10

ตอนที่ 10

10

 

Thee_pak : ให้ไปรับไหม

Ruenkunnam : หนามต้องไปเข้าครัวที่บ้านก่อนค่ะ

Thee_pak : ไปยังไง ให้ผมไปรับไปส่งไหม

นันท์นพินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะข้อความนั้น ช่วงนี้เธอกับทีปกรคุยกันผ่านตัวอักษรบ่อยมากพอๆ กับเจอหน้าค่าตากันนั่นละ เพราะทุกเย็นทีปกรจะหาเรื่องมาค้างด้วยตลอด ไม่ที่คอนโดเขาก็คอนโดเธอ สลับกันไปมาอยู่แบบนี้

คิดแล้วนันท์นพินก็หน้าแดงระเรื่อ แม้ทีปกรไม่ได้บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะเป็นไปแนวทางไหน แต่นันท์นพินคิดว่าถึงเวลาที่ต้องพูดแล้ว 

Ruenkunnam : เดี๋ยวติดรถเพื่อนไปค่ะ ยังไงเพื่อนก็ผ่านทางนั้นอยู่แล้ว

Thee_pak : เพื่อน? ผู้หญิงหรือผู้ชาย

Ruenkunnam : หึงหรือหวง เฮ้อ คนสวยเครียด

ได้ทีก็หยอดคำพูดทีเล่นทีจริง ทว่าหวังผลตอบกลับจากอีกฝ่ายแน่นอน แต่ทีปกรกลับเงียบ ไม่ตอบโต้อะไรกับข้อความนั้น คนสวยเลยเครียดจริงๆ พูดเรื่องความสวยทีไร ทีปกรไม่เคยเล่นด้วยเลยสักครั้งเดียว

นันท์นพินชักไม่มั่นใจในหนังหน้าของตนเอง พี่ชายอย่างนัทธ์ยิ่งย้ำเรื่องขี้เหร่กรอกหูอยู่ทุกวันจนขาดความมั่นใจ

“ไอ้จุ๊ กระจกหน่อยดิ ส่องความสวยหน่อย” นันท์นพินตะโกนบอกเพื่อน

จุรินทร์ยังไม่ได้ยื่นกระจกให้ เสียงวิดีโอคอลก็ดังแทรกมา นันท์นพินเลยรีบร้อนหยิบหูฟัง แล้วเดินห่างเพื่อนมาหามุมคุยส่วนตัวแทบจะทันที

“ใครไปส่ง” 

คนหน้าดุดูเหมือนจะอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว  เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมคลายออกจนเผยอกขาววับแวม ไม่รู้จงใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นคือภาพนั้นช่างเซ็กซี่มาก ยิ่งพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเท้ามือกับแก้มขาวๆ เอียงหน้าหรี่ตามองมาแบบนั้น ช่างดีต่อใจคู่สนทนาเหลือเกิน

“เพื่อนค่ะ” นันท์นพินตอบอย่างเลื่อนลอยเต็มที

“คนไหน”

“บอกไปจะรู้ไหมล่ะ” นันท์นพินย้อนถามพลางยกมือขึ้นลูบหน้าจอโทรศัพท์ แคปภาพหล่อทะลุทะลวงเก็บเข้าคลัง

‘ทำงานหนักยังไงให้ดูหล่อแบบนี้ พ่อคุณเอ๊ย’

“งั้นเดี๋ยวผมไปรับไปส่งเอง เคลียร์งานตรงนี้เสร็จจะออกไปเลย” ทีปกรเอ่ยจริงจัง

นันท์นพินเบิกตาโต ไม่ได้กลัวเพื่อนเจอทีปกร แต่กลัวพี่ชายถาม ไหลเป็นปลาไหลขนาดไหน อิพี่นัทธ์ก็จับโกหกได้หมด รีบร้อนกดสลับกล้องหน้าเป็นกล้องหลังให้เห็นเพื่อนสาวสองนางที่นั่งทำงาน แถมกินขนมบนโต๊ะไปพลาง ปากก็ตะโกนแซวรุ่นน้องไปด้วย

“นี่ค่ะๆ สองสาวที่นั่งสวยๆ ตรงนั้น”

“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” ทีปกรเอ่ย 

นันท์นพินหน้างอใส่ เพราะนึกว่าเขาจะมารับจริงๆ ร้อนตัวแทบแย่

“แล้วอย่ากินขนมเยอะนักล่ะ ตอนเย็นเดี๋ยวผมไม่มีเพื่อนกินข้าว เด็กนี่น้อ กินแล้วนอนๆ ไม่หัดออกกำลังกายบ้างเล้ย” ทีปกรบ่นทั้งที่ก้มหน้าก้มตาดูแฟ้มงานตรงหน้า แต่ไม่ยอมวางสาย

คนไม่มั่นใจในความสวยก้มหน้าดูพุงตนเองแทบไม่ทัน พลันดวงหน้าหวานหยดก็แดงระเรื่อขึ้นทันที จะว่าไปทั้งเนื้อทั้งตัวเธอ ทีปกรก็เคยเห็นมาแล้ว ตั้งแต่ร่วมเตียงกัน ถ้าวันไหนเธอตื่นสาย วันนั้นเธอแพ้ เสื้อนอนหายไม่พอ มือเป็นอัมพาตปวดเกร็งไปครึ่งค่อนวัน

เพราะมัวแต่คิดเรื่องวาบหวาม หน้าเลยแดงระเรื่อ ทีปกรเงยหน้าขึ้นมาทันเห็นเข้าพอดี

“ผมไม่ให้คุณอ้วนหรอกน่า ถ้าอ้วนเมื่อไหร่ เดี๋ยวพาทำกิจกรรมหนัก”

“คะ?”

