

“จะกลับแล้วหรือคะ”

เจ้าของคำทักทายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางสะอาดสะอ้าน แต่งกายทันสมัย เธอคงจะยินดีคุยด้วยอยู่หรอก หากว่าหน้าตาเขาไม่คุ้นจัด จะไม่คุ้นได้อย่างไร ในเมื่อผู้ชายคนนี้คือเพื่อนของตรัยคุณ รู้อย่างนี้แล้วเธอจะอยู่เสวนาด้วยทำไมล่ะ มีแต่จะซวยละสิไม่ว่า เพราะไม่รู้ว่าตรัยคุณจะโผล่มาตอนไหน

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ แล้วตั้งท่าจะชิ่งหนี แต่อีกฝ่ายก็ไม่เปิดโอกาสง่ายๆ ครั้นพอเธอขยับ เขาก็ขยับตาม จนกลายเป็นการขวางทางกลายๆ “ขอโทษนะคะ แต่ช่วยหลบหน่อย”

มาวินส่งยิ้มหวานเชื่อม ทำเมินคำขอร้องของสาวเจ้า

“น้องมาคนเดียวหรือคะ กลับคนเดียวค่ำๆ มืดๆ แบบนี้อันตรายนะ พี่วินไปส่งดีกว่าไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่รบกวนดีกว่า พอดีกลับคนเดียวได้”

“กลับคนเดียวไม่ดีหรอก เชื่อพี่วินสิ ไม่ได้ดูข่าวช่วงนี้หรือไง คุณโนเฟซเขากำลังออกล่าเหยื่อสาวๆ สวยๆ แบบน้องนี่แหละ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย น้องควรจะหาผู้ชายไปเป็นเพื่อนสักคน พี่วินขอรับหน้าที่นั้นเอง ไม่ต้องเกรงใจ คืนนี้พี่ว่าง ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้วค่ะ”

วันเวลานิ่วหน้า รู้สึกอึดอัดในสายตาและคำพูดของคู่สนทนามาก เธออยากจะถามเขาจริงเชียวว่าเธอไปเป็น ‘น้อง’ ของเขาเมื่อไร เพราะเธอนึกไม่ออกเลยว่ามีพี่ชายขี้หลีขนาดนี้ อีกอย่างที่เธอติดใจก็คือคนประเภทไหนกันนะถึงได้เรียกฆาตกรโหดว่า ‘คุณ’ ได้อย่างสุภาพคล่องปากขนาดนี้ ราวกับว่าโนเฟซเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่บุคคลที่ควรถูกสาปแช่ง

“ไม่เป็นไรค่ะ อันที่จริงหนูไม่ได้กลัวไอ้ฆาตกรโรคจิตนั่นเท่าไรหรอก”

เพราะที่น่ากลัวกว่าก็คือคนที่ตอแยเธออยู่นี่แหละ...วันเวลาอยากจะตอกกลับแสบๆ แต่ยังไม่ทันได้พูด อีกฝ่ายก็ชิงยิ้มขันขึ้นมาก่อน

“ฆาตกรโรคจิตงั้นหรือ รู้ได้ยังไงว่าเขาโรคจิต ก็จริงที่ว่าเขาฆ่าคน แต่เขาอาจทำไปเพื่อจัดเมนต์สังคมที่ฟอนเฟะ หรือเพื่ออุดมการณ์ก็ได้ น้องไม่คิดว่าเขาเท่ดีหรอกหรือคะ เขาอาจจะโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็น่าชื่นชมในบางแง่ เพราะคนบางคนก็สมควรตายจริงๆ อยู่ไปก็รกโลก”

“เอ่อ...ทำไมถึงเข้าใจจิตใจของฆาตกรดีจังเลยคะ”

“ไม่เชิงเข้าใจ ก็แค่คิดว่าคุณโนเฟซคงมีเหตุผลของเขา” เขาพูดยิ้มๆ ไม่ได้สนใจสีหน้าของวันเวลาเลยว่าจะสะพรึงกับการแสดงความเห็นของเขา “แต่ในเมื่อยังไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร และเรากำลังจะตกเป็นหนึ่งในเหยื่อหรือเปล่า ก็ควรระวังตัวไว้ก่อน ขอโอกาสให้พี่วินไปส่งน้องนะคะ พี่วินสัญญาว่าจะดูแลน้องอย่างดี”

หญิงสาวกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่เพียงแต่ขยาด แต่เธอยังรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าอีกด้วย ทั้งๆ ที่ออกตัวว่าชื่นชมและเป็นเอฟซีของฆาตกร ยังมีหน้ามาอาสาจะดูแลเธอจากฆาตกรนั่นอีก ถ้าไม่เป็นคนย้อนแย้งมากก็เป็นคนที่พิลึกมาก แล้วแบบนี้จะไว้ใจได้อย่างไร หัวเด็ดตีนขาดยังไง เธอก็จะไม่ไปกับเขาแน่ 

“ไม่ต้องค่ะ หนูจะกลับเอง”

“ทำไมดื้อกับพี่วินล่ะคะ พี่วินปกป้องน้องได้” ชายหนุ่มรบเร้าอีก พลางยื่นมือออกมาข้างหน้าอย่างรอคอย “ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย มาเถอะ คนสวย น้องไว้ใจพี่ได้ค่ะ”

คนสวยส่ายหน้า แต่มาวินไม่ฟังคำปฏิเสธ พอเห็นว่าเธอไม่ยอมยื่นมือมาแตะมือเขา เขาก็เตรียมจะรุกหนักยิ่งขึ้น   หญิงสาวคิดว่าถ้าเขาเริ่มเอามือมาถูกตัวเธอเมื่อไร เธอจะกัดเขาให้จมเขี้ยวเลย ทว่าเธอไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้วละ เพราะในตอนนั้นเองฝ่ามือที่ยกค้างของมาวินถูกมือของใครอีกคนปัดออกไปอย่างแรง

“โทษทีนะ แต่กูไม่ไว้ใจมึง”

วันเวลาและมาวินหันไปตามเสียง ผู้มาใหม่ที่ก้าวฉับๆ มาแทรกกลางก็คือตรัยคุณ ใบหน้าเขาเรียบเฉยก็จริง ทว่าดวงตากลับมีแววความไม่พอใจคุกรุ่นอยู่

“ไอ้คุณ แกมาทำอะไรตรงนี้”

“แล้วมึงล่ะมาทำอะไร ไหนว่าจะไปห้องน้ำ” ดอกเตอร์หนุ่มสวนด้วยคำถาม พลางเสยเส้นผมอย่างหงุดหงิด “กูเห็นมึงหายไปนานผิดปกติก็เลยมาตาม นึกว่าเมาหัวทิ่มคาส้วมไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะมัวมายืนหลีสาวอยู่ตรงนี้”

“พูดจาน่าเกลียดฉิบ ใครหลีใครวะ กูกำลังส่งความปรารถนาดีให้น้องคนนี้ต่างหาก ไม่ได้ดูข่าวหรือไง เป็นผู้หญิงยิงเรือเดินทางคนเดียวมันอันตราย กูก็เลยว่าจะอาสา...” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ตรัยคุณก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาอย่างขัดจังหวะ

“ไม่ต้องอาสา นี่น้องกู มึงไม่ต้องยุ่ง”

มาวินหน้าเหลอหลากับคำว่า ‘น้อง’ 

“เดี๋ยวนะ มึงมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไร กูไม่เห็นจำได้” เขาถามพลางมองเพื่อนและหญิงสาวตรงหน้าสลับกันไปมาอย่างงุนงง นาทีหนึ่งกว่าที่เขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ “อ๋อ เข้าใจละ นี่น้องมึงเนอะ” เขาย้ำคำว่า ‘น้อง’ เป็นพิเศษ ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นเทียมศีรษะเป็นเชิงยอมแพ้ “โอเค งั้นกูไม่ยุ่งแล้ว ขอโทษทีว่ะ อย่าเคืองกันเลย กูไม่รู้จริงๆ”

มาวินล่าถอยไปด้วยสีหน้าเจื่อนๆ วันเวลาจึงได้มีโอกาสอยู่กับผู้ช่วยเหลือตามลำพังและขอบคุณเขา

“ขอบคุณพี่คุณนะคะที่ช่วยวิว บอกตรงๆ ว่าเพื่อนพี่คนนี้มีแนวคิดที่น่าขนลุกยังไงไม่รู้ แถมเขาก็ตื๊อวิวไม่หยุด ถ้าไม่ได้พี่มาช่วย วิวต้องแย่แน่”

“ทีนี้เข้าใจความรู้สึกของการเป็นคนถูกตื๊อบ้างแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มสวนกลับนิ่มๆ ทำเอาวันเวลายิ้มแห้ง จะว่าเธอเหมือนเพื่อนเขาก็ไม่ถูก เพราะถึงจะช่างตื๊อเหมือนกัน แต่ที่เธอตื๊อก็เพราะมีเหตุผล แต่อย่างว่าป่วยการจะโต้เถียงด้วย หญิงสาวจึงเลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป พอเห็นหญิงสาวเงียบ เขาจึงถามต่อ คงเป็นสิ่งที่เขาสงสัยนานแล้ว “เธอมาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้ตามพี่มาใช่ไหม”

