12

ตอนที่ 12

12

 

นันท์นพินหอบหายใจแรง มองคนตัวโตที่ควานมือหาบางอย่าง ดวงตาคู่สวยฉ่ำไปด้วยความสุขที่ยังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง และจู่โจมสมองให้มึนเมา จนไม่รู้ว่าทีปกรบอกอะไร

ร่างกำยำกลับมาอีกครั้ง ดวงหน้าเข้มจัดของทีปกรลอยอยู่ตรงหน้า เขายิ้มนิดๆ 

ตัวเขาโตมากเมื่อเทียบกับเธอแบบนี้ เขาดูแข็งแกร่ง ขณะที่เธอดูเล็กจ้อยลงไปมาก

“คุณใช้แค่มือยังบ่นไม่หยุด” เสียงเขาฟังดูพร่าจนแทบเป็นกระซิบ

นันท์นพินดึงสายตาที่เต็มไปด้วยความสุขลดลงไปมองที่ริมฝีปากเขา ยกมือสั่นๆ แทบไม่มีเรี่ยวแรงแตะที่ริมฝีปากได้รูป ไล้เบาๆ เขาก็โถมกายเข้ามาทาบทับ แทรกสะโพกเพรียวเข้ามาชิดต้นขาด้านใน

และตอนนี้จึงรับรู้ได้ถึงความคิดของทีปกร เมื่อส่วนปลายร้อนจัดแทรกลงมานิดหนึ่งสร้างความเจ็บแปลบ

“ขอผมเถอะนะ สามอาทิตย์นานเหมือนสามปีแน่ะ”

ปากได้รูปแนบลงมาบดชิดกลีบปากแดงระเรื่อของนันท์นพิน พอดีกับเสียงกรีดร้องเบาๆ ตอนที่เขาทำลายพรหมจารีของเธอลง

นันท์นพินดิ้นต่อต้านความแปลกปลอมที่เบียดเข้ามา แต่เพียงขยับตัวก็ดูเหมือนจะเปิดทางให้เขาเข้ามาเติมเต็มจนหมด

“อื๊อ” คนตัวเล็กงับปากเขาเอาไว้ สองมือจิกเข้าที่อกแกร่ง ระบายความเจ็บทั้งครางบอกเขา

“เจ็บ”

“นิดเดียว”

สีหน้าของทีปกรดูทรมานไม่ต่างจากเธอสักเท่าไร ไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่เจ็บปวดราวร่างจะแยก

ชายหนุ่มยอมให้อีกคนจิก ทึ้ง กัดขณะรอให้เขาและเธอปรับตัวเข้าหากันได้ จนความเจ็บปลิวหาย และแทนที่ด้วยความอ่อนหวาน

พอร่างกายชินกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทักทาย นันท์นพินก็ผ่อนลมหายใจออกมา ปล่อยรวงปากที่งับดึงไว้ จดจ้องดวงตาที่เต็มล้นด้วยความปรารถนา

“นิดเดียว”

อะไรที่นิดเดียว เหมือนถูกจับแยกร่าง

“ไม่เจ็บๆ”

ไม่เจ็บที่ไหน นี่เจ็บมากๆ จนชาไปหมดแล้ว

แม้ทีปกรจะปลุกปลอบแค่ไหนก็ไม่บรรเทาความจริงที่นันท์นพินเผชิญหน้าได้เลย ก่อนจะถูกปลุกเร้าด้วยจูบเรียกร้องที่แนบลงมาปั่นป่วนอารมณ์ ดูดกลืน สัมผัสกระตุ้นเร้าในทุกๆ ที่จนนันท์นพินยอมรับเขาเข้ามาอย่างเต็มใจ

และพอยินยอมพร้อมทั้งกายใจแล้ว ความเจ็บก็แทบจะไม่มี มีเพียงความแปลกปร่าเข้ามาท่วมท้น

