2

บทที่ 2


2

 

            พิราอรชักสีหน้าไม่พอใจ จ้องชายหน้าระรื่นผู้ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับเธอโดยไม่บอกกล่าว ขนาดมองด้วยสายตาตำหนิแล้วยังฉีกยิ้มไม่สะทกสะท้าน อะไรจะหน้าด้านได้ขนาดนี้ หญิงสาวขมวดคิ้ว อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไม จู่ๆ มุมสงบสุดในผับกลับถูกบุกรุกด้วยรอยยิ้มของหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์

            ใช่แล้ว แบบนั้นละที่เธอนึกคำจำกัดความออก ชายแปลกหน้ามาพร้อมกับรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจ เธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อน และในสถานที่อโคจรอย่างนี้ เธอไม่ต้องการทำความรู้จักกับใครทั้งสิ้น!

            นับเป็นปัญหาอีกหนึ่งข้อที่เธอจะต้องแก้ไข ความเป็นส่วนตัวของลูกค้าคือเรื่องสำคัญมาก หญิงสาวคิด ปากกายังถือในมือ สมุดบันทึกวางอยู่บนโต๊ะ คงจดอะไรตอนนี้ไม่ได้ ต้องจัดการไล่ตัวป่วนตรงหน้าไปซะก่อน

            พิราอรวางปากกา บอกผู้บุกรุกน้ำเสียงสุภาพ

            “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว แล้วที่คุณเห็นนี่ก็ไม่ใช่การบ้านหรอกค่ะ ฉันเรียนจบมาหลายปีแล้ว ขอบคุณมากที่อุตส่าห์มีน้ำใจกับคนแปลกหน้า แต่ฉันคงรับไว้ไม่ได้จริงๆ”

            ชินดนัยถึงกับเหวอเมื่อเจอคำตอบกลับแสนสุภาพนั้น ลูกพีชของน้านันท์ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ตั้งสติรับมือเขาด้วยการเลือกใช้คำพูดง่ายๆ หากใครฟังแล้วไม่เข้าใจคงโง่เขลาเบาปัญญาเต็มทน แต่ไอ้ที่เขายังตีหน้ามึนอยู่นี่ก็เพราะอยากดูปฏิกิริยาของเธอนั่นละ ดูกันสิว่าจะแข็งแกร่งเพียงพอรับช่วงบริหารผับนี้ต่อไปหรือไม่

            “คุณเป็นผู้หญิงมาเที่ยวผับคนเดียวอย่างนี้ ผมว่ามันอันตราย ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนดีกว่านะ การบ้านนั่นไม่ต้องทำแล้ว เรามาดื่มของอร่อยๆ ฉลองมิตรภาพใหม่กันดีกว่า” ชายหนุ่มยักคิ้ว ยกขานั่งไขว่ห้าง วางท่าสบายๆ ปรับเปลี่ยนวิธีรุก ลองใช้วิธีหน้าด้านแบบสุภาพบ้างก็ได้

            พิราอรยังคงรักษาอาการหงุดหงิดได้อย่างดีเยี่ยม หญิงสาวยิ้มอย่างอดทน ราวกับคุณครูอนุบาลใจดีกำลังจะจัดการเด็กเกเรสักคน เธอตอบกลับมาแบบนิ่มๆ ตามสไตล์

            “เห็นจะไม่รบกวนค่ะ ฉันอยู่ตรงนี้คนเดียวมาได้สักพักหนึ่งแล้ว รู้สึกปลอดภัยดีค่ะ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว เชิญคุณไปสนุกต่อที่อื่นเถอะค่ะ”

            “ผมอยากรู้จักกับคุณ”

            “คืนนี้ฉันไม่อยากรู้จักกับใครทั้งนั้นค่ะ ขอโทษด้วย” พิราอรยืนยัน พลางรวบเก็บสมุดปากกาใส่กระเป๋า ยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ฉันขอตัวก่อน”

            หญิงสาวลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินจากไป ชินดนัยจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่นึกว่าพิราอรจะชิ่งหนีกันง่ายๆ อย่างนี้ ยังดีที่เขามือไวคว้าแขนเธอเอาไว้ ลูกพีชของน้านันท์บอบบางนัก เขาออกแรงดึงนิดเดียว เธอก็เสียหลักเซล้มลงบนตักกว้างอย่างพอดิบพอดี ชายหนุ่มอาศัยจังหวะนั้นสูดกลิ่นกายหอมละมุน

