2

ตอนที่ 2

2

 

สองเดือนมานี้ความถี่ในการอัปรูปในไอจีของทีปกรดูผิดแผกไปมาก จากที่เมื่อก่อนอัปรูปหรือโพสต์อะไรอย่างมากสัปดาห์ละครั้ง หรือสองสามวันอัปเดตครั้ง แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้เขาอัปรูปทุกวัน วันละหลายๆ หน

ถ้ามีใครถามว่าเขาติดโซเชียลหรือเปล่า ทีปกรก็บอกได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ติดโซเชียลขนาดนั้น

เพียงแต่สองเดือนมานี้ไอจี Ruenkunnamหายไป ไม่คอมเมนต์ ไม่อัปรูป คนโหยหาจนเรียกว่าเสพติดคอมเมนต์อ่อยปนฮาเลยอัปรูปถี่ขึ้น เผื่ออีกฝ่ายจะเข้ามาคอมเมนต์หรือว่ากดไลก์ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้พอหวนคิดถึงความแสบสันและก๋ากั่นจากคอมเมนต์ต่างๆ แล้วยิ้มออกมาได้ในวันที่ยุ่งทั้งวัน  

ยอมรับก็ได้ว่าเขาอยากได้ช่วงเวลาเหล่านั้นกลับมา

ทีปกรเลยอัปไอจีเช้า เที่ยง บ่าย เย็น ดึก แทบจะทุกลมหายใจ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

และคอมเมนต์จากคนอื่นๆ ข้างใต้โพสต์ของเขาก็ไม่น่าสนใจมากนัก

“ช่วงนี้ติดโซเชียลงั้นสิไอ้ถีบ”

ณวพลร้องทักทันทีที่เข้ามานั่งที่นั่งประจำในเลานจ์แอนด์บาร์ชั้นสี่สิบห้าของโรงแรม Bangkok Sirirungson Hotel โรงแรมหนึ่งในเครือของทีปกรที่มีวิวดี บรรยากาศแจ่มๆ

“เดี๋ยวฉันถีบเลยไอ้คุณพี่นา” ทีปกรสวนกลับพร้อมแค่นยิ้มยียวนใส่หน้าเพื่อน เพราะรู้ดีว่าจุดอ่อนเดียวที่เอาเพื่อนอยู่คือชื่อ ‘พี่นา’

“ไอ้ทีปๆ แกอย่ามาทำเหมือนเด็กแกหน่อยเลยว่ะ ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ชื่อนา มันก็เรียกฉันพี่นาๆ อยู่นั่น”

ทีปกรรู้สึกเสียหน้าทุกครั้งที่เอ่ยถึงไอจี Ruenkunnam ตอนนี้เขารอคอยอะไรและคาดหวังอะไรกับไอจีนั้นอยู่กันแน่

“ว่าแต่แกมีแฟนใหม่หรือไงช่วงนี้ น้องน้ำถึงแทบไม่มาคอมเมนต์อะไรเลย” พันวิเศษที่เพิ่งตามมาสมทบสั่งบาร์เทนเดอร์ชงเหล้าแก้วโปรดมาแบบเข้มๆ เข้มไม่แพ้สีผิวที่คล้ำแดดคล้ำฝนของตน

“เปล่านิ”

ทีปกรส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ หรือเขาติดโซเชียลอย่างที่เพื่อนว่า เขาไม่เคยหมกมุ่นเรื่องคอมเมนต์หรือยอดไลก์แบบนี้มาก่อน

“น้องเขาว่าแกมีคนมาดามใจแล้ว”

“ดามที่ไหนวะ” ทีปกรมองณวพลอย่างแปลกใจกับข่าวที่ไม่กรองของเพื่อน

“อย่ามาโกหก พามาให้พวกฉันรู้จักเดี๋ยวนี้เลย”

ณวพลไม่ยอมแพ้ ต้องรู้ให้ได้ว่าตอนนี้เพื่อนกำลังคบหาใครอยู่ ทุกทีทีปกรคบใครก็ไม่เคยปิดบัง คราวนี้กลับทำเป็นเงียบๆ ให้เขาไปรู้จากคนอื่น

“เดี๋ยวๆ ไปคุยกันตอนไหน”

ไม่ต้องเอ่ยว่าน้องที่ณวพลพูดถึงน่ะคือใคร ทั้งสามหนุ่มหล่อพอเข้าใจได้ว่าคือเจ้าของไอจี Ruenkunnam

“น้องเขาไดเรกเมสเสจมาถามเส้นทางที่ฉันไปเที่ยวเหนือ ไอ้ฉันก็เลยถามว่าหายไปไหน ถึงได้รู้ว่าแกมีแฟนใหม่อีกแล้ว”

‘อีกแล้ว’ สำหรับณวพลนั้นคือความถี่ของเพื่อนที่เลิกอีกคน และหาอีกคนมาแทนที่ได้ด้วยความเร็วแสง ไม่มีมานั่งคร่ำครวญเสียใจ หรือเว้นช่องไฟให้ห่างกันสักนิด

“แกสองคนแอบคุยกัน!”