ทีปกรขยับกายเชื่องช้าในตอนแรก ทำซ้ำๆ ให้แน่ใจว่าเธอรับเขาได้ทั้งหมด 

นันท์นพินเห็นหน้าผากเขามีเหงื่อกาฬแตกพล่าน แปลว่าเขาเอาใจใส่เธอมากๆ อดทน ไม่ผลีผลามเอาแต่ได้ลำพัง อดยกมือขึ้นประคองดวงหน้าหล่อเอาไว้ไม่ได้ เห็นปลายลิ้นชื้นผละจากยอดสีชมพู เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงหน้าสวยก็แดงซ่านขึ้นมาอีก

“เป็นแฟนกันได้แล้วใช่ไหมคะ”

นาทีนี้ขอเป็นมากกว่านี้ทีปกรก็ยกให้หมด ชายหนุ่มขยับกายขึ้นมาจุมพิตปากอิ่ม บดเคล้าความอ่อนนุ่ม สองมือโอบอุ้มทรวงอวบเอาไว้เต็มกำ ขยับกายเป็นท่วงทำนองสม่ำเสมอ รู้สึกดีจนหูอื้อตาลาย ไม่เคยเต็มอิ่มกับบทรักทั้งกายและใจเหมือนที่ทำกับนันท์นพิน

“อยากเป็นไหมล่ะ” เสียงปนหอบเมื่อความต้องการทะยานขึ้นสูงจนเขาไม่อาจจะทัดทาน

นันท์นพินพยักหน้า ทั้งทำเสียงน่าอับอายในลำคอเมื่อสองมือแกร่งกระชับที่สะโพกอิ่ม เพิ่มจังหวะหนักขึ้นจนร่างสาวสะท้านสั่น

“คุณจะได้เป็น”

คำตอบที่นันท์นพินได้ยินไม่ชัดนัก เพราะความทรมานที่ครูดผ่านเร็วราวกับไฟเผากาย ก่อเกิดบางอย่างเกาะเป็นเกลียวหมุนวนในช่องท้อง ก่อนจะทะยานพุ่งขึ้นไป เพียงทีปกรเข้ามาเติมเต็มถี่ๆ เธอก็เอนกายหยัดขึ้น เหมือนมีบางอย่างระเบิดเปรี้ยงข้างหู ทุกอย่างสว่างวาบไปหมด

“รอผม”

คนสั่งขยับกายหนักเน้นเข้ามา เธอรับรู้ถึงตัวตนเขาที่ร้อนจัดและแข็งขึง ก่อนที่เขาจะคำรามสุดเสียง ร่างของเขาขยับถี่ๆ ก่อนเกร็งทั้งร่าง

นี่คือการพบพานความสุขสมอันอิ่มเอมครั้งแรกสำหรับนันท์นพิน ขณะที่มันคือการพบจุดสุดยอดที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของทีปกร เขาหอบหายใจแรงซุกหน้ากับซอกคอหอม ปากกัดย้ำผิวอ่อนตรงนั้นเบาๆ สองมือรัดเอวบางเอาไว้แน่น

“เราทำเวลาได้ดี” เสียงยังเหนื่อยหอบตอนที่คนตัวโตเบี่ยงกายออก 

นันท์นพินพลิกกายตะแคง ป่ายขาออกไปเล็กน้อย เพราะความซ่านเสียวยามเสียดสีกันยังคงอยู่ จนอดเขินอายไม่ได้

“อีกทีนะ ยังไม่พอเลย”

ดวงหน้าคนพูดวางนาบอยู่ที่พวงแก้ม แต่นันท์นพินไม่มีแรงจะหันไปมอง ทุกอย่างอื้ออึ้งไปหมด และอบอวลไปด้วยความสุข

ฝ่ามือแกร่งกระชับเข้าที่บั้นท้ายงอนๆ ตอนคนที่เพิ่งปลดปล่อยขยับมา ถูไถแล้วไถลตัวตนเข้าเติมเต็ม ทำเอานันท์นพินสะดุ้งเฮือก

“คุณทีป หนามต้องไปเรียนนะ”

“ผมไม่ได้น่ากลัวเหมือนรถสิบล้อนะครับ ชนแล้วไม่แบน ไม่ตาย”

