“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณหนู” เสียงทักทายจากหญิงสูงวัยทำให้เหมือนแพรที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำตกใจ 

“คุณหนูคงจำป้าไม่ได้ใช่มั้ยคะ ป้าชื่อป้าน้อมค่ะ ป้าช่วยคุณฝันเลี้ยงคุณหนูมาตั้งแต่คุณหนูเกิด” 

คำพูดและรอยยิ้มใจดีของผู้มากวัยกว่า ทำให้เหมือนแพรมีสีหน้าดีใจเหมือนคนที่เจอแหล่งขุมทรัพย์ 

“มาค่ะ มานั่งตรงนี้ ป้าช่วยเป่าผมให้” 

หญิงสาวที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูหญิงสูงวัยที่ช่วยเช็ดผมให้เธออย่างเบามือ แล้วใช้มือแตะปลาสเตอร์ที่แปะระหว่างไรผมกับหน้าผากตรวจดูความเรียบร้อย 

“เปียกจริงๆ ด้วย คือคุณกัณฑ์ขอให้ป้ามาช่วยดูคุณหนูน่ะค่ะ เธอบอกว่าคุณอาบน้ำอยู่แล้วคงสระผม แล้วคิดว่าแผลคุณคงเปียกเลยให้ป้ามาช่วยดูให้น่ะค่ะ เดี๋ยวป้าทำแผลให้ใหม่นะคะ” 

เหมือนแพรไม่รู้จะพูดอะไรจึงเงียบ ปล่อยให้ป้าทำแผลให้ใหม่ พร้อมกับเป่าผมให้เธอจนเริ่มหมาด เมื่อเสียงไดร์เป่าผมเงียบไป หญิงสาวก็คิดคำถามเริ่มแรกของการสนทนาออก 

“แม่ฝันของแพรเป็นคนยังไงคะ แพรจำแม่ไม่ได้มาก ที่พอจำได้ก็มีแต่ภาพที่แม่อยู่โรงพยาบาล ป้าน้อมบอกว่าอยู่กับแม่แพร ช่วยเลี้ยงแพรมาตั้งแต่เด็ก ช่วยบอกแพรหน่อยสิคะ แม่แพรเป็นคนยังไง แล้วแพรเหมือนแม่ฝันมั้ย มีอะไรที่เหมือน”

 “คุณหนูมีหลายอย่างเหมือนคุณฝัน เป็นคนสวย” คำพูดนั้นทำให้คนเพิ่งถูกชมว่าสวยเผลอยิ้ม “ใจดี แล้วก็รักดอกไม้ เวลาที่คุณสองแม่ลูกได้อยู่กับดอกไม้ก็จะลืมทุกอย่างเลย คนรอบข้างต้องคอยเตือน เมื่อก่อนคิดว่าคุณฝันเป็นคนเดียวนะคะ แต่พอสิ้นคุณฝัน คุณหนูก็เป็นด้วย เผลอทำงานจนลืมเข้าห้องน้ำ จนลืมทานข้าว ป้าก็เลยรู้ว่าเมื่อก่อนไม่ใช่ว่าคุณไม่เป็น แต่เพราะเมื่อก่อนมีคุณฝันคอยเตือน คอยห้ามไม่ให้คุณเป็นเหมือนเธอ”

“แม่เตือนแพร แต่แม่ก็เป็นเองเหรอคะ”  

ป้าน้อมยิ้มเป็นคำตอบ นั่นทำให้เหมือนแพรยิ้มตาม 

“อย่างนี้ก็ได้เหรอ แม่ฝันเป็นแม่ปูสอนลูกปูเหรอคะ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ ก็แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวค่ะ เรื่องอื่นคุณฝันเป็นแม่ปูที่สอนลูกปูได้ดีนะคะ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับดอกไม้ คุณหนูได้ฝีมือจัดดอกไม้ และเรียนรู้เรื่องดอกไม้จากคุณฝันมาดีเลยค่ะ” 

“แล้วเรื่องอื่นล่ะคะ แพรเหมือนแม่ยังไงอีก นิสัยเหมือนกันมั้ยคะ”

“เหมือนเงาในกระจกเลยละค่ะ คุณสองแม่ลูกใจใสเหมือนกันค่ะ เป็นคนใจดี เป็นคนดีมีเมตตาค่ะ” ป้าน้อมเห็นอาการดีใจของเหมือนฝัน ก่อนที่เธอจะมีสีหน้าเศร้าหมอง เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกวนใจเธอ “คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ” 

“ป้าน้อมว่าแม่เป็นคนดีใช่มั้ยคะ” ผู้มากวัยกว่าพยักหน้า “แพรก็คิดว่าแม่เป็นอย่างนั้น แต่เมื่อวาน ถ้าแพรเข้าใจไม่ผิด สิ่งที่พี่ณีบอกแพร รวมกับสิ่งที่แพรพอจำได้ มันเหมือนกับว่าแม่แพรเป็นเมียน้อยเหรอคะ คือว่าแพรไม่ได้ตำหนิแม่นะคะ ไม่ได้ว่าแม่เป็นเมียน้อยแล้วไม่ดี ไม่ได้จะแย้งคำพูดป้าน้อมนะคะ”