ท่าทีเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ของเพื่อนดูขึงขังขึ้นนิดหนึ่ง ประหนึ่งจับได้ว่าเมียคบชู้ ณวพลถึงกับร้อนตัวต้องรีบอธิบาย ไม่อย่างนั้นหน้าตึงๆ นั่นไม่คลายลงแน่ อาจทำให้บรรยากาศการพบปะสังสรรค์ที่คล้ายการจัดสัมมนาวิชาการดูเครียดเข้าไปอีก

“ฉันให้ดูก็ได้ เขาถามมาแค่นั้น ไม่ได้คุยอะไรกันทั้งนั้น” เปิดโทรศัพท์หาแอปพลิเคชันที่ติดต่อกับ Ruenkunnam ให้เพื่อนดู

“เขาทัวร์ขายขนมไทยใช่ไหม เห็นแต่ละที่ที่ไปคุ้นๆ เหมือนเป็นโครงการ ทรรศนารัตนโกสินทร์ที่คุณนายแม่ทัศนาจัดขึ้นทั้งนั้น”

พันวิเศษตั้งข้อสังเกต เพราะติดตามไอจี Ruenkunnam ด้วย เลยพอรู้ความเคลื่อนไหว ยิ่งมาข้องเกี่ยวกับทีปกรด้วยแล้วยิ่งต้องเฝ้าจับตาดูเป็นพิเศษ จะได้ช่วยกันสแกน เพื่อนเจ็บปวดปางตายจากอดีตที่ผ่านมา จนตอนนี้ก็ยังทำใจไม่ได้ จะให้มาเจ็บปวดจากผู้หญิงอีกคงไม่ได้

เคยมีสาวมาคุกคามในไอจีเพื่อนแบบนี้ แต่รายนั้นเปิดตัวแรง แสดงตัวเป็นภรรยาของทีปกร และตามไปราวีเพื่อน ญาติ แม้แต่ลูกค้าของทีปกร ทีปกรก็ให้ทีมทนายความดำเนินคดีไป บล็อกไอจีไปแบบเงียบๆ

จะเหลือรอดที่มาเปิดตัวว่าเป็นแฟนทีปกรเหมือนกันก็คือเจ้าของไอจี Ruenkunnam รายนี้มาอย่างน่ารัก ฮา สร้างสีสัน ไม่เคยสร้างความรำคาญ เลยได้อยู่คู่กับเพื่อนเขามานานหลายปี

เพื่อนๆ ช่วยกันสแกนแล้วบอกว่ารายนี้ผ่าน

“ไม่รู้สิ”

ทีปกรเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก สายตาคอยจับจ้องอยู่ที่ความเคลื่อนไหวในไอจี Ruenkunnam รูปล่าสุดที่อัปเดตเป็นการออกร้านในงาน ‘ทรรศนารัตนโกสินทร์’ และรูปที่อัปเดตเป็นรูปขนมที่จัดเรียงอย่างสวยงามอยู่หน้าร้าน ดูคุ้นตา แต่ตอนนี้ทีปกรคิดไม่ออกว่าเจอที่ไหน เพราะขนมไทยสำหรับเขาก็หน้าตาคล้ายๆ กันไปหมด

“แล้วสรุปคบใครอยู่ บอกพวกฉันมา”

ณวพลไม่รอให้เพื่อนตั้งหลักได้ รีบเอ่ยรุกด้วยคำถาม ที่ต้องจี้เพราะคุณทัศนาฝากมาด้วยส่วนหนึ่ง ก่อนจะได้คำตอบ

“ยังไม่ถึงขั้นนั้น”

“แปลว่าเรือนคุณน้ำเขารู้ลึกรู้จริง ขนาดพวกฉันสนิทสนมกับแกยังรู้เรื่องนี้ทีหลัง” พันวิเศษตั้งข้อสังเกต แต่ทีปกรไม่ได้อธิบายในหัวข้อนี้มากนัก

จากนั้นทั้งสามหนุ่มก็นั่งคุยปรับทุกข์เรื่องครอบครัว ไม่พ้นปัญหาเรื่องเมียๆ ณวพลที่กำลังจะฟ้องหย่าจนเป็นข่าวครึกโครมอยู่ตอนนี้ ส่วนพันวิเศษเองก็รอเวลาหย่าขาดจากเมียที่ไม่รักเขา นี่ละคนนอกถึงมองว่าแก๊งเขาประชุมวิชาการกันเครียดทุกครั้งที่เจอหน้ากัน

ทีปกรเป็นคนเดียวที่ไร้พันธะอย่างแท้จริงในกลุ่มนี้ แม้เพื่อนๆ จะไม่ค่อยราบรื่นในชีวิตคู่ แต่กลับสนับสนุน และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญให้เขาหาเมียใหม่ในเร็ววัน

ดื่มกันไปพักใหญ่ทีปกรก็หวนคิดถึงเรื่องระหว่างเขากับกุลสตรี มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก มีทัศนาและประไพ แม่สื่อแม่ชักที่พาทั้งคู่มารู้จักกัน ส่วนเขากับกุลสตรีก็ยังไม่คิดจะทำความรู้จักกันกว่านั้น แล้วข่าวมันรั่วไปถึงหูเรือนคุณน้ำได้ยังไง

และการที่เพิ่งรู้ว่าณวพลเคยติดต่อกับเรือนคุณน้ำก็ทำให้เขารู้สึกว่าอาจจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ถูกพิษการอ่อยเหยื่อจากไอจี Ruenkunnam เสียแล้ว รู้สึกเสียดายเวลาและเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีให้

เมื่อสามหนุ่มแยกย้ายกัน ทีปกรกลับมาที่รถยนต์ส่วนตัวก็เอาโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความส่งไดเรกเมสเสจไปหาไอจี Ruenkunnam