มันก็จริง แต่เรี่ยวแรงที่เขาทำ สองแขนที่รัดเอวบาง ดึงรั้งเธอเข้ามาชิดตลอดด้านหน้า ต้นขาแกร่งดุนดันต้นขาอ่อนให้อยู่ในท่วงท่าที่คนตัวโตจะทุ่มท่วงตนเองเข้าหาอย่างไม่ต้องอดกลั้น จังหวะรักที่เริ่มต้นด้วยความสม่ำเสมอ หนักหน่วง ดังสะท้านห้อง คนที่เพิ่งตะแคงข้างถูกผลักให้คว่ำลงกับที่นอน

นันท์นพินคิดไม่ถึงว่าคนเราจะทำรุนแรงกันได้แบบนี้ แต่ไม่มีความเจ็บปวด กลับมีแต่ความอึดอัดที่แสนซาบซ่านและสุขสม

“คุณทีปพอหรือยังคะ” คนตัวเล็กกรีดร้อง สองมือกำผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อถูกร่างหนาถาโถมจนร่างไถล ถ้าประมาทนี่มีหวังตกเตียงได้

“อีกนิด”

นันท์นพินไม่รู้ว่าอีกนิดของเขานั้นแค่ไหน ตอนที่เขาเพิ่มจังหวะ เสียงหอบหายใจเขาแรงขึ้น เธอโผนทะยานขึ้นเกาะดวงดาว มีเขาเกาะกอดกกแน่น ดูแลและปรนนิบัติอย่างดี

 

นันท์นพินถูกปลุกอีกครั้งหลังจากหลับไปในสภาพไหนไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าลืมตาตื่นหลังทีปกรปลุกด้วยการตบเบาๆ ที่บั้นท้าย

“หนาม ถ้าคุณไม่ตื่น ผมว่าคุณจะสายแล้วนะ”

“หนามขออีกห้านาทีนะคะพี่นัทธ์” เอ่ยงึมงำพร้อมซุกตัวเข้าหาผ้าห่มที่ห่อรอบตัว 

ทีปกรยกยิ้มตอนที่โน้มหน้าลงมากระซิบข้างใบหูบางใส “คุณให้พี่นัทธ์รักคุณจนเตียงยุ่งยับแบบนี้หรือ”

คราวนี้คนที่ไม่อยากลุกจากเตียงปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือแสงสว่างที่สาดเข้ามาในห้องนอน และต่อมาคือคนตัวโตในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็กสีเทา ผมหวีเรียบ ดวงหน้าหล่อดูอิ่มเอิบจนตาพร่าไปหมด

“ตื่นไหม หรือวันนี้คุณจะไม่เข้า ผมจะบอกไอ้นะลาให้”

นันท์นพินซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม ก่อนจะห่อตัวเองเอาไว้ โผล่ออกมาแค่ใบหน้า ตอนที่ลุกนั่งยังรู้สึกเจ็บนิดๆ ที่กลางกาย และบั้นเอว

‘ตรงไหนมันนิดเดียว ไม่มีอะไรนิดเดียวอย่างที่เขาบอก’ นันท์นพินค่อนขอดอยู่ในอก

“กี่โมงแล้วคะ”

“หกโมงครึ่ง”

คนที่ห่อตัวเองจนกลมกลางเตียงพยักหน้าหงึกๆ คลานไปอีกฟากก่อนจะก้าวลงยืน ครางเบาๆ แล้วหันมามองทีปกรตาขวาง

“คุณโกหกหนาม ไหนว่านิดเดียว หนามเจ็บจนจะเดินไม่ได้แล้ว”

ทีปกรลดสายตาลงมองที่รอยแดงออกคล้ำบนผ้าปูเตียง เลื่อนสายตาไปมองคนอายในห่อผ้าห่ม ความรู้สึกเข้มข้นบางอย่างก่อในอกเขา ทั้งหวงแหนและภูมิใจในความสาวที่นันท์นพินมอบให้

“ผมดูให้อีกดีกว่าว่าอาการหนักไหม ก่อนนอนก็ดูให้แล้วแท้ๆ”

ทีปกรเดินอ้อมเตียงมา พับแขนเสื้อ เท้าเอวต่อหน้าอีกคน นันท์นพินก็เบิกตาโต แทบตะโกนออกไปว่า

