ที่ห้องประชุม WOW ออฟฟิศ...มุลิลา รัชนก ดอลลี่ อัศวิน และพราวฟ้ากลับมานั่งกันพร้อมหน้าอีกครั้ง ดอลลี่ประกาศแนะนำตัวมุลิลาแก่ทุกคนอย่างเป็นทางการ แล้วหันไปทางรัชนี
“ในฐานะเป็นเพื่อนร่วมแผนกกัน พี่อยากฝากให้เธอช่วยดูแล...”
ทว่ารัชนกก็พูดขัดขึ้นมาทันที “ได้ข่าวว่าเก่งอยู่แล้วนี่คะ คงไม่ต้องมั้ง”
มุลิลาอึ้ง รู้สึกถึงน้ำเสียงประชด นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอได้รับกิริยาเช่นนี้จากอีกฝ่าย เธอตัดสินใจที่จะไม่สำรวมกับรัชนก มุลิลาหันมองหน้า ปะทะสายตาตรงๆ
“เก่งมาจากที่อื่นก็จริง แต่จะให้มาเก่งที่นี่เลยคงเป็นไปไม่ได้ ต้องสอนงานกันก่อนถึงจะเก่ง...เอ๊ะ หรือไม่อยากให้ฉันเก่ง...กลัวเหรอคะ” มุลิลามองอย่างท้าทาย
รัชนกหน้าตึงขึ้นมาทันที ดอลลี่แอบอมยิ้ม ถูกใจที่มุลิลาตอกหน้ารัชนก...มุลิลามองหน้ารัชนกอย่างไม่ยอมแพ้ รัชนกรู้สึกได้ทันทีว่ามุลิลาไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“เออ เธอกลัวอะไรเหรอ รัชนก” ดอลลี่ย้ำ
“ใช่ค่ะ กลัว...กลัวว่าสอนงานไปก็เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่คนที่เก่งมาจากที่อื่น อีโก้จะตัวใหญ่จนใครก็แตะไม่ได้ ยิ่งมาทางลัดเพราะเป็นเพื่อนเอ็มดีด้วยแบบนี้...ยิ่งแย่ใหญ่ ที่พูดออกมาว่าให้สอนงาน กลัวจะเป็นแค่การสร้างภาพ”
สิ้นคำรัชนก มุลิลาก็สวนทันที
“ตามหลักจิตวิทยา คนที่มองคนอื่นในแง่ร้าย ตั้งธงตั้งแง่เอาไว้ก่อนแบบนี้ โดยที่ยังไม่เคยรู้จักหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันเกิดจากความกลัว กลัวว่าตัวเองจะแพ้ จนถึงขั้นริษยา กลัวคนอื่นจะดีกว่า”
“อย่ามาตัดสินฉัน!” รัชนกว่า
“ก็อย่ามาตัดสินฉันเหมือนกัน!” มุลิลาย้อนกลับเช่นกัน
ดอลลี่เห็นทั้งสองอ้าปากจะทะเลาะกันลุกลามไปใหญ่ก็รีบห้ามทัพทันที
“หยุด!” ดอลลี่ทำมือห้ามทั้งคู่กลางอากาศ “ที่นี่ไม่มีใครตัดสินใครได้ทั้งนั้น นอกจากฉันคนเดียว!”
