4
“ไอ้หนามทำหน้าให้มันสวยๆ หน่อยสิ เปลืองเครื่องสำอางจริงๆ”
นัทธ์ที่อยู่ในชุดเสื้อม่อฮ่อมยืนมือไขว้หลังกำกับอยู่ไม่ห่าง ตาคอยสำรวจน้องสาวคนสวยที่วันนี้แต่งชุดไทยประยุกต์ มาเป็นผู้ช่วยในการถ่ายรายการ ครัวคุณต้อย และช่วยสาธิตการทำอาหารจากร้านหนึ่งรายการ
“นี่ก็สวยแล้วนะพี่นัทธ์ ช่างแต่งหน้ายังชมหนามไม่ขาดคำ อีกนิดจะพาหนามไปเป็นดาราแล้วเนี่ย” คนที่แต่งตัวสวยจัดทั้งเสื้อผ้าหน้าผมแย้ง
แต่นัทธ์ไม่ค่อยพอใจในความสวยของน้องเท่าไรกลัวมีคนมาเกาะแกะ น้องสาวเขายิ่งซื่อๆ ไม่ทันคน ถ้าไม่ติดว่าต้องหาเงินเยอะๆ เพื่อมาดูแลบ้านเรือนไทยและร้านอาหารเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์เอาไว้ อย่าหวังว่าเขาจะเอาหน้าตาตนเองและน้องสาวออกมาเรียกสื่อและเรียกลูกค้าแบบนี้
“ถ้าอย่างแกเป็นดาราได้ ใครหน้าไหนก็เป็นได้ไหม เอาไอ้ด่างที่บ้านมาแสดงก็ได้งั้นสิ”
“พี่นัทธ์!”
คนสวยหน้างอใส่ ทั้งสะบัดหน้าแรงๆ ไอ้จะแย้งเรื่องหน้าตา พี่ชายเธอก็หน้าหวานหยด หล่อวัวตายควายล้มเสียแบบนั้น เธอจะเอาอะไรไปเทียบได้
“ทำไม จะเอาไหมโทรศัพท์น่ะ”
เมื่อพี่ชายยกข้อแลกเปลี่ยนมาอ้าง ปากที่กำลังตั้งใจอ้าเถียงก็รีบหุบลง ปั้นหน้าเศร้าน่าสงสารเข้าแทนที่
“เอาสิคะคุณพี่ขา ไม่งั้นหนามจะมาแต่งองค์ทรงเครื่องแน่นขนาดนี้หรือไง โทรศัพท์ทุกวันนี้ก็แพงเหลือเกิน เครื่องละสองสามหมื่น” บ่นอุบอิบ
เพราะโทรศัพท์พังไปร่วมเดือน ทำให้เธอขาดการติดต่อกับโลกโซเชียลไปอย่างปัจจุบันทันด่วน แทบเกิดอาการลงแดงขึ้นทุกขณะจิตอยู่แล้ว อยากส่องนักร้อง ดารา และหนุ่มๆ ตามประสา
“ฉันบอกให้เอาเครื่องราคาไม่กี่พันก็ไม่เชื่อ”
“ก็กล้องมันไม่ชัดนี่นา แถมความละเอียดภาพมันไม่สูงด้วย หนามอยากส่องหนุ่มๆ ด้วยความชัดระดับไฮเอนด์”
พี่ชายที่ยืนคุมเข้มน้องสาวเขกมะเหงกใส่หัวเล็ก
“ส่องไปก็แค่นั้น เขาไม่เอาแกหรอก แล้วเวลาสาธิตทำขนมก็หันมองกล้องแล้วฉีกยิ้มกว้างๆ ด้วย พี่จะยืนอธิบายอยู่ข้างๆ”
“เจ้าค่ะ” ขานรับทั้งทำหน้าย่นใส่พี่ชาย
“แล้วหายท้องเสียหรือยัง” ตอนท้ายพี่ชายเลียบๆ เคียงๆ ถาม
ช่วงนี้นันท์นพินเห็นชัดว่าพี่ชายเป็นห่วงเธอมาก ตั้งแต่วันที่ถูกเทแล้วเรียกแท็กซี่กลับเอง เธอช็อกหน้าซีดเหมือนไม่มีสติ มือไม้สั่นอยู่นานกว่าจะเรียกสติกลับมาได้
