๑๖

๑๖

ปากกับใจใครว่าตรงกัน

คนสองคนที่เพิ่งเถียงกันไปหยกๆ ต่างพากันอึ้ง ผู้กองหนุ่มนั้นนึกแปลกใจตัวเองเป็นล้นพ้น เมื่อกี้เขาเป็นอะไรไปถึงได้ทุ่มเถียงจะเรียกว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ย่อมได้ออกไปเช่นนั้น

ด้านกัตติกาก็เช่นเดียวกัน ทำไมตัวเองถึงทุ่มเถียงเอาชนะคะคานกับตำรวจหน้าขาวได้ถึงเพียงนี้ เถียงกันด้วยเรื่องปัญหาโลกแตกเหมือนเรื่องไก่กับไข่ก็ไม่ปาน

“เอ้อ...ดาวขอตัวไปล้างมือก่อนนะคะ”

“ตามสบายเลยจ้ะ ห้องน้ำอยู่ตรงด้านโน้น” เจ้าของร้านสาวบอกยิ้มๆ พลางชี้ไปยังทิศทางที่บอกออกไป 

“ต้องไปเป็นเพื่อนไหมดาว” สิตางศุ์เอ่ยถาม 

“ไม่เป็นไรฉันไปได้” กัตติกาส่ายหน้าปฏิเสธ

หลังร่างระหงของญาติสาวในชุดเสื้อยืดสีดำพอดีตัวกับกางเกงยีนสีเข้มเดินผละไปแล้ว สิตางศุ์ก็หันไปบอกนายตำรวจหนุ่มกับเจ้าของร้านสาวว่า

“เดือนขอตัวไปเดินเล่นตรงริมบึงแป๊บนะคะ”

“ครับ/ค่ะ”

เมื่อเห็นว่าร่างของหญิงสาวสวยทั้งคู่ลับหายไปจากสายตาแล้ว นุชนารถก็หันไปทางผู้กองหนุ่มเพื่อนสนิทของน้องชายทันที

“ยังไงจ๊ะคุณผู้กอง จะสอยอะไรกันแน่ระหว่างดวงเดือนกับดวงดาว”

คนถูกถามสะดุ้งโหยง ซึ่งไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นบ่อยนักพลางยิ้มแหยๆ เกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่าสอยดาว เพราะคุ้นเคยกับคำว่าสอยดาวมากกว่าสอยเดือน

ก็บนบ่าเขายังมีดาวเลยนี่นา

แต่นั่นมันคือคำคุ้นเคยจริงๆ หรือ

“ทำไมพี่นุชถึงถามผมอย่างนี้ล่ะครับ” 

นุชนารถมองหน้าคนถามที่มีสีหน้าเก้อๆ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ 

“จะไม่ให้พี่ถามอย่างนี้ได้ไงล่ะ เมฆเป็นคนโทร. มาบอกพี่เองว่าจะพาสาวมากินอาหารที่นี่ แต่ไหงมาทีเดียวสองคนเลยล่ะ จะไม่ให้สงสัยก็คงไม่ใช่พี่แล้วแหละ”

“คือ...ผมนัดกับคุณเดือน แต่คุณดาวมาแจมด้วยน่ะครับพี่นุช”

ภาคินเล่าสั้นๆ ตามคำบอกกล่าวของหญิงสาวที่ชื่อกัตติกา ทำเอาคนฟังต้องมองหน้าคนพูดด้วยความสนเท่ห์ เพราะดูเหมือนคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดหรือไม่พอใจแต่อย่างใด ทั้งที่น่าจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นออกมาให้เห็น

อุตส่าห์นัดสาวมากินข้าวยังมีคนอื่นมาแจมด้วย อย่างนี้มันใช่หรือ

และจากที่ลอบสังเกต เหมือนหญิงสาวที่ชื่อกัตติกาจะจงใจมาร่วมแจม เพราะดูจากสีหน้าท่าทางคล้ายจะไม่ค่อยชอบเพื่อนของน้องชายยังไงยังงั้น ถ้าตาเธอไม่ฝาดนะ