คำพูดของหัวหน้าทำให้ทั้งมุลิลาและรัชนกอึ้งไป
“จะกลัวหรือจะริษยาใครกันยังไง ฉันไม่สน แต่ถ้าเป้าหมายไม่สำเร็จ ฉันสนแน่ แล้วจะไม่มีใครรอด...ไปทำงาน! สามสิบเปอร์เซ็นต์ จำไว้ สามสิบเปอร์เซ็นต์” ดอลลี่ตัดบทจบ ลุกขึ้นปรบมืออย่างปลุกขวัญพลางพูดคำสำคัญลากเสียงยาว
มุลิลากับรัชนกลุกพรึ่บขึ้นทันที รัชนกเดินลิ่วออกไปอย่างไม่พอใจ มุลิลาจะตามไปทำงานด้วยไฟที่กำลังลุกโชน ทว่าดอลลี่ก็เรียกไว้ก่อน
“อยู่ก่อนมู่ลี่ เธอกับฉันและไอ้วินยังต้องเคลียร์กันต่อ”
“โอเค” มุลิลาตอบง่ายๆ นั่งลงตามเดิม
“โอย วันเคลียร์แห่งชาติหรือไง เพลีย!” ดอลลี่บ่น
นั่งรออัศวินที่ยังคงมีภารกิจสำคัญห้ามทัพจอห์นนี่และอริสราสักครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางสะบักสะบอม อัศวินมาถึงก็นั่งพักเหนื่อยหมดแรง
“ว่าไง” ดอลลี่มองสภาพลูกน้องอย่างเห็นใจ อัศวินเล่าเหตุการณ์ด้วยเสียงเนือยๆ ก่อนที่จะสรุปว่า “พอจับตัวให้สงบสติอารมณ์ได้แล้ว ผมก็ไล่ให้กลับบ้านไป แล้วก็สั่งเบรกรายการที่คู่นี้เป็นพิธีกรทั้งเดือนโดยไม่จ่ายเงินเดือน เป็นการลงโทษ”
มุลิลาอึ้ง หน้าเสีย เพราะความผิดเกิดจากตัวเธอกับอัศวิน ไม่ใช่พิธีกร
“ดี จะได้เอาเงินไปจ้างคนอื่นระหว่างที่มาทำแทน” ดอลลี่ว่า
“ดอลลี่ ขออนุญาตพูดอะไรหน่อยได้มั้ย” มุลิลาที่รู้สึกไม่สบายใจยกมือขึ้นไม่สุดแขน
“ว่ามา”
“เรื่องนี้ความผิดเกิดจากฉันกับไอ้ตี๋นี่ ไม่ใช่พิธีกร ลงโทษผิดคนและรุนแรงเกินกว่าเหตุมั้ย”
อัศวินสะดุ้งที่ถูกพาดพิง เขาโวยนิดๆ “ผมมีชื่อของผมนะป้า!”
“เรื่องของเธอ!”
“วินทำถูกแล้ว สองคนนั่นชอบพกเรื่องส่วนตัวไปทะเลาะกันในรายการบ่อยๆ สมควรถูกลงดาบซะบ้าง” ดอลลี่ยังคงถือหางข้างอัศวิน ชายหนุ่มหันไปยักคิ้วคล้ายจะเย้ยให้มุลิลา
“อะ ถ้างั้นก็มาว่ากันถึงต้นเหตุของเรื่องวุ่นวาย...โกรธเกลียดอะไรกันจนทำให้ขาดสติขณะที่กำลังถ่ายรายการสด ตอบ”
มุลิลาจ้องหน้าอัศวินเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ อัศวินเมินใส่ ไม่สบตา ไม่อยากจะมีเรื่อง เขานั่งฟังมุลิลาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเบื่อๆ
ดอลลี่กุมขมับ ถอนใจ หลังจากฟังเรื่องจากปากของมุลิลาและอัศวิน “เอางี้...ที่ผ่านมาให้มันผ่านไป มันเป็นเรื่องที่ไอ้วินเข้าใจเธอผิด ไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นทำร้ายจิตใจอะไร”
“ใช่ ถ้าเห็นหน้าป้าเค้าแล้วมีข้อความเตือนบนหน้าผากตั้งแต่แรกว่า ‘บอบบางมาก ห้ามแตะเรื่องถูกสามีทิ้ง’ ผมจะไม่พูดออกมาอย่างนั้นเลย” อัศวินพูดออกมา พยายามจะไม่ประชด
มุลิลาหันมาแว้ดใส่ทันที “พูดออกมาอีกแล้วนะ บอกแล้วไงว่าฉันเป็นคนทิ้ง ไม่ใช่คนถูกทิ้ง”
“โอเค เอาที่ป้าสบายใจเลย” อัศวินนั่งนิ่ง ไม่อยากต่อปากต่อคำ
ดอลลี่เข้าโหมดนางฟ้า ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “มู่ลี่...ปรองดองกันนะ เธอต้องทำงานกับอัศวิน อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องมาบั่นทอนบรรยากาศการทำงานเลย”
มุลิลานิ่งพยายามใจเย็นตามคำพูดของเพื่อน
“การทำงานเป็นทีม ความสามัคคีต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ถูกมั้ย” ดอลลี่พูดขึ้นอีก
มุลิลา อัศวินนิ่ง ไม่ยอมสบตากัน ดอลลี่พยายามพูดดีๆ อยู่อีกหลายประโยค แต่ทั้งสองคนตรงหน้าก็ทำท่าเดิม จนเห็นแล้วเหนื่อยใจ อดไม่ได้จึงเข้าโหมดนางยักษ์เสียงเข้ม หน้าโหดขึ้นมา
“ฉันถามว่าถูกมั้ย”
การออกแรงของดอลลี่ได้ผล เพราะทั้งมุลิลากับอัศวินตกใจรีบรับคำ “ถูก!”