นันท์นพินที่คิดเรื่องลามกยิ่งหน้าแดงไปอีก คิดดีไม่ได้เลย ตั้งแต่ทีปกรพาทำเรื่องลามก สมองเธอก็จินตนาการไปเรื่องลามกก่อนทุกทีไป

“คิดอะไรอยู่ เด็กทะลึ่ง”

คนกระเซ้าเย้าหยอกก้มหน้ามาพูดใกล้โทรศัพท์ ยิ่งทำเอานันท์นพินเขินอายมากขึ้น ทั้งยังแอบกรีดร้องในอกเพราะความหล่อทะลุโทรศัพท์ของทีปกร

“ไม่กวนแล้ว เจอกันตอนเย็นนะครับ”

‘นะครับที่พ่วงท้ายประโยคมาช่างอบอุ่นอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าตนเองโตเป็นสาวขึ้นมาสักสิบปี ทุกทีอยู่กับพี่นัทธ์ ‘ครับ คะ ขา จ๋า’ นี่ไม่มีหลุดออกมาจากปาก นอกจากเวลาหว่านเสน่ห์หาเงินเข้ากระเป๋า

“คุณ...ตาเยิ้มแล้ว เก็บอาการด้วย ผมรู้ว่าผมน่ากิน แต่กินผ่านโทรศัพท์ไม่ได้นะ” ขยิบตาล้อเลียน

“บ้า! งั้นเจอกันตอนเย็นนะคะ”

“ถึงบ้านพี่ชายก็เซลฟี่มาด้วย ผมจะได้วางใจว่าไม่มีเด็กแอบเถลไถล”

ว่าพี่ชายเข้มงวด เจอทีปกรนี่เข้มงวดกว่า เอะอะๆ โทร. เช็ก นี่เธอหนีเสือปะจระเข้หรือไง

นันท์นพินพยักหน้ารับ ก่อนแอบยกมือขึ้นโบกเบาๆ ด้วยเกรงเพื่อนจับได้ พอวางสายก็ปั้นหน้าตึง เดินมาสมทบกับเพื่อน ปากก็บ่นกลบเกลื่อนรอยยิ้มเปื้อนความสุข

“เช็กเก่งจริง นี่คนมาเรียน นึกว่ามาเดินแบบหรือไง คนสวยเครียด”

“อิพี่นัทธ์หรือหนาม” มะปรางถาม

“พี่แกนี่เข้มงวดกว่าก่อนมากเลยนะ แต่ก่อนเวลาแกมามหา’ลัยไม่เห็นเช็ก ตอนนี้เห็นเดี๋ยวก็ต้องตอบข้อความ เดี๋ยวรับโทรศัพท์ หาเมียให้ไหม จะได้หมดปัญหา” จุรินทร์เสนอ

นันท์นพินส่งยิ้มแหยๆ เออออไปกับคำพูดนั้น

“เนอะ!” หาที่ไหนเล่า เมียมโนนั่งอยู่นี่ 

นันท์นพินก็ไม่ได้อยากปิดปังความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ รออะไรๆ ให้มันแน่นอนก่อน ค่อยเปิดตัวให้ปังไปทั่วมหา’ลัยเลย 

ดังนั้นทุกครั้งที่มีข้อความหรือโทรศัพท์มาก็โบ้ยให้เป็นพี่ชายไปให้หมด แล้วช่วงนี้ทีปกรก็ขยันโทร. มาเช็กบ่อยเหลือเกิน นัทธ์ก็เลยโดนเพื่อนเธอรุ่มยำนินทาบ่อยตามระเบียบ

‘ขอโทษนะพี่นัทธ์ สาวๆ บ่นถึงบ่อยหน่อยช่วงนี้’ นึกขอโทษขอโพยพี่ชายในอก

 

พอเลิกเรียนนันท์นพินก็ติดรถเพื่อนมาลงใกล้บ้าน ก่อนเข้าไปหาพี่ชายที่เรือนก็เซลฟี่แล้วส่งรูปไปให้ทีปกร จึงค่อยเข้าไปที่ครัวอาหารคาว

แล้วทันทีที่เจอหน้ากัน พี่ชายก็ยัดน้ำเต้าใส่มือน้อยๆ ของน้องสาว สั่งให้แกะสลักทันที

นันท์นพินถึงกับทำหน้าสยอง มองมือเปล่าๆ ที่จับน้ำเต้า แล้วจินตนาการในแง่ลบก็คุกคามอยู่ในหัว ต้องโทษทีปกรคนเดียว ตั้งแต่ทำกิจกรรมช่วยเขาเอาน้ำออกจากเขื่อน ภาพหลักฐานของความหื่นกระหายที่เขาทิ้งไว้ในอุ้งมือเธอยังกระจ่างชัดเหมือนไม่ได้ล้างออกไป ทำให้นันท์นพินไม่กล้าหยิบจับอะไรตรงๆ รีบวางน้ำเต้าแล้วล้างมือ ตามด้วยสวมถุงมือ

ช่วงนี้การทำอาหารหรือทำขนมแต่ละอย่างสำหรับนันท์นพินเป็นเรื่องยาก มองมือนุ่มนิ่มของตนเองทีไรก็เหมือนมีงูเหลือมตัวใหญ่วางพาดอยู่กลางฝ่ามือ ดูไม่สะอาด และสกปรกไปหมด

“แกบอกว่า คุณทัศนา ศิริรังสรร เขาจ้างให้ไปสอนทำอาหารที่บ้านเขา แล้วโอนเงินมาให้แล้ว?”

พี่ชายถามย้ำถึงเรื่องที่น้องสาวโทร. มาบอกล่วงหน้าก่อนแวะมาที่ร้าน แค่ข้องเกี่ยวกันทางธุรกิจกับศิริรังสรร นัทธ์ก็ถือว่าทางนั้นมีเมตตามากแล้ว แต่นี่ถึงขั้นให้ไปสอนทำอาหารถึงที่บ้าน ใกล้ชิดเสียขนาดนั้น...