“ท่าทางน้องดาวจะไม่ค่อยชอบเมฆนะ” เพราะความสงสัยนุชนารถจึงเผลอพูดความในใจออกไป

นายตำรวจหนุ่มเผยรอยยิ้มกว้าง ดูเหมือนไม่ได้สลดกับการถูกใครไม่ชอบหน้าเลยสักนิด ช่างย้อนแย้งจนคนลอบสังเกตอย่างนุชนารถนึกขำ

“นั่นสิครับ แต่ไม่ใช่ไม่ค่อยชอบ ต้องเรียกว่าไม่ชอบหน้าจะถูกต้องกว่าครับ ทำยังกับผมเป็นศัตรูมาแต่ชาติปางไหนอย่างนั้นแหละ”

ขณะเล่าถึงสีหน้ายังเจือไปด้วยรอยยิ้มอีกต่างหาก สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดกับนุชนารถมากยิ่งขึ้น

“อย่างอาหารป่าที่อยู่บนโต๊ะนี่เจ้าตัวก็เป็นคนสั่งมาแกล้งให้ผมกินครับพี่นุช”

แล้วภาคินก็เล่าเรื่องที่อีกฝ่ายจงใจสั่งอาหารป่าที่เขาไม่เคยกิน อีกทั้งคะยั้นคะยอให้กินกบผัดเผ็ดให้ฟัง ซึ่งคนฟังมองหน้าคนเล่าแล้วให้นึกแปลกใจมากยิ่งขึ้น เพราะสีหน้าของคนเล่าไม่ได้บ่งบอกอาการไม่พอใจเลยสักนิด

ดูเหมือนจะเล่าด้วยสีหน้ารื่นรมย์ด้วยซ้ำ ชักน่าสงสัยแล้วสิ

“พี่ก็นึกอยู่ว่าเมฆไม่น่าจะเป็นคนสั่ง แล้วเมฆยอมกินด้วยหรือจ๊ะ ทั้งที่ไม่เคยกิน” นุชนารถเอ่ยถามยิ้มๆ ทั้งลอบสังเกตปฏิกิริยาต่อไป

“ก็ไม่เห็นจะยากนี่ครับ แค่ตักเข้าปากเคี้ยวๆ แล้วกลืน”

คนพูดพูดได้คล่องปาก ทั้งที่ตอนกินกว่าจะกลืนลงคอได้ก็กล้ำกลืนฝืนทนแทบแย่ อีกทั้งยังต้องกลั้นใจอีกต่างหาก

“ไม่ยากจริงหรือจ๊ะ พลเคยบอกพี่ว่าเพื่อนๆ เคยคะยั้นคะยอให้กิน แต่เมฆเอาแต่ส่ายหัวอย่างเดียว ไม่เคยยอมกินสักครั้ง” พลที่นุชนารถพูดถึงคือพลวัฒน์น้องชายของเธอ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนายตำรวจหนุ่มนั่นเอง

“คือ ถ้าผมไม่กินก็เสียหน้าแย่สิครับ แล้วอีกอย่างผมเป็นตำรวจ”

ภาคินตอบพลางยิ้มแห้งๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดประโยคสุดท้ายออกไปทำไม งงใจตัวเองจริงๆ หรือดันไปจำที่กัตติกาพูดว่าตำรวจต้องกินกบผัดเผ็ดเป็น บ้าไปแล้วภาคิน 

“อ้อ” นุชนารถพยักหน้าหงึกๆ “เป็นตำรวจเลยต้องกินกบเป็น พี่เพิ่งรู้นะเนี่ย แล้วตกลงว่าผู้หญิงที่เมฆชอบคือน้องเดือน?”