รอยยิ้มของป้าน้อมที่มองสบตาผ่านกระจกบ่งบอกว่าป้าเข้าใจเธอ เข้าใจเจตนาว่าเธอไม่ได้จะกล่าวหาแม่ของตัวเอง ที่พูดออกไปเพียงเพราะอยากรู้ความจริง 

“คุณฝันไม่ใช่เมียน้อยใครค่ะ คุณหนูเป็นลูกที่เกิดขึ้นจากความรักของคุณฝันแล้วก็พ่อของคุณหนู” 

“พ่อรักแพรมั้ยคะ” 

“รักสิคะ คุณพ่อของคุณหนูรักคุณหนูมากเหมือนกับที่รักคุณฝัน” 

“เพราะรักแพร พ่อถึงอยากให้แพรมีความสุข พ่อก็เลยบังคับพี่กัณฑ์ให้มาอยู่กับแพร แต่งงานกับแพรเหรอคะ พ่อไม่รู้เหรอคะว่า การทำแบบนั้นแพรจะมีความสุขได้ยังไง เมื่อต้องอยู่กับสามีที่ไม่ได้รักแพร สามีที่อยู่กับแพรเพราะความกลัว” 

“ป้าเชื่อว่าถ้าคุณพ่อคุณหนูรู้ก็คงไม่ทำอย่างนี้ค่ะ”

“แล้วถ้าแพรไปบอกพ่อ พ่อก็จะฟังใช่มั้ยคะ พ่อก็จะปล่อยให้พี่กัณฑ์ไปใช่มั้ยคะ” หลังคำถามเหมือนแพรเหมือนเห็นความยุ่งยากในสายตาของป้าน้อม “ไม่ได้เหรอคะ” 

ป้าน้อมไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่เข้าไปฉุดให้คุณหนูของป้ายืนขึ้น “เสร็จแล้วค่ะ คุณหนูจะใส่ชุดไหนคะ เดี๋ยวป้าไปหยิบมาให้” 

“ป้าน้อม...” เหมือนแพรยังอยากรู้เรื่องนี้จึงไม่ยอมให้ป้าเลี่ยง “ทำไมป้าไม่พูดเรื่องนี้คะ ป้าก็กลัวพ่อแพรเหรอคะ พ่อแพรเป็นใครคะ ทำไมถึงได้มีแต่คนกลัว พ่อเป็นคนไม่ดีเหรอคะ”

“พ่อคุณหนูท่านเป็นคนดีค่ะ” สิ่งที่ป้าน้อมบอกดูขัดแย้งกับสิ่งที่เหมือนแพรรู้สึกได้ “เรื่องนี้ถ้าจะต้องเล่าคงอีกยาวค่ะ มันอาจจะสำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่คุณกัณฑ์ต้องพาคุณหนูไปฝากครรภ์นะคะ” 

“แพรไม่ได้อยากให้พี่กัณฑ์ยุ่งยากทำเรื่องพวกนี้ให้แพรเลย” 

“ไม่เอาไม่พูดอย่างนี้นะคะ คุณกัณฑ์มาได้ยินเข้าเธอจะเสียใจนะคะ”

“เขาไม่เสียใจหรอกค่ะ ดีซะอีกเขาจะได้รู้ว่าแพรก็ไม่ได้เต็มใจให้เขามายุ่งกับแพร ป้าน้อมช่วยบอกแพรหน่อย แพรจะเจอพ่อได้ยังไงคะ แพรจะไปคุยกับพ่อเรื่องนี้ แพรไม่ได้อยากให้พ่อบังคับพี่กัณฑ์ให้อยู่กับแพรโดยที่พี่กัณฑ์ไม่เต็มใจ”

ป้าน้อมอยากช่วยพูดให้เหมือนแพรเข้าใจสามีของเธอเสียใหม่ แต่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้ขอป้าไว้แล้วว่า ถ้าน้องพูดเรื่องนี้กับป้า ก็ให้ปล่อยผ่านไป อย่าพยายามช่วยพูด เพราะทุกครั้งที่มีคนพูดแก้ต่างให้เขา มันจะยิ่งตอกย้ำให้น้องเจ็บปวด เขาจะเป็นคนแก้ปัญหาที่ก่อขึ้นด้วยตัวเอง เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้น้องเจ็บปวดน้อยที่สุด 

‘แล้วถ้าคุณหนูถามถึงพ่อล่ะคะ’ 

‘ก็ให้เลี่ยงไปก่อน หลังพาน้องไปฝากครรภ์ ถ้าน้องไม่เหนื่อยและพร้อมจะรู้เรื่องนี้ ผมจะเป็นคนบอกน้องเรื่องนี้เอง ว่าพ่อของเธอเป็นใคร แล้วเวลานี้พ่อของน้องกำลังเจอกับอะไรอยู่’

‘ป้าไม่เห็นด้วยนะคะที่จะบอกกับคุณหนู กลัวว่ามันจะร้ายแรงเกินกว่าที่คุณหนูจะรับได้ ฟังจากที่คุณกับคุณณีเล่า ป้าว่าคุณหนูยังไม่พร้อมรับอะไรที่หนักกว่านี้ แค่นี้เธอก็แทบไม่ไหวแล้วนะคะ ถ้ามีเรื่องคุณพ่อเข้ามาอีก ป้าเกรงว่า...’

