“ใช่ค่ะ คุณนภเกตน์พูดถูก ที่รีบลงจากรถเพราะฉันหิวจริงๆ”
ถ้าเธอพูดปฏิเสธอะไรออกไปก็อาจจะเป็นที่สงสัยเปล่าๆ ยอมรับซะเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“แหม ทีของหนูเล็กคุณซันตักให้แค่ทัพพีเดียว ไม่คิดว่าหนูเล็กจะหิวบ้างหรือคะ”
นิภาภัทรพูดออกไปอย่างนั้นเองไม่ได้คิดอะไร แต่คนที่กำลังคิดและสงสัยอะไรอยู่อย่างธนบดีอยู่พูดยิ้มๆ ขึ้นมาว่า
“เอ็งนี่เดาเก่งนะซัน อย่างนี้น่าจะไปเอาดีทางด้านหมอดูหรือนั่งทางในให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย ไม่ต้องมาเป็นหรอกวิศวกร แม่นยำยังกับตาเห็นแบบนี้” พูดพลางมองหน้าหนุ่มรุ่นน้อง แถมตอนนี้ยังเป็นพนักงานใหม่ของบริษัทด้วยสายตาเพ่งพิศ พยายามจับผิดจับสังเกตท่าที ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงทีท่าพิรุธอะไรให้เห็นแม้แต่น้อย ดวงหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยเฉกเช่นเดิม
“ถ้าเดาเก่งเดาแม่นอย่างพี่เอกว่าจริงๆ ผมก็อยากจะเดาความคิดของใครบางคนเหมือนกันครับ ว่าตอนนี้เจ้าตัวคิดยังไงอยู่” พูดพลางชำเลืองมองคนที่เขาว่านั่งตัวเกร็งเพราะความหิว ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ดูน่าเอร็ดอร่อย มองแล้วให้รู้สึกขัดอกขัดใจยิ่งนัก ด้วยอยากเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีโกรธขึ้งเขามากกว่านิ่งเฉยเช่นนี้ เพราะท่าทีที่ว่านั่นยังแสดงให้รู้ถึงอารมณ์หรือความรู้สึกบ้าง
เพราะถ้าโกรธเขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเยื่อใยกับเขามากเท่านั้น
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าคนที่เอ็งอยากจะเดาใจน่ะคือใคร รู้แต่ว่าตอนนี้คุณเดือนคงหิวอย่างที่เอ็งว่าจริงๆ กินอย่างเดียวไม่พูดไม่จาเลย”
คนกินอย่างเดียวไม่พูดไม่จาเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างตอบ ซ้ำยังเมินคนนั่งเยื้องกับตัวเองที่พยายามมองมา
“ก็เดือนกินอยู่จะพูดได้ยังไงล่ะคะ”
คนเป็นเจ้านายหัวเราะชอบใจเสียงดัง
“คุณเดือนคนเดิมกลับมาแล้ว ตั้งแต่เช้าผมเห็นเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ยังกังวลว่าเป็นอะไรไปหรือเปล่า”
“นั่นสิคะ ป้อมก็คิดเหมือนคุณเอก ชินกับน้องเดือนที่ร่าเริง ยิ้มง่าย พูดเก่ง มากกว่าหน้านิ่งๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา”