ออกมาเจอกันหน่อยสิ

หลังจากนั้นเขาก็ขับรถกลับคอนโด ในสมองคิดเรื่องการลงทุนสายแฟชั่นที่กุลสตรีเสนอให้ร่วมทุนด้วย ซึ่งก็น่าสนใจดี ยิ่งช่วงนี้กุลสตรีมาติดต่อฝ่ายอาคารเรื่องเอาร้านเสื้อผ้ามาลง ช่วงนี้เขาเลยตัวติดกับกุลสตรี แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องงาน ซึ่งนั่นก็ยังไม่มีใครมาทำข่าวหรือลือหนาหูเรื่องของเขา

เมื่อรถมาถึงหน้าคอนโดก็คว้าโทรศัพท์มาดูว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรไหม

ดึกแล้ว พี่ไม่ให้ออกจากบ้าน

มีไดเรกเมสเสจมาจากไอจี Ruenkunnam พออ่านแล้วทีปกรก็บอกตนเองว่าจะไม่ขอทนอีกต่อไป เขากำลังถูกปั่นหัวอยู่แน่นอน

‘หวังอะไร’

ชายหนุ่มคิดว่าควรเลิกหมกมุ่นกับไอจี หรือคนแปลกหน้าที่ไม่เคยได้เจอกัน ช่วงนี้เขาเอาแต่คอยเฝ้าโทรศัพท์เหมือนหนุ่มน้อย เหมือนหลงไปในโลกมายา จนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว จึงพิมพ์ข้อความส่งไปอีก

งั้นฉันบล็อกไอจีนะ

กำลังจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ไม่นานอีกฝ่ายก็ส่งข้อความตอบกลับมา อ่านแล้วทีปกรต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

นัดเจอผู้หญิงมาก็มาก แต่ไม่มีสักครั้งที่การเจอกันในครั้งแรกจะเจอที่ร้านสะดวกซื้อแบบนี้

‘เซเว่น’ บอกสถานที่มาให้เสร็จสรรพ

ทีปกรขับรถออกไปจนถึงสถานที่นัด แต่ก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ หรืออาจจะเริ่มสร่างเมา เพราะเริ่มไม่หึงที่เรือนคุณน้ำแอบไปคุยกับเพื่อนเขาแล้ว

ฟังไม่ผิด เขา ‘หึง’ จริงๆ นั่นละ ยิ่งเหล้าเข้าปากก็แน่ใจว่าตนเองหวงก้าง แม้ตนไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เพื่อนได้ อุตส่าห์ตอบโต้กันมาสี่ปีแท้ๆ

ชายหนุ่มหาที่จอด แล้วก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความ

เบอร์?

นั่งรอพักหนึ่ง ไม่เห็นอีกฝ่ายตอบข้อความก็เริ่มอารมณ์เสีย

เขามาทำบ้าอะไร ลืมไปแล้วหรือว่าตนเองเป็นใครถึงกล้าถ่อสังขารมาทำอะไรที่นี่ คาดหวังอะไรกับเพื่อนในโซเชียล คิดแล้วก็เก็บโทรศัพท์ จังหวะที่จะพารถออกไปจากตรงนั้น กระจกประตูรถด้านข้างก็ถูกเคาะเบาๆ เขามองคนที่สวมเสื้อแบบมีฮูด และตอนนี้ก็สวมฮูดคลุมหัว ก้มหน้าลงน้อยๆ

“ไหนนัดกันที่เซเว่นไงคะ ทำไมยังไม่ลงมาอีก พรุ่งนี้หนามมีงานแต่เช้าด้วย”

ตอนแรกทีปกรเปิดกระจกจะไล่ขอทาน หรือว่าพวกที่ยืนขายของข้างทางไป แต่เจ้าของเสียงเล็กๆ ที่บ่นมาเป็นกระบุงนั้นดังแทรกมาก่อน เขาเลยได้แต่ขมวดคิ้ว แปลกใจอีกหน

‘เราอ่านชื่อ Ruenkunnam ผิดหรือน้องเขาเขียนผิดกันวะ’

“เรือนคุณ...น้ำ”

ทีปกรเอ่ยไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร ก่อนจะเห็นอีกคนดึงประตูรถเลยเปิดให้ ไม่ช้าร่างเล็กที่มีกลิ่นหอมหวานลอยตามลมก็เข้ามานั่งข้างใน ปิดประตูแล้วดึงฮูดออกจากหัว

เขาถึงแน่ใจว่า Ruenkunnam คงไม่ได้อ่านว่าเรือนคุณน้ำ สงสัยต้องอ่านว่า ‘เรือนคุณหนาม’

“เรือนคุณหนามค่ะ”

“อ้อ...” ลากเสียงอย่างลังเลเล็กน้อย กวาดสายตาสำรวจมองแม่หนูตรงหน้าอย่างละเอียด และรับรู้เงียบๆ ว่า ‘เด็ก!’ แถมเด็กกว่าเขามากทีเดียว

จำได้ว่านี่คือสาวน้อยที่มองเขาตาขวางตอนที่เขาเดินเที่ยวงานทรรศนารัตนโกสินทร์กับกุลสตรี แถมเดินชนหัวไหล่เขาเสียกระเด็น ขนาดผ่านมาหลายเดือน เขาก็ยังจำเจ้าหล่อนได้ติดตา

ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ ตอนที่อีกคนปลดเป้ออกมาวางที่หน้าขา

“ไปส่งหนามที่...”