‘ไม่หรอกครับ ป้าลองคุยกับคุณหนูของป้าดู ผมว่าน้องแพรเวอร์ชันนี้ต่างจากคนเดิมนะครับ ผมก็บอกไม่ถูก เธอมีความดื้อ มีความอยากหาความจริง’

‘คุณพูดเหมือนเป็นเรื่องดี การที่คุณหนูเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้คุณง้อเธอยากไม่ใช่เหรอคะ’

‘ครับ มันยากกว่าการเดินเข้าไปหาน้องแพรคนก่อนมาก’ 

เมื่อก่อนเขาเดินเข้าไปหาเด็กสาวที่อ่อนด้อยด้านความรัก เธอมีความประทับใจตัวเขาเป็นทุนเดิม จึงไม่ยากเลยกับการเดินเข้าไปจีบเธอ ทำให้เธอเชื่อใจและยอมแต่งงานด้วย โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนั้นเพราะอะไร 

‘ผมจะเริ่มเอาชนะใจน้องแพรใหม่ ผมรู้ว่ามันยาก แต่ผมจะทำให้สำเร็จ ต่อไปนี้น้องคงไม่มีอำนาจบารมีของพ่อมาปกป้องเหมือนเมื่อก่อน คงมีคนอีกมากมายที่จะเข้ามาทำให้น้องเสียใจ รู้สึกแย่ ทั้งฝ่ายพี่น้องบ้านใหญ่ ทั้งคนในครอบครัวผม แต่ผมสัญญากับป้า สัญญากับแม่ฝันว่าผมจะปกป้องน้องเอง...จะไม่ให้ใครแตะต้องลูกและเมียผมได้’   

...

“เขาคงจะดีใจซะอีก เมื่อก่อนก็บอกให้แพรไปบอกพ่อ ให้ไปขอร้องพ่อไม่ให้ยุ่งกับแฟนเก่าเขา” 

ป้าน้อมค่อนข้างตกใจที่คุณหนูของป้าพูดคำนี้ออกมา 

“ตอนนั้นแพรอาจจะไม่กล้า แต่ตอนนี้แพรรู้แล้ว ต่อให้พ่อเป็นยังไง น่ากลัวแค่ไหน แพรก็จะเดินไปบอกพ่อค่ะ พ่อจะได้เลิกบังคับเขา ลูกสาวพ่อดูแลตัวเองได้ ดูแลหลานของพ่อได้...ใช่มั้ยคะป้าน้อม แพรดูแลตัวเองได้ ดูแลลูกของแพรได้ ใช่มั้ยคะ” 

“ค่ะ คุณหนูของป้าเก่ง ป้าเชื่อว่าคุณหนูของป้าจะทำอะไรก็ทำได้ค่ะ” ป้าน้อมคิดว่าการพูดอย่างนั้นน่าจะดีที่สุด “แต่ตอนนี้คุณหนูต้องรีบแต่งตัวนะคะ คุณกัณฑ์เธอรออยู่ค่ะ”

“แพรไม่อยากไปกับเขา ป้าน้อมไปบอกเขาหน่อยสิคะว่าไม่ต้องมายุ่งกับแพร” 

“ไม่ได้หรอกค่ะ ป้าเป็นแค่คนใช้จะไปบอกเธออย่างนั้นได้ยังไง เอาเป็นว่ารอให้คุณหนูไปบอกเองนะคะ”

“แพรบอกแล้ว เขาไม่ยอมฟัง”

“งั้นก็คงต้องรอให้คุณหนูได้คุยกับคุณพ่อของคุณหนูก่อน” ป้าน้อมบอก “ไม่เอาค่ะ ไม่ทำหน้าเครียดนะ คุณหนูรู้มั้ยคนท้องทำหน้าเครียดบ่อยไม่ดีนะคะ ลูกเกิดมาจะเป็นเด็กงอแงนะคะ” 

คำพูดนั้นทำให้คนดื้อ สีหน้าเปลี่ยน 

“จริงเหรอคะ” ถามแล้วก็หันไปหากระจก ยกมือแตะแก้มตัวเอง เห็นว่ากำลังเครียดอยู่จริง จึงใช้นิ้วยกมุมปากตัวเองขึ้นทำท่ายิ้ม ส่งผลให้ป้าน้อมเผลอปล่อยยิ้มกว้าง “แม่ขอโทษนะคะลูก แต่เพราะพ่อของหนูนั่นแหละชอบมาวุ่นวายกับแม่ งั้นเราไปหาป้าหมอซะให้จบๆ นะ พ่อเขาจะได้ไม่มายุ่งกับเราสองคนเนอะ”

ถึงตอนนี้ป้าน้อมก็ได้แต่มองคนที่ตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดมาเปลี่ยน ก่อนที่เธอจะหันมาบอกป้า ใบหน้ามีรอยยิ้ม อารมณ์ผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่ คงเพราะกลัวว่าผลกระทบจะตกไปถึงลูกจึงพยายามปล่อยวาง

