6

ตอนที่ 5


 

บทที่ ๕

 

คีตกาลยิ้มปากสั่นเมื่อได้สบเข้ากับแววตานิ่งๆ ดุๆ เขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอหวาดระแวงในตัวเขา ดวงตาหวานพินิจมองรูปร่างสูงภายใต้เครื่องแบบสีกากี ยศของทหารเรือนั้นเธอรู้ว่ามันเรียกไม่เหมือนทหารบก แต่ที่รู้แน่ๆ คือ เขาไม่ใช่นายทหารชั้นสัญญาบัตรเหมือนบิดาหรือผู้คนที่เธอคุ้นเคย หากไม่ดูที่ชั้นยศ พิจารณาแต่เครื่องแบบที่อยู่บนร่างกายที่สูงมากนั่น ก็เรียกได้ว่าเขานั้นสมาร์ตสมชาย องอาจผึ่งผายชวนมอง ไม่ต่างจากนายทหารชั้นสัญญาบัตรเลยสักนิด หรืออาจจะน่าดูกว่าด้วยซ้ำไป

“ขอโทษด้วยนะคะที่ทำความยุ่งยากให้เมื่อคืน” หญิงสาวรีบขยับลุกมายืนพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางสำนึกผิด เพราะว่าจำอะไรไม่ได้เลยหลังจากที่คลับคล้ายคลับคลาว่าตนอาเจียนออกมาจนหมดพุง ขณะที่อีกฝ่ายถอดรองเท้าหนังสีดำออกและนำไปวางบนชั้นวางรองเท้าอย่างคนมีระเบียบ

“เอ่อ...เห็นโน้ตไว้ว่าให้อยู่รอเจอก่อน...” คีตกาลมองตามเจ้าของบ้านไปเรื่อย จนเขาเปิดประตูเข้าห้องไป

เอาไงต่อล่ะ...คีตกาลถามตนเอง พร้อมขยับยืนขึ้นมองประตูหน้าบ้านตาละห้อย พอดีกับที่ชายหนุ่มก้าวออกมาจากห้องของเขาเช่นกัน ตอนนี้เสื้อเครื่องแบบตัวนอกประดับเครื่องหมายหายไป เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวคอวีกับกางเกงเครื่องแบบสีกากีเท่านั้น

ดวงตาคมมองสีหน้ายุ่งๆ ของหญิงสาว

“คุยกันก่อนสิ”

อินทัชผายมือออกก่อนเดินนำไปนั่งที่ระเบียง ที่ซึ่งคีตกาลชอบที่สุดในบ้านหลังนี้ หญิงสาวพยักหน้าพร้อมกับเดินก้มหน้างุดตามมายืนไม่ไกลจากจุดที่ชายหนุ่มนั่งอยู่

“เมาแบบเมื่อคืนบ่อยหรือ”

แม้จะชอบน้ำเสียงนุ่มทุ้มต่ำของเขา แต่แค่คำถามแรกก็ทำเอาตอบแทบไม่ถูก คีตกาลส่ายหน้าปฏิเสธ

“คือคีย์ เอ่อ...ฉันว่าฉันขอตัวกลับดีกว่านะคะ ไม่อยากรบกวนคุณ”

“จะกลับบ้านหรือ”

คำถามนี้ทำให้ร่างบางที่เพิ่งยืนขึ้นชะงักนิ่งไป หญิงสาวพยักหน้าไปเสียให้มันจบๆ เรื่อง

“นี่กุญแจรถคุณ” ชายหนุ่มล้วงเอากุญแจออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้า

“คุณเอารถของคีย์กลับมาด้วยหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างตื่นเต้น หวังว่าข้าวของเงินทองของเธอจะยังอยู่ครบ

“ที่ตัวคุณมีแค่กุญแจรถกับโทรศัพท์อีกหนึ่งเครื่อง”

“กุญแจรถกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง” คีตกาลหน้าเสีย ทวนคำเสียงเบา ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ากระเป๋าสตางค์ของเธอมลายหายไปอย่างนั้นหรือ “แล้วเพื่อนของคีย์”

                อินทัชหันหน้าเมินหนีหลบสายตา “จำอะไรได้บ้าง”

                หญิงสาวส่ายหน้า “จำได้ว่าคุณมาที่โต๊ะ พาคีย์ออกมาคุย แล้วคีย์ก็อาเจียน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย”