            อืม...ลูกพีชตัวฮ้อมหอม

            ขณะที่คนตัวหอมอุทานออกมาอย่างตกใจ ใช้มือยันอกกว้างของชายแปลกหน้าไว้ เอนกายหนี ไม่คิดว่าเขาจะกล้าแตะต้องเนื้อตัว พอสบโอกาสเธอก็ใช้กระเป๋าฟาดใส่เขาอย่างไม่คิดชีวิต

            “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

            “เฉยๆ เถอะน่าคนสวย จะรีบกลับไปไหน”

            ชินดนัยหัวเราะชอบใจขณะพลิกหน้าหลบไปมา ก่อนจะรวบแขนกอดรัดเธอไว้จนกระดุกกระดิกไม่ได้ แต่คนบนตักยังไม่ละความพยายาม ดิ้นขลุกขลักๆ สะโพกกลมกลึงเบียดกับต้นขาแกร่ง แน่นอนว่าเธอไม่รู้สึกเฉลียวใจเลยด้วยซ้ำว่าการทำอย่างนั้นมันส่งผลโดยตรงถึงเขา

            ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ร่างกายเพิ่งสงบได้ไม่ทันไรดูจะคึกคักขึ้นมาใหม่อีกรอบ มันก็เพลินดีอยู่หรอก มีสาวเนื้อตัวนุ่มนิ่มหอมละมุนมานั่งบนตัก แต่พอนานเข้าร่างกายชายฉกรรจ์มันก็ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

            ต้องย้ำอีกทีว่านี่คือชินดนัยนะจ๊ะ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์!

            พิราอรเองก็หยุดชะงัก เธอรู้สึกและรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเขาด้วยเหมือนกัน หญิงสาวหน้าร้อนผ่าว จ้องเขาตาโต ความแข็งขึงใต้สะโพกทำให้เธอหยุดความคิดดิ้นรนเอาตัวรอด เพราะดูแล้วยิ่งดิ้นนั่นละยิ่งจะไม่รอด เลยกลายเป็นว่าต้องตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมไม่น่าไว้วางใจ เธอเหลือบมองเขาอย่างหวาดหวั่น

            “คะ...คุณ”

            “ก็ผมเตือนแล้วนะว่าให้อยู่เฉยๆ” ชินดนัยรีบเอานิ้วชี้ทาบกลีบปากนุ่ม พูดดักคออย่างรู้ทัน “อย่าได้คิดโทษผมแม้แต่น้อย ที่เป็นอยู่นี่ก็เพราะคุณทำตัวเองทั้งนั้น คราวนี้แน่จริงก็ลองดิ้นอีกสิ”

            “ไอ้คนทุเรศ ลามก ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” พิราอรตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับ

            “ไหนๆ ก็โดนด่าแล้ว ขอกอดต่ออีกหน่อยแล้วกันนะ”

            ชินดนัยเพิ่มแรงกอด ซบหน้าลงกับแผ่นหลังของหญิงสาว สูดดมกลิ่นหอมกระจายออกมาจากตัวเธอ ลูกพีชของน้านันท์ตัวหอมชะมัด ได้กอดแน่นๆ แบบนี้ นุ่มนิ่มเหมือนกอดตุ๊กตาแมวน้ำอุ๋งๆ เลย

            “ปล่อยฉันนะคะ” เสียงเธอเริ่มแข็ง

            “ยังปล่อยไม่ได้หรอก ทำไมคุณใจร้ายจัง ก็รู้อยู่ว่าตัวเองทำอะไรกับผมไว้ ผมกับเจ้าน้องชายอยู่กันอย่างสงบแท้ๆ คุณเล่นมาปลุกจนน้องผม...” ชายหนุ่มเกือบหลุดขำเมื่อเห็นดวงตาของเธอเบิกกว้างใหญ่โตเท่าไข่ห่านตอนที่เขาทำปากบุ้ยใบ้ก้มลงไปที่น้องชายจุดเกิดเหตุ “เออ...นั่นแหละ มันตื่นขึ้นมาอย่างนี้ ใจคอคุณจะปล่อยให้น้องผมอาละวาดต่อไปเหรอ ผมก็อายเป็นนะคุณ แล้วมาทรมานกันอย่างนี้ก็บาปอยู่นะ”