“เอ้อ...ครับ”

คนถูกถามอึกอักตอบไม่คล่องปากเหมือนตอนตอบเรื่องกินกบผัดเผ็ด

“แล้วน้องเดือนมีปฏิกิริยายังไงบ้างล่ะจ๊ะ”

คนถูกถามนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ

“คุณเดือนเป็นคนเฉยๆ อ่านยากครับพี่นุช”

ปากพูดถึงหญิงสาวชื่อเดือน แต่ใจไพล่ไปนึกถึงหน้าของหญิงสาวอีกคนที่ชื่อดาวซะงั้น ทำเอาคนความคิดสับสนต้องยกมือตบหน้าเป็นการเตือนสติ พลางบอกย้ำกับตัวเองในใจ

แกชอบเดือนไม่ใช่หรือวะเมฆ! จำไว้ว่าเดือนไม่ใช่ดาว

“อ้าว ตบหน้าตัวเองทำไมล่ะจ๊ะ”

คนเผลอตบหน้าตัวเองได้แต่ทำหน้าเก้อๆ เมื่อถูกจับได้พลางยกมือขึ้นลูบตรงที่ตบเบาๆ 

“ยุงกัดน่ะครับ”

แล้วก็นึกด่าตัวเองที่เผลอทำอะไรหลุดๆ ออกไป ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่เป็นคนเช่นนี้เลย ตั้งแต่เจอหน้าผู้หญิงชื่อดาวทำเอาสติสตังของเขาเตลิดไปหมด ขายขี้หน้าชะมัด

“ว้า ต่อไปคงต้องหาทางป้องกันซะแล้ว”

“ป้องกันอะไรหรือครับพี่นุช” คนบอกถูกยุงกัดถามอย่างสงสัย

“อ้าว ก็เมฆบอกว่าถูกยุงกัดไงล่ะ” นุชนารถตอบยิ้มๆ

“อ๋อครับ” ภาคินพูดเสียงเก้อๆ ไม่ผิดกับสีหน้า 

“แต่เอ...กลางวันไม่น่ามียุงเลยนะ ตามปกติจะมีตอนเย็นๆ” เจ้าของร้านสาวบ่นพลางยิ้มพลาง

“ผมอาจมองผิดไปก็ได้ครับพี่นุช” คนพูดพูดไม่เต็มเสียงนัก

“น่าจะเป็นอย่างนั้น” นุชนารถพยักหน้า “แล้วทำไมน้องเดือนกับน้องดาวยังไม่กลับมาซะทีนะ อ้าว...พอพูดถึงก็มาพอดี”

นายตำรวจมาดหลุดหันขวับไปมองตามสายตาของพี่สาวของเพื่อนสนิททันที และพยายามบังคับสายตาของตัวเองให้มองไปยังสิตางศุ์ที่เดินนำหน้า ทว่าดวงตาเจ้ากรรมดันไพล่มองไปยังคนเดินตามหลังซะงั้น 

นี่เขาต้องใช้คำว่าพยายามบังคับให้มองผู้หญิงที่ตัวเองต้องตาต้องใจเลยหรือ

แล้วตกลงว่าเขาต้องตาต้องใจผู้หญิงที่เดินนำหน้าจริงๆ หรือ!

“แหม...ไปกันนานจนพี่เป็นห่วงเลย”

“อากาศดีมาก ลมพัดเย็นสบายเดินเพลินเลยค่ะพี่นุช” 

สิตางศุ์ตอบพลางทรุดนั่งตามด้วยกัตติกา 

“ใช่แล้วค่ะพี่นุช ความจริงอากาศตอนนี้น่าจะร้อน แต่กลายเป็นเย็นสบายซะงั้น” 

ภาคินปรายตามองไปยังคนนั่งเยื้องๆ ก่อนจะคลี่ยิ้ม

“สำหรับคุณเดือน ผมเห็นอยู่ครับว่าเดินเล่นอยู่ริมบึง แต่คุณกัตติกาไปห้องน้ำนานมาก จนผมนึกว่าเป็นอะไรไปเกือบจะให้เด็กไปตามแล้วละครับ”

กัตติกามองหน้าคนพูดที่ฟังจากน้ำเสียงคล้ายห่วงใย แต่แววตายิบๆ ที่เห็นมันใช่หรือนั่น

“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่เป็นอะไร คุณก็เห็นนี่ผู้กอง”

นุชนารถรู้จักกับนายตำรวจหนุ่มมานานพอควร เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายที่เป็นตำรวจเช่นกัน แต่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายพูดกระเซ้าเย้าแหย่ใครเล่นเช่นนี้มาก่อนโดยเฉพาะผู้หญิง น้องชายเคยพูดให้ฟังว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนไม่ช่างพูดนัก 

แล้วที่เห็นนี่คืออะไร!