                ชายหนุ่มกระแอมเมื่อต้องแต่งเรื่องโกหก “ใช่ คุณเมาเละหมดสติอยู่ข้างถังขยะ ผมเลยเดินพาคุณไปส่งให้เพื่อนคุณที่โต๊ะ แต่พอไปถึงโต๊ะ เพื่อนคุณหายไปไหนหมดไม่รู้ แล้วคุณก็หมดสภาพ ผมเลยต้องลำบากพากลับมาที่บ้านด้วยแบบนี้”

                ใบหน้าสวยซีดเผือด ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ได้เขายื่นมือมาช่วยอีกหน แล้วมีผู้ชายคนอื่นมาเจอเธอเข้าหรือเจอคนไม่ดีแบบครั้งก่อน คีตกาลไม่อยากนึกถึงสภาพของตนเองเลย ในเมื่อตัวอย่างจากข่าวหน้าหนึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่น

                “เห็นผลเสียของการกินเหล้าจนเมามายหรือยัง การที่คุณไปกินเหล้าเมาแบบนั้นมันไม่ดี ผมเองเป็นผู้ชายแม้จะทำงานกลางคืนผมยังไม่กิน แล้วคุณเป็นผู้หญิง คิดว่าสมควรหรือไง หนก่อนถ้าผมไม่ช่วยคุณ คุณคิดว่าคุณจะโดนลวนลามไหม ครั้งนี้ก็อีก คุณเคยคิดไหมว่าถ้าผมไม่เข้าไปยุ่ง เช้านี้คุณจะตื่นมาที่ไหน แล้วตื่นมากับใคร สังคมสมัยนี้มันอันตรายนะคุณ ดีไม่ดีถูกข่มขืนแล้วฆ่าปาดคอหมกศพไว้ข้างทางจะทำยังไง” ชายหนุ่มทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย “แล้วทำตัวแบบนี้พ่อแม่ไม่เสียใจเอาหรือคุณ เงินทองยังหาเองไม่ได้แท้ๆ แต่ออกมาใช้ราวกับกรวดเบี้ย”

                คีตกาลเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างถือดีมีทิฐิพร้อมกับความคลางแคลงใจ สิ่งที่เขาพูดเธอเห็นด้วยทุกประการ แต่เขาเป็นใครกันถึงได้มีสิทธิ์มาพูดจาแบบนี้กับเธอ

“ต้องขอโทษด้วยค่ะหากการทำตัวของฉันมันทำให้คุณไม่พอใจ และฉันก็ขอบคุณคุณมากที่เข้ามาช่วย แต่เราไม่รู้จักกัน คุณไม่มีสิทธิ์...มายุ่งเรื่องของฉัน”

                “สิทธิ์ผมไม่มี แต่เรารู้จักกันแล้ว ผมชื่ออินทัช คุณชื่อคีตกาล” ชายหนุ่มถอนใจก่อนจะหันเมินหนีไปทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าและแววตาของหญิงสาว

‘ทำไมกูต้องเข้าไปวุ่นวายเรื่องนี้ด้วยวะ’ อินทัชมีสีหน้าติดจะกังวล เฝ้าถามตนเองอีกครั้ง

ตั้งแต่คืนแรกที่ได้เจอกันจนบัดนี้เขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เพราะเหตุใดกันถึงต้องเข้าไปยุ่งกับเด็กสาวคนนี้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอแท้ๆ

“ฉะ...ฉันไปดีกว่า” หญิงสาวบอกงงๆ เหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ด้วยท่าทางของอีกฝ่ายดูกังวลกับความประพฤติของเธอเหลือเกิน รู้จักกันมาก่อนหรือก็ไม่ใช่ แม้จะทบทวนความทรงจำอย่างไรก็สรุปได้ว่า เธอกับเขาไม่เคยพบเจอกันมาก่อนแน่ๆ

“เดี๋ยวสิ ผมยังพูดไม่จบ ผมเดาว่าคุณคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง ถึงได้มากินเหล้าจนเมามายแบบนั้น ใช่ไหม” อินทัชมองหญิงสาวเรือนร่างบอบบางที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ดวงตาวาวใสเหมือนกระจกชั้นดีที่สะท้อนความรู้สึกของเจ้าของออกมาให้เขารู้ ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะตามใครเขาทัน เดาได้เลยว่าที่บ้านฟูมฟักกันมาขนาดไหน “แล้วผมก็เดาต่อไปว่า คุณคงหนีออกจากบ้านมาด้วย เพราะดูจากข้าวของสารพัดกับกระเป๋าเดินทางที่อยู่ท้ายรถนั่น คุณเตรียมที่จะไปไหน”