            “ฉันยอมตกนรกขุมลึกสุด ถ้ามันจะทำให้พ้นไปจากคุณได้” พิราอรจะกระทืบเท้าใส่ แต่ชินดนัยชักเท้าหนีทัน หญิงสาวจึงสะบัดตัวดิ้นด้วยความโมโห

            “หยุด! ถ้าคุณไม่เลิกดิ้น ผมจะจับคุณกดลงกับโซฟาแล้วจูบโชว์คนทั้งผับเดี๋ยวนี้เลย”

            “คุณมันบ้า”

            คนบ้าแอบยิ้มกับหลังของหญิงสาว นึกกระหยิ่มในใจ เอาแล้วไงแม่ชีชักจะมีน้ำโหแล้ว

            “บอกมาว่าคุณต้องการอะไรกันแน่” เธอกัดฟันถาม

            “ขืนบอกตรงๆ คุณคงได้ตบผมเลือดกบปาก”

            “ฉันทำแน่ถ้ามีโอกาส แต่ตอนนี้คุณน่าจะปล่อยฉัน แล้วเรามานั่งคุยกันดีๆ แบบสุภาพชน” หญิงสาวยื่นข้อเสนอ แต่ชินดนัยแกล้งนั่งหูทวนลม ตีหน้ามึนแนบแก้มกับแผ่นหลังเธอ และยังกอดไม่ยอมปล่อย

            คนถูกกอดเม้มปาก พยายามคิดหาวิธีให้หลุดพ้นเงื้อมมือผู้ชายใจโฉดคนนี้ ผ่านไปเกือบนาทีชินดนัยถึงขยับกายเอาหน้าออกจากแผ่นหลังของเธอ แต่อ้อมกอดยังคงรัดเอวแน่นจนหญิงสาวต้องพูดซ้ำ

            “ฉันว่าฉันพูดชัดเจนด้วยถ้อยคำที่ฟังเข้าใจง่ายที่สุดแล้วนะคะ”

            “ไอ้ผมมันก็คนโง่ ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรมเสียด้วย” ชินดนัยยิ้มกว้างตอบกลับสายตาเขียวปั้ดของหญิงสาว “แหม...ล้อเล่นหน่อยเดียว คุณทำอย่างกับจะจกตาผมออกมางั้นแหละ โอเคๆ ปล่อยก็ได้ แต่คุณต้องไม่วิ่งหนีผมนะ”

            “ค่ะ ฉันจะไม่หนี”

            “น่ารัก” เขาลากเสียงต่ำ ลดหน้าก้มลงจูบแผ่นหลังนุ่มนิ่มหนึ่งครั้งจนหญิงสาวสะดุ้ง

            เมื่ออ้อมแขนแน่นหนาคลายออก หญิงสาวรีบลนลานขยับลงไปนั่งไกลลิบ ชินดนัยยิ้มกริ่ม นึกขำอยู่ในใจ ระยะแค่นี้คิดว่าหนีพ้นมือเขาเหรอ โถ...กระโจนตะครุบทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว

            แม่ชีหนอแม่ชี ทำเหมือนว่าอยู่ใกล้เขาแล้วศีลจะขาด ไม่ทันแล้วมั้ง ประวัติอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเธอมันมัวหมองตั้งแต่มีชื่อเขาเข้ามาเอี่ยวในชีวิตแล้ว

            “ดูเหมือนเครื่องดื่มของคุณจะไม่ค่อยเข้ากับสถานที่เลยนะ เอางี้ดีกว่า ผมสั่งให้ใหม่ น้องๆ” ชินดนัยกวักมือเรียกพนักงานแล้วจัดการสั่งเครื่องดื่มให้ใหม่โดยไม่สนใจคำทัดทาน และเมื่อพนักงานจากไป พิราอรก็เปิดฉากใส่เขาทันที

            “ฉันไม่ดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ”