“ค่ะ หนามโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีพี่แล้วด้วย ไม่ขาดสักบาท เช็กดูได้เลยนะคะ”

นันท์นพินทราบดีทีเดียวว่าพี่ชายงกเรื่องเงิน จึงยกจำนวนเงินขึ้นมาพูดก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องรองจากนั้นพี่ชายจะฟังผ่านๆ อาจจะไม่สงสัยที่มาที่ไปของเงิน เงินซึ่งเธอก็รับมาอย่างงงๆ ทุกวันนี้ได้รับเงินเดือนจากทีปกรอย่างงงๆ ด้วยเช่นกัน

“ที่แกถามเรื่องเงินสามแสนวันนั้นละสิ”

“ค่ะ แล้วคนของเขาก็มาคุยกับหนาม ให้หนามไปสอนและจัดตารางให้”

“คุณทัศนา” เหมือนนัทธ์ไม่เชื่อ ลอบมองน้องสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาแกะสลักน้ำเต้า ดวงตาของพี่ชายเต็มไปด้วยความห่วงใยเสมอเวลามองน้องสาว “ถ้าเขาจะดีลงาน ทำไมเขาไม่ทำผ่านพี่ พี่เข้าไปดูงานที่โรงแรม เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เมื่อวานเจอกันอีกที่ห้างสรรพสินค้าก็ยังเฉย”

“เขาให้คนอื่นมาดีลงานกับหนามอีกที หนามก็แจ้งทางนั้นแล้วนะคะว่าเรื่องงานต้องผ่านพี่นัทธ์ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจไม่อนุมัติ เขาเลยเอาเงินมาล่อเรา ส่งหนามมาคุยอีกทีนี่ไงคะ พี่นัทธ์จะรับหรือไม่รับล่ะ”

“ไอ้เงินน่ะฉันก็อยากได้ ก็รู้ว่าฉันงก แต่งานนี้เขาให้แกไปสอนไม่ใช่หรือ แกว่างงั้นสิ ตารางที่ร้านยังไม่อยากจะรับสักเท่าไหร่เลย”

“ก็พอสอนได้อยู่นะคะ ช่วงวันพุธ แต่คำนวณยอดเงินตีเป็นตารางงานและชั่วโมงที่สอนก็ใช้เวลาสอนเป็นเดือนๆ เลยนะคะ”

“ก่อนจัดตารางก็เอาชื่อขนมและชื่ออาหารไปให้เขาดูก่อนว่าเขาสนใจทำอะไรบ้าง แล้วลิสต์รายการมา ถึงจะจัดตารางให้ได้ คิดจากจำนวนเงินก็เอามาตรฐานราคาสอนคลาสพิเศษตามความยากง่ายของอาหารที่ทำ หรือจะเฉลี่ยไปตามวันหรือชั่วโมงก็ค่อยมาว่ากันอีกที”

สีหน้าของนัทธ์ดูครุ่นคิดขณะยืนกอดอกพิงผนังด้านหลังฟังน้องสาวพูดเรื่อง ทัศนา ศิริรังสรร

“แกแน่ใจว่าจะสอนบ้านนั้น?”

“แน่ใจสิคะ”

นันท์นพินรู้ว่าพี่ชายไม่อยากข้องเกี่ยวกับศิริรังสรรมากสักเท่าไร แม้ธุรกิจขนมหวานของพี่จะอยู่ในเครือโรงแรมของอีกฝ่ายแทบจะทุกสาขา เพราะตัวทัศนาที่ชอบจัดงานไทยๆ เชิญร้านเธอไปออกร้าน ต่อมาก็ดีลขอให้เอาร้านไปประจำที่โรงแรม และขอเอาร้านอาหารไปลงที่ห้างสรรพสินค้า

“หนาม” นานหนนัทธ์จะเอ่ยชื่อน้องสักครั้ง 

นันท์นพินชะงักปลายมีดแกะสลักไว้ หันมามองพี่ชายพลางถอนหายใจแรงๆ

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่นัทธ์ นี่น้องพี่ ลื่นยังกะอะไรดี เอาตัวรอดสบายๆ”

“แกแน่ใจว่าเขาจะไม่รู้ หรือลืมไปแล้วว่าเขาพูดใส่หน้าเราว่ายังไงบ้าง”

นันท์นพินไม่เคยลืม จำได้ทุกอย่าง ยังเหมือนเพิ่งเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ คำพูดที่ฟังแล้วเจ็บมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งรู้สึกติดค้างในใจอยู่ตลอด

‘ทำไมพวกคุณไม่ตายๆ ไปเสีย พวกไม่รับผิดชอบต่อสังคม ควรพาครอบครัวตนเองไปตายให้หมด ลูกกับเมียผมผิดอะไร!’ 

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ยังเกาะแน่นในอกสาว ดวงตาสีแดงฉานจากความเสียใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังยังอยู่ในความคิดเสมอ ไม่จางหายไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีต่อกี่ปี

“รู้แล้วยังไง ไม่รู้แล้วยังไงคะ”

นันท์นพินวางน้ำเต้าลง หันไปมองพี่ชายสีหน้าจริงจัง “เขาสูญเสียเหมือนพวกเรา สูญเสียกว่าเราด้วยซ้ำ เป็นไปได้หนามอยากคืนทุกๆ อย่างให้เขาค่ะพี่นัทธ์”

ดวงตาของนัทธ์ไหววูบตอนที่ฟังคำพูดนั้น

ไม่ใช่เพราะคำพูดนี้หรอกหรือที่สองพี่น้องต้องทนทำงานงกๆ แม้ตาย นัทธ์จะไม่ยอมให้พ่อแม่ติดค้างหนี้ใครที่ไหนทั้งนั้น

‘ตะกูลเราแม้ไม่ใช่ผู้ดีเก่า ไม่เด่นดัง แต่ก็ปลูกฝังคุณธรรมมาตลอดนะนัทธ์ ป้าจะตายแล้วไปเจอหน้าบรรพบุรุษได้ยังไง แม้ตาย ป้าก็จะชดใช้ให้พวกเขาจนหมด แม้ป้าไม่ผิด ป้าก็จะรับผิดชอบ’ ป้าบอกกรอกหูตอนที่เขากลับมาจากต่างประเทศใหม่ๆ

แล้วพอน้องสาวพูดยืนยันหนักแน่น เขาก็เห็นด้วยโดยไม่กล้าแย้งสักคำ

“เรื่องของแก แต่...” นัทธ์สลัดความคิดในอดีตออกจากหัว แล้วมองน้ำเต้าที่น้องแกะสลัก “...นี่ฝีมือแกห่วยแตกขนาดนี้เลยหรือไอ้หนาม แกะสลักแบบนี้ริจะไปสอนเขาทำอาหาร ห่างมือห่างตีนพี่นานไปใช่ไหม”