คงต้องเล่าเรื่องนี้ให้น้องชายฟังซะแล้ว

“คุณเมฆ พี่นุชคะ เดือนกับดาวคงต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ” หลังจากนั่งคุยกันอีกพักใหญ่สิตางศุ์ก็เอ่ยขอตัวกลับ

“ว้า จะกลับกันแล้วเหรอกำลังคุยกันสนุกเชียว” นุชนารถเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดาย

“รับรองว่าดาวกับเดือนจะมากันอีกแน่นอนค่ะ ที่นี่อาหารอร่อยบรรยากาศก็ดี๊ดี” กัตติกาบอกเจ้าของร้านสาวยิ้มๆ 

“มากันจริงๆ นะคะ ถ้าจะมาโทร. มาบอกล่วงหน้าได้เลย จะได้เตรียมอาหารพิเศษไว้ให้จ้ะ” เจ้าของร้านสาวบอกพลางหยิบนามบัตรส่งให้หญิงสาวทั้งคู่

“ค่ะพี่นุช”

ภาคินมองตามหญิงสาวทั้งคู่ไปด้วยความสับสนในหัวใจ ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดกับตัวเองมาก่อน โดยมีสายตาของนุชนารถลอบจับตามองโดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัว 

“ตกลงว่าแกไม่ได้ชอบผู้กองหน้าขาวนี่ใช่ไหมเดือน”

จู่ๆ กัตติกาก็เอ่ยถามโพล่งขึ้นมาระหว่างขับรถกลับบ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร สร้างความสงสัยให้สิตางศุ์ที่นั่งมองอยู่ เพราะคิดว่าพอขึ้นรถเธอต้องหูชาจากการถูกอีกฝ่ายเอ่ยปากต่อว่าแน่นอน

แต่ผิดคาด เพราะแทนที่จะถูกบ่นกลับถูกตั้งคำถามแบบนี้ 

“แกน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนะดาว ไม่เห็นต้องถาม แกก็ได้ยินตอนฉันตอบคุณเมฆนี่นา” 

กัตติกายิ้มเจื่อนๆ ซึ่งเธอก็แปลกใจตัวเองไม่น้อยว่าทำไมต้องถามซ้ำอีก แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองจนได้โดยตอบออกไปว่า 

“ก็แค่อยากถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นแหละ แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบตาผู้กองหน้าขาวเลยไม่อยากให้แกลังเลไง” 

สิตางศุ์หัวเราะคิกกับคำตอบของอีกฝ่าย

“แกใช้คำผิดหรือเปล่าดาว”

“ผิดยังไง” แม้ปากจะถามแต่ดวงตาก็จดจ่อกับการขับรถและมองเส้นทางไปด้วย

“คำว่าลังเลหมายถึงฉันไม่รู้จะเลือกใครดีระหว่างผู้ชายสองคน แต่สำหรับผู้กองเมฆฉันไม่ได้ชอบเขาทางด้านชู้สาวตั้งแต่แรกเลยสักนิด ทีนี้ชัดเจนหรือยัง แล้วไม่ต้องถามฉันเรื่องนี้อีกนะ”

กัตติกาฟังแล้วยิ้มกว้างกับคำตอบที่ได้รับ แม้จะพอเดาได้ก็ตาม แต่อยากฟังอีกครั้งเพื่อความมั่นใจเท่านั้น จะได้หาหนทางพิสูจน์ความจริงบางอย่าง

“เออน่า ต่อไปฉันรับรองว่าจะไม่ถามแกเรื่องนี้อีก”

“แล้ววันนี้ที่ทำกับคุณเมฆ แกคิดว่าทำเกินไปหรือเปล่า ดูไม่ใช่ตัวแกเลยนะดาว”

คราวนี้ดวงหน้าที่กำลังยิ้มกว้างหุบลงทันควัน กลายเป็นยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นแทนที่ ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรเกินไปอย่างที่ถูกญาติสาวต่อว่าจริงๆ 