พันทิพย์พยักหน้าเห็นด้วย และยังมีอีกหลายคนที่พยักหน้าตาม ทำเอาสิตางศุ์ต้องนึกตำหนิตัวเอง นี่เธอเผลอแสดงอาการจนคนรอบข้างจับสังเกตได้เชียวหรือ แล้วก็ให้นึกขุ่นเคืองตัวต้นเหตุอย่างนภเกตน์ขึ้นมาในทันใด เป็นเพราะเขานั่นแหละ
“อ้าว นั่นของโปรดเอ็งมาแล้วนี่หว่าซัน” ธนบดีบอกชายหนุ่มรุ่นน้อง เมื่อเห็นพนักงานนำอาหารสองอย่างหลังที่เพิ่งสั่งไปมาวางบนโต๊ะ “แต่พี่ไม่ยักรู้ว่าเอ็งชอบกินปูไข่หลนทรงเครื่องกับน้ำพริกปูไข่ด้วย”
“ทำไมล่ะครับ” นภเกตน์เลิกคิ้วขึ้นแล้วถามเสียงเข้มอย่างลืมตัว “ผมชอบกินแล้วผิดตรงไหน หรือว่าของโปรดของใคร คนอื่นจะโปรดด้วยไม่ได้หรือไงครับ”
จากน้ำเสียงและอาการของคนพูดที่ฟังคล้ายกำลังหงุดหงิดกึ่งพาล ทำให้สิตางศุ์ถึงกับลอบยิ้มในหน้า ยิ่งเห็นเขาออกอาการเช่นนี้หญิงสาวก็ยิ่งอารมณ์ดีนัก ก่อนจะชำเลืองมองไปทางคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะ ครั้นเห็นทุกคนกำลังให้ความสนใจแก่อาหารตรงหน้ามากกว่ามองมาทางนี้ แม้แต่พันทิพย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กินไปดูโทรศัพท์ไป ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เอ็งพูดแบบนี้เหมือนพาลเลยนะซัน”
ธนบดีเอ่ยถามแกมหัวเราะ พลางเขม้นมองชายหนุ่มรุ่นน้องอย่างพิศวง เพราะปกติอีกฝ่ายเป็นคนที่แทบไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาให้ใครได้เห็นนัก เป็นคนเก็บอารมณ์และสีหน้าได้เก่งกาจ จนแม้แต่ตัวเขาที่สนิทสนมกันบางทียังอ่านไม่ออก
แต่นี่คืออะไร พาลชัดๆ ยังกับกำลังโกรธใครยังไงยังงั้น
“ไม่ได้พาลแค่ถามเฉยๆ เท่านั้นครับพี่เอก” คนเผลอแสดงอารมณ์ออกไปบอกเสียงเรียบ พยายามควบคุมอารมณ์ตนเองให้เป็นปกติ “แล้วที่คุณสิตางศุ์กินไม่พูดไม่จาอาจเป็นเพราะไม่อยากเห็นของโปรดที่ตัวเองเคยชอบแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้วมังครับ”
นภเกตน์เก็บเอาคำพูดของหญิงสาวที่พูดออกไปก่อนหน้านี้มาย้อนยิ้มๆ ทว่าดวงตาไม่ได้ยิ้มตามแม้แต่น้อย ที่เขาเผลอแสดงอารมณ์พาลออกไปก็เป็นเพราะอีกฝ่ายนี่แหละ
“ใช่ค่ะ” สิตางศุ์เงยหน้าขึ้นตอบทันควันพร้อมรอยยิ้มเย็น “อะไรที่ไม่ชอบแล้ว แม้แต่เห็นยังไม่อยากจะเห็น มองยังไม่อยากจะมองเลยค่ะ”
“ผิดกับผมนะครับ อะไรที่เคยชอบก็ทั้งอยากจะเห็น ทั้งยังอยากจะมอง และก็ไม่รู้จักเบื่อที่จะมอง”
ชายหนุ่มพูดโต้กลับทันควันเช่นกัน ซ้ำยังแปลงคำพูดของหญิงสาวให้เป็นสิ่งตรงกันข้าม
“...”