พี่ชายเหน็บเนื้อน้องสาวจนส่งเสียงร้องโอดครวญ กระโจนหลบไปลูบสีข้างป้อยๆ ถูกเคี่ยวกรำและจิกตีจากน้ำมือพี่ชายมาแต่เด็ก จนตอนนี้ก็ยังไม่ชิน

“งั้นพี่นัทธ์ไปแทนสิ คนนี้รวยจริง รวยว่าเลยนะพี่ ได้กลิ่นไหม กลิ่นเงินล้วนๆ” น้องสาวโบกมือแรงๆ แถวจมูกของพี่ชายขี้งก

“เขาบอกให้แกไปสอนไม่ใช่หรือไง ช่วงนี้แกก็รับแค่งานนี้ งานอื่นไม่ต้องรับ เดี๋ยวมีปัญหาอีก”

“คนสวยก็งี้ นี่ขนาดยังไม่ได้บินไปเกาหลีศัลยกรรมเลยนะเนี่ย งานเอยเงินเอยไหลมาเทมา”

นันท์นพินยักไหล่ นึกว่าพี่ชายจะกัดไม่เลิกเรื่องหน้าตาของเธอ แต่ผิดคาด พี่ชายเพียงเดินมายกมือวางที่ศีรษะเล็ก แล้วเขย่าแรงๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้เธอแกะสลักต่อไป

หลังวุ่นวายอยู่ในครัวพักใหญ่ จนแขกด้านนอกซาแล้ว นันท์พินก็แบ่งพวกเครื่องแกงในครัวใส่กล่องกลับห้องแล้วตะโกนบอกพี่ชาย

“พี่นัทธ์ หนามกลับก่อนนะ”

“เดี๋ยวรอร้านปิด ฉันจะไปส่ง”

“ไม่ต้องๆ หนามติดรถคนรู้จักกลับคอนโดค่ะ ไม่ต้องห่วง ไม่เจอที่เปลี่ยว ไม่ผ่านที่แข่งรถแน่นอน” และคนรู้จักก็โทร. มาหลายสายแล้วด้วย ยิ่งโทร. เยอะเท่าไรก็ยิ่งบอกถึงระดับความโกรธาที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ

“ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน เป็นอะไรก็ให้รีบโทร. มาหาพี่ โทรศัพท์น่ะหัดเก็บเอาไว้ใกล้ตัว เกิดอะไรจะได้โทรมาได้ปุ๊บปั๊บ”

“ทราบค่ะ ไปแล้ว”

นัทธ์กำลังจะเอ่ยปากพูดอีก น้องสาวก็ผลุบออกจากครัว เขาเลยทิ้งครัวออกมามองร่างเล็กที่วิ่งลงบันไดหลังเรือนไทยทรงสวย ก่อนจะลัดเลาะออกจากตัวเรือนไป คนเป็นพี่ก็หันมาตะโกนบอกพนักงานในร้าน

“แกงไก่ ส่งคนตามไปดูไอ้หนามหน่อย มันกลับรถอะไร กลับกับใคร”

 

เสียงเคาะกระจกด้านข้างทำให้คนที่กำลังจะกดโทรศัพท์โทร. ออกอีกครั้งหันมามอง แล้วปลดล็อกรถ รอให้คนกรุ่นกลิ่นขนมหวานก้าวขึ้นมาในรถ พออีกฝ่ายคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็ค่อยๆ พารถแล่นออกจากหน้าเซเว่น

“ที่นัดเจอผมหน้าเซเว่นเพราะซ่อนใครเอาไว้ที่บ้าน” ทีปกรเอ่ยเสียงดุๆ บอกไม่ถูกว่างอนหรือเปล่า

“ซ่อนอะไรล่ะคะ พี่นัทธ์ดุยิ่งกว่าเสือ”

“กลัวพี่ แต่ไม่กลัวผม ผมไม่ดุงั้นสิ”

“ดุค่ะ แต่อันนี้อ้อนได้ อันโน้นน่ะยิ่งอ้อนยิ่งโดน”

คำตอบชวนให้อยากเห็นเวลาที่ถูกอ้อนว่าจะน่ารักแค่ไหน คิดแล้วทีปกรก็เอื้อมมือมากุมมือนิ่ม ทว่าทำเอาหญิงสาวสะดุ้งกระชากมือออก หันมามองพร้อมลดสายตาลงมองหน้าขาเขาอย่างตื่นๆ

“จะ...จะทำอะไรคะ”

ทีปกรแทบหลุดยิ้มขันท่าทีของอีกคน สงสัยเขาคงจะทำเกินไปมากจนอีกฝ่ายฟุ้งซ่าน

“ก็จับมือไง”

“จะ...จับไปทำไม”

“ก็เคยบอกแล้วว่าชอบจับ ชอบกอด ชอบจูบ”

“แต่หนามไม่ค่อยถนัดจับ”

ทีปกรหลุดขำออกมา ดวงตาพร่างพราวกำลังมองมาอย่างล้อเลียน นันท์นพินก็ยิ่งหน้าแดงเพราะความคิดลามกของตนเอง เมินหน้าหลบสายตาเขา แต่อายได้ไม่นานก็ต้องอายอีก เพราะพอติดไฟแดงปุ๊บ ทีปกรก็เอนกายมาจุ๊บหน้าผากมน ตามด้วยแอบหอมแก้ม

“รู้งี้ให้พี่นัทธ์มาส่งดีกว่า” ลูบแก้มขณะบ่นอุบอิบ

“ดีตรงไหน คุณต้องไปทำอาหารเย็น ผมหิว หิวมากด้วย”

ทีปกรเอนกายเข้ามากระซิบบอก ทำเอานันท์นพินชักไม่ไว้ใจ หิวอะไรกันแน่ ตาดูเจ้าเล่ห์ยังไงชอบกล