“หายมาจะเป็นอาทิตย์ๆ แล้วพี่ ทำงานหาเงินได้น่า ยังไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“อาหารข้างทางทีหลังห้ามไปกิน หิวมากก็อดมากินข้าวที่บ้านที่ร้าน หรือคราวหลังถ้ากลัวหิวก็ห่อจากบ้านไป” กำชับพร้อมส่ายหน้าแรงๆ พร้อมเปรยเสียงระอา “เสียชื่อร้านหมด”
อาหารเป็นพิษนี่ก็เสียชื่อร้านหรือ นันท์นพินรำพึง
“แล้ววันนี้ไปหาหมอศิลามาแล้วไม่ใช่”
“ไปทำไมล่ะพี่นัทธ์ หนามหายแล้ว แข็งแรงดี ออกรายการได้ ในรายการครัวคุณต้อยไม่มีเอฟเฟกต์ แสงสีเสียงอะไรให้ตื่นตกใจ หนามไปสอบถามมาแล้ว”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องเอฟเฟกต์จากทางรายการ ฉันห่วงแก เดี๋ยวว่างๆ เราไปหาหมอศิลากัน”
“หนามไม่ไป หนามหายแล้ว”
“แกหายมาหลายปีแล้ว อันนั้นฉันรู้ แต่มันมากำเริบอีก เกิดฉุกเฉินเป็นข้างนอก โทรศัพท์ดันพังเหมือนครั้งนั้นอีก ใครจะช่วยแก”
นันท์นพินสบสายตาห่วงใยของพี่ชายผ่านกระจกเงาครู่หนึ่ง
“หนามไม่เป็นอะไร ใช้ชีวิตปกติได้ พี่ก็เห็น พี่นัทธ์คะ อย่าทำเหมือนหนามเป็นตัวอะไรที่แปลกแยกนักหน่อยเลยค่ะ ปล่อยให้หนามใช้ชีวิตของหนามไปเถอะ หนามอยู่กับมันได้”
พี่ชายยืนกอดอกจ้องมองน้องสาวอย่างไม่วางใจ ก็พอดีที่โพรดิวเซอร์รายการมาเรียกไปซักซ้อมคิว สองพี่น้องเลยจำต้องไปสแตนด์บาย และแน่นอนว่าพิธีกรชายทั้งหลายในรายการเอาแต่สนใจแม่ครัวคนสวยที่ไปสาธิตการทำอาหาร
“กินขนมร้านนี้แล้วรับรองว่าผิวสวย หน้าหวานเหมือนแม่ค้า ไม่ลองเดี๋ยวคุณจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง”
พิธีกรหนุ่มที่ยืนขนาบด้านซ้ายด้านขวาของนันท์นพินเอ่ยกระเซ้าเย้าหยอกเรียกเสียงหัวเราะ ตากล้องก็คอยแต่จับหน้าคนทำและผิวสวยๆ เนียนละไมของผู้ช่วยพ่อครัว
“ถ้าอยากเจอแม่ค้าหน้าหวาน พ่อค้าหนุ่มหล่อ แถมอาหารอร่อยเลิศแบบนี้ สามารถติดต่อช่องทางไหนได้ครับ”
ขณะที่ถึงขั้นตอนการชิมอาหาร พิธีกรชายอีกคนก็เข้าประเด็น เปิดช่องทางการติดต่อ นัทธ์ก็บอกช่องทางต่อติดร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์พร้อมขยิบตาใส่กล้องหว่านเสน่ห์ เรียกเสียงกรีดร้องจากบรรดาแม่ยกที่ตามพ่อครัวหนุ่มมาในสตูดิโอด้วยดังสนั่น
“แล้วเบอร์ติดต่อแม่ครัวล่ะครับ ติดต่อเบอร์ไหน” พิธีกรหนุ่มรีบหยอด
นันท์นพินยิ้มเขินอายพอเป็นพิธีเพราะมีแจ้งในสคริปต์มาแล้ว และพี่ชายเธอก็เล่นบทบาทหวงน้อง แจ้งเบอร์ทางร้านไปซ้ำๆ
กว่าจะบันทึกรายการก็ใช้เวลาไปแทบจะวันครึ่ง สองพี่น้องและเด็กๆ ในร้านจึงได้ขนข้าวของบางส่วนที่เตรียมมากลับ
“คุณหนามครับ คุณหนาม!”
