8

บทที่ 8 ไม่บอกเธอ


8

ไม่บอกเธอ

“จบไปแล้วนะคะกับเพลงไม่บอกเธอ ของวง Bedroom Audio และแน่นอนว่าหัวข้อที่เราจะมาคุยกันในคลับซันเดย์ ออน ทีวีวันนี้ก็คือ ‘เหตุผลที่ไม่บอกเธอ’ นี่ละค่ะ”

พิตาภาที่อยู่ในชุดนอนสีขาวกำลังนั่งดูรายการทีวีอยู่บนเตียงนุ่มในห้องนอนกว้างโทนสีชมพู ซึ่งเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

เธอเป็นแฟนรายการคลับซันเดย์มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะชอบฟังเรื่องราวความรักในมุมมองต่างๆ ทั้งสุข เศร้า เหงา ซึ้ง หรือบางทีก็อึ้งจนคาดไม่ถึง

ทุกวันอาทิตย์เวลาสี่ทุ่ม พี่ก้อยและพี่อ๊อดจะมีหัวข้อมาให้แฟนรายการโทร. เข้าไปเล่าเรื่องของตัวเอง พร้อมให้คำแนะนำดีๆ และเป็นกำลังใจให้คนที่เจอกับความรักแย่ๆ เรียกได้ว่าพี่ก้อยกับพี่อ๊อดเป็นเหมือนเพื่อนและพี่สาวที่แสนดีของผู้ชมไปแล้ว

“พี่อ๊อดเคยแอบรักใครแล้วไม่กล้าบอกไหมคะ” ผู้ดำเนินรายการสาวหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“แหม ถ้าตอบว่าไม่เคย คุณผู้ชมก็คงไม่เชื่อแน่ๆ เลยค่ะพี่ก้อย”

“แสดงว่าเคยสิคะเนี่ย”

“แน่นอนค่ะ ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วยนะ”

“แล้วทำไมพี่อ๊อดไม่บอกเขาเลยล่ะคะ”

“ก็มีหลายเหตุผลนะคะ”

พิตาภาฟังอย่างสนใจ เพราะหัวข้อของรายการคลับซันเดย์ในวันนี้เหมือนเรื่องของเธอไม่มีผิด

“ช่วยเล่าเรื่องราวในตอนนั้นให้ท่านผู้ชมฟังหน่อยได้ไหมคะ พี่ก้อยคิดว่าหลายคนต้องเคยตกอยู่ในโมเมนต์แบบนี้แน่ๆ ยังไงทางบ้านส่งเอสเอ็มเอส เข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ หรือจะเป็นทางแฟนเพจก็ได้ค่ะ”

“เอาเป็น...คนที่พี่อ๊อดแอบรักมานานที่สุดแล้วกันนะคะ คนนี้เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยม ตอนนั้นพี่อ๊อดเพิ่งเข้า ม. 1 ส่วนพี่เขาอยู่ ม. 3 คือพี่เค้าหล่อมาก แถมเรียนหนังสือเก่ง เล่นกีฬา เล่นดนตรีก็เก่ง พูดง่ายๆ ว่าฮีป๊อปสุดในโรงเรียนเลยละค่ะ พี่อ๊อดก็แอบกรี๊ดฮีอยู่เงียบๆ เพราะสมัยก่อนเรากะโปโลมาก หัวฟูๆ หน้าดำๆ ผอมเหมือนเด็กขาดสารอาหาร ถ้าเทียบกับพี่เค้า พี่อ๊อดก็ไม่มีอะไรคู่ควรเลย เราก็เลยเจียมตัว แอบมอง แอบชอบอยู่เงียบๆ จนพี่เค้าเรียนจบ ม. 6 ก็ยังไม่ได้บอกความในใจ”