“วันนี้ค้างห้องผมนะ” ทีปกรบอกตอนที่วนรถเข้าจอดที่คอนโดเขาเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เอาค่ะ หนามไม่มีเสื้อผ้าใส่พรุ่งนี้ ไหนจะของใช้ส่วนตัวอีก มันยุ่งยากวุ่นวาย”

นันท์นพินหันมาฉีกยิ้มอย่างเป็นต่อหลังยกข้ออ้างประจำออกมาเป็นยันต์กันภัย ทว่าวันนี้รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากเขานั่นคืออะไร

“ไม่ยุ่งยากหรอก เมื่อตอนเที่ยงผมกลับมาขนข้าวของบางส่วนของคุณเอามาไว้ที่นี่แล้ว และบางชิ้นผมก็ซื้อเผื่อๆ ให้แล้ว จะได้ไม่มีแต่ผมคนเดียวที่ขนข้าวของหนีตามคุณ ป้ะ ลง”

ดูเหมือนว่าทีปกรจะรอบคอบมาก จัดการทำลายข้ออ้างเธอจนสิ้น ตอนนี้นันท์นพินเลยหมดหนทางหนี ต้องตามเขาขึ้นห้อง 

ยังไงเสียก็มีสัญญาทำอาหารเช้าเย็นให้เขาอยู่ดี

เพราะวันนี้นันท์นพินเอาพวกพริกแกงมาจากครัวคุณนัทธ์ เธอเลยลงครัวแบบจัดเต็ม ทำแกงเผ็ดเป็ดย่าง แสร้งว่า และน้ำพริกผักแกะสลัก เป็นอาหารเย็นที่เลตมามาก

“ผักนี่คุณเอามาจากครัวพี่ชายคุณนิ”

ยังรู้อีก อุตส่าห์แอบเอาออกจากถุงแท้ๆ 

นันท์นพินบ่นอุบในอกเพราะความช่างสังเกตของอีกฝ่าย นี่คงเห็นหมดแล้วสิว่าเธอขนอะไรออกมาจากครัวที่บ้านบ้าง

“หนามไปยืนแกะสลักมาเองกับมือ จะเอามาก็ไม่เห็นแปลก ครัวนั้นนอกจากหนามแล้ว ไม่มีคนแกะสลักสวยเท่าหนามหรอก” โอ้อวดตบท้าย

แต่ดูเหมือนว่าลูกค้าวีไอพีของเธอจะไม่ค่อยพอใจเท่าไร กลัวเธอย้อมแมวขาย เลยเลื่อนจานผักออกห่าง ยกแต่อาหารจานอื่นขึ้นโต๊ะ นันท์นพินก็ร้อนตัวรีบอธิบาย

“หนามเอามีดแกะสลักมาแล้ว ครั้งหน้าจะแกะสลักที่นี่เลยค่ะ ไม่ได้โกงค่าอาหารคุณทีปเลยนะคะ”

“เอาเหอะๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าไส้กรอกเหี่ยวที่คุณเคยเวฟ”

“แค็กๆ”

เธอไม่อยากทะลึ่ง แต่สมองคิดถึงอีกไส้กรอกที่เคยจับ แล้วก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นทันทีที่เห็นอีกคนมองมาอย่างจับผิด ทั้งเอ่ยเรียบๆ เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ของผมไม่เหี่ยว เคยจับแล้ว”

โอ๊ย! เธอน่าจะใส่พริกเผ็ดๆ ลงในอาหาร เขาจะได้ไม่ปากดีแบบนี้ แล้วสายตากรุ้มกริ่มนั่นคืออะไร ถามจริง

นันท์นพินชักอยู่ไม่สุข อยากจะกลับห้องเสียตอนนี้

“หรือลืมแล้ว ผมจะให้จับใหม่”

“หนามไม่จับ ทุกวันนี้หนามไม่กล้าเอามือไปทำอาหารเลย แค่แกะสลักผักยังต้องใส่ถุงมือ”

แบมือออกมองราวกับมีอะไรประหลาดอยู่ในอุ้งมือ ทีปกรเลยยกมือนุ่มๆ แนบแก้มเขา และจุ๊บลงกลางฝ่ามือ

‘กรี๊ดแม่จ๋า คนนี้น่ารักๆ’ 

ท่าทีแบบนั้นทำเอานันท์นพินอยากกรีดร้อง ทุรนทุราย ขวยเขินเสียตรงนี้ แต่ที่ทำได้คือนั่งอายเงียบๆ

“หมกมุ่นละสิ”

“บ้า! คุณทีปนั่นแหละมาทำให้หนามคิด รู้ไหมหัวใจหลักของการทำอาหารคือความสะอาด หนามคอยคิดแต่ว่ามือหนามสกปรก”

และพอคิดแบบนี้ก็คิดถึงเขาทุกครั้งไป แล้วหัวใจก็ทำงานหนัก เพราะมันจะเต้นระส่ำเสมอที่คิดถึง

“ผมสกปรกตรงไหนกัน อาบน้ำสะอาดสะอ้านทุกส่วน ตรวจสุขภาพประจำปีทุกครั้ง ไม่มีโรคติดต่อด้วยซ้ำ”

ว่าแล้วก็ขยับกายเข้ามาชิดตลอดด้านหน้า โอบเอวบาง วางนาบฝ่ามือลงที่ก้นงอน โน้มหน้าลงจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ไหวระริก และเห็นว่าเธอยังเป็นกังวลอยู่จริงๆ

“คุณเคยเก็บขยะของคนอื่นบ้างไหมล่ะ”

นันท์นพินพยักหน้า ดึงสายตาออกจากดวงตาเข้มนั้นไม่ได้ ดวงตาเขาสวยมาก แพขนตายาวเรียงเป็นแผง จมูกก็โด่ง ตัวก็สูงจนเธอต้องแหงนมอง

“เห็นไหมก็คล้ายกัน คุณสามารถเก็บขยะที่คนอื่นทิ้งลงถังได้ คุณก็ยังทำอาหารได้ปกติ”

“แต่อันนั้นหนามก็ล้างมือนิคะ”