คนถูกย้อนด้วยคำพูดของตัวเองได้แต่นิ่ง พยายามข่มอารมณ์และความรู้สึก และทำเป็นไม่สนใจคำพูดที่ได้ยิน
“อ้าว มัวแต่ดูโทรศัพท์ น้ำพริกปูไข่กับปูไข่หลนทรงเครื่องมาแล้วหรือ ทำไมได้เร็วจัง”
พันทิพย์ที่เพิ่งละสายตาจากโทรศัพท์ส่งเสียงอุทาน เมื่อเห็นอาหารสองอย่างหลังที่เพิ่งสั่งไปไม่นานถูกนำมาวางบนโต๊ะแล้ว
“นั่นสิคะ” นิภาภัทรที่เพิ่งจัดการกับข้าวจานที่สองเสร็จพยักหน้าเห็นด้วย “แต่จะว่าไปแล้วได้เร็วถือว่าโชคดี ได้ช้าถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอาหารสองอย่างหลังนี่เป็นอาหารแนะนำของทางร้าน ใครมาที่นี่ก็มักจะสั่ง ผักที่ให้มาก็น่ากินทั้งนั้น เอ๊ะวันนี้มีขมิ้นขาวมาด้วย แตงกวากับถั่วพูนั่นก็สดดีจัง แต่แปลกนะคะ ปกติที่เคยสั่งน้ำพริกจะให้มาน้อยกว่านี้ แต่วันนี้ให้มาซะเยอะเชียว หรือว่าช่วงนี้ปูไข่ราคาไม่แพง”
“อาจเป็นอย่างที่หนูเล็กว่าก็ได้นะ” พันทิพย์พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดกับวิศวกรคนใหม่ยิ้มๆ “คุณซันลองชิมสิคะ แล้วจะติดใจ”
“นี่หนูเล็กก็รอให้คุณนภเกตน์เป็นคนประเดิมคนแรกนะคะ” นิภาภัทรพูดพลางจ้องปูไข่หลนทรงเครื่องตาเป็นประกาย
“อ๋อ ได้ครับ”
คนถูกให้ประเดิมหยิบผักสดจากในจานเปล ที่ทางร้านจัดมาเป็นเครื่องเคียงให้กินได้ทั้งกับน้ำพริกปูไข่กับปูไข่หลนทรงเครื่อง วางลงในจานแล้วราดด้วยปูไข่หลนทรงเครื่องก่อนจะตักเข้าปาก ความจริงอาหารสองอย่างนี้ไม่ใช่ของโปรดของเขาแต่อย่างใด แต่เขาแกล้งพูดเพื่อย้ำเตือนความทรงจำของใครบางคนเฉยๆ เท่านั้น
“อร่อยไหมซัน”
“อร่อยมากครับพี่เอก สมกับที่เคยเป็นของโปรดของคุณสิตางศุ์เลยนะครับ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ชอบซะแล้ว” นภเกตน์พูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น
ขณะที่คนถูกพาดพิงถึงลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น พยายามสั่งห้ามสายตาตัวเองไม่ให้มองไปยังอาหารที่ยังเป็นของโปรดของเธอทั้งสองอย่าง ก่อนหน้านี้ที่พูดออกไปว่าไม่ใช่ ความเป็นจริงพูดออกไปอย่างนั้นเอง แล้วตอนนี้จะให้กลืนน้ำลายตัวเองได้อย่างไร เธอไม่มีวันทำอย่างนั้นเป็นอันขาด
“ไม่เสียดายหรอกค่ะ อันไหนคิดว่าไม่ชอบก็จะไม่มีวันหวนกลับไปชอบอีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่”
นภเกตน์ฟังแล้วก็ให้นึกเข่นเขี้ยว นึกอยากทำโทษเจ้าของเรียวปากสีจัดที่กำลังพูดฉอดๆ นั่นให้หนำใจนัก รู้หรอกว่าพูดกระทบกระเทียบมาถึงตัวเขา
ทำให้ได้อย่างที่พูดนะสิตางศุ์ เขาจะคอยดู
“เอ...คุณสองคนนี่ต่อปากต่อคำกันเก่งจริง ถ้าไม่บอกว่าเพิ่งรู้จักกันก็นึกว่ารู้จักกันมาก่อนนะเนี่ย” ธนบดีพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะแกล้งถามลองเชิง “ถามอีกครั้ง รู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่เคยรู้จักค่ะ”