“ใช่ที่ไหน วิวไม่ใช่พวกสตอล์กเกอร์นะ วิวแค่มารีแลกซ์เฉยๆ”

“มารีแลกซ์? แล้วก็บังเอิญเจอพี่เนี่ยหรือ”

“ไม่เห็นแปลก โลกนี้มันกลมกว่าที่คิด อีกอย่างผับนี้ก็กำลังดังสุดๆ วิวก็อยากจะมาบ้างอะไรบ้าง ผิดหรือไงคะ”

ดูจากสีหน้าของชายหนุ่มแล้ว เขาคงไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูดเท่าไร แต่ก็ไม่ได้โต้ในประเด็นนี้ต่อ 

“แล้วมากับใคร”

“มาคนเดียวค่ะ”

“มาคนเดียวในสถานการณ์ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนกลัวและเก็บตัวกันอยู่ในบ้านหลังฟ้ามืดแบบนี้น่ะหรือ”

“ค่ะ ทำไงได้ ยายกั้งไม่ว่าง ก็เลยต้องมาแบบเหงาๆ คนเดียว” หญิงสาวตอบแบบหยอด หวังจะเรียกคะแนนสงสาร ซึ่งก็ไม่รู้ได้ผลหรือไม่ เพราะตรัยคุณถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ

“ถ้างั้นมายังไง ขับรถมาคนเดียวหรือ”

ที่จริงแล้วเธอจะตอบตามความจริงก็ได้ว่าตนเอารถมา แต่ในเมื่อเธออยากเรียกคะแนนสงสารบวกอ่อยเล็กๆ เผื่อว่าจะมีส้มหล่น หญิงสาวจึงโกหก

“เปล่าค่ะ วิวกลัวเมาแล้วขับรถกลับเองไม่ไหว ก็เลยมาแท็กซี่” ปดออกไปแล้วก็เฝ้ารอปฏิกิริยาอีกฝ่ายด้วยใจจดจ่อ และก็อย่างที่หวังไว้เลย ตรัยคุณติดกับดักเธอเข้าอย่างจัง

“งั้นถ้าจะกลับแล้วก็ไปด้วยกัน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เขาสรุปอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเห็นว่าดึกดื่นมากแล้ว

“ฮ้า! นี่วิวฟังผิดไปหรือเปล่า”

“จะกลับหรือไม่กลับ”

“กลับค่ะกลับ!” หญิงสาวตอบอย่างกระตือรือร้น อย่างกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ก่อนจะเดินตามคนตัวโตออกมานอกผับ และเมื่อเห็นยานพาหนะที่จะใช้เดินทางคราวนี้ เธอก็อดถามไม่ได้ “โห พี่คุณจะพาวิวขึ้นบิ๊กไบค์หรือคะ”

“ใช่ นั่งได้ไหม”

“ได้สิคะ ที่ถามเพราะวิวตื่นเต้น วิวไม่เคยนั่งมาก่อน นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยแหละ เพราะงั้นช่วยอ่อนโยนกับครั้งแรกของวิวด้วยนะคะ” เธอพูดยั่วอย่างทีเล่นทีจริง และเมื่อเห็นสายตาเข้มๆ ของชายหนุ่ม สาวเจ้าก็ยิ้มเผล่ “อ๊ะ อย่าเพิ่งกลายร่างเป็นเครื่องจักรด่าวิวสิ วิวหมายถึงประสบการณ์การนั่งบิ๊กไบค์หรอก ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นเล้ย” 

ชายหนุ่มโคลงศีรษะเป็นเชิงเอือมๆ ก่อนจะส่งหมวกกันน็อกใบใหญ่ให้เธอสวม

“แล้วพี่คุณล่ะคะ ไม่สวมหรือ” หลังจากรับหมวกกันน็อกมาสวมแล้ว เธอก็ถามต่ออย่างสงสัย เพราะไม่เห็นตรัยคุณสวมหมวกเหมือนเธอ

“หมวกมีแค่ใบเดียว พอดีพี่ไม่ได้วางแผนให้ใครมานั่งซ้อนท้ายด้วย ก็เลยไม่ได้เตรียมเผื่อ”

“อ้าว งั้นก็แย่น่ะสิ ถ้างั้นพี่คุณสวมหมวกใบนี้เถอะเพื่อความปลอดภัย”

“ไม่เป็นไร เธอสวมเถอะ”

“แต่...”