“อะไรจะรันทดขนาดนั้นคะพี่อ๊อด” พี่ก้อยเอ่ยอย่างเห็นใจ

“รันทดจริงๆ ค่ะพี่ก้อย ก็... นี่แหละเป็นเหตุผลที่พี่อ๊อดไม่บอก เพราะบอกไป จากที่พี่เค้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเราเลย อาจจะกลายเป็นเกลียดเราก็ได้ เพราะงั้นพี่อ๊อดขอเพ้ออยู่ในโลกของตัวเองดีกว่า”

“เป็นแฟนในมโนของพี่อ๊อดว่างั้น” พี่ก้อยแซวเพื่อนร่วมรายการที่สนิทกันมานาน

“ประมาณนั้นค่ะ”

“แล้วตอนนี้ยังรู้สึกกับพี่เค้าเหมือนเดิมหรือเปล่าคะ”

พี่อ๊อดหัวเราะร่วน “โอ๊ย ไม่แล้วละค่ะ พี่เค้าแต่งงานไปแล้ว ลูกโตเข้ามหา’ลัยแล้วด้วย แต่พี่อ๊อดก็ยินดีนะคะที่เห็นคนที่พี่อ๊อดรักมีความสุข ถึงพี่อ๊อดจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงจุดนั้นกับเค้าก็ตาม”

“เศร้านะคะ แต่เศร้าแบบมีความสุข ว่าแต่ตอนนี้พี่อ๊อดไม่กะโปโลแล้วนะค้า”

เมื่อเพื่อนชงมา พี่อ๊อดก็รับอย่างมั่นใจ “ที่พี่อ๊อดพัฒนาตัวเองจนสวยแบบนี้ก็เพราะพี่เค้าเป็นแรงบันดาลใจเลยค่ะ พอมองย้อนกลับไปดูตัวเองในอดีตก็ไม่อยากเชื่อว่าเราจะมาไกลขนาดนี้”

ระหว่างที่พี่อ๊อดเล่า ข้อความจากผู้ชมทางบ้านก็ปรากฏขึ้นบนแถบล่างของหน้าจอทีวีไม่ขาด

สู้ๆ นะคะพี่อ๊อด ของหนูสิบปีแล้วค่ะ ยังไม่กล้าบอกเลย

โอ๊ย ฟังแล้วจะร้องไห้ตาม ความรักที่แท้จริงคือการเห็นคนที่เรารักมีความสุขจริงๆ ค่ะ

จริงค่ะพี่อ๊อด บอกไปถ้าเขาไม่ได้รู้สึกเหมือนกันคงเจ็บกว่าเดิม เพราะงั้นไม่บอกดีกว่า

เฮ้อ... แอบรักเขาข้างเดียวเหมือนกันค่ะ เจ็บเนอะ รักแต่บอกไม่ได้

 

พิตาภาถอนหายใจเบาๆ ของเธอเองก็สิบสองปีแล้ว และกำลังจะเข้าสู่ปีที่สิบสามของการแอบรัก หากเปรียบกับการวิ่งมาราธอนก็ไม่รู้ว่าเส้นชัยอยู่ตรงไหน

รายการคลับซันเดย์ดำเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงที่ให้ผู้ชมทางบ้านโทร. เข้าไปเล่าเรื่องในหัวข้อ ‘เหตุผลที่ไม่บอกเธอ’ พิตาภาอยากจะเล่าเรื่องของตัวเองเหมือนกันถ้ารายการไม่ได้ออกอากาศไปทั่วประเทศ หญิงสาวเลยขอเป็นผู้ชมที่ดีต่อไปดีกว่า

“สวัสดีค่ะคุณฝน” พี่อ๊อดกล่าวทักทายผู้ที่โทร. เข้ามา

“สวัสดีค่ะ พี่อ๊อด พี่ก้อย ได้ยินไหมคะ”

“ค่าคุณฝน เดี๋ยวเล่าเรื่องได้เลยนะคะ”