ตอนที่สองพี่น้องออกจากสตูดิโอ พิธีกรช่วยที่หน้าตาดีสุดและดูเด็กสุดในกลุ่มนามพี่อ๊อฟก็ตามออกมาพร้อมรั้งนันท์นพินเอาไว้
“หนามบอกแล้วว่าหนามสวย เดี๋ยวก็มารบเร้าหนามไปเป็นดาราอีก เชื่อสิ” หญิงสาวหันไปมองพี่ชายพลางกระซิบบอก ก่อนหันไปฉีกยิ้มให้พิธีกรท่านนั้น
“คือทราบมาว่า คุณหนามนี่รับสอนทำอาหารด้วย พอมีเบอร์ติดต่อให้ผมหน่อยไหมครับ เผื่อผมจะต้องเรียนเรื่องอาหารเพิ่ม ก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ ในรายการก็ต้องเข้าใจเรื่องอาหารเรื่องรสชาติอาหาร ต้องศึกษาเอาไว้บ้าง”
นันท์นพินรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหน้าแตกดัง เพล้ง!
นัทธ์ไม่ได้หัวเราะเยาะกับความเข้าใจผิดแบบมั่นหน้าของน้องสาว เพราะพักหลังมานี่ ลูกศิษย์ชายเยอะขึ้นมาก แล้วน้องสาวเขาก็แทบไม่รู้ตัวเลยว่าลูกศิษย์อยากมาเรียนทำขนม หรืออยากมาเรียนรู้เรื่องความรักกันแน่
“มีครับๆ นี่นามบัตร ติดต่อไปเลย หรือถ้าอยากสอบถามแบบส่วนตัว ระบุครูพี่หนามเลยนะครับ ขอบใจที่ใส่ใจและอยากศึกษาขนมไทยกับพวกเรา ถือเป็นเกียรติมากเลยนะครับ เพราะคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจรักษาวัฒนธรรมหรือแม้แต่อาหารไทยๆ เท่าไหร่”
นัทธ์เข้ามาขวางพร้อมคำพูดทรงคุณค่า หน้าตาหล่อดูทรงภูมิ สาธยายยาวหวังดักให้พิธีกรรายการอาหารงุนงง แล้วก็จบจ๊อบด้วยการขอบคุณปิดท้าย
“ขอบคุณคุณพิธีกรเขาเสียสิหนาม”
ดึงน้องสาวมาทำความเคารพ ก่อนยัดน้องสาวเข้าไปในรถแล้วปิดประตู
“เอ่อ...เบอร์น้องไม่มีหรือครับ” พิธีกรหนุ่มไม่ย่อท้อ
“โทรศัพท์หนามพังน่ะครับ ตอนนี้ก็ทำงานหาเงินซื้อให้วุ่น ยุ่งยากน่ะครับ โทรศัพท์ทุกวันนี้เครื่องเป็นหมื่นๆ นี่ก็กะจะเดินสายออกรายการอีกสิบที่จะได้พอค่าโทรศัพท์ ก็ไม่มีสปอนเซอร์มาอุดหนุนส่งโทรศัพท์ถึงบ้านบ้าง ถ้ามีแบบนั้นป่านนี้ไอ้หนามมันคงมีเบอร์ส่วนตัวไปแล้วครับ” นัทธ์ทอดเสียงยาว มองพิธีกรหนุ่มที่ตามติดน้องสาวเขาตั้งแต่ในรายการแล้ว คอยถามซักนั่นซักนี่นอกสคริปต์อยู่เรื่อยจนรำคาญตา
“อ้อ...ที่อยู่ในนามบัตรเป็นทั้งที่ร้านและที่บ้านนะครับ ว่างๆ ก็โทร. นัดจองคิวไปทานอาหารได้ วันนี้ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ให้โอกาสร้านของเรามาออกรายการ” กล่าวลาแล้วขึ้นรถ ให้คนรถออกรถขณะที่นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องลำพังคนเดียวจนน้องสาวอดใจไม่ไหว
“ยิ้มอะไรน่ะพี่นัทธ์ หรือพบรักกับพิธีกรนั่น”
“เรื่องของฉัน อย่างน้อยก็ไม่มั่นหน้าว่าเขามาตามไปเป็นดาราอย่างแกหรอก” ยอกย้อนน้องสาวพร้อมกอดอกวางหน้าตึง “แล้วก็เข้าไปตอบคำถามที่หน้าเพจด้วย ไม่เข้าไปดูเลยตั้งแต่โทรศัพท์พัง”