“พี่บอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร” เขาเคาะที่หมวกกันน็อกของวันเวลาไปทีหนึ่ง เมื่อเธอตั้งท่าจะถอดมันออก “ใส่ไปเถอะ เธอจำเป็นต้องใช้มันมากกว่าพี่ อีกอย่างในฐานะคนขับ พี่ก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นหลัก”

ถามว่าประทับใจไหมที่เขาเสียสละและเป็นห่วงเธอขนาดนี้ ก็ประทับใจอยู่หรอก แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้

“แต่ถ้าเจอด่านตรวจขึ้นมาจะทำยังไงคะ ไหนจะไม่สวมหมวกกันน็อก ไหนจะโดนเป่าแอลกอฮอล์อีก แค่คิดก็ขนพองสยองเกล้าแล้ว”

“ทางกลับบ้านเธอมีด่านตรวจไหมล่ะ”

“เท่าที่จำได้ ไม่เคยเห็นค่ะ”

“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องขนพองสยองเกล้าล่วงหน้า” เขาว่าพลางก้าวขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันเก่งอย่างไม่ได้กังวลปัญหานี้เท่าไรนัก เพราะหากเขากังวลกับเรื่องโดนตำรวจซิว เขาคงไม่อาสาที่จะมาส่งวันเวลาตั้งแต่แรก ป่านนี้เขาคงขี่รถกลับไปนอนสบายอยู่ที่บ้านแล้ว เพราะเขามีเส้นทางลัดเฉพาะที่ไม่ต้องเจอด่านตรวจ

“แหม ถึงจะไม่เคยเห็น แต่ก็รับประกันอะไรแน่นอนไม่ได้ จากที่ไม่เคยมี ปุบปับอาจจะเกิดขยัน มีขึ้นมาก็ได้ วิวก็เดาใจคุณตำรวจเขาไม่ออก”

“ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอบอก งั้นก็สุดแล้วแต่ความซวย แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่เห็นสักด่าน ก็ทำใจให้สบายๆ  Look on the bright side”

คำกล่าวของเขาที่ว่าให้มองในด้านดีเข้าไว้ ทำให้หญิงสาวยิ้มออกมา ก็ดูเขาสิ นึกว่าจะมองทุกอย่างในแง่ลบเสียอีก แต่ที่แท้ก็สามารถมองโลกแง่บวกกับเขาเป็นเหมือนกันแฮะ

วันเวลาปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย อาจเป็นเพราะครั้งแรก จึงทำให้เธอมีท่าทีเก้ๆ กังๆ แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะเธอเป็นคนปรับตัวเก่งอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะ ‘จงใจ’ ทำเป็นเงอะงะต่ออีกหน่อย เพื่อหวังผลบางประการ ซึ่งก็นะ เธอวางแผนแล้วว่าจะจงใจทำแบบที่ว่า ทว่ายังไม่ทันเริ่มแผน ตรัยคุณก็ทำจิตใจเธอกระเจิง เมื่อจู่ๆ เขาก็ถอดเสื้อนอกซึ่งทำจากผ้ายีนของตนออก จนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีดำซึ่งอวดกล้ามแขนแน่นปึกน่าสัมผัสเสียอย่างนั้น เธอยังไม่ทันได้ถามว่าเขาคิดจะทำอะไร ก็พอดีที่เขาส่งเสื้อยีนให้คนซ้อนท้าย

“สวมนี่ไว้”

“สวมทำไมหรือคะ” 

“กันลม เธอคงไม่คิดว่าเสื้อผ้าบางๆ สั้นๆ เหมือนชุดชั้นในขาดๆ พวกนี้จะทำให้เธออุ่นได้ใช่ไหม”

“ใจร้าย ชุดชั้นในขาดอะไร ไม่เห็นจะเหมือน!”

“รอให้น้าแววเห็นเธอในสภาพนี้ก่อนเถอะ แล้วท่านคงช่วยตัดสินเองว่ามันเหมือนหรือไม่เหมือน”

“แม่เห็นแล้ว ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำนี่คะ”

“โกหกคล่องแบบนี้ ระวังจมูกจะยื่นยาวเป็นพิน็อคคิโอนะ วิว” ชายหนุ่มสวนกลับอย่างรู้ทันคำโกหก “ไม่มีทางที่น้าแววจะเห็น เพราะถ้าท่านเห็นว่าเธอแต่งตัวแบบไหน ป่านนี้เธอคงไม่ได้ออกจากบ้านแน่นอน”

คนถูกหาว่าเป็นพิน็อคคิโอย่นจมูกอย่างขัดใจ เกลียดนัก คนรู้ทัน! 