ขึ้นมานั่งได้ นันท์นพินก็บอกชื่อคอนโดแห่งหนึ่งกับเขา ซึ่งก็ไม่ไกลจากคอนโดของทีปกรมากนัก ชายหนุ่มเลยออกรถ ไม่วายหันมาสั่งอีกคน

“คาดเข็มขัดด้วย”

จากนั้นในรถก็เงียบไปอึดใจ ทีปกรไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเด็กแบบนี้ ดูจากหน้าใสๆ ตัวเล็กบอบบางแบบนี้ยิ่งตอกย้ำความเด็กของเธอไปอีก เขาคงไม่ถูกผู้ปกครองอีกฝ่ายแจ้งความจับข้อหาพรากผู้เยาว์หรอกนะ

‘เดี๋ยวๆ ไอ้ทีป แกไม่ได้คิดจะทำอะไรเขาใช่ไหม’ ถามและปรามตนเองในอก

“อายุเท่าไหร่ พ่อ แม่ พี่น้องคุณจะได้ไม่มาแจ้งความจับผมได้”

ดวงหน้าเล็กทว่าหวานซึ้งหันมามองทีปกรครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองถนนข้างหน้าอีกครั้ง ทำเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่ขึ้นรถมากับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบหน้าค่าตากันจริงๆ ครั้งแรก เจ้าหล่อนทำเหมือนกำลังโบกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่พักเสียอย่างนั้น

“ยี่สิบเอ็ดค่ะ”

“ยี่สิบเอ็ด! สี่ปีก่อนก็สิบเจ็ดสิ” น้ำเสียงเหมือนจับผิด ทำให้ดวงตาคู่สวยที่จ้องมองแต่ที่ถนนเบนมาทางเขาอีกหน คราวนี้เห็นชัดเลยว่าดวงตาคู่นั้นยังคงไม่พอใจเขาอยู่

“คุณก็บวกลบเลขเป็นนี่”

‘เด็กนี่! ปากดีใช้ได้ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเขาน่ะเป็นผู้ใหญ่ สงสัยต้องแสดงให้เห็นถึงจะได้เคารพกันบ้าง’ ทีปกรคาดโทษเด็กปากดีเอาไว้ในอก

“ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง ผมจะจับตีก้นเสียให้เข็ด”

ทีปกรว่าอีกคนพลางถอนหายใจยาว ไม่อยากคิดถึงคอมเมนต์แต่ละอย่างที่เจ้าหล่อนคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

สามีขา... 

ที่รัก เค้ารอที่เตียงน้า...

หนูโสด โปรดจีบด้วย

ที่บ้านอยากได้ว่าที่ลูกเขยหน้าตาแบบนี้ ดีแบบนี้ เก่งแบบนี้พอดีค่ะ

หรือตอนวันแม่เขาโพสต์รูปคู่กับแม่ เธอก็มาคอมเมนต์คนแรกด้วยความเร็วแสง ‘สวัสดีค่ะคุณแม่สามี’ และอีกเยอะ ซึ่งจะว่าเขาจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ ในหัวราวกับพิมพ์ประทับมุกไม่ฮาพาเขาคิดถึงเอาไว้เสียแล้ว

นันท์นพินเบ้ปากใส่เขา ก่อนก้มหน้าก้มตาตอบข้อความในโทรศัพท์ และเซลฟีรูปตนเองส่งไป

“ส่งให้ใคร!” คนที่วางท่าเหมือนผู้ปกครองเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ ดวงตาที่มองคนตัวเล็กดุๆ ในตอนแรกก็ดูขวางขึ้น

“พี่นัทธ์ค่ะ เพิ่งกลับถึงบ้าน เลยถามว่าใครมาส่งหนามไปคอนโด พี่นัทธ์ให้ถ่ายหน้าคนขับไป แต่หนามเกรงใจ เลยถ่ายรูปตัวเองบนรถไปแทน”

หญิงสาวหันโทรศัพท์มาให้เขาดูใกล้ๆ จากนั้นก็ส่งข้อความตอบโต้กับพี่ชายอีกนาน ก่อนจะเก็บโทรศัพท์

“เมื่อก่อนผมชวนออกมา ทำไมคุณไม่ออกมา”

“ชวนตอนหนามอายุสิบเจ็ดสิบแปดหรือคะ ถ้าพี่นัทธ์รู้ได้เอาหนามตายพอดี” คนพูดทำเหมือนว่าตอนนี้ตนเองโตเสียเต็มประดา

ทีปกรลอบมองเรือนร่างเล็ก จะว่าเล็กก็ไม่เชิง จะบางก็ไม่ใช่ ออกจะกลมกลึงสมส่วน แต่ก็สมส่วนในช่วงวัยของเธอ ซึ่งเมื่อเทียบกับเขาก็ห่างกันมาก

“ที่เมื่อก่อนไม่ออกมาเจอกันเพราะคิดว่าตัวเองเด็ก แล้วตอนนี้คุณไม่เด็กหรือ”

“ก็...อืมเด็กกว่าคุณทีปอยู่ดีค่ะ แต่ก็โตกว่าเมื่อสี่ปีก่อนนะ”

“เรียกพี่ได้นะ”

ยังไงเขาก็รู้จักแม่หนูนี่มาสี่ปีแล้ว แม้จะรู้จักผ่านโซเชียลก็เถอะ อนุโลมให้เรียกพี่ได้ ก่อนที่จะถูกเรียกว่าลุง

แม่หนูน้อยหันมาทำหน้าดุใส่เขาทันที “หนามส่งขนมจีบให้มาสี่ปี ไม่ได้อยากได้พี่นะคะ”