“ก็บอกให้ซื้อโทรศัพท์ให้หนาม พี่น่ะงก ให้หนามนั่งรอของฟรีหล่นลงมาจากฟ้าหรือไง”
“แน่นอน แกไม่รู้อะไร พวกคนรวยๆ หรือพวกมีชื่อเสียง ของพวกนี้จะมีสปอนเซอร์ส่งของให้ใช้ฟรีๆ น่าจะมีสปอนเซอร์มาถูกตาต้องใจร้านเราบ้าง เขาอาจจะส่งให้แกใช้ ใครจะไปรู้”
“จ้ะ! ร้านเราดังนักนิ และพี่นัทธ์กับหนามนี่ก็ดังติดลมบนเหลือเกิน ดูแค่เพจขนมก่อน มีคนตามกี่คนกัน สปอนเซอร์หน้าโง่ที่ไหนจะส่งอะไรๆ มาให้”
นัทธ์ไม่ได้ขำ เพียงสีหน้าอ่อนลง ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาว
“แกตั้งใจเรียนไปเถอะน่า อย่าห่วงเรื่องพวกนี้นักเลย”
“หนามนี่หรือห่วง น้อยๆ หน่อยพี่นัทธ์ พี่นั่นแหละมักลากหนามมาห่วงด้วย สาวสวยขนาดหนามนี่สมควรเรียน เที่ยวเล่นอยู่กับเพื่อน ชอปปิงไปวันๆ” นันท์นพินรีบแย้ง ก่อนหลบมะเหงกของพี่ชายที่เขกลงมาด้วยความเร็วแสง
“ฉันหมายถึงเรื่องดาราหรือว่าหนุ่มๆ อย่าเพิ่งไปสนใจมันเลย ตั้งใจเรียนให้จบ เอาตัวให้รอดพอ”
“ทีอย่างนี้มาทำหวง หน้าน้องพี่นี่สวยนักนี่ โตจนป่านนี้ แฟนสักคนก็ไม่มี ถึงมีก็เป็นแค่ตัวสำรอง” พูดแล้วก็ทำท่าจะน้ำตาซึม นึกถึงวันที่โทรศัพท์พังก็ปวดหัวใจ ปวดใจเข้าก็พาลนึกโกรธ
“หนามจะตั้งใจเรียนให้จบ ทำงานหาเงินเยอะๆ จะได้สวยๆ รวยๆ เก่งๆ”
กอดอกเชิดหน้าทั้งที่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ จนพี่ชายที่นั่งกอดอกเอนพิงเบาะนั่งด้านข้างใช้เท้าเตะเท้าน้องสาวเบาๆ
“ฝันอยู่หรือไง แค่เรียนจบ เอาตัวรอดก็พอแล้ว ฉันไม่ได้หวังให้แกต้องสวย ต้องรวย ต้องเก่งหรอก แค่ไม่ไปถูกใครหลอกก็พอ”
“พี่นัทธ์ชอบมาเตะหนาม เดี๋ยวหนามจะหาแฟนเป็นนักฟุตบอล ลองพี่มาเขี่ยหนามอีกคราวนี้ หนามให้แฟนหนามหวดหน้าแข้งใส่ไม่รู้ด้วย”
“เออๆ ฉันจะรอ ถ้าแกเอาแมสซี่มาทำแฟนได้ ฉันจะกราบเลย”
นันท์นพินสะบัดหน้าใส่พี่ชาย แต่ก็อดยกมือไหว้ไม่ได้ตอนที่พี่ให้คนขับรถมาส่งที่คอนโด ก่อนที่ตนเองจะเลยกลับบ้าน
ช่วงหลังๆ นัทธ์บอกที่ร้านคนเยอะ ไม่ค่อยอยากให้เธอพักที่นั่น นันท์นพินเลยต้องมาพักที่คอนโด ซึ่งเข้าทางคนที่ไม่อยากเข้าครัวอย่างเธอพอดี
“ไอ้พี่นัทธ์ อย่าให้หนามจีบเมสซีได้นะ เจอหวดแน่ๆ พี่อะไรแบบนี้ ไม่เขกหัวก็ถีบ นี่น้องหรือว่ากระสอบทรายกันแน่” บ่นตอนเดินเข้าประตูผ่านชั้นโถงประชาสัมพันธ์ด้วยอาการอ่อนล้า เหมือนเห็นร่างสูงๆ หนาๆ ของใครบางคนทางหางตา แต่ไม่ได้ใส่ใจ แตะคีย์การ์ดเข้าด้านในโถงลิฟต์ แล้วกดลิฟต์ไปชั้นที่ตนพัก
“คิดอีกทีจีบนักมวยดีกว่า อองตวนเลิกกับชิปปีแล้ว ว่างไหมน้า...คราวนี้อีพี่นัทธ์พูดมากนักจะได้สั่งให้ไปอัดซะให้น่วมเลย” บ่นพร้อมลูบกำปั้นเล็กๆ อย่างอาฆาต ก่อนเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นของตน เลี้ยวไปที่หน้าห้อง กดรหัสเข้าห้อง ปากก็หาวไปด้วยตอนถอดรองเท้าหยิบเข้าชั้น