“แพรไม่มีอะไรให้ช่วยแล้วค่ะ รบกวนป้าไปบอกเขาด้วยนะคะว่าเดี๋ยวแพรเสร็จแล้วจะรีบลงไป”  

ป้าน้อมเอ็นดูกัณฑ์ที่ถูกภรรยาเรียกชื่อว่า ‘เขา’ 

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อก่อนคุณหนูของป้าคงไม่เรียกพี่ด้วยคำนี้ 

“เดี๋ยวเขาจะหาว่าแพรชักช้าเป็นภาระเขาอีก...ขอบคุณค่ะ”

 

ณ สวนหย่อมเล็กๆ ด้านข้างอาคารโรงพยาบาล  

“เป็นไง เจ้ากัณฑ์ยอมรับโทรศัพท์มั้ย” 

เสียงผู้หญิงที่ดูมีอายุหน่อยเรียกความสนใจของเหมือนแพรที่นั่งรอกัณฑ์อยู่ให้ละสายตาจากภาพอัลตราซาวนด์ลูกที่อยู่ในมือ เห็นผู้หญิงวัยกลางคนแต่งตัวภูมิฐานยืนคุยอยู่กับผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกับเธอ มีผู้ใช้บริการคนอื่นอยู่ในบริเวณนั้นอีกหลายคน 

“งั้นก็ลองโทร. หาหมอวศิน เอาข้อมูลมาให้ได้ว่าเหมือนแพรอยู่ห้องไหน แม่ว่าที่ไม่มีข้อมูลคนไข้ใน พวกนั้นโกหก แม่ว่าเจ้ากัณฑ์ต้องสั่งโรงพยาบาลไว้แน่ๆ ว่าไม่ให้บอกข้อมูลคนนอก...เร็วๆ หน่อยสิยัยปิ่น ทำอะไรชักช้า” 

“ปิ่นก็รีบแล้วค่ะ...พี่หมอปิดเครื่อง น่าจะติดคนไข้ค่ะ” 

 “งั้นก็โทร. หาเจ้ากัณฑ์ใหม่อีกที! มานี่ ชักช้าฉันโทร. เอง!” 

ตรงจุดที่เหมือนแพรนั่งมีเสาต้นใหญ่บังอยู่ นั่นทำให้คนสองคนที่ยืนคุยกันมองไม่เห็นเธอ แม้จะยังไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนทั้งคู่ แต่หญิงสาวก็มีความรู้สึกกลัวการเผชิญหน้า เธอไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงรู้สึกอย่างนั้น อาจเพราะเห็นอาการเกรี้ยวกราดของคนที่ดูมีอายุนั่น แต่ที่เธอแน่ใจคือคนทั้งสองกำลังตามหาตัวเธอ คนทั้งสองที่คิดว่าน่าจะเป็นมารดาและน้องสาวของกัณฑ์  ซึ่งฟังจากบทสนทนาก็ยืนยันชัดว่าพวกเขาไม่น่าจะมาดี พวกเขากำลังตามหา ไม่น่าจะมาเยี่ยมไข้ธรรมดา

ต้องทำอย่างไร นั่นคือคำถามที่เหมือนแพรให้แก่ตัวเอง 

ถ้าต้องเผชิญหน้าเธอจะต้องทำอย่างไร...

“เจ้ากัณฑ์ ยอมรับโทรศัพท์แม่ซะทีนะ” 

เหมือนแพรยังคงนั่งอยู่ที่ที่เดิม มองผ่านกระจกเข้าไปในตัวตึก ซึ่งเป็นทางที่กัณฑ์เดินเข้าไปเอายา หลังจากออกมาส่งเธอที่ข้างนอก เพราะก่อนหน้านี้เธอรู้สึกอึดอัด อยากออกมาเจอบรรยากาศเขียวๆ เวลานี้เธออยากให้เขากลับมาเร็วๆ แต่ยังไร้วี่แววของคนที่บอกว่าจะไปรับยา และให้เธอนั่งคอยอยู่ตรงนี้ 

“ทำไมแกต้องถามว่าแม่มีธุระอะไร! แกก็รู้อยู่แล้วว่าทำไมแม่ต้องโทร. หาแก แกเล่นหายหัวไปเลย” 

“คุณแม่ปิ่นฟังด้วย...” ลูกสาวดึงโทรศัพท์แม่มาเปิดสปีกเกอร์โฟน 

“คุณแม่ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วไม่ใช่เหรอครับ เลิกยุ่งกับผมซะที” 

“เลิกยุ่งงั้นเหรอ แกพูดกับแม่อย่างนี้ได้ยังไง แม่บอกแกแล้วไงว่าแกไม่ต้องไปรับผิดชอบอะไรนังเด็กเหมือนแพรนั่นแล้ว! แกไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรเลย เป็นใครก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ มันคือกรรมของนังเด็กนั่น ใครใช้ให้มันอยากได้ผู้ชายจนตัวสั่น มันนั่นแหละที่ไปบอกให้พ่อมันมาบังคับกัณฑ์”

“คุณแม่มีอะไรกับผมก็รีบพูดมา ถ้ายังพูดเรื่องนี้อีก ผมจะวางสาย” 