คีตกาลยืนนิ่ง สายตาไม่ได้คลาดไปจากชายหนุ่มตรงหน้า ท่าทีของเขาไม่มีตุกติกใดๆ ออกจะดูมั่นคงน่าเชื่อถือเกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าเธอไม่รู้ว่าเขารับราชการและเป็นนักดนตรี เธอจะเดาว่าเขามีอาชีพเป็นหมอดู ถึงได้รู้ทุกอย่างไปหมดแบบนี้

“คุณน่าจะไปเป็นหมอดูนะคะ”

ชายหนุ่มยิ้มรับแกนๆ “มันจริงใช่ไหม”

“ไม่ถูกทั้งหมดหรอกค่ะ ฉันไม่ได้หนีออกจากบ้าน ฉะ...ฉันแค่...ออกมาเอง” หญิงสาวตอบเสียงเบา น้ำเสียงเศร้าสนิท

“แล้ว...คุณก็ยังไม่มีที่ไปด้วยใช่ไหม”

หญิงสาวบีบมือซึ่งจับประสานกันอยู่แน่น เธอรู้ว่าเธอไม่ควรบอกอะไรให้เขารู้มากไปกว่านี้ เพราะเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ครั้ง เธอยังไม่รู้จักเขาดีด้วยซ้ำไป ตอนนี้รู้เพียงแค่ชื่อ รู้ว่าเขาทำงานมีอาชีพอะไร และเธอไม่ควรไว้เนื้อเชื่อใจเขาแบบนั้น แต่...ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หนที่เธอเจอกับเขา เขาก็ช่วยเหลือเธอทุกครั้งไปไม่ใช่หรือ คีตกาลเงยหน้าขึ้นพินิจชายหนุ่มที่อายุอานามน่าจะมากกว่าเธอหลายปีอีกหน อะไรทำให้เขาเข้ามาช่วยเหลือเธอทุกครั้ง อะไรทำให้เขาแสนดีแบบนี้

“ฉันมีที่ไปค่ะ แต่แค่ยังไม่อยากไปตอนนี้ก็เท่านั้น”

“ที่ไหน” อินทัชส่งสายตาคาดคั้นถามไป แต่คำตอบที่ได้คือความเงียบ “ถ้าคุณบอกไม่ได้ว่าจะไปไหน ผมก็เชื่อไม่ลงหรอกนะว่าคุณจะเอาตัวรอดได้ แล้วที่ที่จะไปนั่นปลอดภัยหรือเปล่า”

“ฉันโตแล้วค่ะ ไม่ว่าจะที่ไหนฉันก็ดูแลตัวเองได้”

“อ้อ คนโตแล้วเขาไม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบเด็กทารก กินเหล้าจนเมาไม่มีสติอย่างที่คุณทำเมื่อคืนหรอกนะ”

ประโยคนี้ทำเอาคีตกาลถึงกับหน้าม้าน พอเลือนๆ อยู่ในความทรงจำเหมือนกันว่าตนเองเมาไม่เป็นท่าแค่ไหนเมื่อคืนนี้

“สรุปว่า...ที่ไหนกันที่คุณจะไป” เจ้าของเสียงนุ่มชวนฟังเอ่ยถามอีกหนเมื่อเห็นความยุ่งยากใจบนใบหน้าของหญิงสาว

ขนาดเขาไล่เบี้ยแค่นี้ยังเอาตัวไม่รอด ออกไปข้างนอกนั่นจะไปรอดได้อย่างไรกัน เด็กเอ๋ยเด็กน้อย...อินทัชถอนใจ

“อยากไปเที่ยว ก่อนจะไปอยู่กับญาติ” ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ

เขาพยักหน้ารับ มองไปยังลำคลองเบื้องหน้า สีหน้าครุ่นคิด “มีเงินหรือจะไปเที่ยว แถมรถคุณตอนที่ผมขับมานี่มันขึ้นไฟแดงโชว์แล้วนะ”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน...เป็นไปไม่ได้ ก็ก่อนออกจากบ้านน้ำมันยังเต็มถังอยู่เลย หรือว่าที่นี่มันไกลมาก