สิตางศุ์เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน ส่วนนภเกตน์ไม่ตอบ ได้แต่อมยิ้มเฉยๆ
“ทำไมเอ็งถึงไม่ตอบล่ะซัน”
“จะให้ผมตอบอะไรล่ะครับ คุณสิตางศุ์ตอบออกมาซะเต็มปากเต็มคำแล้วว่าไม่เคยรู้จัก แล้วถ้าผมบอกว่ารู้จักกันมาก่อนแล้วจะเป็นยังไงหรือครับ” นภเกตน์พูดพลางมองไปยังคนที่พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่าไม่เคยรู้จักเขาแล้วพูดต่อยิ้มๆ
“ไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก แล้วพี่เอกจะถามเซ้าซี้ทำไมนักล่ะครับ”
คำตอบกำกวมและคิดไปได้หลายทางของวิศวกรคนใหม่ ทำเอาคนเป็นเจ้านายชูมือขึ้นอย่างยอมแพ้
“เอาละไม่เซ้าซี้ถามแล้วก็ได้ รีบกินๆ เดี๋ยวจะได้กลับไปทำงาน”
ลืมไม่ได้ไยต้องจำจะทำไฉน
ฝืนทำใจยามเจอเขาช่างเศร้าแสน
ไม่รู้จักทักทำเฉยเคยเป็นแฟน
รักหรือแค้นบอกไม่ได้ใจเจ้ากรรม[1]
ช่วงเย็น สิตางศุ์กลับถึงบ้านซึ่งอยู่ภายในหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลางย่านถนนรามคำแหง แม้จะเป็นบ้านเดี่ยวแค่ชั้นเดียว แต่เนื้อที่ของตัวบ้านและบริเวณโดยรอบค่อนข้างกว้างขวางเพราะอยู่หลังริมสุด อีกทั้งร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้ทั้งไม้ยืนต้นและไม้ประดับ
เป็นเพราะพกพาอารมณ์ขุ่นมัวระคนหงุดหงิดมาจากที่ทำงานรวมทั้งร้านอาหาร ซึ่งความรู้สึกที่ว่าแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นกับคนอย่างเธอ ที่มักจะควบคุมอารมณ์ได้ดีมาตลอด ไม่ว่าจะพบกับสถานการณ์ใดๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทำงานร่วมกับหลายๆ แผนกได้โดยไม่มีปัญหากระทั่งทุกวันนี้หรอก
ทว่าเวลานี้ทุกอย่างที่เคยควบคุมได้กลับเรรวนปรวนแปรไปหมด เป็นเพราะเขาคนเดียว
ทั้งที่พยายามเตือนตัวเองว่าอย่าไปสนใจ ทั้งยังต้องข่มความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้แสดงออกมา แต่ก็เผลอหลุดออกไปจนได้
การที่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักผู้ชายที่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายต่อกัน มันทำได้ง่ายนักเสียเมื่อไหร่เล่า
และที่สำคัญที่สุดที่ปฏิเสธตัวเองไม่ได้คือ เธอ...ยังรักเขา ทั้งๆ ที่สั่งใจตัวเองให้เลิกรักเลิกคิดถึง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง
ต่อให้ถามตัวเองสักกี่ครั้งว่ายังรักเขาไหม คำตอบที่ได้คือ...รัก
ความจริงหญิงสาวไม่ได้อยากนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ที่ยังคงเกาะกินใจเธออยู่ไม่รู้คลาย แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะเรื่องที่ว่าไม่เคยหาย พยายามลืมก็ลืมไม่ได้ ซ้ำยิ่งลืมเท่าไหร่ก็ยิ่งจำได้เท่านั้น
ที่เธอคิดว่าเกือบทำใจลืมเขาได้แล้ว นั่นเป็นการโกหกตัวเองทั้งสิ้น เพราะเกือบจะลืมก็คือ...เกือบ ยังลืมไม่ได้อยู่ดี