“ไหนคุณว่าจะจีบผม”
เสียงห้วนจัดดังขึ้นมา ทำเอาคนที่อ่อนเพลียทั้งตาโหลสะดุ้งโหยง หันกลับมาเบิกตามองคนที่กำลังยืนถอดรองเท้าอยู่ใกล้ๆ ตน
“คะ...คุณทีป”
“ก็ผมสิ คุณคิดว่าใคร”
ทีปกรกอดอกจ้องมองดวงหน้าสวยที่ยังคงมีเครื่องสำอางฉาบทับอยู่ ดูสวยจัดจ้านกว่าทุกครั้ง แม้จะสวมชุดใส่เล่นอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนก็ไม่ทำให้ความสวยลดลงสักนิด
ทีปกรโน้มดวงหน้าหล่อเข้ามาใกล้ พร้อมเค้นเสียงแข็งออกมา “หรือคิดว่าผมเป็นเมสซี หรืออองตวน”
“คะ...คุณเข้ามาได้ยังไงคะ มาตอนไหน”
หญิงสาวมองเลิ่กลั่กว่าตนเองเข้าห้องถูกไหม ซึ่งก็แน่ใจว่านี่ห้องของตนเอง ก่อนจะเดินห่างจากเรือนกายกำยำที่โน้มเข้ามาใกล้ จนได้กลิ่นอายหอมอ่อนจากเขา แล้วยิ่งตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็กสีเทา เสื้อสูทคล้องอยู่ที่แขน ต่างจากที่เธอเจอทั้งสองครั้ง
“ก็มาด้วยกัน ถ้าคุณไม่มัวแต่บ่นถึงชู้รักอย่างเมสซี อองตวนอยู่ก็คงได้ยินที่ผมทักคุณ และคงรู้ตัวว่าผมเดินตามคุณมา”
“ตามมาทำไมคะ”
ถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมหลีกทางให้เขาเดินนำเข้าไปยังห้องรับแขกด้านใน เขาเลือกนั่งโซฟาตัวยาว ขณะที่เธอทิ้งกายนั่งที่โซฟาเดี่ยว ห่างจากเขาพอประมาณ
“ผมโทร. มาทำไมไม่รับ ไลน์มาก็ไม่ตอบ ไดเรกเมสเสจก็ไม่เห็นเปิดดู”
อาการร้อนใจทั้งหมดนั้น ทีปกรบอกตนเองว่าไม่ได้กังวลที่เธอไม่ติดต่อ เพียงแต่เกรงว่าเธออาจจะไม่ถึงบ้าน เกรงลูกสาวคนอื่นได้รับอันตราย เลยร้อนใจนั่งไม่ติด คอยไปแอบดูที่เรือนคุณนัทธ์ หรือที่คอนโดนี่ก็แวะมาบ่อยมากจนแทบจะสนิทกับพนักงานต้อนรับของที่นี่
“อ้อ” นันท์นพินครางทั้งพยักหน้าเข้าใจสาเหตุการมาของเขา
“โทรศัพท์หนามพังค่ะ พังตอนลงจากรถพอดี วันนี้หนามว่าจะเปิดโน้ตบุ๊กเช็กสื่อโซเชียลอยู่ทีเดียว”
ทีปกรพยักหน้ารับ แล้วก็นั่งเงียบไป
นันท์นพินอึดอัด ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วมาเพื่อถามแค่นี้หรือยังไง คนตัวเล็กนั่งกุมมืออย่างทำตัวไม่ถูก จนกระทั่งเสียงห้วนไม่สบอารมณ์ดังมา
“ห้องคุณไม่มีเครื่องดื่มหรือ”
“มีค่ะ”
“แขกมานั่งตั้งนาน คุณไม่คิดจะต้อนรับอะไรผมหรือไง ไหนว่าจีบผมอยู่”
มุกนี้อีกแล้วสิ นี่สินะมาตรฐานสำหรับคนที่ตามจีบเขา
นันท์นพินอยากขอคืนคำที่บอกว่าจะจีบเขา ตอนแรกก็แค่ชอบแบบเด็กๆ ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ และเธอไม่ชอบเป็นตัวสำรองหรือของเล่นของใคร เพราะรู้สึกไม่สนุก แค่รับมือกับพี่ชายจอมหาเรื่องก็ลำบากมากพออยู่แล้ว
นันท์นพินเดินเข้าครัว หยิบแก้วและน้ำเปล่าที่อัดแน่นเต็มตู้ออกมารินใส่แก้วให้เขา