“ค่ะ ก็...เรื่องของฝนนะคะ อาจจะเหมือนใครหลายๆ คนตอนนี้ก็ได้ คือ... ฝนกำลังไม่แน่ใจในตัวคนคนนึง ขอเรียกตัวย่อว่าพี่พีแล้วกันนะคะ ฝนกับพี่พีเราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กินข้าวด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน วันหยุดเค้าก็ชวนไปเที่ยว คือทำทุกอย่างเหมือนแฟน แต่ว่าพี่พีไม่เคยบอกฝนเลยว่าเป็นแฟนกัน”

“คุณฝนรู้จักกับคุณพีมานานหรือยังคะ” พี่ก้อยถามเพิ่มเติม

“ห้าปีแล้วค่ะ แล้วเค้าก็เป็นแบบนี้มาตลอดเลยถึงปัจจุบัน บางทีฝนก็ไม่แน่ใจว่าเราคิดไปเองหรือเปล่าว่าเค้าชอบเรา แต่สายตา การกระทำของเค้า มันบอกว่าเค้ารู้สึกกับเรามากกว่าน้องสาวน่ะค่ะ ฝนอยากรู้ว่าเค้าไม่กล้าบอกฝน หรือว่าจริงๆเค้าไม่ได้คิดอะไรเลย”

“แล้วเค้าทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่าคะ” พี่อ๊อดถามบ้าง

“เท่าที่ฝนรู้คือไม่นะคะ อันนี้ดูจากทางเฟซบุ๊กกับที่เลียบๆ เคียงๆ ถามเพื่อนพี่เค้ามา” จากนั้นหญิงสาวก็เล่าเพิ่มเติมอีกยาว

พิตาภาฟังแล้วก็ได้แต่คิดถึงเรื่องของตัวเอง นี่ก็สามเดือนแล้วที่เธอไปไหนมาไหนกับอภิวัฒน์สองต่อสอง ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ท่าทีของเขามักชวนให้คิดฝันไปไกลอยู่เรื่อย แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปกล้าสรุปเอาเองว่าอีกฝ่ายคิดยังไงในเมื่อเจ้าตัวไม่เคยพูดตรงๆ

บางทีพิตาภาก็คิดว่าดูเขาออก แต่บางทีก็ไม่ใช่ ความรู้สึกเหมือนเวลามองเห็นควันสีขาวลอยอยู่ไกลๆ แต่มองไม่ออกว่าจริงๆ นั่นเป็นหมอกหรือควันไฟกันแน่

“สำหรับเรื่องของคุณฝน พี่ก้อยคิดว่ามันเป็นไปได้หลายกรณีนะคะ ถ้าสมมุติว่าเค้าไม่ได้รักและจริงใจกับเรา ก็อาจจะทำแบบนี้เพื่อบริหารเสน่ห์ หรือมองเราเป็นตัวเลือกหนึ่งของเค้า ดังนั้นการจะมีเราอยู่หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญสำหรับเค้าเลย ส่วนกรณีที่สอง ถ้าเค้าชอบเราจริงๆ มันก็มีหลายเหตุผลที่เค้าไม่กล้าบอก อย่างเช่นผู้ชายคนนี้อาจมีปมในใจบางอย่างที่ทำให้เค้ากลัว หรือเค้าอาจจะยังไม่พร้อม ในที่นี้คือยังไม่พร้อมจะเลือก ไม่พร้อมจะสูญเสียอิสระ หรือกลัวว่าถ้าบอกแล้วความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รักนะ แค่ยังไม่พร้อมคบกันในฐานะแฟน”

“พี่ก้อยพูดแบบนี้ พี่อ๊อดนึกถึงประโยคนึงขึ้นมาเลยค่ะ Save the best for last”

“เก็บสิ่งที่ดีที่สุดไว้ทีหลังเหรอคะ”