“พี่ดารินรอพี่กัณฑ์อยู่นะคะ พี่เขาเสียใจมากที่พี่กัณฑ์ไม่ยอมไปเยี่ยม อาการพี่เขาไม่ดีขึ้นเลย น่าจะเพราะตรอมใจ พี่กัณฑ์ที่ปิ่นรอดมา เจ็บตัวน้อยเพราะพี่ดารินปกป้องนะคะ พี่จะใจร้ายกับพี่ดาริน ใจร้ายกับคนที่พี่รักได้ลงคอเหรอ ทั้งที่พี่ดารินปกป้องคนในครอบครัวพี่ ต่างกับเหมือนแพร นอกจากไม่ยอมช่วย ยังยื้อตัวพี่กัณฑ์ไว้อีก...พี่จะอยู่กับผู้หญิงเห็นแก่ตัวแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

“นั่นสิเจ้ากัณฑ์ กลับบ้านเราเถอะ ไม่จำเป็นที่ลูกจะไปอยู่กับคนน่ารังเกียจแบบนั้น...ฮัลโหล...เจ้ากัณฑ์ฟังอยู่หรือเปล่า นี่กล้าดียังไงมาวางสายใส่แม่!” 

เหมือนแพรยังคงแอบมองสองแม่ลูกที่พยายามจะโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับสาย เธอคิดจะใช้จังหวะที่สองแม่ลูกก้มมองโทรศัพท์อยู่ลุกหนีไปจากตรงนี้ เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับคนทั้งคู่ ภาวนาขออย่าให้คนใดคนหนึ่งเห็นเธอเข้าเสียก่อน 

แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะเพียงแค่เธอลุกขึ้น เดินไปยังไม่ทันถึงสิบก้าวก็ถูกเห็น

“คุณแม่...” เสียงของปิ่นปักทำเอาเหมือนแพรตัวแข็งทื่อ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าพวกเขาเห็นเธอแล้ว “นั่นมันนังแพรนี่คะ” 

“จริงด้วย เรียกมันไว้สิ นังแพร เหมือนแพร!” 

คนถูกเรียกมองไปยังทิศทางที่กัณฑ์เดินไป แต่ยังไม่มีวี่แววว่าชายหนุ่มจะกลับมา เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนสองคนข้างหลังดังกระชั้นเข้ามาใกล้ แม้กลัวจนปากสั่น แต่เมื่อเห็นภาพอัลตราซาวนด์ของลูกในมือก็ทำให้เธอจำคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับลูกว่าจะกล้าเผชิญความจริง จึงคิดว่าจะหันไปเผชิญหน้าทั้งสองคนที่ต่อให้เป็นแม่สามีและน้องสามี แต่สำหรับเธอกลับรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า

“คุณแม่เรียกไม่ได้ยินเหรอ!” ไหล่ของเหมือนแพรถูกปิ่นปักกระชากจากด้านหลัง ให้หันไปเห็นสายตาของคนต่างวัยที่มองเธอตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยสายตาตีราคาแล้วเบะปากใส่อย่างสมเพช “ไหนว่าประสบอุบัติเหตุ เห็นแค่แปะปลาสเตอร์แผ่นเดียว นี่เหรอที่พี่กัณฑ์บอกว่าเมียเจ็บ” 

“สำออยเรียกร้องความสงสารจากลูกชายฉันเก่งเหมือนเดิมนะ” 

เหมือนแพรยังคงไม่พูดอะไร มองคนใช้คำพูดและสายตาดูแคลนเธอ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้สองแม่ลูกประหลาดใจ เพราะปกติเหมือนแพรก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่เคยเถียง ไม่เคยว่า แต่ที่ต่างไปคือเมื่อก่อน เหมือนแพรเอาแต่ก้มหน้า แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนี้มองมาด้วยสายตามีคำถาม แววตาที่ทำให้แม่สามีรู้สึกขัดใจ จึงก้าวเข้ามาหาคนที่ขยับถอยหลังอย่างลืมตัว 

เหมือนแพรรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัย แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ทำอะไรก็ต้องหน้าหัน เมื่อถูกหญิงวัยกลางคนตบหน้าฉาดใหญ่ ก่อนที่เธอจะทันตั้งตัวได้ เธอก็ถูกผู้หญิงคนเดิมเอื้อมมาบีบคางกระชากให้เผชิญหน้า 

“ฉันอยากทำกับแกอย่างนี้มานานแล้ว! ตอนนี้พ่อแกไม่อยู่คุ้มครองแกแล้ว ฉันขออีกสักฉาดเถอะ ยังไม่สาแก่ใจ!” 