คนบ้า ทำไมไม่หายจากชีวิตของเธอให้ตลอดไป กลับมาทำไม คนไร้หัวใจ คนใจร้าย คนใจดำ ถ้าเรียกคืนความรู้สึกที่เคยมอบให้เขาได้ จะเรียกคืนมาให้หมดสิ้น
ร่างระหงเดินเข้าไปในสวนเล็กๆ ข้างบ้าน แล้วทรุดนั่งลงบนชิงช้าตัวใหญ่ที่ทำจากไม้สักแรงๆ แต่เป็นเพราะทิ้งตัวลงนั่งแรงเกินไป ทำให้ศีรษะโขกกับโซ่ที่ยึดกับชิงช้าจนต้องร้องโอ๊ยดังลั่น
“โอ๊ย...เจ็บชะมัด”
และเป็นเพราะความเจ็บ พลอยทำให้เรื่องที่กำลังคิดวุ่นวายอยู่ในใจพลันหยุดชะงักและผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากหายเจ็บสิตางศุ์ก็แกว่งชิงช้าไปมาแรงๆ อยู่หลายรอบ ซึ่งการแกว่งแรงๆ บวกกับสายลมเย็นที่พัดอยู่รอบกาย นำพาความคิดของสิตางศุ์ให้ลอยละล่องย้อนไปสู่อดีตเมื่อหลายปีก่อน…
ทที่ ไม่ได้คือะไม้ประดับสิตางศุ์รู้จักกับนภเกตน์เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ชั้นมัธยมปีที่หก ส่วนเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สี่ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มองความรักเป็นสิ่งสวยงามและจับต้องได้ หรือจะเรียกว่าโลกสวยก็คงไม่ผิดนัก และก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่มักจะปลื้มรุ่นพี่ โดยเฉพาะนภเกตน์ ที่เป็นขวัญใจของสาวๆ ทั้งโรงเรียนเลยก็ว่าได้
เพราะความพรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติ มีบิดาเป็นถึงเอกอัครราชทูตอยู่ต่างประเทศ อีกทั้งหน้าตาก็ยังหล่อเหลา สุดท้ายคือทรัพย์สมบัติ ที่ใครต่อใครหลายคนรวมทั้งบรรดาเพื่อนๆ ของเธอบอกว่านภเกตน์มีบ้านหลังใหญ่โตอยู่ย่านสุขุมวิท แต่ที่มาพักอยู่ห้องชุดสุดหรูเพราะใกล้กับโรงเรียน
นอกจากคุณสมบัติเลอเลิศทั้งหลายทั้งปวง ตัวนภเกตน์ยังเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยม สร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียนอีกต่างหาก
สาวๆ หลายคนอาจเห่อคุณสมบัติดังกล่าวของนภเกตน์ คงมีแต่สิตางศุ์คนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ได้เห่อไม่ได้ปลื้มสิ่งที่ว่าเหมือนคนอื่น
เธอแอบหลงรักเขาโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ ทั้งแอบติดตามความเคลื่อนไหวของเขามาโดยตลอด สิตางศุ์เป็นคนเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นบางชั้นเธอผ่านมาโดยไม่ต้องเรียน จึงกลายเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในห้อง
ครั้นนภเกตน์เรียนจบมัธยมปลายก็เข้าเรียนคณะเด่นอย่างวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง
สิตางศุ์ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจอันแรงกล้าก็มุมานะอ่านหนังสือด้วยใจมุ่งหวังว่า ต้องสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับนภเกตน์ให้ได้ และด้วยความขยันบวกกับเรียนเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลังจากเรียนจบมัธยมปลายหญิงสาวก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับอีกฝ่ายได้ เพียงแต่คนละคณะเท่านั้น