ทีปกรดีดหน้าผากอีกฝ่าย เห็นพวงแก้มใสแดงระเรื่อเล็กน้อย ช่างขัดกับคอมเมนต์เชิงชู้สาวที่เธอโพสต์จริงๆ

“แล้วจะเรียกผมว่าอะไร เรียกว่าที่สามีเหมือนใต้โพสต์นั่นน่ะหรือ จะเร็วไปไหม”

ทีปกรค่อยๆ ชะลอรถเลี้ยวไปจอดหน้าคอนโด ทำเป็นมองไม่เห็นผิวแก้มบางใสที่แดงระเรื่อขึ้น ซึ่งแปลได้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีความเขินอายไร้เดียงสาซ่อนอยู่บ้าง อาจจะเป็นพวกเก่งกล้ายามอยู่หน้าคีย์บอร์ดก็ได้ พอเจอของจริงเข้าเลยหงอ

“พรุ่งนี้ผมจะมารับไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันนะ”

“หนามไม่ว่าง” ตอบเสียงสะบัดออกจะงอนนิดๆ

ทีปกรรู้สึกเหมือนว่ารู้จักกันมานาน และหญิงสาวข้างกายทำตัวเป็นกันเอง เลยอดยกมือแกร่งขึ้นจับปลายคางแหลม พร้อมออกแรงเขย่าเบาๆ ตบท้ายด้วยการแสร้งเผลอลูบแก้มใสที่นิ่มมากๆ ไม่ได้ 

ช่างน่ากินเหมือนขนมที่เธอทำไม่มีผิด 

คนที่ถูกลวนลามอย่างไม่รู้ตัวก็รีบยกมือยกไม้ปัดมือเขาออกทั้งที่หน้าแดง แม้จะวางทีท่าเหมือนไม่ใส่ใจก็เถอะ

ขนาดแค่ถูกเขาจับแก้มยังสั่นสะท้านขนาดนี้ ไอ้ที่ไปคอมเมนต์ก๋ากั่นนั่น ต้องเขียนแคปชันว่า ‘ลอกเขามา’ ด้วยไหม

“ผมไม่ชอบเด็ก คบเป็นเพื่อนกันได้ พรุ่งนี้จะมารับไปกินข้าว แล้วไปเที่ยวกัน” เอ่ยเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่จะพาบุตรหลานไปเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งหารู้ไม่ว่าบุตรหลานคนนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังใครสักเท่าไร ดื้อตาใสเป็นที่หนึ่ง

“หนามมีเพื่อนเยอะแล้ว แล้วไทป์แบบคุณก็ไม่น่าจะเป็นเพื่อนหนามได้ แก่ไป งั้นเราก็ไม่มาต้องคบหากัน หนามไปก่อนนะคะ อ้อ! อีกอย่าง หนามไม่อยากเป็นเพื่อนกับคนมีแฟนแล้ว เดี๋ยวมีปัญหาตามมาอีก”

หญิงสาวก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของ แล้วยกมือขึ้นประนมไหว้ ทว่าทีปกรไวกว่า ยกมือขึ้นไปกระชับฝ่ามือนุ่มนิ่มไม่ต่างจากดวงหน้าหวานหยดเอาไว้ในอุ้งมือ

ตอนแรกทีปกรนึกว่าตนเองเสพติดคอมเมนต์ของอีกฝ่ายอย่างเดียว ผ่านมาไม่ถึงชั่วโมงก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเสพติดการแตะเนื้อต้องตัวนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายด้วย

“เด็กทุกวันนี้เอาใจยากจริงๆ”

ทีปกรนึกขำท่าทีของอีกฝ่าย เจอหน้ากันวันนี้ก็กะจะให้เขาคบหาด้วยเลยหรือไง เด็กก็ปานนั้น แถมทำหน้าตาเหมือนโกรธแค้นเขามาจากไหน มาก็ไม่แนะนำตัว แป๊บๆ ก็จะไปเสียแล้ว

ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่าย “เมมเบอร์ให้ผม แล้วจะให้ลงจากรถ”

ทีปกรรีบบอกตนเองว่าก็ไม่อยากจะสานสัมพันธ์อะไรขนาดนั้น แต่เพราะจะได้ไม่ถูกแม่สาวน้อยคนนี้ปั่นหัวอีก มีเบอร์โทรศัพท์ไว้จะได้เช็กได้รวดเร็วทันใจว่าอยู่ไหน ทำอะไร ไม่ต้องคอยส่งข้อความแล้วมานั่งรอให้อีกฝ่ายมาตอบ

นันท์นพินสะบัดมือออก รับโทรศัพท์เครื่องแพงมาแล้วเมมเบอร์ตนเองอย่างคล่องแคล่ว พร้อมใส่ชื่อกำกับความเป็นเจ้าของลงไปด้วย ‘เมียมโน’

“เอาชื่อนี้จริงสิ” ทีปกรเลิกคิ้วสูงกับสิ่งที่แม่เด็กสาวหน้าหวานทำ แต่ก็ยอมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า วนหาที่จอดรถ แล้วดับเครื่อง

“จอดทำไมล่ะคะ แวะส่งหนามที่หน้าคอนโดพอ”

เมื่อเห็นเจ้าของร่างหนาจอดรถ ทำท่าเตรียมตัวจะลงจากรถ หญิงสาวก็อดร้องถามไม่ได้

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกัน เกิดระหว่างทางคุณเป็นอะไรขึ้นมา เขามาตรวจกล้องวงจรปิดก็จะเห็นว่าผมมาส่งคุณ ผมเสียหายนะ” ให้เหตุผลพร้อมก้าวลงจากรถไปยืนรอ นันท์นพินเลยหมดหนทางเลี่ยง จำต้องก้าวลงจากรถตามเขาไป