“ใช่ค่ะ คือมันจะมีคนบางคนนะ ถึงจะเจอคนที่ใช่อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำเป็นมองข้ามไป เพราะอยากเก็บคนที่ดีที่สุดไว้ก่อน ส่วนตัวเองก็ยังมองหาคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เราค้างคาใจอยู่นั่นว่าตกลงแกคิดยังไงกับฉันกันแน่ แต่หลังจากเลือกจนพอใจแล้ว สุดท้ายฮีก็จะกลับมาหาเรานี่แหละ เพราะในใจของฮีเราดีที่สุดแล้วไง แต่อันนี้คือต้องมีอะไรยืนยันด้วยนะคะว่าเค้ารู้สึกลึกซึ้งกับเรา ไม่ใช่เรามโนไปเอง”

“แล้วฝนควรจะทำยังไงต่อไปดีคะพี่ก้อย พี่อ๊อด ฝนดูไม่ออกจริงๆ” ผู้ที่โทร. เข้ามาจากทางบ้านถามด้วยน้ำเสียงสับสน

“อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณฝนนะคะว่าจะเลือกทางไหน จริงๆ ทั้งสองกรณีที่พี่ก้อยกับพี่อ๊อดบอกมันก็ไม่ดีทั้งคู่ กรณีแรกก็คือเค้าเล่นกับความรู้สึกของเรา ส่วนกรณีที่สองก็คือเราอาจจะเสียเวลาที่จะได้เรียนรู้คนอื่นที่เข้ามาในชีวิตไปเปล่าๆ ในขณะที่เค้าได้มีโอกาสเลือกเยอะแยะ”

“ใช่ค่ะ พี่อ๊อดว่าผู้หญิงเราควรจะเปิดโอกาสให้ตัวเองด้วยนะคะ ถ้าทางนั้นเค้าไม่ยอมชัดเจนสักที แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เค้าคิดยังไงกันแน่ เราก็ไม่ควรจะรอแบบไม่มีจุดหมาย แต่ยังไงสุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับคุณฝนแหละค่ะว่าจะตัดสินใจยังไง พี่แค่ให้คำแนะนำหลายๆ มุมเท่านั้น”

“เค้ารักเราหรือเปล่า มันอาจไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าเรารักตัวเองไหมนะคะคุณฝน พี่อยากให้คุณฝนให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเองมาเป็นอันดับแรก ถ้าอยู่ในจุดนั้นแล้วไม่โอเค เราก็ควรจะถอยออกมา แต่ถ้าเรายังมีความสุขที่จะอยู่ตรงนั้นต่อไป พี่ก็ไม่ห้าม ไม่ว่าอะไรก็ตาม ขอให้เราโอเคจริงๆ ไม่ใช่แกล้งโอเค”

พิตาภาถอนหายใจยาว ดวงตากลมโตฉายแววสับสน ฟังรายการจบแล้ว เธอก็ยังสรุปไม่ได้อยู่ดีว่าอภิวัฒน์รู้สึกยังไงกับเธอกันแน่ เพราะหัวใจของเขาซับซ้อนเกินกว่าจะคาดเดาได้

ถ้าถามว่าตอนนี้เธอโอเคไหมกับสถานะที่เป็นอยู่ พิตาภาก็ตอบได้ไม่เต็มเสียงนักว่าโอเค

“เฮ้อ... ทำไมฉันต้องชอบผู้ชายคลุมเครือแบบพี่อาร์ตด้วยเนี่ย” ใบหน้าหวานยับยุ่งด้วยความขัดใจ

‘อยากรู้ๆๆ แต่ไม่อยากถาม จะทำไงดีๆๆ’ พิตาภานอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอย่างว้าวุ่นใจ

 

พิตาภากำลังรออภิวัฒน์อยู่ที่ห้างแห่งหนึ่งแถวสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ หลังจากฝ่ายนั้นไลน์มาหาเธอตอนบ่ายสามและนัดออกมารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน

วันนี้หญิงสาวมาในชุดเสื้อชีฟองสีขาวเปิดไหล่และกางเกงยีนสีน้ำเงินสบายๆ ใบหน้าหวานสดใสมีชีวิตชีวา ดวงตากลมโตเป็นประกายพราวพร่าง รับกับจมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูแวววาว

มองเผินๆ คนอาจคิดว่าเธอไม่ได้แต่งหน้า แต่ความจริงแล้วพิตาภาแต่งบางๆ เลยทำให้มองไม่ออก โดยจุดสำคัญบนใบหน้าที่ขาดเครื่องสำอางไม่ได้ก็คือคิ้วที่ยังไงก็ต้องเขียน และริมฝีปากที่ไม่ควรปล่อยให้แห้งแตกระแหง ยกเว้นขนตาที่ไม่ต้องปัดมาสคารา เพราะงอนยาวเป็นแพโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

บรรยากาศช่วงหกโมงเย็นวันอังคารภายในห้างหรูเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน

หญิงสาวเดินดูเสื้อผ้าฆ่าเวลาไปพลางตามประสาคนชอบแต่งตัว เมื่อได้อยู่ท่ามกลางเสื้อผ้าสวยๆ ละลานตา และป้ายลดราคาที่เริ่มตั้งแต่สามสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ สติของพิตาภาก็เริ่มหลุดลอย ตอนแรกว่าจะดูอย่างเดียว แต่สุดท้ายก็จัดไปหลายตัวจนต้องบอกตัวเองให้หยุด ก่อนจะล้มละลายไปมากกว่านี้

‘แกจะตามใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะพันช์ ที่ซื้อไปก่อนหน้านั้นก็ยังใส่ไม่ครบเลย สติๆๆ ท่องไว้’

กริ๊งงง!

เสียงโทรศัพท์มือถือทำให้หญิงสาวหลุดจากความคิด มือบางหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋าสะพายและกดรับด้วยแววตาสดใสเมื่อเห็นว่าใครโทร. มา

“ค่ะพี่อาร์ต”

“พี่ถึงแล้วนะ พันช์อยู่ไหน” เสียงทุ้มถามมาตามสาย

“พันช์อยู่ที่ร้านเสื้อผ้าน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวไปเจอกันชั้นหกเลยก็ได้ พี่อาร์ตจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาหาพันช์” เจ้าของร่างเพรียวบอกพลางเดินไปยังลิฟต์

“โอเคจ้ะ พี่รอแถวโถงลิฟต์แล้วกันนะ”

“ค่า” พิตาภาวางสายจากเขาพร้อมรอยยิ้มอิ่มเอมที่ยังแตะแต้มอยู่บนใบหน้าหวาน

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นหกซึ่งเป็นโซนร้านอาหาร หญิงสาวก็เดินออกมาพร้อมกับผู้คนมากมาย ดวงตากลมโตภายใต้แพขนตางอนกวาดมองหาหมอหนุ่ม ไม่นานก็พบร่างสูงโปร่งคุ้นตา

อภิวัฒน์ที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มและกางเกงสแล็กสีดำโบกมือพร้อมยิ้มให้เธอ พิตาภายิ้มตอบและเดินเข้าไปหาเขาด้วยหัวใจพองโต

ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เธอมีความสุขมาก เพราะได้ใช้เวลาทำหลายสิ่งหลายอย่างกับชายหนุ่ม แต่อย่างที่บอก เธอก็ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานะระหว่างตัวเองกับอภิวัฒน์คืออะไร รู้แค่ว่าใจมันฟูฟ่องทุกครั้งที่ได้เจอเขา

“ได้ไรมาเยอะแยะเลย” เจ้าของใบหน้าคมคายยิ้มเย้าเมื่อเห็นเธอถือถุงเต็มสองมือ

“เยอะแยะที่ไหนคะ แค่เสื้อห้าตัวกับกางเกงสามตัวเอง” คนโดนแซวยิ้มเขิน แต่เสื้อผ้าสวยๆ แถมลดราคากระหน่ำขนาดนี้ ใครไม่ซื้อก็บ้าแล้ว