ก่อนคนที่ได้ชื่อว่าแม่สามีจะได้ทำอย่างที่พูด ก่อนที่ฝ่ามือที่ง้างขึ้นจะทันได้ฟาดใส่ใบหน้าอ่อนเยาว์ มือนั้นก็ถูกคว้าไว้ได้ คนที่คว้ามือนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังจะถูกตบ ไม่เพียงคว้าไว้ หญิงสาวยังลงเล็บกับข้อมือนั้น ทำเอาคนที่ไม่คิดว่าเหมือนแพรจะสู้ หน้าเสียอย่างตกใจก่อนจะร้องโอ๊ยอย่างเจ็บปวด พยายามจะดึงมือกลับ แต่เหมือนแพรไม่ปล่อย มือที่ว่างจึงง้างขึ้นอีก

“อย่านะ!” เหมือนแพรขู่ทั้งที่เธอปากสั่น “ถ้าคุณกล้าตบแพรอีก...แพรไม่ยอมแน่!” 

“แกว่าไงนะ! แกไม่ยอมงั้นเหรอ อย่างแกจะกล้าทำอะไรฉัน อย่าลืมว่าแกไม่มีพ่อคุ้มกะลาหัวแล้ว ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้ายุ่งกับแกก็เพราะพ่อแก อย่าลืมเรื่องนี้ซะละ นังลูกไอ้คนขี้คุก! แกจะกล้าทำอะไรฉัน!”

ทั้งสองแม่ลูกเห็นอาการตัวสั่น น้ำตาคลอของเหมือนแพรยิ่งย่ามใจ ยิ่งท้าทายเธอ

เหมือนแพรดั่งสุนัขที่ถูกต้อนให้จนตรอก แม้จะหวาดกลัว แต่ก็จะไม่วิ่งหนีไปหลบอยู่ข้างหลังใครอีกแล้ว ถ้าเธอจะไม่มีพ่อปกป้องจริงก็คงต้องยอมรับ แล้วถ้าเธอคือลูกคนขี้คุกจริง เธอก็จะยอมรับ ถ้าไม่มีพ่อปกป้อง เธอก็จะปกป้องตัวเอง

“ถ้าอยากรู้ว่าแพรจะกล้าหรือไม่กล้า...ก็ลองตบอีกสิคะ” เหมือนแพรไม่เพียงแค่กล้าพูดกับกันตา แต่เธอยังกล้าสบตาคนที่เธอเคยกลัวและเกรงใจมาก แต่ก่อนแค่แม่สามีขึ้นเสียงหน่อย เธอก็ตัวสั่นแล้ว แต่เวลานี้เธอเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาอย่างท้าทาย 

“อย่าบีบบังคับกันนัก...บอกไว้เลยว่า ถ้าใครทำแพร แพรก็จะสู้ ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้แค่ไหน แต่ถ้าพวกคุณอยากรู้...ก็ลองดูค่ะ”

สองแม่ลูกมองสบตากันพร้อมคำถาม...เกิดอะไรขึ้นกับเหมือนแพร

อะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้ แต่ต่อให้เปลี่ยนอย่างไร มันก็ไม่ได้มีพลังทำให้คนทั้งคู่เกรงกลัว

“อยากลองดีใช่มั้ย...งั้นเราก็ช่วยจัดให้มันหน่อยดีมั้ยคะคุณแม่!” 

“เอาสิลูก เอาให้มันจำไปจนวันตาย...อย่ามาอวดเก่งในวันที่ไม่มีพ่อคุ้มกะลาหัว!” 

 

เหมือนแพรถอยหลังจนหลังชนเสาเมื่อปิ่นปักย่างสามขุมเข้าหาและคว้าโทรศัพท์มือถือที่เธอที่ยกขึ้นป้องตัวเองไว้ ก่อนจะเล็งไปที่ใบหน้าแล้วฟาดมือใส่เต็มแรง แต่คนกำลังจะถูกตบฮึดสู้ ยกมือขึ้นกันไว้ได้ ข่มความกลัวง้างมือขึ้นสุดแขนและฟาดสวนเข้าหน้าปิ่นปักเต็มแรงเสียงดังสนั่นจนหน้าหัน สร้างความตกใจให้แก่คนที่ถูกตบรวมถึงกันตา 

“เลือด...” ปิ่นปักเงยหน้าขึ้น ร้อนและชาใบหน้าจึงยกมือแตะอย่างลืมตัว รู้สึกเจ็บไปทั้งหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอหน้าเสียเท่ากับเมื่อเห็นเลือดที่มือ “คะ...คุณแม่...เลือด เลือดหนูออก...” 

เหมือนแพรรู้สึกได้ว่าเธอทำสำเร็จที่ทำให้ปิ่นปักหยุดทำร้ายเธอได้ แม้จะกลัวแทบลืมหายใจ แต่ก็ฝืนกัดฟันไม่ให้ตัวสั่น เพราะกลัวว่าคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าจะรู้ว่าเธอกลัวพวกเขา ยิ่งคนทั้งคู่หันมามองก็ยิ่งกลัวแทบขาดใจจนขยับถอยหนี 

“กล้าทำลูกฉันเหรอ” 

ในสายตาของเหมือนแพร กันตาดูน่ากลัวกว่าปิ่นปักมาก ยังไม่นับที่หล่อนคือผู้ใหญ่ ต่อให้ยังจำอะไรไม่ได้ แต่เหมือนแพรก็มีจิตสำนึกว่าเธอเป็นเด็ก จะทำร้ายผู้ใหญ่ หรือแม่สามีไม่ได้ นั่นทำให้เธอถอยหลังกรูด

“กล้าดียังไงมาทำลูกฉัน!” กันตาเข้าถึงตัวเหมือนแพรพร้อมกับเสียงตวาด “แล้วแกจะได้รู้ว่า ไม่ใช่มีแต่พ่อแกที่ปกป้องลูกได้ ฉันก็จะปกป้องลูก และลงโทษคนที่มันทำกับลูกฉันอย่างสาสม!”  