“ทำให้องค์กรที่ให้เงินเดือนไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ให้พื้นที่ใช้พัฒนาศักยภาพตัวเอง ให้โอกาสได้ทำในสิ่งที่ชาตินี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำ และอีกเก้าลอเก้า...ได้มั้ย!” ดอลลี่พูดด้วยน้ำเสียงยักษ์เหมือนเดิม
“ได้!” อัศวินและมุลิลารับคำแข็งขัน
“อย่าให้รู้ว่ากัดกันอีก ที่นี่คือออฟฟิศ ไม่ใช่สนามมวยประลองอีโก้ปะทะอารมณ์ รู้เมื่อไหร่อย่าหาว่าดอลลี่โหด!” ดอลลี่มองค้อนลูกน้องและเพื่อนทั้งสองคน
“โอเค!” มุลิลาและอัศวินรับคำพร้อมกันอีก
“ดีมาก แต่ยังไม่จบ” ดอลลี่ยิ้มอย่างพอใจ เปลี่ยนท่าทางให้เป็นนางฟ้าเล็กน้อย
“ยังไงเธอสองคนก็ต้องถูกลงโทษ ไอ้วิน ฉันจะไม่เสียเงินจ้างใครมาเป็นพิธีกรแทน ไม่ใช่เรื่องที่ออฟฟิศต้องมาเสียเงินเพราะความผิดของแก”
“อ้าว แล้วให้ผมทำไงอะ” อัศวินร้องเสียงหลง เพราะงานเข้าตัวเต็มๆ
“ให้มู่ลี่ทำ”
“หา?! แต่ฉันไม่เคยทำ ไม่เคยเป็นพิธีกร” มุลิลาร้องอย่างตกใจ
“ใครเคยเป็นพิธีกรตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่มั่ง! ก็ให้ไอ้วินมันเทรน ทำไม่ได้ เลิกจ้าง! จบ!” ดอลลี่ทิ้งตัว หมดแรงไปกับเก้าอี้
มุลิลาและอัศวินมองหน้ากัน...เหวอ แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อดอลลี่กระเด้งลุกขึ้นมาอีก
“ยาหอมด่วน!” ดอลลี่ตะโกนก้องก่อนที่จะแผ่หลาไปกับเก้าอี้เหมือนเดิม
ด้านนอกพราวฟ้าสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเจ้านาย ลูกพีชที่กำลังแนบหูฟังกับประตูห้องสะดุ้งไปด้วย ทั้งคู่มองหน้ากันแตกตื่น เจมส์ที่เดินมาพอดีมองแบบงงๆ
“ทำอะไรกัน” เขาถามพราวฟ้า
“เต้นบัลเลต์มั้ง ถามไม่คิด” หญิงสาวตอบ
ลูกพีชหันไปเห็นเจมส์อึ้งก็เห็นใจ “กำลังทำงาน”
“ทำงาน?” เจมส์ขมวดคิ้วสงสัย
“งานเผือก” ว่าแล้วลูกพีชก็หันไปเอาหูแนบต่อ
“ทำไมพี่ดอลลี่ไม่ให้เธอเข้าไป เป็นเลขาฯ ไม่ใช่เหรอ” เจมส์หันไปหาพราวฟ้าอีกครั้ง
เลขาฯ สาวชักสีหน้า ลากเสียง “ถามอะไรเซ้าซี้น่ารำคาญ เค้าบอกเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงาน ไม่อยากให้ใครรู้เยอะแยะ โอ๊ย! แล้วทำไมหนูต้องตอบคำถามพี่ด้วยเนี่ย”
“เออ! ก็เงียบเซ่! เสียงหล่อนกวนสมาธิการฟังฉันมาก ไปเอายาหอมมาได้แล้วไป๊ เดี๋ยวแม่อาละวาดอีก” ลูกพีชว่า
“ก็ได้” พราวฟ้าพูดอย่างไม่เต็มใจจะเดินออกไป
เจมส์หน้าเจื่อนมาก พูดกับตัวเอง “ทำอะไรก็ผิด”
เขาเดินออกไปอีกทางทันที พราวฟ้าที่ได้ยินแว่วๆ ชะงัก หันกลับมา
“พี่เจมส์เค้าพูดอะไรอะเจ๊” เธอถาม
“เงียบ!” ลูกพีชประกาศิต