ไอ้คนบ้าลามก มาแอบดูอะไรตอนเธอหลับ 

แต่เมื่อมองไปยังเตียงยับยุ่งก็ต้องถอนหายใจอย่างทำใจ เขากับเธอทำมากกว่าเรื่องแอบดูลับๆ นี่ เอาเถอะ เธอต้องทำใจให้ชิน แต่ชินในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าชินวันนี้อย่างแน่นอน

“มะ...ไม่ต้องค่ะ คุณทีปไป...ไปเตรียมอาหารเช้าให้หนามทีนะคะ”

“ผมดูให้ดีกว่า คุณอาจจะมองไม่เห็น”

นันท์นพินอยากกรีดร้องเสียงหลงจริงๆ อีตาทีปกรนี่เป็นนักธุรกิจที่อายุเยอะกว่าเธอเป็นสิบๆ ปีจริงสิ รั้นที่หนึ่ง

“ร่างกายหนาม หนามดูเองได้”

“ก็ผมเป็นห่วง”

คนตัวโตกอดอก ลดสายตาลงมองตรงจุดที่เป็นหัวข้อสนทนา เขาก้าวเข้ามาอีกก้าว นันท์นพินก็ถอยหนีอีกก้าว เมื่อคืนขนาดแค่ค่อนรุ่งก็จัดไปหลายยกจนเธอตาลาย นี่ถ้าเขามาดูแล้วหน้ามืดตาลายอีกเล่า...

...เดินไม่ได้แน่ๆ คราวนี้

“ถ้าห่วงจริง เมื่อคืนควรหยุดตั้งแต่แรกแล้ว”

ทีปกรหลุดหัวเราะใส่หน้าคนช่างเถียง โน้มหน้าเข้ามาจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากมนที่แดงระเรื่อไปทั่ว

“เอาละ ผมจะทำออมเลตให้ดีไหม”

“ไม่เอา หนามไม่ชอบไข่เละๆ”

“ผมลืมไป” คนพูดยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนตอนเอ่ย “คุณชอบไข่แข็ง”

นันท์นพินถลึงตาใส่เขาแทบไม่ทัน แล้วก่นด่าคนหน้ามึน เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนกันนะ ทุกทีออกจะดุ แล้วคุณทีปกรเวอร์ชันนี้เธอไม่ชินด้วยสิ ขี้เล่น ขี้แกล้ง น่ารักเหมือนทีปกรสามขวบเลย

ทีปกรเห็นอีกคนอายจนแทบสุกไปทั้งตัวเลยไม่อยากแกล้งอีก แต้มจูบเบาๆ ลงที่แก้มใสแล้วสวมกอดแน่นๆ หนึ่งที

“ไข่เจียวผักนะ อาบน้ำ แต่งตัวแล้วรีบตามออกไป ถ้าช้า ผมจะเข้าไปอาบให้”

แน่นอนว่านันท์นพินรีบอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะสำรวจตนเองให้ละเอียดว่ามีอะไรผิดแปลกไปจากตอนก่อนมีอะไรกับเขาไหม แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิมคือดวงตาที่คลอคลองไปด้วยแววพิศวาส ดวงหน้าที่อิ่มเอมจนปกปิดไม่มิด แล้วยิ่งแดงจัดเพียงคิดถึงทีปกร

นันท์นพินพยายามฝืนว่าตนเองไม่เขินอาย แต่งตัวแล้วก็เดินมานั่งกินอาหารเช้า เปิดสปีกเกอร์โฟนคุยกับเพื่อนที่โทร. มาคุยทุกเช้าอย่างปกติ

“งานอาจารย์พี่นา แกทำเสร็จหรือยังไอ้หนาม ให้ไวเลยนะ วันนี้ขีดเส้นตายแล้ว ทำไมน้า ดุไม่เกรงใจหน้าตาจริงๆ”

“จริง! เสียดายความหล่อ แล้วที่พูดๆ นี่ออกหรือยัง”