            “ก็แค่ม็อกเทลน่ะ ผมว่าดีกว่าน้ำอัดลมของคุณเสียอีก”

            “งั้นเริ่มธุระของคุณมาได้เลยค่ะ ใกล้ได้เวลากลับบ้านของฉันแล้ว” สายตาพิราอรมองอยู่แต่ใบหน้าหล่อเหลา ไม่มองต่ำลงไปแถวต้นขาของชายหนุ่มเลย

            ชินดนัยแสร้งพลิกข้อมือดูนาฬิกาแล้วหัวเราะ “เพิ่งห้าทุ่มเอง จะรีบกลับไปไหน ถ้าบ้านอยู่ไกล ผมไปส่งให้ก็ได้”

            “เห็นจะรับน้ำใจคุณไม่ได้หรอกค่ะ แต่ก็ขอบคุณมาก”

            ชายหนุ่มชวนคุยเพื่อให้เหยื่อตายใจ ดูเธอพยายามระมัดระวังตัวจนเกร็งไปหมด “ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ”

            “ครั้งแรกในรอบหลายปีค่ะ ฉันไม่ชอบเที่ยวกลางคืน คงผิดกับคุณ น่าจะมาที่นี่จนจำชื่อพนักงานได้ครบทุกคนแล้วมั้งคะ” แววตาและน้ำเสียงช่างประชดประชัน ทำให้คนฟังยิ้มกว้างพยักหน้ายอมรับ

            “ธรรมดาครับ ผมไม่ได้มาเที่ยวอย่างเดียว แต่มาทำงานด้วย ว่าแต่คุณเถอะ ไม่สบายใจเรื่องอะไรเหรอ ทำไมเลือกหันหน้าเข้าผับ ดูไม่ใช่แนวคุณเลยนะ อกหัก รักคุดรึไง ถึงได้นึกอยากเปลี่ยนลุคมนุษย์ป้ามาเป็นผีเสื้อราตรี”

            ชายหนุ่มหยุดเพื่อกวาดตามองเธออย่างละเอียดอีกครั้ง สายตาคมพราวระยับ มุมปากเขามีรอยยิ้มรื่นรมย์ประดับอยู่ ก่อนที่มันจะขยับวิพากษ์วิจารณ์เธอต่อ

            “ความจริงก็เกือบจะดีแล้วนะ แต่ขอบอกตรงๆ ห้ามโกรธ ผมว่าแฟชั่นเข้าผับชุดนี้ยังไม่ผ่าน ไอ้เสื้อคลุมสับปะรังเคนั่น ผมหักคะแนนติดลบเลย ใส่มาทำไมให้เกะกะ เสียเวลาถอด ใครไม่รู้จะหาว่าแม่ชีหนีเที่ยว โทร. ไปแจ้งที่วัดให้มารับตัวกลับเอาได้”

            พิราอรกำมือแน่น มองเขาตาวาววับ พยายามอดกลั้นให้ถึงที่สุด นี่อาจจะเป็นบททดสอบแรกสำหรับเธอ ต่อไปหากต้องเข้ามาบริหารผับ คงมีโอกาสต้องเจอกับลูกค้ากักขฬะอีกหลายคน เธอจะต้องมีสติให้มาก เพื่อหาวิธีรับมือกับผู้ชายปากร้ายตรงหน้า

            “ใครจะมองยังไง ฉันคงไปบังคับความคิดไม่ได้หรอกค่ะ คุณเองก็คงมาเที่ยวเหมือนกัน ทำไมถึงเอาเวลาสำเริงสำราญของคุณมาเสียกับแม่ชีหนีเที่ยวอย่างฉันล่ะคะ ตั้งแต่เข้ามาฉันมั่นใจว่ายังไม่ได้ไปเกะกะระรานสร้างความไม่พอใจให้แก่ใครเลย หรือถ้าเผลอสร้างความไม่พอใจให้คุณ ก็ต้องขอโทษด้วย สารภาพว่าในสถานที่อโคจรอย่างนี้ ฉันเองก็ไม่เคยนึกอยากเหยียบย่างเข้ามา แต่เพราะว่ามีเหตุจำเป็น เลี่ยงไม่ได้ ก็เลยเลือกมุมสงบนั่งเงียบๆ จนคุณเข้ามาทำลายความสงบอันน้อยนิดของฉัน”

            หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวขอบคุณตอนที่พนักงานยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ เธอเห็นคู่กรณีหยิบแก้วเหล้าขึ้นไปดื่ม ในขณะที่แก้วม็อกเทลสีฟ้าสวยสดใสของเธอยังวางอยู่ที่เดิม

            “คุณชื่ออะไร”

            หญิงสาวขมวดคิ้วไม่ชอบใจ เรื่องบ้าอะไรกันล่ะนี่ หลังจากนั่งด่าอ้อมๆ ไปยืดยาว เขาตอบกลับด้วยการถามชื่อเธออย่างนั้นเหรอ ผู้ชายคนนี้สติไม่ดีหรือเมาจนสมองเบลอไปแล้ว เธอสูดหายใจเข้าลึก สะกดความไม่พอใจ

            “ฉันขอไม่บอกนะคะ”

            “ก็คิดอยู่แล้วว่าคงไม่บอก แต่ไม่เป็นไร ผมสามารถนอนคุยกับคนที่ไม่รู้จักชื่อได้ทั้งคืน”

            “คุณ!!!” น้ำเสียงเน้นหนักของหญิงสาวชัดเจนเลยว่าโกรธ

            จากที่ไม่คิดจะญาติดีอยู่แล้ว พอได้ยินเขาพูดอย่างนั้นเข้า พิราอรก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาท ความอดทนของเธอมีให้แค่คนที่สมควรจะได้รับ ซึ่งผู้ชายคนนี้ไม่ควรได้รับมันด้วยประการทั้งปวง

            “คุณจะดูถูกตัวเอง ฉันไม่ว่า แต่อย่ามาเหมารวมว่าคนอื่นจะสกปรก มั่วไม่เลือกเหมือนตัวเอง อย่างน้อยๆ คุณก็ควรจะเก็บความต้องการของตัวเองเอาไว้พูดกับคนแบบเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะนอนคุยกับใครโดยไม่รู้จักกันได้”

            “งั้นเราเริ่มทำความรู้จักกันเดี๋ยวนี้เลย คุณจะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ”

            “นี่คุณ!!!” คนบ้าเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

            “ผมตรงไปตรงมาไม่ดีหรือไง ไม่รู้จักกันก็ถามอยู่นี่ว่าชื่ออะไร อยากได้ก็บอกแมนๆ ว่าอยาก...ได้”

            “แต่ฉันไม่ชอบ!”

            พิราอรฉวยกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน คราวนี้เธอถอยไปไกลกว่าเดิม เนื้อตัวของเธอสั่นเทาไปด้วยโทสะ สติน่ะเหรอ เตลิดเปิดเปิงไปหมดแล้ว มองเห็นแก้วม็อกเทลตั้งอยู่ก็อยากจะคว้ามาสาดใส่หน้าคนปากเสีย แต่เรื่องคงจะบานปลายใหญ่โตกว่านี้แน่ การเดินหนีคงเป็นหนทางที่ดีสุด

            “หมดเวลาของเราแล้วค่ะ หวังว่าคนแมนๆ อย่างคุณคงจะไม่ขวางฉันไว้อีกนะคะ ลาก่อน”

            “เวลาของเราเพิ่งเริ่มต่างหากล่ะคนสวย” ชินดนัยขัดขึ้นในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเดินหนี

            พิราอรยิ้มรับ ไม่บอกก็รู้ว่าแกล้งทำ “ฉันยืนยันตรงนี้ว่ามันสิ้นสุดลงแล้ว ขอให้สนุกกับค่ำคืนที่ไม่มีฉันค่ะ”

            “แล้วเจอกันนะครับแม่ชี”

            ชินดนัยยิ้มหวาน เลิกคิ้วเข้มขึ้นพร้อมโบกมืออำลา โดยที่หญิงสาวไม่สนใจหันกลับมามอง รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าคมสัน ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรซะเลยกับการเจอกันครั้งนี้ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคุณหนูลูกพีชไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ

            ลูกเลี้ยงแสนดีจิตใจประเสริฐของน้านันท์ไม่ใช่แม่ชีสักหน่อย จากการต่อปากต่อคำกับเขา มันห่างไกลคำว่าเคร่งศาสนา แถมปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อเธอก็รุนแรงกว่าที่เคยมีกับผู้หญิงคนไหนๆ