และที่นั่น เป็นเพราะชื่อของนภเกตน์แปลว่าพระอาทิตย์ และชื่อของสิตางศุ์ซึ่งแปลว่าพระจันทร์ จึงมักจะถูกกล่าวถึงคู่กันอยู่เสมอ อีกทั้งตัวหญิงสาวยังเป็นคนสวย จึงถูกจับตามองมาโดยตลอด
หลังจากจบปีหนึ่งจะขึ้นปีสองนภเกตน์ก็เข้ามาจีบ ด้วยความที่แอบรักอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รวมทั้งโลกสดใสของเด็กสาวที่มองความรักเป็นสิ่งจับต้องได้ สิตางศุ์จึงตกลงยินยอมเป็นแฟน และคบหากันเรื่อยมาจนเทอมสุดท้ายของปีสอง
กระทั่งคืนฝนตก…
ที่ปัจจุบันสิตางศุ์เกลียดเวลาฝนตกมาก เพราะวันนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับเขาข้ามไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างเป็นใจ เธอไม่อยากโทษใครนอกจากโทษตัวเองที่ใจง่าย จนหลงคำพูดหวานหูลืมคำอบรมสั่งสอนของญาติผู้ใหญ่เรื่องให้รักนวลสงวนตัวจนสิ้น
และแล้วก็ถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่สร้างความเจ็บช้ำให้สิตางศุ์อย่างยิ่งยวด...
“เดือน”
เสียงตะโกนเรียกชื่อค่อนข้างดังทำเอาคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดถึงเรื่องในอดีตถึงกับสะดุ้งโหยง แทบจะพลัดตกจากชิงช้า จนต้องหันไปดุคนเรียกเสียงเขียว
“แกเป็นอะไรไปหือดาว เรียกซะตกอกตกใจหมด”
“คนที่เป็นอะไรคือแกต่างหากยายเดือน ฉันเห็นแกนั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่”
กัตติกา ญาติผู้พี่ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันต่อว่าต่อขานญาติผู้น้องที่อายุน้อยกว่าสองเดือน เพราะเธอมายืนอยู่ตรงนี้ได้สักพักใหญ่แล้วแต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้ตัว นั่งเหม่อลอยราวกับมีเรื่องอะไรอยู่ภายในใจ
“เอ้อ...” คนถูกย้อนเกิดอาการอึกอักขึ้นมาทันที “ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่นั่งคิดอะไรเพลินๆ”
“คงจะเพลินมากเลยสินะ เพราะฉันมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งนาน แกยังไม่รู้สึกตัว ถ้ามีโจรผู้ร้ายเข้ามาจะทำยังไงล่ะ หือ?” คนเป็นญาติถามเสียงสูง
“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ” คนเพลินจริงๆ ยังยืนกรานปฏิเสธ
“ไม่ต้องพูดคำว่าเปล่าเลยเดือน แกเลิกพูดคำนี้ได้แล้ว หน้าตาแกมันฟ้อง คำว่าเปล่าของแกน่ะคือมีอะไรอยู่ในใจ”
เป็นเพราะกัตติกากับสิตางศุ์สนิทสนมกันมาแต่เล็กแต่น้อย ติดกันเป็นแตงเมเลยก็ว่าได้ เรียกว่าเห็นคนหนึ่งที่ไหนก็ต้องเห็นอีกคนที่นั่น นอกจากนั้นหน้าตายังละม้ายคล้ายกันมาก จนบางครั้งใครต่อใครแทบแยกไม่ออก เพราะบิดาของทั้งคู่เป็นคู่แฝดกันนั่นเอง
ดังนั้น กัตติกาแค่เห็นสีหน้าก็รู้ว่า อีกฝ่ายต้องมีอะไรในใจอย่างแน่นอน
“...”