“แกหาว่าฉันแกล้งตาผู้กองนั่นเหรอเดือน”

“แกพูดอย่างนี้แสดงว่าแกล้งเขาจริง เพราะฉันยังไม่ได้พูดว่าแกแกล้งเลยนะ ตัวคุณเมฆเองก็ย่อมรู้เหมือนกันว่าแกแกล้ง” 

กัตติกาเม้มปากอย่างขัดใจก่อนพูดเสียงขุ่น

“ถ้าทำขนาดนี้ยังไม่รู้ว่าแกล้งก็เกินคนไปแล้ว ฉันยอมรับว่าแกล้งก็ได้ แกก็รู้ฉันไม่ชอบหน้าเขา”

จากตอนแรกแค่ไม่ถูกชะตาตอนนี้กลายเป็นไม่ชอบหน้าไปซะแล้ว

“เป็นคำตอบที่ไร้เหตุผลมากเลยนะดาว”

คนถูกถามเงียบกริบ ไม่ตอบเพราะกำลังคิดตาม นั่นสิ ทำไมเธอถึงทำอะไรไร้ซึ่งเหตุผลเช่นนั้นออกไปได้

“แล้วตกลงว่าแกไม่ชอบหน้าเขาจริงๆ หรือดาว” สิตางศุ์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“ใช่ เกลียดขี้หน้าเลยละ” คนตอบตอบเสียงเขียวก่อนจะเหลือบตามองคนถามแวบหนึ่ง “ทำไมแกต้องถามย้ำว่าจริงหรือไม่จริงด้วย”

สิตางศุ์อมยิ้มในหน้า “ฉันก็ถามไปอย่างนั้นเอง ว่าแต่เมื่อกี้แกเพิ่งบอกว่าไม่ชอบ ไหงกลายเป็นเกลียดเร็วนักล่ะ”

“เออ ถ้าชอบหมายถึงรัก คำว่าไม่ชอบก็คือไม่รัก เอ้อ...หมายถึงเกลียดนั่นแหละ” คนตอบเอาสีข้างเข้าถู พลางนึกด่าตัวเองที่จู่ๆ ก็พูดคำว่าไม่ชอบไม่รักออกไปทำไมกัน บ้าจริงๆ 

คนเป็นญาติฟังแล้วกดยิ้มมุมปาก

“ไม่เหมือนในละครหลังข่าวไปหน่อยเหรอดาว” 

“เหมือนละครยังไง” กัตติกาถามเพราะเธอแทบไม่เคยดูละครหลังข่าวเลย หมกมุ่นดูแต่ซีรีส์จีนกับอ่านหนังสือนิยายจีนเท่านั้น “แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบดูละครหลังข่าว มันน้ำเน่า น่าเบื่อ”

“ซีรีส์จีนหรือไทยก็น้ำเน่าไม่ต่างกันหรอกน่า ส่วนใหญ่นางเอกมักไม่ชอบหน้าหรือเกลียดพระเอกตั้งแต่แรกเจอ ระวังให้ดีเหอะ เกลียดอะไรมักจะได้แบบนั้น”

สิตางศุ์พูดขึ้นมายิ้มๆ ทำเอาคนฟังสะดุดหูจนเผลอเหยียบเบรกดังเอี๊ยด

“ดาว แกขับรถบ้าอะไรของแกเนี่ย” สิตางศุ์บ่นเสียงขรมพลางมองไปด้านหลัง ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าไม่มีรถตามมา “ดีนะที่ไม่มีรถตามมา”

“ฉันขอโทษ” กัตติกาพูดเสียงอ่อย โชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุด ไม่ค่อยมีรถสัญจรไปมาบนถนนมากนัก “แล้วที่แกพูดว่าเกลียดอะไรมักจะได้แบบนั้นน่ะคงไม่ใช่ฉันหรอกเดือน”

“ดูแกตอบอย่างมั่นใจเหลือเกินนะ”

“มั่นใจ” คนตอบเค้นเสียงตอบทั้งที่ภายในใจนั้นสั่นคลอนอย่างบอกไม่ถูก

“ฉันจะคอยดูนะดาว”