แต่แน่นอนเธอจะไม่เป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว ในทันทีที่คนรู้ทันสตาร์ตเครื่องยนต์ และบังคับยานพาหนะไปบนถนน หญิงสาวก็ได้จังหวะเอาคืน ร่างแบบบางแสร้งไถลตัวมาชนคนรู้ทัน ใช้วงแขนโอบรัดรอบเอวของเขาไว้ ใกล้จนชนิดที่ว่าหากสิงได้คงสิงไปแล้ว 

และเพราะภาพอดีตที่ได้รับมาจากการสัมผัสตัวรอบนี้ไม่ค่อยน่าสนใจ เพียงแต่เห็นตรัยคุณทำงานบำบัดคนไข้คนแล้วคนเล่าก็เท่านั้น วันเวลาจึงทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การยั่วยวนแทน

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ เบาะมันเทไปข้างหน้า วิวคอนโทรลตัวไม่เก่ง ปล่อยไว้แบบนี้มีหวังหล่นตุ้บลงไปก่อนถึงบ้านแน่เลย เพราะงั้นวิวขอกอดพี่คุณไว้จนกว่าจะถึงที่หมายนะคะ” คนซ้อนท้ายอ้อน บดเบียดหน้าอกหน้าใจชิดแผ่นหลังของผู้ขี่ จากมุมนี้เธอมองสีหน้าของเขาไม่เห็น แต่เชื่อเถอะว่าหากไม่ใช่พระอิฐพระปูนก็คงมีหวั่นไหวกันบ้างละ และเมื่อหวั่นไหวถึงขีดสุด เมื่อนั้นเธอจะได้เผด็จศึกเขา และนั่นถือเป็นข้อดี เพราะอย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับแผนการที่จะทำในวันพรุ่งนี้ด้วย

ทว่าความฝันของวันเวลาก็มีอันดับสูญ ตรัยคุณอดทนเก่งกว่าที่คิด เขาไม่ได้แวะจอดที่ใดเพื่อทำอะไรเธอด้วยซ้ำ แต่ขับพาหญิงสาวมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย ต่อให้เธอจะแกล้งบอกทางผิดๆ ถูกๆ เฉียดเข้าใกล้โรงแรมตามรายทางก็ตาม แต่เขาก็รู้ทันทุกครั้ง ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงบ้าน วันเวลาจึงชวนให้เขาเข้ามาพักเหนื่อย ดื่มน้ำดื่มท่าในบ้านก่อน แต่เธอก็เสียโอกาสครั้งสุดท้ายในวันนี้ไป เมื่อโดนตรัยคุณปฏิเสธ ไม่รู้เพราะรู้ทันแผนการหรือเพราะเขาเกรงใจ เพราะนี่เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว

“พี่เข้าไปตอนนี้คงไม่เหมาะหรอก เธอเข้าบ้านเถอะ”

“ว้า...ไม่แวะสวัสดีแม่ก่อนหรือคะ วิวไม่รู้ว่าแม่จำพี่คุณได้ไหม แต่ถ้าจำได้ ท่านต้องดีใจแน่ที่ได้พบพี่” 

“พี่ก็อยากอยู่ทักทาย แต่ไว้โอกาสหน้าดีกว่า คืนนี้ดึกมากแล้ว ไม่รู้ว่าท่านหลับไปหรือยังด้วย พี่ไม่อยากรบกวน”

วันเวลาพยักหน้าอย่างผิดหวังหน่อยๆ เธอถอดเสื้อนอกออกแล้วส่งคืนให้เขา และเตรียมจะยกมือบอกลา ทว่าก่อนที่เขาจะกลับก็ยังไม่ลืมพูดทิ้งท้าย

“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

“แบบนี้? คือแบบไหนคะ”

“แบบที่ทำกับพี่เมื่อกี้นี้...ตลอดการเดินทาง” ชายหนุ่มขยายความ ทำเอาสาวเจ้าถึงบางอ้อแล้วหัวเราะคิกคัก ดูท่าสิ่งที่เธอคาดไว้คงจริง อย่างน้อยเธอก็ได้พิสูจน์แล้วว่าผู้ชายคนนี้คงรู้สึกอะไรบ้างละ “มันไม่เหมาะสม ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ อาจจะเกิดเรื่องขึ้นก็ได้”

“เอ...เรื่องที่ว่ามันคือเรื่องอะไรหรือคะ”

“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” 

“นั่นสิ วิวไม่ใช่เด็กแล้วแท้ๆ เพราะงั้นพี่คุณไม่จำเป็นต้องส่งวิวกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพแบบนี้ก็ได้ ที่จริงถ้าจะพาวิวแวะที่ไหนก่อนกลับและทำกิจกรรมแบบผู้ใหญ่ๆ เขาทำกัน วิวก็ไม่ติดนะ”