พราวฟ้าตกใจรีบวิ่งไปเอายาหอม กลับมาอีกทีประตูห้องประชุมก็เปิดแล้ว มีลูกพีชยืนทำท่าไม่รู้ไม่ชี้จิ้มไอแพดอยู่ข้างๆ เลขาฯ สาวเดินเข้าไปด้านในสวนกับอัศวิน เธอส่งสายตาหวานหยดให้ชายหนุ่ม แล้วหันไปมองค้อนมุลิลาที่มองอย่างงงๆ ก่อนจะรีบเดินตามอัศวินไป
“เดี๋ยวก่อนตี๋”
อัศวินชะงักแล้วหันไปทางหญิงสาว “ตี๋ไว้เฉพาะคนในครอบครัวเรียกผมเท่านั้น ผมชื่อวินครับป้า”
“ฉันชื่อมู่ลี่...ป้าไว้สำหรับพี่น้องคนสนิทของฉันเรียกเท่านั้น”
“โอเคครับ...คุณมู่ลี่”
“โอเค...คุณวิน”
“แสดงว่าพร้อมจะหย่าศึก และทำตามที่พี่ดอลลี่สั่งได้ทุกอย่าง?” อัศวินหันกลับมากอดอก มองอีกฝ่ายอย่างประเมิน
“เพื่อความมั่นคงทางหน้าที่การงาน ฉันทำได้ทุกอย่าง ฉันต้องทำอะไรบ้าง” มุลิลาถามอย่างแมนๆ
“โอเค พรุ่งนี้รายการสดตอนบ่ายสอง มือใหม่อย่างคุณต้องมาทำความเข้าใจก่อนเยอะๆ อีกสิบนาทีเจอกัน ผมขอออกไปซื้อของกินบำบัดตัวเองก่อน”
มุลิลาถอนหายใจหนัก “จริงๆ แล้วฉันเริ่มงานพรุ่งนี้ แต่ไม่เป็นไร ก็ได้...แต่ฉันมีเวลาไม่มากนะ ต้องไปรับลูก ไม่เกินบ่ายสามต้องออกจากที่นี่”
“ไม่มีปัญหา...งั้นคุณไปเปิดไฟล์สคริปต์เก่าๆ อ่านทำความเข้าใจก่อน ชื่อไฟล์...”
อัศวินพูดไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ของมุลิลาก็ดังขึ้นก่อน หญิงสาวยกมือห้ามอัศวินแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นชื่อครูนกน้อยก็ตกใจ ใจไม่ดี
“ฮัลโหล ค่ะครูนกน้อย อะไรนะ น้องปลื้มหอบ!” เธอตกใจ พลอยทำให้อัศวินที่ยืนรออยู่ตกใจไปด้วย
“พ่นยาให้แล้วใช่มั้ยคะ ถ้ายังไอเยอะ ทุกสิบห้านาทีพ่นอีกนะคะ จะรีบไปรับเดี๋ยวนี้ละค่ะ” หญิงวางสาย มองหน้าอัศวินแต่ยังไม่ทันอ้าปากจะพูดอะไร
“คุณไปรับลูกเถอะ เรื่องงานเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
“ขอบใจนะตี๋”
“ไม่เป็นไรป้า”
มุลิลาหันหลังวิ่งไป อัศวินมองตาม เอาใจช่วย ต่างคนต่างลืมว่าจะไม่เรียกตี๋หรือเรียกป้า
แต่...มุลิลาก็ชนโครมเข้ากับชิษณุที่เดินเข้ามาพอดี
“ว้าย/เฮ้ย!” ทั้งคู่ร้องประสานเสียงกัน
มุลิลากำลังจะล้ม ชิษณุเข้าประคองช้อนไว้ได้ทัน จังหวะเหมือนละครเป๊ะโดยที่อัศวินมองอย่างตกใจอยู่ตรงด้านหลัง เขาเห็นทั้งคู่หมุนคว้างแล้วจบลงอย่างสวยงามที่ชิษณุและมุลิลามองตากัน
“คุณนั่นเอง...” ชิษณุจำมุลิลาได้เขาพูดอย่างดีใจ แต่มุลิลากลับตรงกันข้าม ผลักอกชิษณุออกไป เธอจำเขาไม่ได้
“เดินประสาอะไรของคุณเนี่ย จะขอโทษสักคำน่ะมีมั้ย โอ๊ย ไม่มีเวลาจะทะเลาะด้วยแล้ว” มุลิลารีบวิ่งออกไปทางหนึ่ง
ชิษณุมองตามอย่างอึ้งๆ ปนเสียดาย
อัศวินเข้ามาพูดกับชิษณุลืมตัวตบแขนฝ่ายนั้นเบาๆ “อย่าไปถือป้าเค้าเลยพี่”
ชิษณุอึ้งที่อัศวินตีสนิทได้ตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้
“เค้ากำลังนอยด์ ลูกไม่สบาย ต้องรีบไปรับที่โรงเรียน”
ชิษณุตกใจ “มีลูกแล้ว?”