“เออ” คนตอบตอบพลางก็ปัดความรู้สึกบางอย่างทิ้งไป “ไหนๆ ออกมาแล้วเดี๋ยวเราแวะซื้อของใช้เข้าบ้านเลยแล้วกัน”

“เป็นความตั้งใจของแกแต่แรกไม่ใช่เหรอ หรือว่านั่นเป็นข้ออ้าง ความจริงแกอยากตามไปขัดขวางฉันกับคุณเมฆ” สิตางศุ์เอ่ยถามออกมาตรงๆ 

“ตอนแรกฉันกะจะทำอย่างที่แกบอก แต่หลังจากนั้นคือหิวจริงๆ”

เป็นเพราะสนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและที่สำคัญไม่เคยมีความลับต่อกัน กัตติกาจึงยอมรับออกไปตรงๆ 

“ฉันนึกอยู่แล้วเชียว” สิตางศุ์พูดพลางส่ายหน้าไปมาก่อนจะเลิกคิ้วเรียวสวยขึ้น “อ้าว ไหนแกบอกจะแวะซื้อของใช้ไง แล้วทำไมไม่เลี้ยวเข้าห้าง”

เพราะแทนที่อีกฝ่ายจะเลี้ยวเข้าห้างดันขับผ่านไปซะงั้น

“ฉัน...ลืมน่ะ” คนขับเลยพูดอ้อมแอ้ม “ขี้เกียจกลับรถแล้ว พรุ่งนี้ออกมากันใหม่แล้วกัน”

สิตางศุ์หรี่ตามองคนเป็นญาติแล้วหัวเราะเบาๆ 

“ดูเหมือนใจแกไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะดาว”

คนถูกหาว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรีบปฏิเสธเสียงสูง

“เปล๊า ฉันลืมจริงๆ ฉันลืมเลี้ยวแบบนี้อยู่บ่อยๆ”

“ลืมเลี้ยวก็ลืมเลี้ยว พรุ่งนี้ออกมาอีกก็ได้” 

กัตติกายกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองให้แก่ความหลงลืมของตัวเอง หรือเธอจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างที่ถูกผู้เป็นญาติสาวว่า

กัตติกานะกัตติกา ที่ผ่านมาเธอเคยเป็นเช่นนี้ด้วยหรือ

เป็นเพราะเมื่อวานกัตติกาเหมือนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนกระทั่งขับรถผ่านห้างสรรพสินค้าที่ตั้งใจจะแวะซื้อของใช้ ดังนั้นตอนสายของวันรุ่งขึ้นตัวเธอกับสิตางศุ์จึงต้องมาที่ห้างเดิมอีกครั้ง

“นึกถึงเมื่อวานแล้วโมโหตัวเองไม่หาย ไม่น่าลืมเลี้ยวเลย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ฉันนอนอ่านนิยายสบายไปแล้ว”

คนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่ไม่ยอมรับบอกอย่างเซ็งๆ หลังจากเดินเข้ามาภายในห้างแล้ว และกำลังตรงไปยังซูเปอร์มาร์เกต

“ลืมหรือใจลอย” สิตางศุ์แกล้งถาม แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับปากจะเถียงก็ยกมือขึ้นโบกไปมา “หยุด ไม่ต้องเถียงเลย แกเข้าไปซื้อของรอในซูเปอร์เลยเดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน”

“อือ แกรีบตามมาแล้วกัน”

ร่างระหงของสิตางศุ์ในเสื้อแขนยาวสีดำ สวมทับด้วยชุดกระโปรงเอี๊ยมยีนสีซีดก้าวตรงไปยังห้องน้ำทันที ผมยาวสีน้ำตาลเข้มรวบเป็นหางม้าง่ายๆ บวกกับหน้าตาสะสวยอ่อนกว่าวัย จึงดูคล้ายหญิงสาววัยรุ่นมากกว่าจะเป็นหญิงสาววัยทำงาน ตอนเดินผ่านนักศึกษาชายกลุ่มใหญ่ก็พากันเหลียวมองจนคอแทบเคล็ด คนถูกมองเห็นแล้วก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ 