“ฉันจะโทร. ไปหาญาติ ขอให้เขาโอนเงินมาให้ เอ่อ...ไม่ทราบว่าโทรศัพท์ของฉันอยู่ที่ไหนคะ”

“ข้างหมอนคุณไง”

คีตกาลรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องที่เธอใช้นอนไปทันที เพื่อยกโทรศัพท์โทร. หาลุงของเธอ แต่เป็นคราวเคราะห์หรืออย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อโทร. ไปแล้วลุงของเธอบอกว่าตอนนี้กำลังเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศ กว่าจะกลับก็สัปดาห์หน้า ไอ้เรื่องที่จะไปพักที่บ้านท่านนั้นไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือตัวเธอเองที่ไม่อยากไปอยู่บ้านใหญ่โตนั้นเพียงลำพัง ครั้นจะบากหน้ากลับบ้านไปหาบิดา ไปขอเงินท่าน เธอไม่ทำแน่นอน...ในเมื่อกล้าดีเขียนจดหมายทิ้งเอาไว้แบบนั้นแล้ว

“ว่าไงครับ” ร่างสูงใหญ่ที่มายืนอิงกรอบประตูตอนไหนไม่รู้เอ่ยถามขึ้นมา ท่าทางเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว

“ถ้า...เอ่อ...พอดีญาติฉันไม่อยู่ จะเป็นอะไรไหมคะถ้าฉันจะขอยืมเงินคุณก่อน แล้วจะเอามาคืนให้ไวที่สุด”

อินทัชไม่ตอบ เขายืนมองอีกฝ่ายนิ่งสนิท “บ้านผม...คุณคิดว่าเป็นยังไง ชอบไหม”

อยู่ๆ เจ้าบ้านก็เปลี่ยนเรื่องที่กำลังคุยอยู่แบบปุบปับ ทำเอาคีตกาลเกือบปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน

“กะ...ก็ดีค่ะ” หญิงสาวเก็บคำว่า ‘ชอบ’ เอาไว้ มองเจ้าของบ้านที่ยืนอวดความสูงของตนเองเทียบกับประตู

“ระหว่างนี้คุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อน คิดซะว่ามาเที่ยวพักผ่อนแบบโฮมสเตย์ สบายใจแล้วค่อยขยับขยายไปบ้านญาติของคุณ”

คราวนี้คีตกาลถึงกับอึ้งหนักยิ่งกว่าเก่า “อะ...อะไรคะ เดี๋ยวก่อน คุณว่าอะไรนะคะ เพราะอะไรคุณถึงจะให้ฉันอยู่บ้านคุณ คุณ...คุณไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำไป”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมอยากช่วยเหลือคุณละกัน เห็นแล้วสงสาร เพราะดูเหมือนคุณจะยังสับสนกับตัวเองอยู่ ผมเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านนักหรอก ใช้อาศัยนอนเสียมากกว่า เอาละ...เดี๋ยวผมจะไปขนกระเป๋าของคุณมาให้ รออยู่นี่ละกัน”

“ดะ...เดี๋ยวสิคะ ฉันยังไม่ได้ตกลงเลยนะคะ” หญิงสาวก้าวตามร่างสูงไปติดๆ ทันที เมื่ออยู่ๆ เขาก็เข้ามาตัดสินใจและเหมือนจะมาบงการชีวิตเธอกลายๆ

“คุณไว้ใจผมไหม” อินทัชหันกลับมากะทันหัน จนหญิงสาวที่ก้าวตามมาติดๆ เกือบจะชนลำตัวสูงใหญ่ของเขาเข้าเต็มรัก ดีว่าคีตกาลหยุดไว้ได้ทัน

แม้ใจของเธอนั้นจะอยากตะโกนก้องว่าหมดทั้งใจก็ไม่มีระแวง แต่ปากของคีตกาลกลับหนักอึ้งจนไม่ได้พูดอะไรออกไป