สิตางศุ์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งอย่างตัดสินใจไม่ถูก นึกตรึกตรองว่าควรจะบอกหรือไม่บอกดี แต่เป็นเพราะไม่เคยมีความลับต่อกันจึงตัดสินใจบอกออกไป
“วันนี้ฉันเจอพี่ซันที่บริษัท”
คำเรียกว่าพี่ซันนั้นพูดด้วยเสียงค่อนข้างแผ่ว แต่คนฟังก็ได้ยินอย่างชัดเจน ดวงตาจึงเบิกกว้างขึ้น
“พี่ซัน! แกหมายถึงพี่ซัน นภเกตน์น่ะเหรอ”
“อือ” คนถูกถามตอบเสียงเบา
“แกเจอพี่ซันที่ไหน แล้วพี่ซันจำแกได้หรือเปล่า...”
ครั้นเอ่ยถามระรัวเพราะความตื่นเต้นออกไปแล้ว กัตติกาก็นึกขึ้นมาได้ จึงชะงักคำพูดของตัวเอง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจืดเจื่อนขึ้นแทน นึกด่าตัวเองที่ไม่น่าถามคำถามให้กระทบกระเทือนใจของอีกฝ่ายเลย พลางมองญาติผู้น้องด้วยสายตาขอโทษขอโพย
จะเป็นไปได้หรือที่นภเกตน์จะจำสิตางศุ์ไม่ได้ ถ้าจำไม่ได้ก็เกินไปแล้ว
“จำได้ แต่ฉันทำเป็นไม่รู้จักเขา”
สิตางศุ์พูดเสียงเครือก่อนน้ำตาจะพรั่งพรูจากดวงตาคู่สวยตามด้วยเสียงสะอื้น ร้องไห้จนตัวโยน
“ไม่ร้องนะเดือน” กัตติกาดึงร่างของญาติสาวมาสวมกอดด้วยความสงสารจับใจ คาดว่าเจ้าตัวคงอัดอั้นตันใจเหลือจะกล่าว เพราะปกติอีกฝ่ายแทบไม่เคยร้องไห้ให้เห็น นอกจากตอนเกิดเรื่องครั้งนั้นครั้งเดียว “ดีแล้วที่ทำเป็นไม่รู้จัก เพราะถ้าเป็นฉันก็จะทำแบบแกนั่นแหละ”
กัตติกาจะทำยังไงได้นอกจากพูดปลอบโยน แต่ดูเหมือนยิ่งปลอบน้ำตาของคนถูกปลอบยิ่งไหลพรากไม่หยุด จนคนปลอบหมดปัญญาไม่รู้จะทำยังไง จึงได้แต่กอดอีกฝ่ายจนแน่นแล้วลูบหลังไปมา ราวกับกำลังปลอบเด็กตัวเล็กๆ
“แล้วเขามาทำไมที่บริษัทของแก”
“เขาเป็นวิศวกร...คนใหม่ของที่บริษัท เป็นรุ่นน้องเจ้านายฉันตอนเรียนทั้งที่นี่และต่างประเทศ” เสียงของคนเล่ายังคงเจือสะอื้นไม่หาย
“โธ่ เดือน” กัตติกาอุทานเสียงต่ำอย่างปลงๆ “ทำไมโชคชะตาถึงได้ใจร้ายกับแกนักนะ ห่างหายกันไปได้ตั้งหลายปี ทำไมถึงต้องดลบันดาลให้มาเจอกันอีก แถมยังต้องมาทำงานที่เดียวกันด้วย”
ดวงตาของคนถูกโชคชะตากลั่นแกล้งคลอด้วยหยาดน้ำตาแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“แล้วทางพี่ซันมีท่าทียังไงกับแก” เมื่อถามแล้วกัตติกาก็นึกอยากตบปากตัวเอง ที่ถามอะไรบ้าๆ ออกไปได้ “เอ้อ...ฉันหมายถึงเวลาพูดคุยกับแกน่ะ ในเมื่อแกทำเป็นไม่รู้จักเขา”
หลังจากปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาชะล้างดวงตาจนสดใส สิตางศุ์ก็รู้สึกดีขึ้นตามลำดับและกลับมาเป็นปกติในที่สุด ก่อนจะเล่าสิ่งที่ถูกญาติสาวถามให้ฟัง ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