นันท์นพินก้มหน้าก้มตาตักอาหารใส่ปาก ขณะที่ทีปกรนั่งจิบเพียงกาแฟ มองคนคุยไปกินไป และเพิ่งรู้ว่าเขาไม่ได้หล่อแค่คนเดียว ไหนจะตองอวน เมสซิ ตอนนี้ยังมีไอ้นะเพิ่มมาอีกคน

“ใกล้แล้ว หิวฉิบเลย แกไปกินอะไรที่โรงอาหารไหม”

“เสียใจ วันนี้ฉันมีอาหารเช้าแล้วแก” นันท์นพินตอบพลางลอบมองหน้าคนที่ยังจ้องเธอไม่วางตา

พ่อคุณเอ๊ย นั่งนิ่งๆ มองตรงๆ แบบนี้ก็อยากร้องตอบว่าแต่งค่ะ! แบบไม่มีเหตุผล

“อย่าบอกว่าแม่นางลงครัว อย่ามาๆ ใครก็รู้ว่าแกไม่ชอบทำอาหารที่สุด”

“หนาม มัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่นั่น คุณอาจจะสายได้นะ”

ทีปกรเอ่ยเตือน เสียงแจ๋วของเพื่อนนันท์นพินเงียบลงแทบไม่ทัน และหญิงสาวเองก็ลนลานหยิบโทรศัพท์มาปิดสปีกเกอร์แทบไม่ทัน ใครจะคิดว่าเขาจะพูดโพล่งออกมา นึกว่าจะมีมารยาทและเจียมตัว

“พี่นัทธ์มาทำอาหารเช้าให้แกกิน ฝนจะตกไหมไอ้หนาม พี่แกจะมาแสนดีอะไรเบอร์นี้วะ”

“เออ...แค่นี้ เจอกันที่มหา’ลัย ฉันจะออกแล้ว”

ตักไข่เจียวในจานใส่ปากจนหมดแล้วยกน้ำขึ้นจิบ หอบหนังสือลุกขึ้นยืนเตรียมออกจากห้อง ขณะที่ทีปกรยังคงไม่เร่งรีบเช่นเธอ

“เดี๋ยวผมไปส่ง” ’

“ตอนเช้ารถติด หนามจะไปรถไฟฟ้าค่ะ”

“ถ้าออกช้ารถติด ออกตอนนี้รถไม่ติดหรอก รอผมดื่มกาแฟหมดก่อนเถอะ”

“หนามไปรถไฟฟ้าสะดวกกว่านี่คะ นัดเจอเพื่อนบนรถไฟฟ้าด้วย” ซึ่งถ้าคุณไปด้วย ไม่รู้จะบอกเพื่อนว่ายังไง

ทีปกรมองหญิงสาวนิ่งนาน ก่อนจะพยักหน้ารับตามที่เธอต้องการ พอดื่มกาแฟหมดก็ออกจากห้องพร้อมกัน ทีปกรส่งเธอที่สถานีรถไฟฟ้าแล้วแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

 

ยังเจ็บอยู่ไหม

คำทักทายที่ทีปกรส่งหานันท์นพินทำเอาคนถูกห่วงไม่อยากตอบโต้ให้อายกว่านี้ เลยเพียงส่งเพียงสติกเกอร์ ‘โอเค’ กลับไปเท่านั้น

ถ้าไม่ไหวโทร. มาบอกผมนะ ผมจะไปรับ

ถ้าห่วงขนาดนี้ ทำไมเมื่อคืนไม่หยุดล่ะคะ

หยุด คุณก็ไม่เสร็จสิ

คนบ้าๆ 

นันท์นพินไม่อยากคุยอะไรกับเขาอีกแล้วเลย ไม่ยอมอ่านข้อความอะไรที่เขาส่งมาอีกเลย และวันนี้ก็เรียนหนัก มีเวลาว่างเล็กน้อยก็เข้าไปในเพจของร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์เพื่อคอนเฟิร์มงานต่างๆ พี่ชายส่งข้อความมาย้ำอีกว่าคุยงานกับคุณทัศนาหรือยัง

โชคดีวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็ว สามสาวที่คร่ำเคร่งกับการเรียนเลยรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ กอดคอกันขึ้นรถไปห้างสรรพสินค้า เข้าร้านปิ้งย่าง สั่งเนื้อมาวางเรียงตรงหน้า