“จริงๆ ป้าเค้าผิด ผมขอโทษแทนด้วยแล้วกัน”
“คุณกับคุณผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน ถึงต้องมาขอโทษแทนกัน”
“เพื่อนร่วมงานครับพี่” อัศวินตอบตามตรง
“ทำงานที่นี่?”
“ครับพี่ เอ พี่นี่หน้าตาคุ้นๆ เนอะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน อ๋อ ในทีวี...เป็นดาราเก่า?”
“ไม่ใช่ครับ” ชิษณุตอบ เผอิญสุจินต์เดินมาพอดี
“ท่านครับ คุณดอลลี่แกมีเรื่องจะขอคุยกับท่านพอดีเลยครับ”
“ไปสิ”
ชิษณุตอบรับง่ายๆ แล้วเดินออกไป ทิ้งให้อัศวินยืนแปลกใจที่ได้ยินสุจินต์เรียกชิษณุว่าท่าน รีบถามสุจินต์
“พี่ผู้ชายเค้าคือใครเหรอครับ เห็นลุงเรียกว่าท่าน คือผมคุ้นหน้าแกมากเลย”
“ท่านประธานบริหารเครือ M-ONE ไง” สุจินต์หันมาตอบแล้วรีบเดินตามเจ้านายไป อัศวินที่ทำหน้าว่าเข้าใจแล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหน้าเจื่อนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งซีดในที่สุด
“ซวยแล้ว” เขาว่า เมื่อนึกได้ว่าประธานบริษัท M-ONE นั่นหมายถึงอย่างไร
ด้านมุลิลาวิ่งไปที่ลานจอดรถด้านหน้าบริษัท วิ่งขึ้นบุญช่วยที่ดื้อสตาร์ตยังไงก็ไม่ติด มุลิลาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาก รีบเปิดประตู ล็อกแล้ววิ่งออกไปเรียกแท็กซี่ แต่ไม่มีคันไหนจอดสักคัน อัศวินเดินออกมาเห็นพอดีร้องถาม
“ยังไม่ไปอีกเหรอป้า”
“รถเสีย ต้องไปแท็กซี่อะตี๋ แต่ยังไม่มีว่างเลย”
“มากับผม!”
มุลิลายอมวิ่งตามอัศวินไปแต่โดยดี เพราะคิดว่าอัศวินมีรถแน่ๆ แต่พอไปถึงเห็นชายหนุ่มไขกุญแจล็อกรถจักรยานก็เซ็งมาก
“ปั่นจักรยานไปส่งฉันที่โรงเรียนลูก? จะถึงกี่โมง ให้ลูกฉันหอบตายก่อนหรือไงไอ้ตี๋! ไอ้...โอ๊ย!” มุลิลาวิ่งออกไปทันที
อัศวินมองตาม อึ้งๆ ตะโกนไล่หลัง
“เออ นั่นดิ...ก็คนมันตกใจเว้ย ป้า!”