“คุณทำถูกแล้วที่ไม่ได้ไว้ใจผม” อินทัชสรุปง่ายๆ เมื่ออีกฝ่ายเงียบงันไป “แต่เวลานี้ ผมขอให้คุณเข้าใจว่าผมแค่อยากช่วย ช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ และอีกอย่างผมมองคุณเป็นเหมือน...เหมือนน้องสาว ไม่อยากให้ออกไปเคว้งคว้างอยู่ข้างนอกนั่น”

“ทำไมคะ” ใช่ ทำไม และเพราะอะไร ทำไมเขาถึงอยากช่วยเธอ

อินทัชส่งยิ้มให้คีตกาลพร้อมวางมือลงบนศีรษะของหญิงสาว

“อย่างที่บอก ผมรู้สึกกับคุณ เหมือนคุณเป็น เอ่อ...เป็น...เป็นน้องสาวของผมคนหนึ่ง”

ชายหนุ่มพูดจบก็หมุนตัวเดินหนีไปทันที แต่คีตกาลกลับเอื้อมมือออกไปรั้งแขนเขาเอาไว้ จนต้องชายหนุ่มต้องหันกลับมามองมือหญิงสาวที่อยู่บนท่อนแขนเขาด้วยความกังขา

“ถึงฉันจะยังไม่เข้าใจ แต่...ขอบคุณนะคะสำหรับน้ำใจของคุณ” หญิงสาวบอกเสียงเบา เจตนาดีของเขาทำเอาเธอซาบซึ้งใจ แต่คำพูดที่เขาบอกว่าเธอเหมือนน้องสาวทำเอาจุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ถ้า...ถ้าฉัน...ฉันจะไปด้วย ได้ไหมคะ”

“ไกลหน่อยนะ” เขาว่าก่อนเดินนำลงบันไดบ้านไป

ทันทีที่หญิงสาวก้าวลงไป เธอถึงได้เห็นว่าบ้านหลังนี้สร้างอยู่ในสวนอย่างที่เรียกว่าในสวนจริงๆ บ้านหลังอื่นๆ ตั้งอยู่ห่างออกไปลิบๆ ตามทางเดินมีลักษณะเป็นท้องร่องแบบที่เธอเคยเห็นในรายการโทรทัศน์ แต่ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นจริงๆ แบบนี้ ดีหน่อยว่าทางเดินขนาดเมตรเศษๆ ที่เธอเดินอยู่นี้เทด้วยปูนเป็นทางยาว

“ที่นี่ที่ไหนคะ”

อินทัชยิ้มมุมปากน้อยๆ “นนทบุรี”

หญิงสาวแทบไม่อยากเชื่อ “คือมันเหมือนอยู่ต่างจังหวัด แถวอัมพวา แถวสมุทรสาครเลยค่ะ”

“นนทบุรีจริงๆ สวนของผมเป็นพื้นที่ตาบอด ไม่มีทางเข้าออก อยู่กันมาแต่ดั้งแต่เดิม ผู้คนรู้จักกันไปหมด มีแค่ทางปูนเล็กๆ แบบนี้ให้พอเอารถเครื่องเข้าออกได้หรือเดินได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็พายเรือไปจอดที่ท่าน้ำของวัด ส่วนทางที่เราเดินอยู่นี่ก็ไปออกที่วัดเช่นกัน”

“แล้วถ้าอยากซื้อรถล่ะคะ จะทำยังไง” หญิงสาวเดินตามร่างสูงของอินทัชไปติดๆ ระหว่างนั้นก็มองสำรวจพื้นที่ไปตลอดทางด้วยความทึ่ง มันเหมือนเธอหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว

“จอดที่วัด วัดทำพื้นที่จอดไว้ให้ แต่ละเดือนเราก็ทำบุญให้วัดเป็นค่าน้ำค่าไฟ ตอบแทนให้วัดไป”

“แล้วรถของคีย์...”

“จอดที่วัด ต้องขอโทษด้วย วันนี้ผมจำเป็นต้องเอารถของคุณไปใช้ เพราะเมื่อคืนผมทิ้งรถไว้ที่ร้านและขับรถคุณกลับมา”

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเริ่มหอบ เพราะระยะทางที่เดินนั้นไกลเป็นกิโล อีกทั้งคนเดินนำก็ขายาว ก้าวเดินทีก็นำเธอไปไกล คีตกาลเลยต้องเดินเร็วจนเรียกว่าเป็นจ้ำเท้าให้ตามเขาทัน

“ถึงกำแพงวัดแล้ว”