“นี่แหละที่นักศึกษาอย่างเราคู่ควร”

จุรินทร์รวบผม มองคอนโดใส่เนื้อที่สูงเป็นตั้งๆ สำหรับเตรียมย่าง เห็นพวกเธอตัวบางๆ แบบนี้ แต่ขอบอกว่ากินกันจุมากๆ และไม่ได้กลัวอ้วนแม้แต่คนเดียว ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวว่ากลัวหิวตายมากกว่า

“อย่างนั้นอย่ารอเลย”

นันท์นพินคีบเนื้อลงเตาย่าง เสียงฉ่าๆ บอกว่าพร้อมกินและกลิ่นเนื้อหอมฉุยที่ลอยมาเตะจมูกทำให้มะปรางแทบอดใจไม่ไหว น้ำลายสอมาจ่อที่ริมฝีปาก ก่อนหันมองเพื่อนที่ลงมือย่างเนื้อให้

“แกเป็นแม่ครัวประสาอะไรวะไม่ชอบทำอาหาร แถมชอบเข้าร้านปิ้งย่างที่สุด ถ้าอีพี่นัทธ์รู้เข้าไม่ลงโทษให้นั่งพับเพียบจับจีบใบตองหรอกหรือ”

“แม่ครัวเวอร์ชันขี้เกียจไงแก ถ้าฉันชอบมากคงเรียนด้านอาหารไปแล้ว ไม่มาตกระกำลำบากแบบนี้”

“ย่ะ! แต่ได้ข่าวว่าเรียนการตลาดเพราะอยากมีสามีเป็นนักธุรกิจนิหล่อน”

จุรินทร์ดักทางถูกเสียด้วย เพราะเพื่อนตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะได้ทำงานเคียงข้างกับนักธุรกิจที่ตนเองชอบ

ระหว่างรอเนื้อในเตาก็เหลือบตากวาดมองสำรวจไปเรื่อยๆ เผื่อเจออาหารตาสายกินเช่นเดียวกัน หาแฟนที่ชอบเนื้อเหมือนกันนี่มาถูกทางแล้ว ก่อนเห็นลิบๆ ว่ามีหนุ่มหล่อสาวสวยยืนเคียงข้างกันอยู่นอกตัวร้าน

“ได้หล่ออย่างคนนี้ก็ดีสิ งานดี แฟนนางก็สวย ผู้หญิงคนนี้เหมือนฉันเคยเห็น”

เสียงจุรินทร์ดึงสายตาของสองสาวที่หมกมุ่นอยู่กับเนื้อให้มองหนุ่มสาวที่กำลังเดินสำรวจพื้นที่ในห้าง พร้อมมีเหล่าลูกน้องยืนพินอบพิเทาข้างๆ

“นั่นดีไซเนอร์ชื่อดังนิแก ชื่อกุลสตรี ฉันเห็นเขาลงข่าว ตอนนี้ก็เดินสายสัมภาษณ์ออกทีวี นางสวย รวย เก่ง แล้วผู้ชายคนนั้น อื้ม...เอ้อ! เพื่อนคุณพี่นาไงคะ คุณทีปกรเจ้าของห้างนี้ไง” มะปรางเอ่ยพร้อมมองเพื่อนสาวที่กำลังกลับเนื้อย่างตรงหน้า 

นันท์นพินไม่เอ่ยว่าอะไร มองคนที่เป็นหัวข้อสนทนานิ่งๆ ยอมรับว่าทั้งคู่ช่างดูสมกันทุกด้าน

“เพื่อนพี่นาหล่อมากแก แต่...พอคิดถึงความโหดของพี่นา ฉันว่าพวกเราอย่าไปสนใจเลย เชื่อฉันเถอะ คงโหดไม่ต่างกันหรอก” จุรินทร์ถอนหายใจ ลงมือคีบเนื้อที่เพื่อนสาวย่างให้อย่างสวยงาม แล้วตัดเป็นชิ้นๆ ใส่จาน