“ก็เหมือนกัน แต่ที่หนามสลัดความรู้สึกเหล่านี้ไม่หลุดเพราะหนามคิดถึงผมไปด้วย ไม่ต้องหมกมุ่นเรื่องนี้หรอก ผมจะสอนหนามทุกอย่าง”

‘แล้วไม่ถามเธอบ้างหรือว่าอยากเรียนไหม’

อยากร้องบอกแบบนั้น แต่ที่ทำได้คือรีบเบี่ยงหน้าหลบเมื่อปากเข้มโฉบเข้ามาใกล้ ปากเข้มเลยแนบลงที่แก้ม ทีปกรเพียงหัวเราะลงลึกในลำคอเท่านั้น ก่อนยอมปล่อยอีกคน 

จากนั้นทั้งสองก็เริ่มลงมือรับประทานอาหาร แล้วช่วยกันเก็บครัวล้างจานด้วยความมุ้งมิ้งนัวเนียกันสุดๆ พอปลีกตัวออกจากครัวได้ นันท์นพินก็แอบเข้าไปอาบน้ำก่อน ซึ่งเห็นว่าทีปกรเตรียมแปรงสีฟันกับเครื่องสำอางให้เธอพร้อม เมื่ออาบน้ำแล้วก็เลือกมานั่งที่โซฟาในห้องนอน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามปกติ ขณะที่ทีปกรตามเข้ามาและหายเข้าห้องน้ำไป

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานันท์นพินเรียนหนัก งานก็เยอะ เธอเลยไม่ค่อยได้เช็กข่าวคราวในโทรศัพท์ นอกจากข้อความจากทีปกร และคอยรับโทรศัพท์จากเขา แจ้งเตือนอื่นๆ ก็รูดผ่านไปก่อน วันนี้ระหว่างรอเข้านอนก็เลยเช็กเรตติงและผู้ชายในไอจีสักหน่อย เห็นมีไดเรกเมสเสจในไอจีเยอะมาก

“เข้านอนกันเถอะ”

ทีปกรออกมาตอนไหน นันท์นพินไม่ทันมอง ตอนนี้เขามายืนอยู่ต่อหน้าเธอ สวมเพียงกางเกงนอนขายาวตัวเดียว เพียงเธอเหลือบตาขึ้นเห็นกล้ามหน้าท้อง โทรศัพท์ก็แทบร่วงจากมือ

“คุณนอนชุดนี้หรือคะ”

จำได้ว่าครั้งก่อนชุดนอนเขารัดกุมกว่านี้ อย่างน้อยก็มีเสื้อด้วย แม้ตอนเช้าเขาจะถอดออกจนหมดทั้งของเธอและของเขา ทำเอาเธอประดักประเดิดแทบแย่ แต่พอเสร็จกิจ นันท์นพินจำว่าตนเองหายเข้าห้องน้ำไปเลย ออกมาเขาก็หายไปจากห้อง คงไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องของนัทธ์ แล้วยังใจดีออกมาทำไข่เจียวใส่ผักให้เธอในตอนเช้าด้วย แต่อย่างน้อยตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้เธอได้อาย เพียงกินข้าวแต่เช้าหน่อยแล้วส่งเธอไปมหาวิทยาลัย

“ไม่ เดี๋ยวผมจะถอดแล้ว”

พอได้ยินคำตอบเขา นันท์นพินถึงกับทำโทรศัพท์ร่วง โชคดีที่ทีปกรคว้าเอาไว้ได้ทัน ตอนนั้นถึงเห็นว่าหญิงสาวนั่งอ่านอะไรอยู่ ข้อความที่ส่งมาส่วนมากส่งมาจีบทั้งนั้น ขนาดขอแต่งงานก็มี แม้แต่ซื้อบริการก็มี และบางคนบอกสาเหตุว่าที่อยู่ๆ นันท์นพินฮอตฮิตขึ้นมาได้เป็นเพราะเพจเจ้าหญิงแม่ครัวคนสวยถูกปิด คนที่ตามในเพจนั้นเห็นรูปที่เธออัปลงไอจีวันนั้น เลยไปบอกบุญสมาชิกคนอื่นๆ ว่าเธอเล่นไอจีนี้ หนุ่มๆ เลยแห่กันมาเพียบ

“คนมันสวยน่ะคะ เลยมีคนจีบเยอะหน่อย ดีนะที่หนามสนใจคุณ”

“ถ้าสนใจผม งั้นเรามาทำอะไรจริงจังขึ้นอีกหน่อยไหม”

นันท์นพินฟังแล้วแทบหงายหลังตกเก้าอี้ ลุกจากเก้าอี้ได้ก็ถอยไปยืนหลังเก้าอี้มองเขาหน้าตาตื่นเต็มทน

“ทะ...ทำอะไรล่ะคะ”

“ทำความสนิทสนมมากขึ้นกว่านี้”

เท่าที่เป็นนี่คือไม่ได้ใกล้ชิดกันเลยละสิ ประชดอยู่ในอก เพราะเช้าเจอกัน เย็นเจอกัน ตกดึกนอนร่วมเตียงกันขนาดนั้น 

มากกว่านี้นันท์นพินก็คิดไม่ออกว่าคืออะไร นอกจากแต่งทำเมีย

“คุณควรเรียนรู้ผมทั้งตัวและใจ และผมก็อยากเรียนรู้คุณทั้งตัว และใจด้วยเหมือนกัน”

“แต่...”

