4

ตอนที่ 3...แรกพบสบตา


 

 พูดจบก็รับถุงเสื้อจากพนักงานขายแล้วเดินผละจากไปทันที ทิ้งอาการตกตะลึงไว้ให้ขวัญชีวาที่ได้แต่อ้าปากค้างพลางกลอกตาไปมาอย่างน่าขัน

ขวัญชีวาก้าวเดินตามหลังกรวรรณผู้เป็นเพื่อนเข้าไปในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสุขุมวิทซึ่งได้ชื่อว่าเป็นย่านของคนมีเงิน ห้างดังกล่าวเต็มไปด้วยสินค้าชั้นนำจากต่างประเทศที่บางชิ้นราคาเท่ากับจำนวนเงินที่คนหาเช้ากินค่ำใช้ได้ทั้งปี

            แม้จะเกิดบนกองเงินกองทองแต่หญิงสาวก็ไม่เคยนึกอยากเสียเงินไปง่ายๆ กับการซื้อของพวกนี้ ใช่ว่าเธอจะทำตัวเป็นคนโลกสวยแต่เป็นเพราะเธอถูกคุณยายของเธออบรมสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยไม่ให้มองคนที่วัตถุสิ่งของ

“อ้าวนังหนูวา ทำไมแกไม่เดินต่อ ยืนนิ่งอยู่กับที่ทำไม” กรวรรณหันมาถามผู้เป็นเพื่อนอย่างสงสัยที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดินเสียอย่างนั้น

“กำลังคิด...” ขวัญชีวาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงักคำพูดลงกลางคันจากเสียงแหลมๆ ที่ดังขัดขึ้นจากเบื้องหลัง

“อุ๊ยตาย...ยายนก ไม่นึกว่าจะเจอเธอมาเดินที่นี่ด้วย”

คนถูกทักหันขวับไปมองก็พบเข้ากับร่างสูงทว่าค่อนข้างผอมของหญิงสาวผิวขาวเจ้าของเสียง ในชุดแซ็กเปิดหน้าเปิดหลังสีดำกำลังยืนมองมาด้วยสีหน้าติดเหยียดๆ มีถุงชอปปิงหลายใบถืออยู่ในมือ จึงจ้องกลับและพูดตอบโต้ออกไปทันควันอย่างไม่กริ่งเกรง

“ทำไมจะต้องนึกหรือไม่นึกด้วยล่ะ ฉันมาเดินที่นี่ไม่ได้หรือไง หรือว่าเธอมาได้คนเดียวยายน้ำพิษ”

เพราะคนทักและถูกเรียกว่าน้ำพิษไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นดวงยิหวาหรือน้ำหวานเพื่อนร่วมคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่พบเจอกันครั้งใดก็มักจะชอบคุยฟุ้งโอ้อวดเรื่องการใช้ของแบรนด์เนมของตัวเอง จึงมักถูกพูดเบรกออกไปหลายครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเรื่อยมา

คนถูกเรียกน้ำพิษแทบเต้น ก่อนจะยกริมฝีปากขึ้นยิ้มพลางปรายตามองคู่ปรับเก่าซึ่งแต่งกายในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวอย่างเหยียดๆ “หวังว่าเธอคงไม่ได้คิดจะเข้ามาซื้อของที่นี่หรอกนะ รู้ไหมว่าของบางชิ้นน่ะราคามากกว่าเงินเดือนของเธอรวมกันทั้งปีอีกนะ ฉันเห็นเธอมาเดินที่นี่ถึงได้นึกสงสัยว่ามาเดินที่นี่ได้ยังไงล่ะ ไม่สังเกตหรือว่าแต่ละคนที่เดินสวนกับเธอแต่งกายกันแบบไหน แต่งตัวแบบนี้ยังกล้ามาเดินสถานที่แบบนี้อีกนะ ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย เป็นฉันนะ แค่คิดยังไม่กล้าเลย”