“ปล่อยแพรนะ! แพรไม่อยากทำอะไรคุณ ปล่อยแพรนะ!”

“สู้เหรอ! สู้เป็นแล้วเหรอ! เอาสิ ถ้าคิดว่าสู้แรงฉันได้ก็เอา” แม้กันตาจะอายุเยอะแล้ว แต่ด้วยตัวที่ใหญ่กว่า แรงที่มากกว่าทำให้หล่อนกระชากตัวเหมือนแพรได้อย่างง่ายดาย 

แต่ความกลัวก็ทำให้เหมือนแพรฮึดสู้ เธอสะบัดตัวแรงจวนหลุด 

“ปิ่นปัก มาช่วยจับมัน!”

“ได้เลยค่ะ คุณแม่” ก่อนที่เหมือนแพรจะตั้งตัวได้ กันตาจับเหมือนแพรให้หันหลังไปหาปิ่นปักที่เข้าล็อกตัวเธอจากด้านหลัง “เอาเลยค่ะ คุณแม่จัดมันให้หนักๆ เลย!”

“อย่านะ! ช่วยด้วยค่ะ ช่วย...” 

ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้กรีดร้องให้คนช่วย ปิ่นปักก็ใช้มือปิดปากเธอไว้ เธอพยายามดิ้นหนี สะบัดตัวและหัวอย่างแรง แต่ด้วยความที่ยังไม่แข็งแรงดี ตัวก็เล็กกว่าจึงไม่ง่ายเลย แม้เธอจะพยายามกระแทกตัวจนแขนเจ็บ ก็ยังไม่หลุด ยิ่งเวลาผ่านไปนานก็ยิ่งกลัว เธอจึงหยุด ปล่อยให้กันตาตบหน้าเธออีกฉาด ยอมเจ็บแต่เฝ้ารอโอกาส รวบรวมความกล้าแล้วถีบไปเต็มแรง! 

“คุณแม่!” 

แรงถีบของคนที่พยายามเอาตัวรอดทำเอากันตาเสียหลัก เซไปหลายก้าวก่อนจะตกส้นสูง ก้นกระแทกพื้น ปิ่นปักเองก็ตกใจช็อกไม่น้อย เพราะคาดไม่ถึงว่าผู้หญิงหงิมๆ ที่แค่โดนมองก็กลัวหัวหดจะทำได้ขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังไม่ยอมปล่อยมือที่ล็อกตัวเหมือนแพรไว้ แต่อาการตกใจก็ทำให้เสียจังหวะ เหมือนแพรเองก็รอจังหวะ ทันทีที่พอจะอ้าปากได้งับมือที่ปิดปากเธอไว้เต็มแรง 

“โอ๊ย! กรี๊ด! ปล่อยนะ เลือด! มึงทำกูเหรอ มึงตายอีแพร!”

เหมือนแพรเองก็เหนื่อยจากการดิ้น รู้สึกเหมือนกำลังจะวูบ ไม่มีแรงสู้แล้ว แต่ก็พยายามกัดฟันกรอด กำมือแน่น เธอไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายฝ่ายเดียวอีกแล้ว ถ้าเข้ามาอีกเธอพร้อมจะสู้ทั้งที่รู้ว่าแทบจะไม่มีแรง 

“มึงตาย!” ปิ่นปักพุ่งเข้าใส่หลังจากที่ไปคว้าแจกันมาจากโต๊ะกลางโซฟา ง้างมือเตรียมตบคนที่ทำร้ายหล่อนด้วยสิ่งที่อยู่ในมือ 

เหมือนแพรตกใจเซถอยหลังและรู้สึกว่าเธอชนใครบางคนเข้า ความตกใจทำให้เธอดิ้นหนี ไม่ทันได้หันไปดูด้วยซ้ำว่าใครอยู่ตรงนั้น คิดแต่ว่าจะเป็นคนที่มาทำร้ายเธอ 

“เอาเลยลูก! เอามันให้ตายไปเลย!”  

เหมือนแพรยอมถูกแจกันฟาดหน้า แต่จะให้อะไรมาโดนท้องเธอไม่ได้เป็นอันขาด จะไม่ให้ลูกมาเสี่ยงอันตราย หญิงสาวคิดได้อย่างนั้นก็รามือลงมากุมท้อง หลับตาปี๋เมื่อคิดว่าต้องโดนฟาดแน่ๆ แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น 

เกิดอะไรขึ้น

นั่นคือคำถามที่ตามมา ก่อนที่เธอจะทันได้ลืมตาขึ้น เหมือนแพรรับรู้ว่ามีท่อนแขนใครคนหนึ่งคล้องกอดเธอไว้จากด้านหลังแล้วดึงเข้าหาตัว แขนของผู้ชายที่กำลังปกป้องเธอไม่ให้ถูกทำร้าย ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของเขาก็คว้าแจกันออกจากมือของปิ่นปักซึ่งหน้าถอดสีทันทีที่เห็นผู้ชายที่เข้ามาหยุดการกระทำของหล่อน 

“พี่กัณฑ์...”  