กำแพงวัดที่ว่าเป็นกำแพงปูนสูง ทางเข้าออกสวนแห่งนี้มีประตูรั้วเหล็กสีเทาขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นคนนอกไม่ให้รุกล้ำเข้าไปภายใน

“คนที่เข้าออกทางนี้มีกุญแจทุกคน” อินทัชอธิบายเพิ่ม

“มีหลายบ้านหรือคะ”

“เกือบยี่สิบบ้าน”

“ทำไมหลวงไม่ทำทางเข้าออกให้ล่ะคะ ในเมื่อมีคนอยู่เยอะขนาดนี้”

“เยอะ แต่คงไม่มากพอ อีกอย่างเมื่อก่อนปู่ย่าตายายผม วันๆ ไม่ได้ไปไหน อยู่แต่ในสวน ผลหมากรากไม้ก็มีคนมารับซื้อถึงสวน เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถึงตอนนี้ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรนะ ชอบเสียอีกที่ไม่มีรถราวิ่งให้หนวกหู”

“แต่มันเปลี่ยวจัง”

ชายหนุ่มหันมายิ้มให้หญิงสาวอีกหน “ข้างนอกรั้วนี่น่ากลัวกว่าเยอะ...เชิญครับ”

เขาผายมือเชิญให้หญิงสาวก้าวออกมาจากภายในรั้ว วัดที่เธอเห็นอยู่เบื้องหน้าถือว่าใหญ่เอาการ ในลานจอดรถมีรถจอดเรียงรายอยู่หลายคัน

“ไม่กลัวหายกันหรือคะ”

“มีคนเฝ้าให้ครับ”

หญิงสาวพยักหน้ารับ พร้อมกับเดินตามชายหนุ่มร่างสูงมาจนถึงรถของตน คีตกาลมองกระเป๋าขนาดใหญ่เล็กหลายใบของตนที่วางไว้แบบไม่เป็นระเบียบด้วยความอับอาย เป็นใครก็เดาได้ว่าถ้าเธอไม่หนีออกจากบ้าน ก็คงวางแผนจะย้ายไปปักหลักอยู่ที่ไหนสักที่แน่ๆ

“ขอโทษนะคะ แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อไหมคะ”

“อย่างพวกเซเว่นคงไม่มี แต่หน้าวัดมีร้านโชห่วยอยู่ คุณอยากได้อะไรล่ะ”

“หิวค่ะ ตื่นมากินแค่น้ำผลไม้กับขนมปังไปนิดหน่อยเท่านั้น” คีตกาลสารภาพออกไปตามตรง ตอนนี้ท้องเธอเริ่มจะส่งเสียงประท้วงเสียแล้ว ทำเอาคนฟังหน้าเสียไปทันที

“ขอโทษที ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นมาทางนี้”

อินทัชเดินนำลิ่วไปอีกทาง แต่ที่ทำให้คนเดินตามใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาคือมือใหญ่ที่ฉวยจับจูงมือเธอไว้ต่างหาก ใบหน้าหวานก้มหน้างุด แย้มยิ้มอย่างเขินอาย แต่ไม่คิดจะสะบัดหนี ในเมื่อสัมผัสของเขามันอบอุ่น ชวนให้มั่นใจ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้เธอรู้สึกเคลือบแคลงใจ ยกเว้นการที่เขายอมให้เธอพำนักอยู่ด้วยเท่านั้น

 

“กินได้ไหม อร่อยหรือเปล่า”

นั่นคือประโยคคำถามหลังจากที่คีตกาลกินก๋วยเตี๋ยวน้ำตกไปแล้วหลายคำ หญิงสาวพยักหน้ารับหงึกๆ รีบเคี้ยวรีบกลืนเพื่อจะได้ตอบคำถามจนสำลักไป ดีว่าอีกฝ่ายรีบส่งน้ำมาพร้อมกับลูบหลังให้

“อร่อยค่ะ” หญิงสาวกระแอมไอ พร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างขัดเขินก่อนจะพูดเบาๆ “ขออีกชามได้ไหมคะ”

เสียงหัวเราะทุ้มนุ่มดังกังวานขึ้นมาทันที ก่อนที่เจ้าของเสียงจะยื่นมือมาขยี้หัวเธอเบาๆ ซึ่งคนถูกกระทำก็คิดเข้าข้างตนเองทันทีว่าเขาทำไปเพราะความเอ็นดู