คำพูดเหน็บแนมกระแนะกระแหนแสดงอาการดูถูกดูแคลนไม่ได้ทำให้คนฟังอย่างกรวรรณรู้สึกโกรธแต่อย่างใด หญิงสาวมองเพื่อนร่วมคณะด้วยสายตาแสดงความสมเพชเวทนา

“ทำไมฉันจะต้องเจียมตัวด้วย มาเดินที่นี่ต้องแต่งตัวแบบเธอหรือไง ที่ใช้กระเป๋าใบห้าหมื่นแต่มีเงินติดกระเป๋าแค่พันห้า ฉันขอเป็นพวกใช้กระเป๋าใบพันห้าแต่มีเงินในกระเป๋าห้าหมื่นดีกว่า”

“เธอรู้ได้ไงว่ากระเป๋าฉันใบละห้าหมื่น” พูดพลางดวงยิหวาก็จับกระเป๋าของตัวเองที่สะพายอยู่ให้ดู สีหน้าปรากฏรอยยิ้มเยาะ “ใบนี้เป็นลิมิเต็ดที่ทำขึ้นมาแค่ไม่กี่ใบเท่านั้น ใบละแสนห้าย่ะ”

กรวรรณส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ “โถ...ยายน้ำพิษ ฉันแค่เปรียบเทียบให้เธอฟังต่างหากล่ะ แล้วที่เธอบอกฉันปาวๆ ว่ากระเป๋าตัวเองเป็นรุ่นลิมิเต็ดใบละแสนห้านี่ ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วจะทำได้นะ”

“หมายความว่ายังไง” คนถามถามเสียงแว้ด

“อ้าว...ก็ต้องโง่ด้วยไงล่ะ คนซื้อกระเป๋าใบละแสนห้าได้สมองต้องกลวงด้วย”

“ยายนก ยายปากหมา...” คนถูกหาว่าโง่สมองกลวงโกรธจนปากคอสั่น แต่ครั้นหันไปมองด้านข้างของกรวรรณเห็นขวัญชีวายืนอยู่ ความคิดบางอย่างก็แล่นวาบเข้าสู่สมอง ในเมื่อตอนนี้ยังหาคำพูดมาตอบโต้คู่ปรับเก่าไม่ได้ เล่นงานเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายแทนแล้วกัน คนเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้อย่างยายหนูวามีหรือจะเถียงเธอทัน โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังจะพูดออกไป รับรองว่าต้องเถียงไม่ออกอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นดวงหน้าสะสวยที่แต่งจนจัดจ้านก็ระบายยิ้มออกมา “ได้ข่าวว่าเธอยื่นใบลาออกจากบริษัทแล้วหรือหนูวา”

คนถูกลากเข้าสู่วงวิวาทอย่างขวัญชีวาหรี่ตามองดวงหน้าที่กำลังแย้มยิ้มของคนถามเขม็ง มีหรือเธอจะมองไม่ออกว่ารอยยิ้มนั่นแฝงอะไรบางอย่างซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาดีอย่างแน่นอน

“เธอรู้ได้ไงว่าฉันยื่นใบลาออกจากบริษัท”

“ก็พี่ลดาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉันไงล่ะ ฉันถึงรู้ว่าเธอยื่นใบลาออก” คนพูดเปลี่ยนจากยิ้มเป็นส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยตามด้วยคำพูดบาดหู “คนเรานะหนูวา แข่งอะไรอาจจะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนาน่ะคงยาก ใครจะเลือกก้อนกรวดทั้งที่มีเพชรวางอยู่ตรงหน้า ใครทำแบบนั้นก็โง่เต็มที”

คำพูดแฝงความนัยของดวงยิหวาทำเอากรวรรณทำท่าจะถลาเข้าไปหาแต่ถูกขวัญชีวาคว้าแขนเอาไว้ได้ทันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าดวงตากลับวาววับเจิดจ้าจนคนว่าเห็นแล้วต้องก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว

“เรื่องแข่งบุญแข่งวาสนาที่เธอพูดน่ะคงต้องรอดูต่อไปนะว่าใครกันแน่ที่มีบุญมีวาสนา รับรองว่าอีกไม่ช้านี้เธอได้เห็นอย่างแน่นอน รวมทั้งก้อนกรวดหรือเพชรที่เธอพูดก็ด้วยเช่นกัน จำเอาไว้เถอะน้ำหวาน เพชรต่อให้วางไว้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงใดก็ย่อมมีแสงวิบวับส่องประกายปรากฏให้เห็น และคนตาถึงย่อมมองออกว่าเป็นเพชรวันยังค่ำ นอกจากจะมีคนโง่ทั้งยังตาต่ำเป็นตาตุ่มเท่านั้นที่มองเห็นเป็นกรวด”

คนพูดหยุดพักไปชั่วครู่ราวหยุดหายใจ ส่วนคนฟังได้แต่อ้ำอึ้งอ้าปากค้าง ขณะที่คนเป็นเพื่อนแทบจะโห่ร้องด้วยความสะใจ เธออยากให้ผู้เป็นเพื่อนแสดงธาตุแท้อย่างนี้ออกมานานแล้ว สะใจเธอจริงๆ

“แล้วเธอเคยอกหักรักคุดมาก่อนหรือน้ำหวานถึงมองว่าฉันมีท่าทางอย่างนั้น เธอลองมองฉันแล้วไตร่ตรองดีๆ ว่าฉันมีท่าทางอย่างที่เธอพูดหรือเปล่า อย่าเอามุมมองเพียงด้านเดียวของตัวเองมาตัดสินคนอื่นแบบนี้”

ดวงยิหวาถูกคนที่เธอคิดว่าเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้พูดจายอกย้อนใส่จนต้องยืนอ้าปากค้างอย่างคิดไม่ถึงระคนประหลาดใจ กระทั่งนึกหาคำพูดมาโต้ตอบไม่ได้ในทันใด

นี่คือขวัญชีวาที่เธอเคยเห็นเป็นคนติ๋มๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาจริงหรือ ถ้าเป็นกรวรรณพูดกับเธอก็ว่าไปอย่าง แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูสวยขึ้นกว่าเก่ามากราวกับคนละคน

“เป็นไงยายน้ำพิษ มีอะไรจะพูดว่าอีกไหม เอาไว้นึกได้แล้วค่อยว่ากันคราวหน้าก็ได้นะ ไปหาที่บริษัทพี่สาวเธอก็ได้นะฉันจะรอ” กรวรรณพูดท้าทายอย่างไม่หวั่นก่อนจะหันไปทางผู้เป็นเพื่อน “ไปกันเถอะหนูวา”

ขวัญชีวาพยักหน้าพลางปรายตามองไปยังหญิงสาวอีกคนแล้วพูดยิ้มๆ “ไปสิ ฉันกำลังอยากได้เสื้อผ้าใหม่ๆ อยู่พอดี แต่ไม่รู้ว่าจะมีเงินซื้อหรือเปล่า”

“บ้าเหรอ ถ้าคนอย่างเธอไม่มีเงินซื้อแล้วใครจะมีเงินซื้อเล่า”

คำพูดทิ้งท้ายของกรวรรณก่อความสงสัยให้เกิดขึ้นกับดวงยิหวาที่กำลังมองตามหลังทั้งคู่ไปจนลับตาไม่น้อย ก่อนจะสะบัดหน้าจากไปอย่างหงุดหงิดที่เมื่อกี้ตัวเองไม่สามารถหาคำพูดไปตอบโต้ได้ น่าเจ็บใจนัก

คนที่ทุ่มเถียงกันไม่รู้ หรือมัวแต่เถียงกันเพลินจนมองไม่เห็นว่าหลังกระถางต้นไม้ใหญ่มีใครบางคนยืนคุยโทรศัพท์อยู่ และดวงตาคู่คมของใครคนนั้นกำลังมองตามหญิงสาวหนึ่งในนั้นไปด้วยสายตาทึ่งๆ ระคนประทับใจโดยไม่รู้ตัว จนเผลอพึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ

“นอกจากจะสวย ยังปากจัดใช้ได้แฮะ”