            ลูกพีชจะคิดอะไรก็ปล่อยให้คิดไปเถอะ แต่เมื่อเขาได้เจอเธอก็อย่าหวังเลยว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ เขายังนึกติดใจวิธีการโต้ตอบแบบเชือดนิ่มๆ ชื่นชอบกลิ่นกายหอมละมุน น้ำเสียง ท่าทาง ทุกสิ่งอย่างช่างลงตัวไปหมด จนเขาเกิดความคิดบางอย่างวาบขึ้นมา

            ว่าไปแล้วข้อเสนอของน้านันท์ก็ไม่เลวนัก ได้กลับมาดูแลผับใหญ่ ถึงจะได้เป็นแค่ฐานะพี่เลี้ยง แต่อย่างไรอำนาจการตัดสินใจสุดท้ายก็ต้องเป็นเขาอยู่ดี ไหนๆ ต้องเสียเวลามาเป็นพี่เลี้ยงช่วยสอนเรื่องบริหารผับบาบิโลนให้แก่พิราอรแล้ว จะอุทิศกายใจสอนประสบการณ์หวานเจี๊ยบเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แถมให้อีกสักหลักสูตรก็คงจะดีไม่น้อย

            ชายหนุ่มยิ้มกริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันไลน์ กดไปที่ห้องสนทนาส่วนตัวระหว่างเขากับน้าสาว บรรจงพิมพ์ข้อความแสนสั้น แต่กินความนัยล้ำลึก

            เจอลูกพีชแล้ว ชอบมากกก

 

            บ่ายวันต่อมาพิราอรเร่งมือสะสางงานในมูลนิธิทิพย์พิมานที่ตนดูแลอยู่ ก่อนจะส่งมอบให้คนมารับช่วงต่อหลังจากตรวจดูความเรียบร้อยของยอดเงินบริจาค สรุปรายงานเงินจัดสรรรายจ่ายส่วนต่างๆ ของมูลนิธิแล้ว หญิงสาวส่งแฟ้มรายงานคืนให้แก่ฝ่ายบัญชีและรวบของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างเร่งรีบ

            “ฝากบอกคุณถวิลด้วยนะคะว่าพีชตรวจดูทุกอย่างแล้ว ให้คุณถวิลดำเนินการต่อได้เลยค่ะ”

            “วันนี้คุณพีชมีนัดหรือคะ”

            “พอดีพีชนัดกินข้าวกับคุณพ่อที่บ้านค่ะ พ่อสั่งให้ไปไวหน่อย เห็นว่ามีแขกด้วย ยังไงฝากพี่อิ่มเช็กยอดอีกทีก็ดีนะคะ เผื่อพีชมองพลาดไป”

            “ระดับคุณพีชเคยพลาดหรือคะ”

            คนไม่เคยพลาดยิ้มไม่ค่อยสดใส เพราะกำลังคิดไม่ตก หากเธอไปยุ่งกับกิจการผับบาบิโลนของพ่อ งานในมูลนิธิของแม่ก็คงจะต้องทิ้งช่วงไป ทำให้ภาระตกหนักไปอยู่กับคุณถวิลและอิ่มกมล

            ในเรื่องนี้ถึงจะวางใจเจ้าหน้าที่ทุกคนในมูลนิธิ ทว่าเธอไม่อยากใช้งานพวกเขาหนักจนเกินไปนัก เพียงค่าตอบแทนอันน้อยนิดก็ไม่สามารถเทียบกับแรงกายแรงใจที่เสียสละมาช่วยเหลือ

            “พี่อิ่มคะ”

            “คะ คุณพีช” อิ่มกมลหันกลับมามองหญิงสาวอย่างสงสัย

            “คือ...หลังจากนี้พีชคงเข้ามามูลนิธิบ่อยๆ ไม่ได้ ยังไงพีชฝากพี่อิ่มช่วยคุณถวิลดูแลแทนด้วยนะคะ แล้วพีชจะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ของเราอีกที”