“ทำเหมือนเขาจะสนใจพวกเรางั้นแหละแก” มะปรางสั่นหน้า ก่อนคีบเนื้อจิ้มน้ำจิ้มแซ่บๆ 

นันท์นพินลอบมองสองหนุ่มสาวคู่นั้นอีกครู่ก็เลิกสนใจ ตั้งหน้าตั้งตาย่างเนื้อในเตา พอเนื้อในเตาเริ่มสุก สามสาวก็ตั้งท่าเตรียมกิน ทว่าอยู่ๆ กระจกหน้าร้านก็ถูกเคาะเบาๆ จากด้านนอก พอเงยหน้ามาอีกที กลุ่มที่ถูกสามสาวนินทาเมื่อครู่ก็เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านนอก และคนที่มาหยุดยืนเคาะกระจกร้านคือทีปกร 

“อย่าบอกว่าในร้านนี้มีเครื่องดักฟังนะเว้ย พวกเรานินทาเจ้าของห้างแล้วเขาได้ยิน และตอนนี้ก็กำลังจะมาเอาเรื่อง” 

จุรินทร์วิเคราะห์พร้อมหันมองรอบตัวเลิ่กลั่ก แม้ทีปกรจะเคาะกระจกร้าน แต่ตาเขายังมองอยู่ที่กุลสตรี และพูดคุยดูเครียดทีเดียว

“เขาคุยเรื่องกระจกร้านไหมแก” มะปรางวางตะเกียบแทบไม่ทัน

นันท์นพินเพียงเงยหน้ามองคนที่เพิ่งเคาะกระจกไป เมื่อครู่เธอสบสายตากับทีปกรครู่หนึ่ง ก่อนหลุบตาเสมองเตาย่างเนื้อ นึกว่าเขาจะมองไม่เห็น ใครจะคิดว่าเขาจะเดินดุ่มมาถึงนี่เลย แถมเล่นใหญ่ต่อหน้าลูกน้องและกุลสตรี ว่าที่ลูกสะใภ้ของแม่เขา ยังกล้ามาเคาะกระจกอีก

“เอาไงดีไอ้หนาม พวกเราชิ่งกันเลยมะ” จุรินทร์ปรึกษา ทุกทีเธอค่อนข้างกล้า แต่ต่อหน้าเจ้าของห้างมาดนักธุรกิจแบบนี้ก็ดูท่าจะไม่ไหว

“เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง” นันท์นพินบอกเพื่อนอย่างใจกล้า

ระหว่างที่ด้านในร้านปิ้งย่าง สาวๆ เริ่มหมดความสนใจในจานเนื้อ ด้านนอกทีปกรตกลงธุรกิจเสร็จพอดี สั่งการลูกน้องให้ดูแลกุลสตรีต่อ แล้วแยกย้ายกันตรงหน้าร้าน ส่วนตัวเขาเดินแยกเข้ามาภายในร้าน

“ซวยแว้ว...” จุรินทร์ครางออกมาพร้อมกลืนน้ำลาย ส่วนมะปรางรีบคว้ากระเป๋าเตรียมพร้อม

“นะ...แน่ใจนะไอ้หนาม ฉันว่าเขาเหมือนจะมาเอาเรื่องพวกเรานะนั่น”

มะปรางกระซิบ ไม่ได้ละสายตาจากทีปกรเลย กระทั่งเจ้าของร่างสูงดินมาหยุดข้างโต๊ะ สามสาวแหงนเงยขึ้นมองเขาแทบพร้อมกัน 

ทีปกรเพียงมองดวงหน้าหวานของนันท์นพินแล้วถลกแขนเสื้อดูเวลา

“วันนี้ตารางเรียนคุณมีถึงห้าโมงนิ ทำไมเพิ่งบ่ายสามก็ออกมาหาอะไรกินแล้ว”

ทีปกรเอ่ยอย่างสนิทสนม ถอดเสื้อสูทออก ปลดเนกไท ทิ้งกายลงนั่งข้างนันท์นพินพร้อมปลดกระดุมเสื้อออกหนึ่งเม็ด พับแขนเสื้อ ก่อนหันไปมองสองสาวตรงหน้าที่จนตอนนี้ก็อ้าปากค้างอยู่ในท่าพร้อมหนีเต็มที่

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น