“ใครสวย ใครปากจัดหรือครับนาย” เดฟที่เดินเตร่อยู่แถวๆ นั้นเอ่ยถามเพราะหูทันได้ยินเข้าพอดี

“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอก” ฌอนส่ายหน้าปฏิเสธ “ไปกันเถอะฉันอยากได้เสื้อยืดสักสองสามตัว”

ปากบอกคนสนิทไปอย่างนั้น ทว่าในห้วงความคิดดวงตาคู่วาววับของหญิงสาวคนเมื่อกี้กลับผุดวาบเข้ามา เรียกอมยิ้มให้เกิดขึ้นบนดวงหน้าหล่อเหลาจนต้องกลบเกลื่อนโดยการหยิบแว่นกันแดดสีชามาสวม ซึ่งอากัปกิริยาดังกล่าวของคนเป็นนายมีหรือคนเป็นองครักษ์ตามติดเป็นเงาตามตัวมาหลายปีอย่างเดฟจะไม่สังเกตเห็น แล้วสายตาที่มองตามหญิงสาวหนึ่งในนั้นไปจนลับตาอีกล่ะ

และเขาแน่ใจว่าจุดสนใจของคนเป็นนายน่าจะเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงระหงเจ้าของคำพูดยอกย้อนคนนั้นเป็นแน่ เขาไม่เคยเห็นสายตาของเจ้านายมองตามใครจนลับตาแบบนี้มาก่อน

 

“นี่เธอ...ดูผู้ชายคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงนั้นสิ ใช่คนในคลิปไหม”

“คลิปอะไรของเธอ”

“แหม...เธอนี่เชยจังไปอยู่ไหนมา คลิปที่ฉันว่าน่ะตอนนี้มีแต่คนพูดถึง”

“แหม...ฉันไม่ได้จ้องโทรศัพท์ตลอดเวลาเหมือนเธอนี่ แล้วตกลงคลิปที่ว่าคือคลิปอะไร”

เสียงคุยกันที่ดังจากเบื้องหลังสะดุดหูขวัญชีวาซึ่งยืนคอยกรวรรณที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำจนต้องหันไปมองที่มาของเสียง ก็พบเข้ากับกลุ่มหญิงสาวสามสี่คนกำลังยืนคุยกันอย่างออกรสพลางชี้ไม้ชี้มือประกอบ ซึ่งจากคำพูดที่ได้ยินทำให้เธอนึกถึงคลิปที่ผู้เป็นเพื่อนเปิดให้ดูตอนอยู่ในร้านเสริมสวยขึ้นมาทันใด และไม่รู้อะไรดลใจให้หยุดเงี่ยหูฟังต่อ ทั้งที่ปกติไม่ใช่นิสัย

“เธอนี่ตกข่าวไปได้ยังไง คลิปที่ฉันพูดถึงเป็นคลิปที่มีผู้ชายหล่อๆ จูงมือคนแก่ตาบอดข้ามถนนขณะฝนตกยังไงล่ะ แล้วมีคนตาดีถ่ายเก็บ เอามาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เธอรู้ไหมตอนนี้มียอดไลก์ยอดคอมเมนต์เป็นแสนแล้วมั้ง มีคนเมนต์ว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาคล้ายดาราไต้หวันคนหนึ่งที่เล่นละครเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย ไงล่ะ”

ลำนำรักทะเลทราย ท่านแม่ทัพสุดหล่อของฉันน่ะเหรอ เดี๋ยวฉันขอดูก่อน เอ๊ะ...ใช่จริงๆ ด้วย หน้าตาคล้าย เอ็ดดี้ เผิง จริงๆ ด้วย กรี๊ด...แต่คนนี้สูงกว่าหล่อกว่าเป็นไหนๆ เราไปดูใกล้ๆ กันดีกว่า”

คนแอบฟังฟังแล้วต้องลอบถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ เฮ้อ...ตกลงเป็นข่าวเดียวกัน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน คำว่าท่านแม่ทัพสุดหล่อนั่นเธอก็ได้ยินมาจากผู้เป็นเพื่อนหนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังได้ยินจากสาวๆ กลุ่มนี้อีก นี่ถ้าเพื่อนของเธอมาได้ยินเข้าคงได้วิ่งตามไปดูเหมือนแม่สาวกลุ่มนี้แน่นอน