“ป้าครับ เล็กไม่งอกไม่ผักอีกชามครับ”

คีตกาลยิ้มรับ รีบก้มลงจัดการก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเอร็ดอร่อย แม้จะเป็นร้านเล็กๆ ในตรอกวัดที่เห็นครั้งแรกแล้วทำเอาหวั่นใจ นึกกังวลถึงสุขอนามัยเพราะสถานที่ไม่ได้โอ่อ่าหรูหรา หรือเป็นร้านตึกแถวแบบที่เคยพบเจอ เป็นเพียงเพิงไม้สร้างลวกๆ แทบกันลมกันฝนไม่ได้ แต่พอเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ารับชามก๋วยเตี๋ยวมาปรุงรสเสร็จก็กินเอาๆ ดูน่าอร่อย เธอจึงกล้ากินตาม เพียงแค่ลองจิบน้ำซุปไปนิดเดียวก็ถึงกับตาโต รีบตักเข้าปากทันที

“อิ่มจังค่ะ ไม่รู้กินเข้าไปได้ยังไงตั้งสามชาม”

“ร้านนี้อร่อย ขนาดรัฐมนตรียังขับรถมากินถึงที่นี่เลยนะ”

“ขนาดนั้นเลยหรือคะ” หญิงสาวทำเสียงสูงอย่างไม่อยากเชื่อ

ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะชี้ไปยังรูปเล็กๆ ที่แขวนไว้เหนือตู้กระจกหน้าร้าน ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น

“นั่นไงรูป ป้าแกภูมิใจนักหนา เอาละ อิ่มแล้วใช่ไหม” ร่างสูงขยับยืนก่อนจะเดินไปจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวหน้าร้าน ทำให้คีตกาลต้องลุกขึ้นตามไปด้วย

“แฟนเหรอ”

คำถามนี้ของป้าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวทำเอาคีตกาลถึงกับทำหน้าเหลอหลา ตกใจก็ตกใจ แต่ก็เฝ้ารอคอยคำตอบที่จะหลุดออกมาจากปากเขา

อินทัชส่งยิ้มให้ป้าเจ้าของร้าน ก่อนจะหันมาจูงมือหญิงสาวไปราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ ไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมาให้เธอรู้

ถนนสายเล็กแบบสองเลนสำหรับการสัญจรจากวัดไปถนนใหญ่ตามคำบอกเล่าของอินทัช เล็กเสียจนบางครั้งคีตกาลกลัวว่ารถจะวิ่งสวนกันไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่คนขับรถที่นี่ดูท่าจะชำนาญทาง จึงมีการชะลอหลบไปตามเวิ้งเล็กๆ ที่เป็นทางเข้าบ้านหรือลานเล็กๆ ข้างทางที่มีอยู่เป็นระยะๆ เพื่อให้รถที่แล่นสวนกันผ่านไปก่อน อีกอย่างที่คีตกาลสังเกตเห็นก็คือ มอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นที่นิยมมากสำหรับคนที่อยู่ในซอยเล็กๆ แห่งนี้

“ชุมชนดั้งเดิมน่ะ ตอนที่ทำถนนใหม่ๆ รถราแถวนี้มีไม่กี่คัน แต่พอเวลาผ่านไปกลับแออัดไปหมด” เขาเล่าเสียงนุ่มโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้ถาม

“แย่เลยนะคะ ขยับขยายอะไรก็ไม่ได้ เคยคิดอยากย้ายไปที่อื่นไหมคะ”

คนถูกถามเงียบไป จนผู้ถามคิดว่าเขาอาจไม่ได้ยินด้วยซ้ำไป

“ไม่อยาก ผมรักที่นี่”

คีตกาลอมยิ้ม ก่อนจะกระชับมือที่เขาจับอยู่เป็นการบอกกลายๆ ว่าเธอรับรู้คำตอบของเขาแล้ว เมื่อเดินมาถึงรถยนต์ของหญิงสาว อินทัชก็ผละไปขนกระเป๋าและข้าวของต่างๆ ของหญิงสาวลงจากรถทันที

“ไม่ต้องเอาลงหมดก็ได้มั้งคะ คีย์อาจจะรบกวนไม่กี่วัน” คีตกาลรีบบอกเสียงเบา รู้สึกจริงตามที่พูดทุกอย่าง