“มีอะไรให้กินไหม”
พอเสิร์ฟน้ำ แขกไม่ได้รับเชิญก็เอ่ยขึ้น ทำเอานันท์นพินแทบครางออกมา เธออยู่ในสตูดิโอยืนทำอาหารมาจนขาแข็ง ตอนนี้สิ่งที่เธอเกลียดและไม่อยากเข้าใกล้ที่สุดคือครัว
“มีอยู่มั้งคะ หนามรบกวนคุณทีปเข้าไปหากินเองในครัว เพราะวันนี้หนามเหนื่อยมาก หนามขอล้างหน้าแป๊บหนึ่งนะคะ”
อยากจะต้อนรับขับสู้ แต่เธอรู้สึกว่าล้าไปทั้งตัว และคิดว่าจะไม่อยู่ในความสองมาตรฐานที่เขาสร้างขึ้นอย่างแน่นอน เลยหิ้วกระเป๋าเดินขาลากเข้าห้องที่อยู่ด้านในสุด แต่พอเข้าห้องได้ สมองก็ราวกับลืมว่าเขาอยู่ด้านนอก ทิ้งตัวลงเตียงได้ก็หลับไปเลย
‘เด็กคนนี้ไม่รู้จักระวังตัวเองเลย’
ทีปกรที่ถูกทิ้งให้อยู่ลำพังในห้องรับแขกตามเข้ามาในห้องด้วย หลังคนที่ขอตัวมาล้างหน้าหายไปนาน ตอนนี้เขายืนพิงกรอบประตูมองร่างบางที่นอนขดอยู่บนเตียง แอร์ไม่ได้เปิด ไฟไม่ได้เปิด
ร่างหนาก้าวเดินเข้าไปในห้อง จัดการเปิดแอร์ คลุมผ้าให้อีกคน ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋าของเธอ
“หนาม รหัสเข้าห้องคุณรหัสอะไร” เขย่าถามคนหลับ
“คุณทีปหรือ...คุณหล่อจัง” คนหลับบ่นงึมงำออกมา
“ผมทราบ บอกรหัสเข้าห้องคุณมา รหัสอะไร”
คนง่วงนอนมากปรือตางุนงงอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยบอกเขาไป แล้วซุกกายเข้ากับผ้าห่มอุ่น
ทีปกรได้การ์ดและรหัสก็ลงไปหาซื้อของกินของใช้ ก่อนจะกลับขึ้นมา พร้อมเปิดดูบอลคู่สำคัญรอบดึก พักครึ่งแรกก็เข้าไปอาบน้ำในห้องนอนพี่ชายของนันท์นพิน พร้อมรื้อเสื้อผ้าในตู้มาสวมอย่างถือวิสาสะ ก่อนมานั่งเอนกาย ขาพาดโต๊ะเล็ก ตาจ้องมองบอลนัดสำคัญ
หูยังได้ยินคนง่วงแสนน่ารักบอกว่าเขาหล่ออยู่เลย นี่ขนาดหลับยังคลั่งไคล้เขาขนาดนี้ แล้วหล่อของเจ้าหล่อนนี้มันต้องมาตรฐานไหน
“เมสซีไม่เห็นจะหล่อตรงไหน เล่นบอลก็งั้นๆ”
แต่แทนที่ทีปกรจะได้ลุ้นไปอย่างทุกแมตช์ กลับต้องตั้งคำถามกับตนเองเป็นพันๆ หน แถมเริ่มเหม็นขี้หน้านักเตะคนนี้
“เด็กทุกวันนี้ใจโลเลจริงๆ ดูไม่ออกหรือไงว่าอะไรเพชร อะไรกรวด”
ทีปกรรู้ว่าไม่ควรลดตัวลงไปในสงครามแย่งชิงที่หญิงสาวสร้างขึ้น แต่พอพักโฆษณา เห็นนักมวยชื่ออองตวนในโฆษณาผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่งก็อดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
“นักมวยคนนี้ก็หน้าแหลม นึกว่าผู้หญิงเสียอีก”
กำลังหงุดหงิดกับสองนักกีฬาบ้าก็พอดีห้องนอนที่เจ้าของห้องหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้นเสียนานถูกเปิดออกมา ตอนนี้เจ้าของเรือนร่างอรชรอยู่ในชุดอยู่กับบ้าน เสื้อยืดตัวโตๆ กับกางเกงขาสั้นที่สั้นมากจนนึกว่าไม่ได้สวมกางเกง ดวงหน้าที่เคยแต่งแต้มถูกล้างออกหมดแล้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้งมา บอกว่าเธอคงอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