หลังออกจากห้องน้ำสิตางศุ์กำลังจะเดินไปหากัตติกาที่ซูเปอร์มาร์เกต ทว่าสายตาเหลือบเห็นตรงกลางลานอเนกประสงค์กว้างที่ทางห้างมักใช้สำหรับจัดงานโชว์สินค้า ตอนนี้มีงานมอเตอร์โชว์ของรถยนต์ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง หญิงสาวที่กำลังคิดจะเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่อยู่พอดีจึงลองเดินเตร่เข้าไปดู

และก็เหมือนงานมอเตอร์โชว์ทั่วไปที่จะต้องมีสาวสวยหรือที่เรียกกันจนติดปากว่าพริตตี แต่งตัวโชว์เนื้อตัวเต็มที่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าภายในบริเวณที่จัดงานจะเต็มไปด้วยชายหนุ่มทั้งหลาย ทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่กระทั่งถึงสูงอายุ ที่ไม่รู้ว่ามาดูรถหรือมาดูพริตตี

สิตางศุ์มองแล้วอดนึกขำในใจไม่ได้ บรรดาคนเหล่านี้น่าจะมาดูสาวเป็นจุดประสงค์หลัก ส่วนดูรถคงเป็นจุดประสงค์รอง และเธอซึ่งเป็นผู้หญิงแถมแต่งเนื้อแต่งตัวธรรมดา จึงไม่ได้รับความสนใจหรือการบริการเท่าที่ควร

ภาพลักษณ์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในสังคมปัจจุบัน

ขณะกำลังตัดสินใจว่าจะเดินดูต่อหรือผละจากสถานที่ตรงนั้นดี พลันมีเสียงทักทายมาจากด้านหลังด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก 

“ใช่น้องเดือนหรือเปล่าครับ”

คนถูกทักหันขวับไปมองก็เห็นร่างสูงของชายหนุ่มผิวขาวยืนอยู่ ซึ่งสิตางศุ์จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร แม้จะไม่ได้พบหน้ากันมาร่วมหลายปีแล้วก็ตาม

ปรเมศร์

อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมคณะของนภเกตน์ เท่าที่จำได้ทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันนัก เรียกว่าเป็นอริกันซะมากกว่า และหญิงสาวจำได้ไม่ลืมเลือนว่า เคยแอบได้ยินเจ้าตัวคุยกับนภเกตน์ เกี่ยวกับการท้าพนันที่มีตัวเธอเองเป็นเดิมพัน

แม้ใจหนึ่งอยากทำเป็นเหมือนว่าจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่อีกใจก็แย้งว่าอย่าทำอย่างนั้นเลยมันไม่ใช่นิสัยของเธอ จึงทำได้เพียงสั่งให้หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่น ทำเหมือนไม่แน่ใจจะดูเหมาะสมกว่า 

“ใช่ค่ะ”

“พี่ชื่อปรเมศร์ เพื่อนของซัน นภเกตน์ไงครับ” ปรเมศร์พูดพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง ด้วยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจำเขาไม่ได้ 

“อ๋อ...ค่ะ” สิตางศุ์ยกมือขึ้นไหว้เพราะไหนๆ อีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัย

“น้องเดือน...”

ปรเมศร์พูดยังไม่ทันจบประโยค สิตางศุ์ก็เอ่ยตัดบทขึ้นซะก่อนว่า

“เดือนคงต้องขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปทำธุระค่ะ” พูดจบก็ยกมือไหว้อำลาและรีบเดินผละไปทันที

ปรเมศร์มองตามร่างสูงเพรียวของหญิงสาวจนลับสายตา จะเรียกว่าด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์คงไม่ผิดนัก ในห้วงสำนึกปรากฏเรื่องราวบางอย่างแวบผ่านเข้ามา ตัวเขาเป็นคนไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่ผู้หญิงนัก ดังนั้นผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นทางผ่านจริงๆ จึงไม่เคยมีใครที่เขาให้คำจำกัดความว่าชอบเท่ากับหญิงสาวที่ชื่อสิตางศุ์