            “ได้ค่ะ อิ่มจะดูแลให้เรียบร้อยเลย ว่าแต่คุณพีชจะไปทำอะไรที่ไหนหรือคะ”

            พิราอรถอนหายใจแทนคำตอบ อิ่มกมลร้องอ๋อ พอเดาเรื่องราวได้ก็เดินกลับเข้ามาวางแฟ้มบัญชีลงบนโต๊ะ จับมือของพิราอรบีบเบาๆ

            “เรื่องผับของคุณพ่อใช่ไหมคะ” อิ่มกมลส่งยิ้มให้กำลังใจ “อิ่มไม่ทราบเรื่องราวเบื้องหลัง แต่ก็อยากพูดในฐานะของคนเป็นแม่นะคะ อิ่มไม่ได้เข้าข้างคุณเดช แต่ไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกค่ะ ยิ่งอะไรที่สร้างมากับมือจนมั่นคงอย่างนี้ ยิ่งตัดใจยกให้คนอื่นไม่ลง คุณพีชเป็นคนเก่งนะคะ อิ่มเชื่อว่าต่อให้มีอุปสรรคมากมายแค่ไหน คุณพีชก็จะก้าวผ่านมันไปได้”

            “แต่พีชไม่เคยสนใจบาบิโลนเลยนะคะ”

            “มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้นี่นา คุณพีชหัวไว ต้องทำได้แน่ๆ ค่ะ”

            พิราอรถอนหายใจดังกว่าเดิม บ่นให้อีกฝ่ายฟังราวกับจะฟ้อง “ถ้าพี่อิ่มไปเจอแบบที่พีชเจอมาเมื่อคืน พี่อิ่มอาจจะยุให้พีชขายผับนั่นทิ้งก็ได้ค่ะ”

            “แล้วไปเจออะไรมาคะ” อิ่มกมลถามยิ้มๆ

            คนถูกถามกลับหน้าแดงระเรื่อ ทันทีที่นึกถึงภาพตัวเองนั่งบนตักชายหนุ่มแปลกหน้า นึกถึงสัมผัสใกล้ชิด ท่อนแขนล่ำสันที่กอดรัดรอบเอว และความแข็งขึงมีชีวิตชีวาที่เธอนั่งทับ

            “อี๋...” หญิงสาวส่ายหน้ารัวๆ สลัดภาพนั้นออก “อย่าให้พีชเล่าเลยค่ะ กระดากปาก แค่คิดก็ขนลุกทั้งตัว”

            อิ่มกมลหัวเราะขำท่าทางของหญิงสาว “เดี๋ยวนี้มีแอบหนีไปเที่ยวผับคนเดียวด้วยนะคะ”

            “ก็อยากลงไปเซอร์เวย์พื้นที่ดูค่ะ เจอตัวเป้งเข้าเลย โอ๊ย...พีชไม่อยากพูดถึง”

            “คนที่คุณพีชไปเจอมานี่ น่าสนใจนะคะ” รอยยิ้มของอิ่มกมลทำให้คนฟังขมวดคิ้ว

            “ยังไงคะ”

            “อย่างน้อยเขาก็อยู่ในความคิดของคุณพีชมาจนถึงตอนนี้ นี่ยังไม่เรียกว่าน่าสนใจอีกหรือคะ อิ่มว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”

            “อันหลังนี้พีชเห็นด้วย เขาไม่ใช่คนธรรมดาค่ะ พีชว่าเขาบ้ากา...เอ่อ บ้าบอค่ะ” พิราอรยั้งคำว่าบ้ากามไว้ทัน

            อิ่มกมลหัวเราะกับอาการหงุดหงิดหัวเสียของหญิงสาว ตบหลังมือเบาๆ ส่งท้าย

            “งั้นรีบกลับบ้านไปกินข้าวกับคุณพ่อเถอะค่ะ อิ่มก็จะกลับบ้านเหมือนกัน ถ้าคุณพีชมีอะไรก็โทร. หาอิ่มได้นะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”

            “ขอบคุณค่ะพี่อิ่ม”

           