“ใครเปิดไฟ เปิดทีวีทิ้งไว้เนี่ย พี่นัทธ์คะ พี่นัทธ์! จะมาใช้ไฟแล้วให้หนามจ่ายไม่ได้นะบอกก่อน”
ตะโกนมาตามทางเดินก่อนจะหยุดยืนนิ่งตรงห้องรับแขกเมื่อเห็นว่าเป็นใครกันแน่ที่มาใช้ทรัพยากรในห้องเธออย่างฟุ่มเฟือย
“คะ...คุณทีป นี่เราฝันยังไม่ตื่นอีกหรือเนี่ย ฝันว่าเจอไปแล้ว นี่ยังฝันว่าตื่นมาเจออีก” เอ่ยอย่างงุนงง ทำท่าจะเดินเข้าครัว แต่คนตัวโตหันมามอง ทั้งยังชูแก้วร้องบอกเธอ
“เสิร์ฟเบียร์ด้วย ให้ไวๆ”
เสียงออกดุนิดๆ กร้าวหน่อยๆ ดังมาบอกให้นันท์นพินทราบว่านี่ไม่ใช่ฝัน เธอเจอทีปกรจริงๆ แล้วก็เกิดจำได้ขึ้นมาว่า ตนทิ้งเขาไว้แล้วหนีเข้าไปนอน ตื่นมาอีกทีตอนนี้ก็ตีสามครึ่งไปแล้ว
นี่ยังหน้ามึนอยู่อีกหรือเนี่ย หรือยังจะบริการส่งตรงมาให้จีบทำคะแนนถึงที่อีกวะ นึกอย่างระแวงแกมสับสน
“คุณทีป...” ครางออกมาอย่างงุนงง “...เอ่อ...ห้องหนามไม่มีเบียร์”
“อยู่ในตู้เย็น ผมลงไปซื้อมาแล้ว”
นันท์นพินคิดถึงความฝันว่าเขาขอรหัสและคีย์การ์ดห้องเธอ นั่นก็คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
และก็จริง มีเบียร์กระป๋องอยู่ในตู้จริง หญิงสาวเลยหยิบออกมาหลายกระป๋องเพื่อกันเขาใช้โอกาสนี้จิกหัวใช้เธออีกครั้ง และโชคดีที่ในตู้มีของว่างอย่างพวกไส้กรอก ลูกชิ้น หญิงสาวเลยยัดใส่ไมโครเวฟ ก่อนใส่จานก็หยิบช้อนส้อมใส่มา เดินเอาเบียร์มาส่งให้ทีปกร ส่วนตนเองทิ้งกายลงนั่งที่พื้น วางจานใส่ของว่างลงบนโต๊ะเล็ก
“ทำไมต้องเทเบียร์ใส่แก้วด้วยล่ะคะ”
นันท์นพินอดสงสัยไม่ได้ เพราะเธอต้องลำบากล้างแก้วที่เขาดื่มอีก แทนที่จะดื่มผ่านกระป๋อง ดื่มหมดก็ขยำทิ้ง ง่ายและสะดวกกว่า
หรือเห็นว่าเธอเป็นแม่ครัวเก่งเรื่องทำความสะอาด แต่นี่แม่ครัวเวอร์ชันขี้เกียจมากๆ นะขอบอก
“เอาบรรยากาศ”
‘บรรยากาศอะไร นี่ไม่ใช่ลานเบียร์สักหน่อย’ อดค่อนขอดอีกคนในใจไม่ได้ แล้วใช้ช้อนหั่นไส้กรอกที่เวฟจนแตกบานเต็มจาน ตอนนี้ก็เริ่มเหี่ยวไม่น่ากิน
“ผมถามจริงเถอะ คุณเป็นแม่ครัวจริงๆ หรือ”
นันท์นพินจิ้มไส้กรอกที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำเข้าปาก เคี้ยวจนแก้มใสๆ พอง ปากสีชมพูอ่อนขยับหมับๆ น่ารัก คนที่มองจอทีวีตอนแรกเผลอละสายตามาจ้องมองภาพนั้นจนได้
“ทำไมคะ”
“เวฟไส้กรอกได้เหี่ยวและแตกบานขนาดนี้” ชายหนุ่มมองจานอาหารว่างของอีกคนพลางส่ายหัวแรงๆ
“หนามชอบกินแบบนี้”
ทีปกรโน้มตัวลงมา เปิดกระป๋องเบียร์แล้วเทใส่แก้วขณะเอียงหน้ามองคนที่สนใจไส้กรอกเหี่ยวๆ ในจาน
“ของผมยังไม่เหี่ยวแบบนี้นะ บอกก่อน”
“คะ?”