อัศวินมองเห็นมุลิลาพยายามหาโบกแท็กซี่ มีคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดรับ มุลิลาโยนรองเท้าเข้าไปก่อน แล้วตัวเองก็พุ่งตามเข้าไป ปิดประตู แท็กซี่วิ่งออกไป อัศวินถอนใจ รู้สึกเหนื่อยตามไปด้วย
“เหนื่อยมั้ยดาว...” เขาบ่นก่อนไปหาอะไรกินตามความตั้งใจเดิม
ที่ห้องประชุมของ WOW หลังจากโด๊ปยาหอมแล้ว ดอลลี่ก็กลับมามีพลังใหม่อีกครั้ง และกำลังนั่งประจันหน้ากับชิษณุและสุจินต์ พร้อมกับรายงานเรื่องมุลิลาไปด้วย
“ผมไม่อนุมัติ บอกเลิกจ้างเค้าไปซะ” ชิษณุว่า
“คงเลิกจ้างไม่ได้หรอกค่ะ...เราสองคนจำเป็นต้องพึ่งพากัน ฉันต้องการคนทำงานที่เก่งถึงขั้นเก่งมาก ส่วนมุลิลาเพิ่งออกจากงาน และต้องหาเงินเลี้ยงลูกตามลำพัง” ดอลลี่ว่า
“ตามลำพัง?” ชิษณุถามย้ำ คิดว่าตัวเองฟังผิด
“เค้ากำลังจะหย่าจากสามีค่ะ”
“งั้นคุณก็กำลังจะบอกผมว่า...คุณยอมแชร์เงินเดือนตัวเองให้เพื่อนกับลูกน้อง”
“ค่ะ” ดอลลี่ตอบแต่กลืนน้ำลายเอื๊อก แอบปาดเหงื่อ
ชิษณุนิ่งอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะเคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะ สักพักเขาก็ยิ้มให้ “ดี คุณได้ใจผมไปเลยนะ คุณดอลลี่”
ดอลลี่ยิ้มออกมาได้ “อุ๊ย...นี่คือการสารภาพรักหรือเปล่าคะ อะล้อเล่น”
“ถ้าอย่างนั้นขอดูเงื่อนไขสัญญาว่าจ้างหน่อย” ชิษณุว่า
ดอลลี่และสุจินต์สบตากัน รู้สึกแปลกใจว่าเขาจะดูสัญญาไปทำไม
“เพราะผมนับถือใจคุณที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อองค์กร...ผมอาจจะเปลี่ยนใจ”
ดอลลี่ยิ้มออก รีบยกหูต่อสายหาพราวฟ้าหน้าห้องทันที “พราวฟ้า เอาแฟ้มของมุลิลาเข้ามาที”
ไม่นานนักพราวฟ้าก็นำแฟ้มเข้ามา และเมื่อมันอยู่ในมือชิษณุ ชายหนุ่มก็อึ้งไป
“มุลิลา” เขาอ่านชื่อเธอ แล้วก็ต้องอึ้งไปเพราะรูปถ่ายของมุลิลาที่ติดอยู่ในนั้น มุลิลา..ผู้หญิงแปลกหน้าที่เขาไม่เคยลืมคนนั้นนั่นเอง ชิษณุพลิกประวัติอ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความตื่นเต้น จนถึงช่องที่ระบุว่าแยกกันอยู่ ในขณะที่ดอลลี่ยังพูดประกอบไปด้วย
“ค่ะ มุลิลาถูกให้ออกจากงานด้วยเหตุผลของนายทุนงี่เง่า บอกว่าเงินเดือนเยอะไป สู้จ้างเด็กใหม่ๆ ไฟแรงที่ทุ่มเทให้งานมากกว่าก็ไม่ได้ โอย ทำไมไม่ให้ค่าประสบการณ์ที่เด็กใหม่ๆ มันไม่มี นายทุนหน้าเลือด ว่ามะ” ท้ายประโยคดอลลี่หันไปทางสุจินต์ ที่ตอบรับด้วยความนิ่งเงียบ
“เห็นแก่ได้ ว่ามะ”
ดอลลี่พูดอีก สุจินต์ยังนิ่ง ไม่หือไม่อือ
“แค่เงินเดือนพนักงานแค่นี้ ขนหน้าแข้งมันจะร่วงนักหรือไง ว่ามะ”
แต่สุจินต์ก็ยังคงนิ่ง
“ตัวเองก็รวยจนไม่รู้จะรวยยังไง จะเก็บเอาไปกินถึงชาติหน้าเหรอ โอ๊ย ตายไปแม้แต่เงินเหรียญที่เค้ายัดใส่ปากแค่เหรียญเดียว ยังเอาไปไม่ได้เลย ว่ามะ”
คราวนี้สุจินต์ไม่นิ่งเฉย
“อะแฮ่ม” เขากระแอมแล้วเหลือบมองไปที่ชิษณุซึ่งยังอ่านแฟ้มของมุลิลานิ่งๆ อยู่ ดอลลี่เห็นว่าเลี้ยวทางผิดไปมากแล้ว รีบกลับลำทันที
“ซึ่งคุณชิษณุไม่มีทางเป็น! ว่ามะ” ดอลลี่เสียงสูงเล็กน้อย
“ครับ” สุจินต์รับคำพอใจ ในจังหวะเดียวกันกับที่ชิษณุปิดแฟ้ม
“เอาเป็นว่า...ผมอนุมัติ”
ดอลลี่ดีใจร้องขึ้นมา “ว้าย! Such a good news!”