“ผมโตแล้วนะครับ อายุสามสิบหกปีแล้ว ผ่านการมีครอบครัวมาแล้วด้วย ผมอยากมีความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่ และศึกษากันไปจนกว่าจะถึงขั้นที่มันควรจะเป็น ผมไม่มีเวลาให้กับความรักใสๆ นั่งจับมือเอาแต่มองตากัน เข้าใจใช่ไหม”

‘ไม่! ไม่เข้าใจ’ นันท์นพินอยากตะโกนบอกแบบนั้น

“ดังนั้นคุณควรรีบๆ ทำตัวให้คุ้นชินกับการที่จะเรียนรู้ผม และการที่ผมจะเรียนรู้คุณ”

ทีปกรกวักมือเรียกนันท์นพินที่หลบอยู่หลังโซฟา ทำท่าทางเหมือนเด็กถูกรังแก ซึ่งเขาก็จะรังแกเธอจริงๆ

“ผมจะใจเย็นให้มาก จนกว่าคุณจะพร้อม โอเคไหม”

“แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราอยู่ขั้นไหนแล้วล่ะคะ”

นันท์นพินกลั้นใจถามอย่างชั่งใจ ก็เคยนอนร่วมเตียงกับทีปกรมาแล้ว เขาเคยพาเธอทำเรื่องส่วนตัวของเขามาแล้ว แต่มันจะกระจ่างมากขึ้น ถ้าเขาจะมาทำความรู้จักสนิทสนมมากกว่านี้

“คุณจีบผม เรากำลังดูๆ กันอยู่”

คำตอบไม่ได้ต่างจากที่นันท์นพินคิดเอาไว้เท่าไร จำได้เสมอว่ามาตรฐานของคนที่ตามจีบเขานั้นต่ำต้อยมากแค่ไหน

“งั้นหนามขอสามเดือนที่จะไม่ร่วมเตียงกัน ไม่ไปยุ่งๆ อะไรบนเตียงทั้งนั้น”

คนตัวโตที่ยืนต่อรองยืดกายตรง มองอีกฝ่ายอย่างประเมินอยู่ครู่หนึ่ง รู้ว่าหนูน้อยขนมหวานของเขากลัว และกำลังจะถอยหนี

“หลังสามเดือน ร่วมเตียงนี่กินความหมายไปถึงไหนได้บ้าง”

หน้าของนันท์นพินแดงระเรื่อขึ้นทันตาเมื่อถูกรุกไล่อย่างนี้ และทีปกรก็ใจเย็นรอดูปฏิกิริยาอีกฝ่ายที่จะกระโจนลงหลุมที่ตนเองขุด โดยที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย

“ก็...ก็แล้วแต่ที่มันจะเป็นไป”

ทีปกรอดยกยิ้มออกมาไม่ได้ “ผมให้แค่สามอาทิตย์”

“เอ่อ...” ตอนบอกสามเดือนนี่นันท์นพินก็ยังคิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำ แต่ทีปกรกลับย่นระยะเวลาเข้ามาอีก แต่เมื่อตกลงกันอย่างผู้ใหญ่แล้ว เธอก็จำต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วย

“ก็ได้ค่ะ งั้นวันนี้...”

“วันนี้นอนนี่ พรุ่งนี้ค่อยเริ่ม”

นันท์นพินหน้าซีดอีกเท่า คิดจะหนีไปจากสถานการณ์อึดอัดก็ถูกเขามัดมือชกจนดิ้นไม่หลุด 

ทีปกรเดินไปเลิกผ้าห่มออกแล้วทิ้งกายลงนอน ทั้งยกยิ้มไม่ให้อีกคนเห็น

‘เด็กน้อย ไม่นอนร่วมเตียง คิดว่าจะทำอะไรไม่ได้หรือไง ใครบอกว่าบนเตียงคือคำตอบสุดท้ายวะ’

ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะกินเด็กเร็วหรอก แค่อยากให้ปรับตัวเข้าหากัน แต่เจ้าตัวดันมาเสนอเองแบบนี้ ทีปกรเลยมีความหวังขึ้นมาจนหยุดดีใจไม่ได้

‘สามอาทิตย์ก็สามอาทิตย์สิวะ’

 

วันนี้นันท์นพินสั่งคนที่ร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์ให้เอาขนมใส่ตะกร้ามาส่งที่มหาวิทยาลัย ตั้งแต่มีเรื่องเพจเจ้าหญิงแม่ครัวคนสวยคราวนั้น หญิงสาวยังไม่ได้ขอบคุณพีชญ์อย่างจริงจังเลย วันนี้พอมีเวลาว่างนิดหน่อยเลยคิดว่าจะแบ่งเวลานี้ไปขอบคุณเขาเสีย  จะได้ไม่ติดค้างกัน

“หนามไม่เห็นต้องลำบากทำแบบนี้เลยนะครับ จริงๆ พี่ต่างหากที่ควรบอกหนามให้เร็วกว่านี้”

พีชญ์คือเดือนมหาวิทยาลัย เดือนคณะวิศวะ รูปหล่อพ่อรวย สาวๆ คลั่งมาก และทั้งมะปรางและจุรินทร์ต่างบอกว่าพีชญ์จีบเธอ แต่นันท์นพินไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรทำนองนั้น เลยวางใจที่จะพูดคุยด้วย

“ไม่ได้หรอก ถือเป็นน้ำใจจากหนามก็แล้วกันนะ หนามซึ้งใจมาก เหตุการณ์นั้นไม่ค่อยดีสำหรับหนามเลย ตอนนี้เห็นใครถือกล้องยืนใกล้ หนามก็ระแวงไปหมดแล้ว”

“พี่จะคอยสอดส่องให้อีกแรง หนามไม่ได้ออกทีวี ไม่ได้อัปรูปแล้ว ไม่นานเดี๋ยวกระแสมันก็จะซาไปเอง”

“พี่นัทธ์ให้งานอื่นหนามมาแล้วค่ะ รับรองไม่ได้ออกหน้ากล้องอีกแล้ว เป็นคนดังนี่ไม่ค่อยดีเลย”

พีชญ์แทบจะตัวลอยอยู่แล้วเพราะขนมตะกร้าใหญ่ และอีกฝ่ายยังยอมมาคุยกับเขา เพราะทุกทีต้องมีแต่เรื่องสั่งขนม หรือสั่งจัดงานปาร์ตีเท่านั้น นันท์นพินถึงยอมคุยด้วย   เขาพอรู้ว่านันท์นพินสงวนท่าทีกับผู้ชายแทบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เขา เลยไม่อยากบุ่มบ่ามทำให้อีกคนขีดเส้นกั้น

“หนาม ได้เวลาเรียนแล้ว ให้ไวๆ” มะปรางเร่งเพื่อน

“หนามขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณพี่พีชญ์อีกที”