“แค่เหรอ นี่มันเท่ากับจำนวนเสื้อผ้าที่พี่ซื้อปีนึงเลยนะ”

พิตาภาค้อนคนชอบพูดเกินจริง “เว่อร์ละ”

อภิวัฒน์หัวเราะเบาๆ “ล้อเล่น มา เดี๋ยวพี่ถือให้” เขาบอกแล้วรวบถุงกระดาษสีขาวไปถือไว้เองโดยไม่รอคำตอบจากเธอ

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวไม่ขัดศรัทธา จากนั้นเขาและเธอก็เริ่มเดินดูร้านอาหารที่มีให้เลือกหลากหลาย

“อยากกินไร” นายแพทย์หนุ่มหันมาถาม

“อะไรก็ได้ค่ะ พี่อาร์ตล่ะ”

“พี่ตามใจพันช์”

“งั้น...เอาร้านนั้นแล้วกันค่ะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังร้านอาหารเกาหลีที่เล็งเอาไว้แล้ว

“จัดไป วันนี้ป๋าเลี้ยง”

พิตาภาส่ายหน้า “อย่าเลยค่ะ พี่อาร์ตเลี้ยงบ่อยแล้ว ให้พันช์เลี้ยงบ้าง”

“เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก พันช์อุตส่าห์มา”

“ทุกทีเลย เกรงใจนะเนี่ย”

“ไม่ต้องเกรงใจ พี่รวย” นายแพทย์หนุ่มยืดอกและบอกเสียงโอ่

“ไม่เกรงใจละ เริ่มหมั่นไส้แทน” พิตาภาเบ้ปากมองบน

อภิวัฒน์หัวเราะครืน “นี่ยังไม่เลิกติดละครใช่ไหม เล่นใหญ่มาก”

“แอกติงเลิศใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวจะไปแคสต์บทนางเอกที่ช่องเดอะ ซันทีวี” หญิงสาวยิ้มร่าเริง

“มั่นใจว่าเขาจะให้เป็นนางเอก?”

“นางร้ายก็ได้ แซ่บดี!”

“จากฉากยั่วสวาทพระเอกจะกลายเป็นยั่วโมโหหรือเปล่า” เขาหัวเราะก๊ากอย่างไม่เกรงใจ

“ดูถูก!”

“ไหนลองยั่วให้ดูซิ”

“เพี้ยนละ จู่ๆ จะให้ทำกลางห้างนี่นะ”

“อ้าว ก็จะได้เชื่อไงว่ายั่วเป็น”

พิตาภาทำหน้าเหนื่อยใจ “พอๆ จบประเด็นนี้ดีกว่าค่ะ”

“โอเค ว่าแต่ทำไมต้องเป็นช่องเดอะซันทีวีด้วย ช่องนี้ดีกว่าช่องสาม ช่องเจ็ดเหรอ”

“ก็พรุ่งนี้พันช์จะเข้าไปคุยเรื่องโพรโมตแบรนด์น้ำหอมกับพี่เนสที่ตึกเดอะซันน่ะค่ะ เผื่อจะลองไปแคสต์ละครดูด้วย” งานนี้เธอคงต้องอาศัยฐานคนดูของเดอะซันทีวีช่วยด้วยอีกแรง เพราะถ้าเริ่มจากศูนย์เลยน่าจะใช้เวลานาน กว่าผลิตภัณฑ์ของเธอจะเป็นที่รู้จัก ส่วนเรื่องที่ว่าจะไปแคสต์ละครน่ะ แค่ล้อเล่นนะ

“คนชื่อเนสคือเจ้าของช่อง?” อภิวัฒน์ที่แทบไม่ได้เปิดทีวีดูถามอย่างสงสัย

“ใช่ค่ะ พี่เนสเป็นน้องชายของพี่ไนน์ คนที่พันช์ไปช่วยทดสอบหัวใจวันนั้นไงคะ”