จากตอนแรกที่มีความคิดเพียงแค่อยากแย่งจีบกับนภเกตน์เพราะต้องการเอาชนะเท่านั้น ด้วยอีกฝ่ายมักจะชนะเขาซะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนที่เขาคิดว่าตัวเองไม่ด้อยกว่าใครและไม่เคยแพ้ใคร แต่ก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่าย เรื่องผู้หญิงก็ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงท้าทายโดยใช้สิตางศุ์เป็นเดิมพัน

ถ้าใครสามารถชนะใจหญิงสาวได้ถือว่าเป็นผู้ชนะ

แล้วผลปรากฏว่าเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เช่นเดิม สร้างความขุ่นแค้นให้แก่เขายิ่งนัก และนอกเหนือจากนั้นใครจะรู้ว่าเขาพลาดตกหลุมที่ตัวเองขุดขึ้นมา หญิงสาวที่ตอนแรกคิดว่าจะแค่จีบเพื่อเอาชนะเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาชอบอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ

ตอนนภเกตน์ไปเมืองนอกกะทันหัน เขารู้สึกสะอกสะใจอย่างบอกไม่ถูก ตัวเขาเป็นคนบอกกับสิตางศุ์เองว่าอีกฝ่ายไปและคงไม่กลับมาแล้ว แม้จะรู้ว่าตัวเองทำไม่ค่อยถูกนักที่พูดออกไปอย่างนั้น

แต่เขาคิดว่าเรื่องของความรักไม่มีคำว่าถูกหรือผิด เพราะความรักไม่เคยมีทั้งเหตุและผล

ทว่าหลังจากนั้นจู่ๆ สิตางศุ์ก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย และหายเข้ากลีบเมฆไปโดยไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปอยู่ที่ไหน ถามไถ่จากบรรดาเพื่อนๆ ของอีกฝ่ายก็ไม่มีคำตอบ

ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นแค่ความชอบวูบๆ วาบๆ ตามประสาชายหนุ่มทั่วไป ที่ชอบผู้หญิงสวยๆ ไม่นานก็คงลืมเลือนเหมือนที่ผ่านมา แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาคิดถึงอีกฝ่ายตลอดเวลาที่ผ่านมา

ปรเมศร์นึกก่นด่าตัวเองที่เมื่อกี้ปล่อยให้อีกฝ่ายผละไปโดยไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อ แต่ในใจเขาคิดว่าเดี๋ยวคงต้องเจออีกแน่นอน ขนาดไม่ได้เจอกันตั้งหลายปียังเจอได้เลย 

เขารู้ดีว่านั่นเป็นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น

ขนาดเจอเขาได้แล้วไอ้ซันล่ะ เจ้าตัวเจอบ้างหรือเปล่า พอคิดถึงเรื่องนี้ปรเมศร์ก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาในทันใด ชายหนุ่มรู้ดีว่าอารมณ์ของเขาเวลานี้นอกจากจะดีใจที่เจอหญิงสาวที่ชื่อสิตางศุ์แล้ว ยังมีอารมณ์หงุดหงิดผสมผสานอยู่ด้วยไม่น้อย

จากความตั้งใจเดิมว่าจะมาดูรถสักคัน ตอนนี้คงไม่มีกะจิตกะใจดูแล้ว เอาไว้มาดูวันหลังดีกว่า ยังมีงานอีกตั้งหลายวัน ไม่แน่วันนั้นอาจเจอสิตางศุ์อีกก็เป็นได้ เขาเดาว่าหญิงสาวคงพักอาศัยอยู่แถวๆ นี้ก็เป็นได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเดินซื้อของถึงที่นี่หรอก

ปรเมศร์คงไม่รู้หรอกว่าขณะที่ตัวเองเดินผละจากไปนั้น มีดวงตาคู่หนึ่งจ้องตามหลังไปด้วยความขุ่นเคือง ตามด้วยเสียงสบถเบาๆ 

“ไอ้เมศร์”


 

รีวิวผู้อ่าน

1 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น
จันทร์ทรา
เพีอนรักเพีอนแค้นเจอกันแล้ว
02 ก.ย. 2022 0