ตรัยคุณถอนหายใจกับความมั่นของสาวเจ้า ก่อนจะพยักพเยิดให้เธอกลับเข้าบ้าน

“อย่าให้น้าแววมาได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็แล้วกัน เข้าไปข้างในได้แล้ว ยิ่งอยู่นานยิ่งเลอะเทอะ”

เป็นอันว่าคืนนั้นพวกเธอก็แยกจากกันโดยไม่มีส้มหล่นแต่อย่างใด หญิงสาวมารับไม้ต่อดูแลมารดาจากกระถิน หลังจากสันต์ขี่รถจักรยานยนต์มารับกระถินกลับไปแล้ว วันเวลาก็ล้มตัวลงนอนข้างมารดา แต่เธอไม่ได้หลับ เพราะมัวแต่คิดถึงช่วงเวลาที่เธอเดินทางมากับตรัยคุณ แผ่นหลังที่แข็งแรงผนวกกับกลิ่นกาย ที่แม้ไม่ได้หอมตรึงใจเป็นพิเศษ แต่มันกลับทำให้เธอลืมช่วงเวลานั้นไม่ได้ มิหนำซ้ำยังกระตุ้นให้เธอมุ่งมั่นกับสิ่งที่จะทำ

ต่อไปมันจะไม่ใช่เพียงการใกล้...แต่เธอและเขาจะหลอมรวมกลายเป็นคนเดียวกัน

“ยังไม่นอนหรือลูก” ก็ไม่รู้เธอมัวแต่พลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายบ่อยเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้แววดาวตื่นมาถาม “เป็นอะไรไป ไม่ง่วงหรือ”

“ค่ะ ยังไม่ค่อยง่วง” หญิงสาวพลิกกายหันมาสบตาแววดาวที่นอนอยู่ใกล้ๆ แม้อาการป่วยจะทำให้มารดาลืมหลายสิ่ง แต่สิ่งที่ท่านไม่เคยลืมเลยก็คือลูกสาวของท่าน ในดวงตาของแม่ยังมีแววความรักความอาทรให้เธอเสมอ ซึ่งส่วนนี้ละที่เธอไม่อยากให้ท่านลืมเลือนไป ต่อให้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันโรคจะนำพาให้ท่านลืมเธอไปจริงๆ ก็ตาม  

“แม่คะ พรุ่งนี้วิวจะตัดสินใจทำเรื่องที่ใหญ่มากๆ แม่คิดว่าวิวจะทำสำเร็จไหม”

“สำเร็จสิ ลูกสาวแม่เก่งอยู่แล้ว”

“แล้วถ้าวิวทำสำเร็จ แม่จะโกรธวิวไหม”

“ทำไมแม่ต้องโกรธ”

“เพราะวิวไม่แน่ใจว่าแม่จะเห็นด้วยหรือเปล่า สิ่งที่วิวจะทำมันอาจทำให้คนบางส่วนมองวิวไม่ดี แต่วิวไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถ้าไม่ทำ ชีวิตของวิวก็เดินต่อไม่ได้ ดังนั้นแม่อย่าโกรธวิวเลยนะ แล้วก็...” วันเวลาผุดลุกขึ้นนั่งพับเพียบ ก่อนจะยกมือพนมที่กลางอกด้วยท่าทีจริงจัง “วิวขออนุญาตแม่ไว้ตรงนี้ด้วยเลยค่ะ”

วันเวลายกมือไหว้มารดา เธอไม่รู้ว่าท่านจะเข้าใจสิ่งที่เธอพูดมากน้อยแค่ไหน บางทีอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้ ทว่าท่านก็ทำให้เธอแปลกใจ เพราะในนาทีถัดมาท่านก็ปล่อยเสียงหัวเราะขันๆ

“วิว ลูกพูดอะไรของลูกฮึ ลูกจะตัดสินใจทำอะไร ทำไมต้องขออนุญาตแม่ด้วย”

“เพราะแม่เป็นแม่ วิวเลยคิดว่า...”