นันท์นพินกล่าวลาแล้วแยกตัวออกไปหาเพื่อน แต่พีชญ์ก็ยังวิ่งตามมา

“หนามครับ พี่พีชญ์ขอเบอร์โทร. ได้ไหม เบอร์เก่าพี่โทร. ไม่ติดแล้ว เผื่อจะโทร. ไปคุยด้วย”

ชายหนุ่มเห็นว่ามีจังหวะที่จะสานสัมพันธ์ต่อ และเพื่อนของนันท์นพินก็แทบกรีดร้อง นานทีคนหล่อจะตกถึงท้องบ้าง แทบจะผลักนันท์นพินออกมาหาพีชญ์กันเลยทีเดียว

“เบอร์ทางร้านหนามได้เลย หรือเพจเรือนคุณนัทธ์ก็ได้ค่ะ”

คำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนจนพีชญ์แทบท้อใจ ตอนแรกก็มีเบอร์ มีไลน์ มีเฟซบุ๊กของนันท์นพินพอให้อวดเพื่อนได้บ้าง แต่อยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนเบอร์ แล้วเขาเหมือนถูกบล็อกจากทุกช่องทางการติดต่อโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พีชญ์คิดว่าไม่นานหรอกเขาจะจีบอีกฝ่ายติดแน่นอน จึงได้แต่หยุดยืนมองหญิงสาวที่แยกไปเข้าเรียน

“ถามจริงไอ้หนาม พี่พีชญ์หล่อขนาดนั้นทำไมไม่ยอมคบๆ ไป” จุรินทร์อดสงสัยไม่ได้

“ก็ไม่ได้ชอบ”

“แบบไหนล่ะจ๊ะคุณนายถึงจะชอบ พี่พีชญ์นี่ก็ถือว่าหล่อมาก รวยมาก เก่งมาก ที่สุดของที่สุดแล้วในมหา’ ลัยนี้”

มะปรางทำท่าทางเคลิ้มยามพูดถึงพีชญ์

“เอาไว้ฉันจีบติดก่อนจะพามาให้รู้จัก ตอนนี้จีบไม่ติด จีบยาก เล่นตัวเก่ง”

นึกถึงทีปกรแล้วนันท์นพินก็มีอาการทดท้อ จีบยาก แถมเอาเปรียบเธอสารพัด เจอกันทีเธอไม่ถูกลวนลามนี่ถือว่าแปลกมาก แล้วเขาก็ชอบให้เธอนั่งตักประจำ บางทีเขาดูบอลก็ให้เธอนั่งตัก ตอนแรกๆ ก็เกร็งอยู่หรอก หลังๆ ชักชิน นั่งเล่นโทรศัพท์จนเผลอหลับคาอกเขาก็มี จนเขาไล่ไปนอนก็เคย หรือถ้าหลับที่ห้องเขา เขาจะปลุกแล้วขับรถมาส่งห้อง

“ใคร ใคร บอกเพื่อนมาซะดีๆ ไอ้หนาม แกชอบคนแบบไหน นอกจากเงินฉันยังไม่เคยเห็นแกชอบใครเลย” มะปรางชะโงกหน้ามาใกล้ จุรินทร์เองก็หันมามองเขม็ง โชคดีที่มีเรื่องอื่นมาดึงความสนใจของเพื่อนไปเสียก่อน

“พวกแกๆ อาจารย์พราวถูกรถชนเข้าไอซียู วันนี้เขาเลยให้อาจารย์คนใหม่มาสอนแทน ไม่รู้วันนี้จะเรียกว่าเรื่องดีหรือร้ายว่ะ” คนหนึ่งตะโกนมาจากหน้าชั้น

“อะไรของแก โชคดีสิ อาจารย์ไม่ได้สอน เอ๊ย! โชคร้ายสิ อาจารย์เจ็บหนัก” จุรินทร์ตะโกนจากด้านหลัง

“แต่ได้ข่าวว่าอาจารย์คนใหม่หล่อวัวตายควายล้ม”

เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนบรรยายสรรพคุณ ขณะที่เพื่อนๆ ทุกคนเงียบกริบ ปล่อยให้เพื่อนสาธยายไป

“อาจารย์ที่ปรึกษาของเรายังชมเลย แกเอ๊ยๆ พระเอกจีนที่พวกแกชอบ อี้ป๋อ เสี่ยวจ้านชิดขอบ คนนี้งานดี งานประณีต”

“ขอบคุณครับนักศึกษาที่ชม จริงๆ ควรชมพ่อแม่ผมมากกว่าที่สร้างผมมาให้หน้าตาดีขนาดนี้”

เสียงอาจารย์ดังแทรกมา ทำเอาเพื่อนๆ ในห้องโห่ร้องใส่เพื่อนตัวดีที่รีบเผ่นแน่บหาที่นั่งแทบไม่ทัน ขณะที่นันท์นพินตะลึงมองอาจารย์คนใหม่ ไม่วายแอบถ่ายรูปเขาแล้วส่งต่ออย่างไว

“สวัสดีครับ ผมณวพล ทีประเสริฐ”

“ไอ้หนาม งานดีมากเลยแก อยากได้วาร์ป” จุรินทร์กระซิบกระซาบ นัยน์ตาเป็นประกาย

“ฉันมี”

“เพื่อนขอ” สองสาวรีบออเซาะ เกาะแขนนันท์นพินแทบไม่ทัน 

หญิงสาวมองอาจารย์หนุ่มหล่อที่วางมาดโหดคนนี้แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ “แต่มีข้อแม้ พวกแกต้องบอกคนอื่นว่าอาจารย์เขาชื่อเล่นว่า ‘พี่นา’ นะ”

“ชื่อพี่นา ”

แม้ชื่อจะขัดกับหน้าตาอยู่สักหน่อย แต่สองสาวก็รับคำ ก่อนที่นันท์นพินจะแชร์ลิงก์ให้เพื่อน ไม่นานข่าวที่อาจารย์ชื่อเล่นว่า ‘พี่นา’ ก็ลามไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง

           

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น