            พิราอรขับรถจากมูลนิธิมุ่งตรงไปสู่บ้านธุวพร ใช้เวลาไม่นานก็ถึง หญิงสาวจอดรถเสร็จก็เดินเข้าบ้าน เธอไม่ได้กลับมานานร่วมเดือนเห็นจะได้ ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในบ้านก็เจอเข้ากับป้าแก้ว แม่บ้านคนเก่าคนแก่ตั้งแต่สมัยที่แม่ของเธอยังอยู่ ทุกคนในบ้านหลังนี้ล้วนแล้วแต่ให้ความเคารพนับถือเธอ ป้าแก้วรับช่วงดูแลเธอต่อจากแม่เป็นอย่างดี

            ในวันที่พิราอรบอกกับทุกคนว่าจะย้ายไปอยู่คอนโด ป้าแก้วออกปากค้านก่อนพ่อเธอเสียอีก พอถึงวันย้ายจริงๆ แม่บ้านเก่าแก่ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ กว่าจะทำใจเรื่องเธอย้ายไปอยู่คอนโดได้ก็ใช้เวลาร่วมเดือน ทุกครั้งที่เห็นเธอกลับเข้าบ้าน ป้าแก้วเห็นหน้าเธอเป็นต้องดีใจจนน้ำตาไหล ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอโผล่หน้าเข้าไป ป้าแก้วพร้อมสาวใช้อีกสองคนก็เดินออกจากในครัวเพื่อมาต้อนรับ

            “คุณพีชของป้า มาแล้วหรือคะ”

            พิราอรกางแขนกอดเอวป้าแก้วหลวมๆ ก่อนจะช่วยเช็ดน้ำตา แล้วยิ้มล้อ

            “ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะป้า”

            “ก็คุณพีชเล่นหายหน้าไปเป็นเดือน ป้าก็ต้องคิดถึงสิคะ ไปค่ะ คุณพ่อรออยู่ในห้องนั่งเล่น คงดีใจน่าดูที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน”

            “ปกติเวลาพีชมากินข้าวบ้าน ก็พร้อมหน้าพร้อมตากันตลอดนี่คะ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย”

            “แต่วันนี้พร้อมเป็นพิเศษค่ะ” ป้าแก้วยิ้มเป็นนัยแล้วดันหญิงสาวเข้าไปในห้องนั่งเล่น “เข้าไปก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าให้คนเอาน้ำเย็นๆ มาให้”

            “เดี๋ยวค่ะป้า เมื่อกี้พีชเข้ามาเห็นมีรถใหม่จอดอยู่ ของใครคะ”

            “อยู่ข้างในนั่นแหละค่ะ ไปดูเองเถอะ”

            “มีความลับจังนะคะ”

            พิราอรส่ายหน้ายิ้มๆ แค่นี้ก็ต้องทำเป็นมีลับลมคมใน เธอเดินใกล้ถึงห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงหัวเราะของพ่อดังลอดออกมา วันนี้ท่าทางพ่อจะอารมณ์ดีมาก เพราะไม่เคยได้ยินพ่อหัวเราะเสียงดังแบบนี้มานานแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปข้างใน พ่อเห็นเธอเป็นคนแรก

            “มาแล้วลูกสาวพ่อ”

            “สวัสดีค่ะพ่อ น้านันท์” เธอไหว้พ่อกับคุณนันท์ และก็เห็นว่าในห้องมีใครอีกคนนั่งหันหลังให้อยู่ หญิงสาวมองพ่อคล้ายจะถาม ทว่าท่านกลับเรียกให้เธอเข้าไปหา

            “มาใกล้ๆ พ่อนี่มา ดูซิว่าจะจำพี่เขาได้ไหม”

            พี่งั้นเหรอ

            หญิงสาวขมวดคิ้ว งงหนัก เร่งฝีเท้าก้าวยาวขึ้นและนั่งลงใกล้กันกับพ่อ พัชนันท์ยิ้มให้เธอแล้วบุ้ยใบ้ไปยังแขกก่อนถามเธอ

            “ลูกพีชลองดูสิคะว่าใคร จำได้ไหม”

            พิราอรยิ้มขำ เบนสายตามาทางแขก ดวงตาคู่สวยค่อยๆ เบิกกว้าง ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอน้อยๆ แต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อ เนื้อตัวร้อนวูบวาบ ยามประสานสายตากับชายหนุ่มที่นั่งยิ้ม

            “คุณ!!!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น