“ฟังแม่ให้ดีนะ วิว” แววดาวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะกดมือบางของลูกสาวที่พนมไหว้หล่อนอยู่ลงแบบไม่ต้องการ “ต่อให้แม่เป็นแม่ แม่ให้ชีวิตลูกขึ้นมาก็จริง แต่แม่ไม่ใช่เจ้าชีวิตของลูกหรอกนะ ลูกโตแล้ว ลูกมีสิทธิ์ที่จะเลือกหรือตัดสินใจเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับตัวลูกได้แบบเต็มร้อยโดยไม่ต้องขออนุญาตจากแม่ เพราะนี่คือชีวิตของลูกนี่จ๊ะ”

“แม่”

“ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจทำอะไร ใหญ่แค่ไหน ถ้าลูกคิดดีแล้วก็ลุยเลย แม่จะคอยซัปพอร์ตลูกอยู่ข้างหลังเอง” แววดาวพูดพร้อมรอยยิ้ม พลางเอื้อมมือมาลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่

มือคู่นี้ของแม่ยังอบอุ่นตลอดมา...อบอุ่นจนหญิงสาวอดที่จะยิ้มตามด้วยไม่ได้ เธอล้มตัวลงนอนบนตักของแม่แล้วหลับตาลงอย่างคลายความวิตก

“ขอบคุณนะคะ แม่”

โลกภายนอกจะมองเธอเป็นคนแบบใด เธอไม่ทราบ แต่บนตักของแม่ เธอไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเด็กหญิงตัวน้อยๆ ของแม่เท่านั้นเอง

เช้าวันต่อมาวันเวลาก็ง่วนกับการทำงานและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับแผนการ จนถึงช่วงบ่ายเธอก็นั่งแท็กซี่ไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่ผับกลับมาบ้าน พอตกค่ำกังสดาลจึงมาหาเธอที่บ้านตามนัด พอเพื่อนสนิทรับช่วงต่อดูแลมารดาให้แล้ว หญิงสาวจึงจากมา เธอออกเดินทางไปยังโรงแรมบลูบอนเนต แกรนด์ พร้อมกับคำอวยพรของกังสดาลที่ว่า ขอให้ทำสำเร็จ และหากทำสำเร็จ กังสดาลจะขอแก้บนด้วยการจัดคณะรำชุดใหญ่ไปรำถวาย ก็เป็นการเรียกขวัญและกำลังใจฉบับสาวสายมูอย่างหล่อนละนะ สำหรับวันเวลาแล้ว เธอไม่ได้บนบานหรือขอพรจากวัดเด่นดังใดเลย เพราะเธอคิดว่างานนี้จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ตัวเธอและตรัยคุณล้วนๆ ซึ่งปัจจัยอย่างหลังนี่ละที่ยาก ก็ได้แต่หวังว่าตรัยคุณจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องวนเวียนอยู่กับเขาร่ำไป

Your destination is on the left”

เสียงของระบบจีพีเอสในรถยนต์ดังขึ้นเมื่อนำทางผู้ขับมาถึงจุดหมาย หญิงสาวเลี้ยวรถเข้าไปจอดในตึกสูงใหญ่กลางเก่ากลางใหม่ด้วยใจระทึก

โรงแรมบลูบอนเนต แกรนด์...เธอมาถึงแล้ว

วันเวลาก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ เธอมาถึงก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นนาทีทองของเธอแล้ว ตรัยคุณน่าจะยังมาไม่ถึง เพราะจากออฟฟิศของเขามาถึงโรงแรมแห่งนี้เรียกว่าไกลคนละฟากโลกเลยก็ว่าได้ แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดีเพราะเธอจะได้ทำตามแผนการสะดวกขึ้น

คนมีแผนขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นห้า แล้วมาหยุดที่หน้าห้องหมายเลข ๕๐๕ ที่ซึ่งเธอเพิ่งจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งหายเข้าไป วันเวลาไม่รอช้า เคาะรัวที่บานประตูแบบไม่ยั้งราวกับมีเหตุด่วนเหตุร้าย เพียงไม่กี่วินาทีบานประตูก็เปิดผางออก สาวสวยเซ็กซี่คนหนึ่งมองเธออย่างหงุดหงิด คาดว่าคงอยากจะด่าในการกระทำเมื่อครู่เสียเต็มประดา 

“อะไรของคุณ ต้องการอะไรมิทราบคะ!”

“ต้องการมาดูหน้าคนหน้าไม่อาย ชอบแย่งผัวชาวบ้านน่ะ”

“คะ!?” 

“ฟังไม่ชัดพอหรือคะ งั้นพี่จะพูดให้ฟังอีกรอบ ผู้ชายที่เธอนัดมาวันนี้เป็นผัวของพี่ เป็นผัวที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย”

พอได้ฟังอย่างนั้นคู่สนทนาก็หน้าซีดเผือด ตกใจมาก

“อะไรนะคะ พี่เป็นเมียลูกค้าหนูหรือ!”