คำหลุดปากปิ่นปักบอกเหมือนแพรว่าคนที่ช่วยให้เธอไม่ถูกแจกันฟาดหน้าเป็นใคร แล้วรอบๆ เหตุวิวาทก็มีคนจำนวนมากจับตามอง แต่พวกเขาก็ทำเพียงมองดู ไม่ได้เข้ามาช่วย  

“ทำบ้าอะไร!” กัณฑ์ตวาดเสียงดัง ขณะกันตัวเหมือนแพรไปข้างหลังเขา “แกกับคุณแม่ทำบ้าอะไร!” 

“พี่อย่ามาตวาดปิ่นนะ! คนที่เริ่มเรื่องนี้คือเมียพี่ต่างหาก พี่ไม่เห็นเหรอว่ามันทำร้ายปิ่นเนี่ย มันทำร้ายคุณแม่ด้วย!” ปิ่นปักชี้ให้ชายหนุ่มเห็นแม่ที่ยังล้มอยู่กับพื้น รวมถึงรอยแตกที่ปากและเลือดกำเดาที่ไหลเปรอะ และไม่ลืมที่จะให้ดูมือที่ถูกกัดจนช้ำขึ้นรอยฟัน “คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”

“โอ๊ย—ยยยข้อเท้าแม่...โอ๊ย! เอวแม่...” กันตาดูท่าจะเจ็บจริง สีหน้าบิดเบี้ยว 

ปิ่นปักเข้าไปดูด้วยความห่วงใย ก่อนจะหันมาตวาดใส่พี่ชาย “พี่กัณฑ์! มาดูแม่สิ เมียพี่เป็นคนทำแม่เจ็บนะ ยังจะไปยืนกอดปลอบมันอยู่ได้”

ดูเหมือนคำพูดของปิ่นปักจะไม่ผ่านเข้าหูกัณฑ์ เพราะเวลานี้เขาหมุนตัวเหมือนแพรให้มาเผชิญหน้า สิ่งที่เขาเห็นเป็นอันดับแรกคือแก้มน้องข้างซ้ายขึ้นรอยแดง เห็นแวบแรกก็รู้ว่าถูกตบอย่างแรง น่าจะไม่น้อยกว่าสองครั้ง เธอตัวสั่น สีหน้าตกใจเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ แต่ก็พยายามฝืนไว้อย่างเต็มที่ เป็นภาพที่น่าสงสารที่สุด 

“น้องแพร...” ชายหนุ่มเอื้อมมือแตะเพียงเบาๆ น้องก็สะดุ้ง นั่นบอกเขาว่าเธอเจ็บ ความเจ็บที่เขาคิดว่าจะต้องมีคนรับผิดชอบ “คุณแม่กับปิ่นทำอย่างนี้ทำไม!” 

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเรียกกลุ่มคนให้มาบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก รวมถึงวศินที่เป็นฝ่ายบอกกัณฑ์ว่าแม่กับน้องสาวเขามาที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลให้เขารีบกลับมาตรงนี้ เพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  สุดท้ายก็มาไม่ทัน น้องถูกทำร้าย แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าน้องจะสู้คนเป็น แม้จะตัวสั่นด้วยความกลัวและตกใจ แต่ก็ไม่เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้เหมือนเคย 

“คนของพวกคุณมาแล้ว...” เหมือนแพรพูดขึ้น ฝืนตัวออกจากอ้อมแขนของกัณฑ์ เธอพูดกับสองแม่ลูก แต่ดวงตาเปื้อนหยาดน้ำตากลับมองกัณฑ์ไม่ละสายตา “เชิญเอาคนของคุณไปเลย...เอากลับไปเลย แล้วอย่ามายุ่งกับแพรอีก! เอาเขาไปให้พ้นจากชีวิตแพรได้เลย...แพรไม่ต้องการ!”

ไม่ได้ต้องการให้คนที่ไม่เคยรักแพร...ต้องมาทนอยู่กับแพร! 

กันตาและปิ่นปักแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ทั้งคู่ถึงกับอึ้งไป... แต่เธอถอยหลังออกปัดมือเขาทิ้ง แล้วเดินผ่านหน้าเขาไป...

“ดี! พูดแล้วทำให้ได้ อย่ามาใช้มารยาล่อลวงลูกฉันอีกล่ะ” กันตาตะโกนไล่หลังเหมือนแพรไป ก่อนจะหันมาหาลูกชาย ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไร 

“ต่อไปนี้แกก็หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก กลับบ้านเรากันเถอะ แม่จะทำบุญล้างซวยให้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่...เจ้ากัณฑ์แกฟังแม่อยู่มั้ย แล้วนั่นแกจะไปไหน แกจะตามมันไปทำไม อย่าไปนะ โอ๊ย!...กลับมานะ! เจ้ากัณฑ์!”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น