“ยายนกนะยายนก ทำไมไปห้องน้ำนานจัง” หญิงสาวบ่นถึงผู้เป็นเพื่อนที่ไปเข้าห้องน้ำพักใหญ่แล้วและให้เธอยืนคอยอยู่ตรงนี้ ขณะกำลังยืนหันรีหันขวางอยู่ก็ต้องเซจนเกือบล้มคว่ำลงกับพื้นเพราะแรงกระแทกด้านหลังจากหญิงสาวกลุ่มดังกล่าวที่พากันรีบเดินไปข้างหน้า แม้จะไม่ทันล้มแต่ก็สร้างความขุ่นเคืองให้เกิดกับคนเกือบเจ็บตัวไม่น้อย

อะไรกันนักหนา...ก็แค่ผู้ชายหน้าคล้ายดารา บ้าที่สุด มารยาทแย่จริงเชียว จะขอโทษสักคำก็ไม่มี ขวัญชีวาบ่นออกมาอย่างหัวเสีย

“อ้าว แกเป็นอะไรไปทำหน้ายังกับตูด” กรวรรณที่เพิ่งออกจากห้องน้ำเอ่ยถามผู้เป็นเพื่อนที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่อย่างแปลกใจ

ซึ่งคนถูกถามเกือบจะพลั้งปากบอกถึงสาเหตุแต่ยั้งไว้ได้ทัน เพราะถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าคนในคลิปอยู่ในห้างนี้ด้วยมีหวังได้ลากเธอไปตามหาเป็นแน่ จึงทำเป็นเสบ่นออกไป “ก็แกนั่นแหละไปเข้าห้องน้ำนานจนฉันนึกว่าแกไปหลับอยู่ในนั้นแล้วนะยายนก”

ดวงหน้าน่ารักของคนถูกต่อว่ายิ้มกว้าง ไม่ได้สลดกับคำต่อว่าแต่อย่างใด “ที่ฉันไปนานเพราะมัวแต่แอบฟังเรื่องตื่นเต้นน่ะสิ ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ” พูดพลางก็ดึงกึ่งกระชากแขนผู้เป็นเพื่อนแต่คนถูกดึงขืนตัวเอาไว้

“แกจะไปไหน แล้วมีเรื่องตื่นเต้นอะไรอีกล่ะ”

“ก็ฉันได้ยินพวกผู้หญิงในห้องน้ำคุยกันว่าคนอยู่ในคลิปที่ฉันให้แกดูตอนอยู่ในร้านเสริมสวยน่ะอยู่ในห้างนี้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้น” กรวรรณบอกเพื่อนน้ำเสียงตื่นเต้น “แกเดินไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ เผื่อเจอจะได้ขอลายเซ็นไว้เป็นที่ระลึก ฉันอยากเห็นใกล้ๆ ว่าเหมือนท่านแม่ทัพของฉันจริงอย่างที่ว่ากันหรือเปล่า”

“แม่ทัพบ้าบออะไรของแกนักหนายายนก ฉันละเบื่อแกจริงๆ” ขวัญชีวาพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจเธออุตส่าห์ไม่บอกเรื่องคนในคลิปแล้ว แต่เจ้าตัวยังไปรู้มาจากในห้องน้ำจนได้

“ก็ในเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย น่ะ เอ็ดดี้ เผิง พระเอกที่ฉันบอกหน้าเหมือนคนในคลิป แสดงเป็นท่านแม่ทัพซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องไงล่ะ”

“เออ...เอาเข้าไป ตอนแรกฉันได้ยินแกพูดว่าคนในคลิปหน้าเหมือนพระเอกดังไม่ใช่หรือยายนก แต่ตอนนี้ทำไมกลับกลายเป็นว่าพระเอกดังหน้าเหมือนคนในคลิปซะงั้น”