“ใช่ เพราะงั้นพี่มีทางเลือกให้น้องสองทางเลือก หนึ่งรับเงินค่าเสียเวลาจากพี่และรีบไปจากที่นี่ซะก่อนผัวพี่จะมา หรือสอง...” วันเวลายิ้มร้าย สวมบทบาทเมียหลวงขาโหดแบบตีบทแตก ด้วยการยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมอัดคลิป “ดึงดันจะนอนกับผัวพี่ให้ได้แล้วโดนฟ้อง โดนสังคมรุมประณาม มีหน้าว่อนหราในอินเทอร์เน็ตไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ก็เลือกเอานะคะ!” 

โรงแรมบลูบอนเนต แกรนด์ ห้อง ๕๐๕ เดชะบุญจริงๆ ที่วันนี้เขาไม่ได้มาสาย แต่มาได้ตรงเวลานัดพอดิบพอดี ไหนๆ ตั้งใจจะมา ‘ลับคม’ แล้ว เขาก็อยากจะใช้เวลาให้เต็มที่เพื่อฝึกปรือทักษะ 

เมื่อมาถึงจุดหมาย ดอกเตอร์หนุ่มที่ก่อนหน้านี้ดื่มแอลกอฮอล์ไปกรึ่มๆ เพื่อเรียกอารมณ์ก็ง้างมือเตรียมจะเคาะประตู ทว่ายังไม่ทันทำ เขาก็สังเกตก่อนว่าประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท แต่ถูกเปิดแง้มไว้เป็นช่องเล็กๆ อยู่แล้ว

“สวัสดีครับ” ตรัยคุณผลักประตูและเดินเข้าไปข้างใน แม้ภายในห้องแทบจะมืดสนิท ทว่าแสงจากพระจันทร์ที่ทอลอดจางๆ จากนอกหน้าต่าง พอจะทำให้เขามองเห็นแบบเลือนรางว่ามีใครคนหนึ่งนอนคลุมโปงรอเขาที่เตียงอยู่แล้ว “คุณเมจิ” เขาลองเรียกชื่อหญิงสาว เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับหรือเปล่า แต่ดูเหมือนจะไม่ได้หลับ เพราะเมื่อเขาเดินมาใกล้เตียงนอน หญิงสาวก็ยื่นมือขาวเนียนออกมาจากกองผ้าห่มแล้วกวักเรียกเขา

ลูกค้าหนุ่มนั่งลงที่บนเตียงตามการเชิญชวน 

“ทำไมอยู่มืดๆ ไม่เปิดไฟล่ะ” เขาถามพลางตั้งท่าจะกดสวิตช์โคมไฟที่โต๊ะข้างเตียง ทว่าแม่สาวในโปงผ้าห่มกลับยื่นมือมารั้งเขาไว้ “ไม่อยากให้เปิดหรือ” เขาอนุมานเอาเองจากท่าทีว่าสาวเจ้าคงจะอาย บางทีเธออาจจะเพิ่งเริ่มทำงานบริการได้ไม่นานยังไม่ชินก็ได้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะแสงไฟไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขาอยู่แล้ว ถ้ามันจะทำให้คู่นอนเขาสบายใจกว่าเขาก็ยินดี “ก็ได้ครับ ปิดไฟก็ได้ เอาที่คุณสบายใจแล้วกัน”

เมื่อสรุปได้อย่างนั้นตรัยคุณจึงเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญของการนัด ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเป็นฝ่ายเริ่ม สาวไซด์ไลน์คนนั้นก็เปิดเกมรุกก่อนด้วยการถอดเสื้อผ้าของตนออกแล้วโยนมันออกมาจากใต้ผ้าห่มทีละชิ้น

ตั้งแต่เสื้อครอป กระโปรงยีนทรงตรงแบบผ่าข้าง บราเซียร์ลายลูกไม้สีดำและ...กางเกงชั้นในตัวจิ๋วสีเดียวกัน

หากนี่เป็นเทคนิคการยั่วยวนของเธอ ก็ถือว่าแม่สาวไฟแรงสูงที่ตอนนี้คงจะเปลือยเปล่ามีลีลาแพรวพราวใช้ได้ สมควรแล้วที่มาวินแนะนำมา 

ตรัยคุณแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของตนออก และโยนมันทิ้งที่ข้างเตียง

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่ม...” และก็เป็นครั้งที่สองที่ลูกค้าหนุ่มถูกจู่โจมก่อน ยังไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำ วงแขนของหญิงสาวก็ยื่นมาโอบรอบคอเขา ก่อนจะดึงร่างของชายหนุ่มให้เข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเธอ 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น