“อ๋อ” หมอหนุ่มพยักหน้าเบาๆ “แล้วไปกี่โมง”

“ช่วงสายๆ ค่ะ พี่เนสว่างตอนนั้น”

“เออ น่าสนใจดี พี่อยากไปด้วย อยากรู้ว่าบรรยากาศการทำงานของเค้าเป็นยังไง แต่พรุ่งนี้ทำงาน แล้วมีเวรตอนเย็นต่อด้วย เป็นวันอื่นได้ไหม” อภิวัฒน์ทำหน้าเสียดาย

“ไม่เป็นไรค่ะ พันช์ไปคนเดียวได้ พี่อาร์ตทำงานไปเถอะ อีกอย่างพี่เนสเค้างานยุ่งมาก พันช์ไม่อยากไปเลื่อนทั้งที่เราก็ไม่ได้ติดอะไร เพราะมันอาจจะกระทบตารางงานอื่นของพี่เนสก็ได้”

‘แล้วหมอนั่นมันมีแฟนหรือยัง’ เขาอยากจะถามออกไปแบบนี้ แต่พิตาภาต้องสงสัยแน่ๆ ว่าถามทำไม เลยทำได้แค่ถามในใจ

“แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะคะว่าเป็นยังไงบ้าง”

‘แปลกแฮะ ปกติพี่อาร์ตก็ไม่ได้เป็นพวกติดละครหรือรายการทีวี ทำไมอยู่ดีๆ ก็สนใจอยากไปดูขึ้นมาซะงั้น’

“โอเคจ้ะ” อภิวัฒน์ไม่มีทางเลือก เพราะมีหน้าที่รักษาคนไข้ซึ่งละทิ้งไม่ได้เหมือนกัน แต่ยังไงเขาก็จะไม่ยอมให้เจ้าของเดอะซันทีวีมาจีบน้องแน่นอน

เมื่อมาถึงหน้าร้านอาหารเกาหลี พนักงานก็พาเขากับเธอเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ว่าง ก่อนจะยื่นเมนูให้

“เดี๋ยวอีกประมาณห้านาทีดิฉันจะมารับออร์เดอร์นะคะ” พนักงานเสิร์ฟสาวบอก และเดินไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ

“กินอะไรดีน้า น่ากินไปหมดเลยอ้ะ” เจ้าของใบหน้าหวานเอียงคอดูเมนู คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยอย่างตัดสินใจไม่ถูก

กิริยาแสนน่ารักนั้นอยู่ในสายตาของอภิวัฒน์ตลอดเวลา และหมอหนุ่มก็แอบอมยิ้มอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นมองเขา อภิวัฒน์จึงปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ

“พี่อาร์ตเลือกได้ยังคะ”

“ยังจ้ะ”

“อย่าบอกนะว่ารอลอก” เธอยังไม่เห็นเขาเปิดเมนูเลย

“อาจจะ” ริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อที่มีไรหนวดบางๆ ยิ้มทะเล้น

“เดี๋ยวเลือกให้ก็ได้ คนอะไรแค่สั่งอาหารยังขี้เกียจคิดเอง” ประโยคหลังพิตาภาพึมพำกับตัวเอง

“หวัดดีค่ะพี่หมอ” เสียงของบุคคลที่สามทำให้อภิวัฒน์และพิตาภาหันไปมองแทบจะพร้อมกัน และพบว่าเจ้าของเสียงกำลังเดินมายังโต๊ะที่เขากับเธอนั่งอยู่

“เรนโบว์” นายแพทย์หนุ่มไม่ได้ตกใจนักที่เจอรินลดาที่นี่ เพราะกรุงเทพฯ ไม่ได้กว้างใหญ่ขนาดนั้น

“แฟนใหม่เหรอคะ” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มมองพิตาภาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก

“...” อภิวัฒน์หันไปสบตาคนนั่งตรงข้าม ก่อนจะตอบว่า...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น