กรวรรณหัวเราะเสียงระรื่น “แหม อย่าง เอ็ดดี้ เผิง เป็นพระเอกคนดังไง จับต้องได้ยาก แต่คนในคลิปน่าจะเป็นคนธรรมดาที่เดินอยู่ตามท้องถนน น่าจะจับต้องได้ง่ายกว่า”

คำตอบแบบกำปั้นทุบดินของผู้เป็นเพื่อน ขวัญชีวาฟังแล้วได้ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แหม ถ้าเป็นคนธรรมดาจับต้องได้ง่ายอย่างที่แกพูด ตอนนี้คงมีคนคอยแต่จ้องจะจับแล้วละมั้ง เอาละ...แกจะไปตามหาขอลายเซ็นใครก็ไปคนเดียวเถอะ ฉันขอไปซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่กฤตก่อนดีกว่า”

“เอาอย่างนั้นก็ได้เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป ตอนนี้ขอเดินหาท่านแม่ทัพของฉันก่อน” พูดจบกรวรรณก็เดินผละจากไปทันทีโดยมีสายตาของคนถูกทิ้งมองตามพลางส่ายหน้าเบาๆ อีกครั้ง แล้วเดินตรงไปยังแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษ

 

ขณะเดียวกับฌอนซึ่งบังเอิญมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับพระเอกคนดังชาวไต้หวันและกำลังถูกกล่าวขวัญอยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกำลังจะเดินผ่านกลุ่มหญิงสาวหลายคนที่ตอนแรกมีท่าทีคล้ายจะเดินเข้ามาหา แต่กลับพากันยืนมองมาด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ ชายหนุ่มจึงแกล้งยกสมาร์ตโฟนขึ้นคุยเป็นภาษาจีนแล้วเดินผ่านไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยแกมหยิ่ง ถ้าเจ้าตัวมีดวงตาข้างหลังและหูทิพย์คงได้เห็นและได้ยินที่หญิงสาวกลุ่มนั้นพูดตามหลังเป็นแน่

“ดูใกล้ๆ แล้วชักไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า เพราะตอนเห็นในคลิปไม่ได้ใส่แว่นกันแดด แต่เห็นใกล้ๆ แล้วหล่อจัง ปากแด๊งแดงน่าจูบชะมัด”

“นั่นสิ แล้วที่บอกว่าคล้าย เอ็ดดี้ เผิง พอมองใกล้ๆ ก็มีส่วนคล้ายเท่านั้น คนนี้สูงกว่าและหล่อกว่าอย่างที่ฉันว่าจริงๆ”

“บางมุมเหมือนคนไทยนะ แต่พูดภาษาจีน แล้วหล่อจริงอย่างที่เธอว่า”

“ถ้าอย่างนั้นเราอย่าเข้าไปถามดีกว่า เสียมารยาท แล้วท่าทางดูหยิ่งๆ ด้วย”

คนถูกพูดถึงตามหลังอย่างฌอนกำลังเดินตรงไปยังแผนกเครื่องแต่งกายบุรุษโดยมีเดฟเดินตามหลังราวกับเงาตามตัวไม่ห่าง เมื่อชายหนุ่มเหลียวกลับไปมองไม่เห็นใครเดินตามมาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เฮ้อ...”

เดฟยิ้มขำท่าทางของเจ้านายก่อนจะพูดภาษาจีนเร็วปรื๋อเพราะอยู่กันตามลำพังแล้ว “นี่แหละครับอิทธิพลของโลกโซเชียล นายไม่สังเกตหรือครับว่าเดี๋ยวนี้ใครต่อใครจ้องแต่โทรศัพท์กันแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นถ้ามีข่าวหรือคลิปอะไรออกมาก็แชร์ต่อกันไปไม่นานก็ดังเป็นไฟ...เอ้อ...”