นันท์นพินเอียงหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะลดสายตาลงมองหว่างขาอย่างไม่รู้ตัว พลันหน้าสาวก็แดงซ่านขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล สำลักอาหารที่เพิ่งจะกลืนลงคอ
“แค็กๆ”
เพราะความแสบร้อนที่ระอุมาตามลำคอและหน้าอก มือเล็กเลยยื่นออกไปคว้าแก้วที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม ได้แล้วก็ยกกระดกรวดเดียวหมดพร้อมลูบอกหลังจากทุเลาจากอาการแสบร้อน
พอวางแก้วที่น้ำหายไปเกือบหมดลงที่โต๊ะ อาการแสบร้อนแน่นอกตอนแรกก็ถูกแทนที่ด้วยอาการมึนๆ อาจจะเพราะเหนื่อยมาหลายวัน พักผ่อนไม่เพียงพอ พอเติมแอลกอฮอล์ลงไป หน้าก็พลันแดงระเรื่อขึ้นทันตา
“น้ำอะไรคะนี่”
“เบียร์”
คนตัวโตเท้าแขนกับหน้าขา เอียงหน้ามองดวงหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาคู่สวยเป็นประกายวิบวับน่ามองกว่าก่อนหน้านี้มาก
“ดื่มแล้วหนามรู้สึกหัวหมุน มึนๆ ร้อนแปลกๆ นี่ปกติไหมคะ”
นันท์นพินแตะฝ่ามือนุ่มลงที่หน้าขาของทีปกร แล้วเงยหน้าขึ้นมองจนผมยาวสลวยทิ้งตัวไปด้านหลัง และเพราะเงยหน้าเร็วเลยทำท่าจะหงายหลัง ดีที่ทีปกรคว้าแผ่นหลังนุ่มนิ่มเอาไว้ได้ทัน ลากเธอเข้ามาชิดต้นขา จนสัมผัสความอวบอิ่มของสองก้อนอวบได้ถนัดถนี่
“อาการปกติ”
“งั้นแพ้ไส้กรอกเหี่ยวๆ หรือเปล่า นี่หัวหนามเริ่มหนัก ตาเริ่มลาย เห็นคุณทีปมีสองคนแล้วค่ะ เอ๊ะ! ฝาแฝดไหม ทำไมหน้าตาดีแพ็กคู่แบบนี้”
เอื้อมสองมือมาประกบดวงหน้าหล่อที่ก้มต่ำจ้องมองเธออยู่ ปากเข้มได้รูปอยู่ห่างจากดวงหน้าเธอนิดเดียว กลิ่นลมหายใจปนกลิ่นแอลกอฮอล์ดึงให้คนที่แหงนเงยเผยอปากนิดๆ หน้าแดงระเรื่ออย่างน่ารักนั้นดูเมามายหนักยิ่งขึ้น
“บอกผมก่อนว่าผมกับเมสซิและอองตวน ใครหล่อกว่ากัน”
ยังคงหึงอยู่ไหม ไม่ใช่! แค่รู้สึกว่าไม่แฟร์มากกว่า
ทีปกรถามและตอบตนเองอย่างหนักแน่น คนในเอเชียโหวตให้เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มหน้าตาดี ถึงไม่ได้อันดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นคนไทยคนเดียวที่ติดอันดับ ที่สำคัญเมสซิกับอองตวนไม่ได้ติดโพลอันดับหน้าตาดีด้วยซ้ำ
“มันก็ต้องคุณทีปของหนามสิคะ หล่อ...คนอะไรหน้าตาดี ขนตายาว จมูกโด่ง”
คนพูดไล้ปลายนิ้วไปตามดวงหน้าของเขา ทั้งหัวเราะคิกชอบใจ อาการแบบนี้ทำให้ทีปกรยกยิ้มพร้อมกระซิบบอกเบาๆ แทบชิดใบหูน้อย
“แบบนี้เขาเรียกอาการเมาปกติ!”
ความคิดเห็น |
---|