“ที่แกเล่ามาฉันว่ามันฟังมันดูแปลกๆ นะเดือน ทำไมพี่ซันต้องพูดเรื่องเกี่ยวกับตัวแกออกมาด้วย ในเมื่อแกทำเป็นไม่รู้จักเขาซะขนาดนี้” ...ถ้าคน...ไม่มีเยื่อใยต่อกัน จะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา
ประโยคหลังกัตติกาเพียงคิดอยู่ในใจเท่านั้นไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะจากที่ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่คนเป็นญาติเล่าให้ฟัง เธอมองว่าที่ฝ่ายนั้นมีทีท่ามาตอแยด้วยการพูดรื้อฟื้นถึงเรื่องเก่าๆ ออกมา ราวกับจะมาง้อขอคืนดีกระนั้น มันแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก
ถ้าไม่ได้คิดอะไรจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาทำไม ทำเป็นไม่รู้จักเหมือนที่ญาติเธอทำต่อเขาก็สิ้นเรื่อง แล้วคนโพรไฟล์เลอเลิศอย่างเขา ถ้าจะทำก็ทำได้ง่ายดายอีกต่างหาก
“ฉันไม่สนหรอกว่าเขาจะพูดเพื่ออะไรกัน” เธอเองก็เผลอพูดเกี่ยวกับตัวเขาออกมาเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เล่าให้กัตติกาฟังเท่านั้น “แต่ฉันไม่อยากเจอเขา ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากแม้กระทั่งได้ยินเสียง”
คนพูดพูดออกไปปาวๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้น มันทำได้จริงหรือ แล้วคิดอย่างนั้นจริงหรือสิตางศุ์
“อือ ฉันเข้าใจแก”
กัตติกาเข้าใจความรู้สึกของญาติสาว แต่ไม่เข้าใจการกระทำของผู้ชายที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างนภเกตน์ เธอจึงนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับคิดใคร่ครวญว่าควรจะพูดดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าควรพูด ครั้งที่เกิดเรื่องกับอีกฝ่ายเมื่อหลายปีก่อน เธอได้แต่รับฟังและพูดปลอบโยนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้ซักถามล้วงลึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยแต่อย่างใด
รู้เพียงเรื่องสำคัญที่ควรรู้ อย่างเรื่องความสัมพันธ์ทางกายที่เจ้าตัวไม่ได้ปิดบัง
“เดือน ฉันขอถามเรื่องที่แกเคยเล่าให้ฉันฟังอีกครั้งนะ”
“แกจะถามฉันเรื่องอะไร” คนเพิ่งหยุดร้องไห้เอ่ยถามเสียงต่ำ
“เอ้อ เรื่องที่แกเคยเล่าให้ฉันฟังว่า ได้ยินพี่ซันพูดกับเพื่อนของเขาว่าที่คบกับแกเพราะต้องการชนะ...พนัน”
ท้ายประโยคกัตติกาพูดเสียงค่อนข้างเบา เพราะรู้ว่าญาติสาวสะเทือนใจกับคำคำนี้มากมายเพียงใด แต่เธอจำต้องพูด เพราะเรื่องของนภเกตน์ที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟัง เธอคิดว่ามันฟังดูแปลกๆ
เพราะถ้าเจ้าตัวทำไปเพื่อต้องการชนะพนัน แล้วทำไมต้องแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา มันดูย้อนแย้งขัดกันยังไงบอกไม่ถูก
[1] บทกลอนโดยฐิญาดา
ความคิดเห็น |
---|