“ไฟลามทุ่ง” ฌอนพูดเติมให้พลางเลือกเสื้อยืดยี่ห้อดังที่แขวนโชว์อยู่ไปด้วย

“นั่นแหละครับ แล้วผู้หญิงทุกประเทศก็คงเหมือนกันคือคลั่งไคล้ผู้ชายหล่อ อย่างสาวๆ กลุ่มเมื่อกี้ถ้านายไม่ตีหน้าดุใส่ก็คงเข้ามาถามแล้วมั้งครับว่าเป็นคนในคลิปหรือเปล่า”

คำพูดของคนสนิทที่ว่าผู้หญิงทุกประเทศก็คงเหมือนกันหมด วูบหนึ่งทำให้ฌอนพลันนึกถึงหญิงสาวเจ้าของดวงตาวาววับผู้นั้นขึ้นมาทันที เธอจะเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่านะ ที่คลั่งไคล้คนหล่อ! ชายหนุ่มคิดแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ที่จู่ๆ ก็ไปนึกถึงหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมา “เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ มาช่วยฉันเลือกเสื้อยืดดีกว่า”

“ครับ”

ขณะเดียวกับขวัญชีวาเพิ่งเดินมาถึงแผนกแต่งกายบุรุษตรงราวที่แขวนเสื้อยืด จึงทันได้ยินชายหนุ่มสองคนคุยกันเป็นภาษาจีนก็รู้สึกสะดุดหูขึ้นมา เพราะตามปกติเคยได้ยินแต่คนจีนชอบคุยกันเสียงดังเอ็ดตะโร แต่เสียงที่เธอได้ยินกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทำให้นึกอยากเห็นหน้าคนพูดขึ้นมาในทันใด จึงค่อยๆ เดินเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ครั้นเห็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีมากสองคนกำลังช่วยกันเลือกเสื้อยืดด้วยท่าทีใกล้ชิดสนิทสนม หญิงสาวลอบมองอยู่ครู่หนึ่ง พลันความคิดบางอย่างก็วาบเข้าสู่สมอง มั่นใจว่าทั้งคู่ต้องเป็นคู่เกย์กันอย่างแน่นอน 

น่าเสียดาย น่าเสียดาย!

หญิงสาวนึกในใจเพราะรู้สึกเสียดายจริงๆ ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยอ่านจากในกูเกิลที่มีคนทำโพลสำรวจไว้ว่าประเทศที่นิยมเรื่องรักร่วมเพศมาเป็นอันดับต้นๆ คือไต้หวัน แล้วหน้าตาผิวพรรณของชายหนุ่มทั้งคู่ก็คาดเดาได้ว่าน่าจะมาจากประเทศนั้น เดี๋ยวนี้ผู้ชายหน้าตาดีๆ พากันเป็นแบบนี้กันหมด ล้วนแล้วแต่กินกันเอง ซึ่งเธอมักได้ยินหลายคนชอบพูดเช่นนี้

ไม่รู้อะไรทำให้ขวัญชีวาเหลียวกลับไปมองชายหนุ่มตัวสูงหนึ่งในนั้นอีกครั้ง เพราะรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น แล้วก็รีบปัดความคิดต่างๆ ออกไป นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก เดินหาเสื้อยืดให้พี่กฤตดีกว่า แต่ขณะเลือกก็อดนึกถึงผู้เป็นเพื่อนขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปตามหาคนในคลิปถึงไหนแล้ว แต่ดูท่าแล้วคงไม่ได้หรอกลายเซ็น แม่เพื่อนของเธอก็บ้าจริงเชียว คนในคลิปไม่ใช่ดารา แค่คล้ายเท่านั้น ดันจะไปขอลายเซ็นเสียนี่ บ้าเข้าขั้นจริงๆ

เป็นเวลาเดียวกับฌอนที่เวลานี้เลือกเสื้อได้ครบตามที่ต้องการและจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว กำลังยืนรอพนักงานอยู่ คนหูตาไวอย่างนักธุรกิจหนุ่มมีหรือจะไม่รู้ตัวว่าถูกลอบมอง ตัวเขาเคยถูกลอบยิงและก้าวเฉียดความตายมาแล้ว ดังนั้นจึงมีนิสัยหวาดระแวงติดอยู่ในกมลสันดาน ต้องระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ ใครเข้ามาในรัศมีใกล้ตัวย่อมไม่พ้นสายตาไปได้ ทว่าครั้นเห็นคนที่กำลังจับจ้องเขาได้อย่างถนัดตา