“หนามก็ไม่ได้แวะไหน ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีมากเลยนะคะ ไม่งั้นพี่นัทธ์ไม่ให้หนามมาค้างหรอก”

นันท์นพินพยายามอธิบาย แต่คนตัวโตหรือจะอยู่รอฟัง เดินนำเข้าไปด้านใน แล้วยืนตระหง่านรอในส่วนต้อนรับแขกของทางคอนโด

“ใครจะไปรู้ เด็กสาวเดี๋ยวนี้แยกจากอกพ่อแม่ปุ๊บก็ริจะทำตัวเป็นพ่อแม่กับเขาปั๊บ”

ทีปกรไม่ได้มีเจตนาจะจับผิด เพียงอยากให้แน่ใจว่าตอนนี้ตนเผลอไปข้องเกี่ยวกับเด็กแบบไหนอยู่ ก็หลวมตัวมาส่งเธอถึงหน้าคอนโด เกิดมีอะไรขึ้นกับเธอ ตำรวจอาจจะสาวไปถึงเขาได้ เขามีชื่อเสียงวงศ์ตระกูลต้องรักษา

ที่ทำนี่เพื่อป้องกันคำครหาที่อาจจะตามมาทั้งนั้น ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย เธอยังเด็ก เด็ก ท่องไว้ไอ้ทีป

“ทำตัวเป็นพ่อแม่อะไรเล่าคะ หนามยังไม่มีแฟนสักหน่อย ก็รอคนแถวนี้อยู่” หยอดคำเชิญชวนทิ้งท้ายอย่างก๋ากั่น ทั้งที่หน้าแดงระเรื่อ

นี่อาจจะเป็นประโยคแรกเลยที่ทีปกรคิดว่าใกล้เคียงกับตัวตนของ Ruenkunnam มากที่สุด นอกนั้นก๊อบปี้แบรนด์ทั้งนั้น

ที่บ้านให้กินอะไรมา เด็กเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่จริงๆ

ทีปกรอดนึกตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ ว่าไปก็แอบก่นด่าอีกฝ่ายไปเยอะ ผิดวิสัยเขามาก

เห็นทีปกรยืนนิ่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ นันท์นพินเลยจำต้องแตะคีย์การ์ดเข้าไปด้านใน เข้าลิฟต์ กดชั้น ก่อนลิฟต์จะมาเปิดที่ชั้นที่พักของตน

“หนามพักชั้นนี้ เลี้ยวนี่ก็ห้องหนามแล้วค่ะ เห็นไหมขึ้นมา หนามก็ต้องลงไปส่งอีก”

นันท์นพินบ่นอุบ ไม่คิดจะเดินนำไปที่หน้าห้องพัก จงใจจะไล่เขากลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่มีหรือไม้อ่อนอย่างนันท์นพินจะไปสู้ไม้แก่ตีมึนอย่างทีปกรได้ หน้าหนาแอบเนียนขึ้นมาเสียขนาดนี้มีหรือจะกลับไปเสียเฉยๆ ก่อนจะเข้าไปสำรวจถ้ำลูกเสือ

“ผมเหนื่อย เมื่อยขาด้วย อยากนั่งพักและดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนแล้วกัน ค่อยลงไปส่งผมข้างล่าง”

จะเหนื่อยอะไร ไม่ได้พาเดินขึ้นบันไดมาที่ไหน ลงจากรถก็เข้าลิฟต์แท้ๆ 

นันธ์นพินประชดอีกคนอยู่ในอก แต่ก็ยอมเดินนำเขามาที่ห้องพัก แล้วกดรหัสเข้าห้อง เชิญเขาเข้าด้านใน คนร่างสูงที่บอกว่าเหนื่อย เมื่อยขา อยากนั่งพักกลับเดินสำรวจห้องพักด้านใน ไม่มีท่าทีของความเหนื่อยเมื่อยล้าให้เห็นเลยสักนิดเดียว

“เดี๋ยวหนามเอากระเป๋าไปเก็บก่อนนะคะ คุณทีปหาอะไรดื่มเองก็ได้ หนามไม่แน่ใจว่ามีอะไรให้ดื่มบ้าง”

นันธ์นพินเอ่ย ก่อนจะแยกเดินตรงมาด้านในห่างจากห้องรับแขก เปิดประตู วางกระเป๋าเป้ลงที่เตียงนอน ก่อนทั้งร่างจะสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงขรึมดังอยู่ไม่ไกลนัก หันมาถึงเห็นว่าคนตัวโตตามเข้าห้องมาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เขาอยู่ในห้องนอนของเธอด้วยตอนนี้ ในมือแกร่งมีกรอบรูปอยู่ด้วย

นันท์นพินเหลือบมองกรอบรูปครอบครัวของเธอที่อยู่เยื้องจากกรอบรูปที่เขาเพิ่งยกขึ้นดูด้วยสีหน้าจืดเจื่อน[W1] 

“ผู้ชายในรูปนี่ใคร”

“พี่นัทธ์ค่ะ”

ตอบเร็วๆ ก่อนรีบเดินไปเปิดประตูห้องนอนเอาไว้ ใจไม่ดีเท่าไรกับการอยู่สองต่อสองกับผู้ชาย แม้เธอจะชอบทีปกรมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้สึกปลอดภัยที่มีเขามาวนเวียนอยู่ในห้องพักที่ไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนเข้าออก นอกจากพี่ชาย

เปิดประตูแล้วหันมายืนกอดอกมองจ้องคนคุกคามที่เดินสำรวจห้องนอนเธออย่างใจเย็น

“พี่นัทธ์นี่เป็นพี่แท้ๆ?”