“ถึงจะมีคนเฝ้า แต่เราวางใจไม่ได้หรอก พวกทุบรถเอาของก็พอมีอยู่ ของมีค่าอย่าทิ้งไว้ในรถจะดีกว่า”

“แต่...คีย์ไม่อยากรบกวนคุณ”

“แต่ผมอยากช่วย ถ้าคุณอยากตอบแทนก็ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนเป็นค่าที่พักให้ผมดีไหม”

“ทำไมคุณใจดีกับคีย์จังคะ เราไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป”

อินทัชยิ้ม เป็นยิ้มที่คีตกาลเริ่มคุ้นชิน ยามที่ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เขามักจะยิ้มแบบนี้ทุกครั้งไป

“รับเอาของนี่ไป” ชายหนุ่มส่งกระเป๋าใบเล็กๆ มาให้หญิงสาวถือ

“ค่ะ” หญิงสาวรับกระเป๋าของตนมาถือ รู้สึกแปลกใจว่าตอนที่ออกมาจากบ้าน แม้แต่หมอนหนุนและผ้านวมที่ใช้ประจำเธอยังเอามาด้วย

“มีของแค่นี้นะ”

แค่นี้ของชายหนุ่มทำเอาคีตกาลต้องก้มหน้าหลบไปยิ้มแล้วรีบพยักหน้ารับ เพราะตอนนี้บนลำตัวของชายหนุ่มมีกระเป๋าผ้าสองใบสะพายอยู่ทั้งสองด้าน ส่วนในมือของเขาก็มีกระเป๋าลากใบย่อมอยู่ทั้งสองมือ ดูน่าขันยิ่งนัก

 

แผ่นหลังกว้างของคนที่เดินนำแน่วแน่อยู่ข้างหน้าทำให้คนเดินตามอมยิ้มเมื่อความรู้สึกดีๆ เริ่มผลิบานขึ้นภายในใจ

“คุณเป็นทหารเรือหรือคะ” คีตกาลเอ่ยถามขึ้นมาทำลายความเงียบขณะที่เดินแบกข้าวของของเธอกลับไปยังบ้านของชายหนุ่ม

“ครับ”

“ที่บ้านนี่คุณอยู่คนเดียวหรือคะ”

“ครับ”

“มีงานพิเศษที่ผับอีกหรือคะ”

“ครับ”

“ไปทำทุกวันหรือเปล่าคะ”

“ครับ”

“มีวันหยุดไหมคะ” คราวนี้คนถามชักอยากรู้แล้วสิว่าเขาจะตอบกลับมาว่า ‘ครับ’ เหมือนเช่นทุกครั้งไหม

“ครับ” เขาตอบเสียงนุ่ม “ผมมีวันหยุด”

คีตกาลอมยิ้มเมื่อใบหน้าคมสันเหมือนจะหันมามองเธอเพียงนิด

“แล้วคืนนี้ต้องไปไหมคะ”

“ครับ ต้องไป คุณอยู่บ้านคนเดียวได้ใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงหยุดเดินและหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาเดินจนเกือบชนเขา “ว่าไงครับ ผมถามว่าอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”

“ดะ...ได้ค่ะ” คีตกาลตอบอย่างไม่มั่นใจ นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่เธอมานอนค้างอ้างแรมในที่ที่ไม่คุ้นเคย แถมยังจะได้อยู่ตามลำพังในบ้านที่เรียกได้ว่าแปลกถิ่น

“ผมคงกลับมาราวๆ ตีสอง คุณปิดล็อกห้องให้ดี ได้ยินเสียงอะไรก็อย่าเปิดออกมา เข้าใจไหม”

อินทัชรู้สึกพลาดไปถนัด นึกอยากตบปากตนเองนัก ตรงที่เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาแล้วหญิงสาวทำสีหน้าหวาดๆ ท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มถอนใจเฮือกเหมือนกับปลงอะไรบางอย่าง

“หรืออยากไปกับผม”

คีตกาลส่ายหน้าไวทันที รู้สึกว่าตนเองรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว

“อย่าดีกว่าค่ะ คีย์อยู่บ้านดีกว่า”

สายตาที่มองมาเหมือนไม่มั่นใจในคำพูดของเธอเลยสักนิด แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าและเดินห่างออกไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น