ลืมตัวกอดสุจินต์ที่ทำหน้าเอือมๆ
“ครับ แต่ไม่กู๊ดแน่ครับถ้ายังกอดไม่ปล่อย สำรวมครับสำรวม” ดอลลี่รีบผละออกมาจากสุจินต์ หันไปยกมือไหว้ชิษณุชดช้อย
“รับรองค่ะว่าการลงทุนนี้...คุ้มค่าเงินแน่นอน เราควรจะลงทุนกับคนมากกว่าเทคโนโลยี ถูกมั้ยคะ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
ชิษณุยิ้มอย่างพึงพอใจ คิดถึงมุลิลา
สุจินต์แอบสังเกตอาการของชิษณุ นึกแปลกใจเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มเขินๆ รวมถึงดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กหนุ่มจากเจ้านาย
อีกด้านที่ห้องตัดต่อ อัศวินเดินถือขนมมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเจมส์ ที่กำลังตัดต่อรายการสดขายจักรยานที่จอห์นนี่และอริสราเป็นพิธีกร เจมส์ใส่หูฟังเพลง สายตาของเจมส์เคร่งเครียดมาก เพราะกำลังน้อยใจพราวฟ้าเรื่องเมื่อครู่อยู่
“กินก่อน ทำไมไม่ออกไปกินข้าวกลางวันวะ” อัศวินเรียกเพื่อน แต่เจมส์ที่กำลังอารมณ์ไม่ดีนิ่ง ไม่ตอบ เริ่มรู้สึกถึงการเป็นคู่แข่ง
“ฟังอะไรอยู่วะ” เขาถามเพื่อนที่ยังคงนิ่ง อัศวินลงนั่งข้างเจมส์ พูดไปเรื่อยถึงจะเห็นว่าเจมส์ไม่ได้สนใจฟัง แค่หาที่ระบาย “มี MM คนใหม่ชื่อมู่ลี่...รู้ยัง”
เจมส์ยังนิ่ง ทำงานไป
“เริ่มต้นกันได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เข้าใจได้ว่ะ...ป้าแกคงเจอมาเยอะ เลยดูจิตๆ”
อัศวินแกะของกินส่งให้เจมส์ไปพลาง เล่าไปพลาง เจมส์รับมากินไปพลาง ทำงานไปพลาง
“ฉันก็เลยหย่าศึก ที่แล้วก็ให้แล้วไป ก็ภาวนาขอให้ราบรื่น ทุกอย่างไปได้สวย...”
อัศวินแกะกินเอง ไม่ส่งให้เจมส์แล้ว เจมส์ยื่นมือค้าง ปรายตามอง อัศวินเคี้ยวตุ้ยๆ คุยไปเรื่อย ไม่สนใจว่าเจมส์กำลังรอ
“แต่งานหนักรออยู่ข้างหน้าว่ะ ป้ามู่ลี่ต้องเป็นพิธีกรแทนจอห์นนี่กับอริสรา จะไหวมั้ยวะ แกว่าไหวมั้ย”
อัศวินมองเจมส์ที่มองนิ่งอยู่ อัศวินไม่เก็ตว่าเพื่อนกำลังทวงของกิน
“เออ แกไม่เคยเจอป้าเค้านี่หว่า ถามทำไมวะ”
อัศวินพูดเองเออเองแล้วกินต่อ ไม่สนใจเจมส์
ความคิดเห็น |
---|