ทีปกรยังคงชวนคุย ทั้งลอบยกยิ้ม ขณะหันไปมองคนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตู ทำท่าเหมือนจะกระโจนหนีถ้าเขาก้าวเข้าไปหาสักก้าว ช่างต่างจากคนที่คอมเมนต์สองแง่สองง่าม ตามจีบระรานเขาในไอจีจนตกเป็นข่าวมาแล้วคนนั้นลิบ

‘เด็กหนอเด็ก’

“กลัวอะไร คิดว่าเปิดประตูห้องนอนไว้แล้วยืนกอดอกแน่นแบบนั้น แล้วผมจะปล้ำคุณไม่ได้งั้นหรือ ทำตัวตามสบายน่า ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น วันนี้ผมไม่ได้พกเครื่องป้องกันมา วันนี้คุณยังปลอดภัย”

เห็นแก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายแดงเข้มขึ้นก็ยิ่งเอ่ยเย้าหยอกมากเท่านั้น และตอนนี้เรียวปากอิ่มสีระเรื่อของอีกฝ่ายก็ถูกฟันขาวเรียงสวยของเจ้าตัวงับเอาไว้เพื่อระงับอาการสั่นเทา ท่าทีเขินอายออกจะเกรงกลัวนิดๆ น่ารักจนทีปกรต้องเมินสายตาไปทางอื่นแทน

“ห้องน้ำล่ะ” 

เขากวาดสายตามองเรื่อยๆ ข้าวของในห้องนี้ก็บ่งบอกว่ามีแต่ของเธอ แม้แต่ตู้เสื้อผ้าที่เขาเปิดสำรวจเงียบๆ ก็มีแต่เสื้อผ้าเธอเสียส่วนใหญ่

“ทางซ้ายมือค่ะ หนามไปหาอะไรเย็นๆ รอที่ครัวนะคะ”

บอกเขาปากคอสั่น ก่อนจะเผ่นออกจากห้องเสียแทบไม่ทัน หูยังเหมือนได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้อยู่เลย

‘เครื่องป้องกันที่ถ้ามีแล้วเธอจะไม่ปลอดภัย มันคืออะไร’

เอียงหน้าครุ่นคิด ทว่าไม่นานสองแก้มก็แดงระเรื่อ เมื่อรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แข้งขาคนที่หนีอายออกจากห้องนอนอ่อนยวบแทบพันกัน กว่าจะเดินมาถึงห้องครัวได้ก็เสียเวลาไปหลายนาทีทีเดียว

ก็พอรู้ว่าเขาเปลี่ยนคู่ควงบ่อย ย่อมไม่คบหากับสาวสวยเหล่านั้นแบบธรรมดาแน่นอน เพียงแต่นันธ์นพินไม่คุ้นชินเท่านั้น แม้จะบอกเขาว่าตนเองโตแล้ว แต่ก็นั่นละ เธอเคยมีแฟนที่ไหนกันเล่า

‘เล่นกับไฟอยู่ไหมไอ้หนาม’

ทีปกรไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำจริงหรอก เพียงเข้าไปสำรวจในห้องน้ำ แปรงสีฟัน เครื่องสำอาง ทุกชิ้นบ่งบอกว่ามีแค่เธอเท่านั้นใช้ ก่อนจะออกมาเห็นอีกคนนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกหลังตรงแด่วพร้อมน้ำเปล่าในแก้ว

“หนามไม่ค่อยได้มาค้างเท่าไหร่เลยมีแค่น้ำเปล่า ดื่มได้นะคะ”

ทีปกรพยักหน้าอย่างว่าง่าย ทิ้งกายลงนั่งที่โซฟาตัวยาว วาดเท้าไขว้ขาขณะยกน้ำขึ้นดื่ม วางท่วงท่าประหนึ่งเจ้านายใหญ่ ขณะที่นันธ์นพินเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องทำท่าเหมือนมาสัมภาษณ์งานกับเขาด้วย

“ห้องข้างๆ น่ะห้องพี่ชายคุณหรือ”

“ค่ะ แต่พี่นัทธ์ไม่ค่อยมาค้างเท่าไหร่ นานๆ ทีถึงจะมา หนามเลยถือว่าคอนโดนี้เป็นของหนาม เพราะหนามมาค้างบ่อยสุด”

“แล้วทำไมไม่ค้างที่บ้าน พ่อแม่ไม่ว่า?”

ทีปกรขุ่นเคืองนิดๆ เพราะในห้องข้างๆ นะมีข้าวของของผู้ชายจริงๆ แม้ในห้องจะมีรูปเจ้าของห้องกำกับเอาไว้ชนิดที่ใหญ่เท่าผนังห้อง แต่ใครจะไปรู้ว่าข้าวของในห้องไม่ใช่ของผู้ชายคนอื่นๆ ที่เด็กสาวพามาเหมือนที่ไปหยอดไปอ่อยเขาไว้

“พ่อแม่เสียแล้วค่ะ”

“แล้วพี่ชายคุณล่ะ”

“ก็พี่นัทธ์นั่นแหละค่ะไล่หนามมาค้าง เพราะพรุ่งนี้หนามต้องไปสอนทำอาหารที่มหา’ลัยแทนพี่เขาแต่เช้า เช้ามากๆ เลยนะคะ” พูดพร้อมเหลือบมองเวลาไปด้วย เป็นการไล่เขากลายๆ แต่ดูเหมือนคนถูกไล่จะไม่สะทกสะท้าน ต่อให้เธอจะมองนาฬิกาจนตาหลุดจากเบ้า เขาก็ยังคงนั่งละเลียดน้ำเปล่าแก้วเดียทีละจิบสองจิบ กว่าน้ำจะหมดแก้ว นันธ์นพินก็เกือบหลับพับคาเก้าอี้ ร่างสูงถึงยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่จับจองมาเนิ่นนาน

“ดึกแล้ว ผมกลับดีกว่า”

‘น่าจะรู้ว่าดึกตั้งนานแล้ว แล้วแค่ดื่มน้ำแก้วเดียวจะเสียเวลาจิบทำไมเป็นชั่วโมงๆ มีอะไรน่าดูนักเล่า’

นันธ์นพินค่อนขอดเพราะง่วงนอนเต็มแก่แล้ว หาวก็แล้ว มองเวลาหลายๆ รอบก็แล้ว เขาก็ไม่ยอมลุก ตอนจีบผ่านไอจีไม่เห็นเกร็งแบบนี้ พออยู่ต่อหน้ากลับรู้สึกเหมือนอยู่ต่อหน้าครูฝ่ายปกครอง เข้มงวดสุดๆ

...

นันท์นพินลงมาส่งทีปกรที่ห้องรับรองด้านล่าง

“ส่งผมแค่นี้แหละ คุณกลับขึ้นไปเถอะ แล้วคราวหลังอย่าตามใครเขาไปมั่วซั่วแบบนี้อีก”

“ก็คุณนัดหนามออกมาเอง”

เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ จริงๆ คืนนี้เธอตั้งใจจะนอนที่บ้านแท้ๆ แต่เพราะเขาบอกจะมาหา แถมข่มขู่ว่าจะบล็อกไอจีเธออีก ถึงต้องหาเรื่องออกมาค้างที่คอนโด โดยอ้างเหตุผลกับพี่ชายไปว่ามีสอนพรุ่งนี้ และการค้างที่นี่เดินทางสะดวกกว่า

“หมายถึงนอกจากผม คุณจะไปเคาะประตูรถเขาแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่ง ให้เขาพาไปส่งถึงไหนต่อไหน แถมให้เขาขึ้นห้องแบบนี้อีกไม่ได้”

“ก็คุณทีปขอขึ้นไปเองนี่คะ หนามอยากให้ขึ้นห้องที่ไหน”

เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แต่สายดุๆ ของอีกคนก็ทำให้เธอยั้งคำแก้ตัวอีกมากมายที่มาจ่อคอไว้

“เอ่อ...ต่อไปหนามจะไม่ขึ้นรถใคร หรือให้ใครขึ้นห้องเลยค่ะ” รับปากไปเพื่อที่เขาจะได้กลับบ้านสักที ไม่อย่างนั้น นันท์นพินคงรู้สึกว่าอยู่ที่ฝ่ายปกครองของโรงเรียนแน่ๆ

“ดี แต่จะดีมากถ้าจะขึ้นรถผม และมีแค่ผมเท่านั้นขึ้นห้องคุณได้ เอาละ ดึกแล้ว กลับขึ้นห้องไป”

นันท์นพินรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับคำพูดของเขา มันห่วงหรือหวงกันแน่ แต่เมื่อเขาไม่ยอมขยับออกไปด้านนอก ยืนสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ตามองตรงมาที่ตนแบบนั้น หญิงสาวเลยถอยกลับเข้าไปด้านใน ก่อนกดลิฟต์กลับขึ้นไปด้านบนแทน

หญิงสาวคิดว่าวันนี้เหนื่อยมาก จะขอทิ้งตัวนอนเลยหลังจากเข้าห้องมา ก็พอดีเสียงโทรศัพท์ดัง พอเห็นว่าเป็นใครก็ขมวดคิ้วเรียวสวยอย่างแปลกใจ ก่อนจะกลั้นใจกดรับ กรอกเสียงอ่อนหวานปนไปด้วยความเกรงใจ

“คุณลืมอะไรหรือเปล่าคะ”

“ถึงห้องหรือยัง” เจ้าของเสียงทุ้มไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามกลับมาแทน ซึ่งนันท์นพินยิ่งแปลกใจกว่าเดิม ก่อนจะตอบรับน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อย

“ค่ะ”

“ล็อกห้องเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

นันท์นพินกวาดสายตามองรอบห้อง เผื่อทีปกรลืมอะไรเอาไว้ เขาถึงโทร. มา “เอ่อ...ค่ะ”

“งั้นนอนได้แล้ว”

“เอ่อ...ค...” คำว่า ‘ค่ะ’ ยังไม่หลุดจากปากด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็ชิงวางสายไปเสียแล้ว

จากที่นันท์นพินจะหลับก็เลยได้แต่ครุ่นคิดอย่างสงสัยกับการโทร. มาสั่งเสียงเข้มว่าทีปกรทำไปเพื่ออะไรกันแน่

สรุปก็ทำให้เสียเวลานอนไปหลายชั่วโมง กว่าจะข่มตาลงได้ก็ตอนใกล้รุ่งไปแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น