ผู้หญิงคนนั้นนี่นา! ผู้หญิงที่ตัวเขาสะดุดตาและอาจถึงขึ้นสะดุดใจ เจ้าของดวงตาวาววับที่เขาประทับใจทั้งจากความสวยและคารม เมื่อกี้เขาเพิ่งจะนึกถึงเธออยู่หยกๆ ไม่นึกฝันว่าตัวเป็นๆ ก็มาให้เห็นถึงตรงหน้าเสียแล้ว

ฉับพลันหัวใจของชายหนุ่มผู้ไม่เคยรู้สึกรู้สากับผู้หญิงคนไหนมาก่อนก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นกุมไว้แล้วอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ หัวใจเขามีปฏิกิริยากับผู้หญิงที่เพิ่งจะพบหน้ากันได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลยก็ว่าได้ แต่สายตาแปลกๆ ที่เธอมองมาเมื่อครู่ล่ะ หมายความว่าอย่างไร

ขณะกำลังคิดจะเดินเข้าไปใกล้ก็ต้องชะงักกึกอยู่กับที่เมื่อเห็นหญิงสาวร่างไม่สูงนักเดินตรงเข้ามาพร้อมคำทักทายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง

“หนูวา...” คนทักชะงักคำพูดไว้แค่นั้นเพราะความตื่นเต้นจนแทบจะระงับอาการเอาไว้ไม่อยู่

“เป็นไงล่ะ...ยายนก ขอลายเซ็นอีตาคนในคลิปได้หรือเปล่า”

คนถูกถามมองไปทางด้านหลังของผู้เป็นเพื่อนพลางส่ายหน้า ดวงตาเบิกโพลง ซึ่งท่าทีดังกล่าวทำให้ขวัญชีวาตีความหมายผิด

“ฉันนึกแล้วไม่มีผิดว่าขอไม่ได้ เป็นไงล่ะ คนธรรมดาจับต้องได้ของแก ฉันว่าตาคนในคลิปนั่นหน้าตาหล่อเกินไป แกก็รู้ว่าผู้ชายหน้าตาหล่อๆ เดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ที่ไหนกัน เพราะส่วนมากมักจะกินกันเอง” คนพูดพูดพลางเดินไปกระซิบกระซาบข้างหูเพื่อน “แกดูผู้ชายสองคนข้างหลังฉันเป็นตัวอย่าง หน้าตาก็ดี แต่ฉันว่าไม่พ้นต้องเป็นพวกนั้นแน่นอน”

“แก...รู้ได้ไง...หนูวา” กรวรรณพูดน้ำเสียงอึกอัก

“เมื่อกี้ฉันเห็นเขาสองคนช่วยกันเลือกเสื้อด้วยท่าทีสนิทสนมเกินกว่าที่ผู้ชายปฏิบัติกัน แกเชื่อสายตาฉันสิว่าเป็นชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์” น้ำเสียงของคนพูดฉายความมั่นใจในสายตาตัวเอง

“แกจะบ้าเหรอหนูวา ผู้ชายคนนี้...คือคนในคลิปที่ฉันตามหาไงล่ะ” กรวรรณพูดโพล่งเสียงดังออกมาหลังหายจากอาการอึกอักที่เป็นอยู่ก่อนหน้า

ขวัญชีวาค่อยๆ หันไปมอง ไม่ได้นึกตื่นเต้นกับคำพูดของเพื่อนที่บอกว่าคนข้างหลังคือคนในคลิปแต่อย่างใด แต่นึกขำตัวเองต่างหากที่นินทาคนในระยะเผาขน อย่างนี้ต้องเรียกว่าจุดไต้ตำตอ แต่ก็ยังใจชื้นเข้าข้างตัวเองว่าคนถูกนินทาคงฟังไม่ออกหรอกน่า

“เขาฟังฉันไม่ออกหรอก เมื่อกี้ฉันได้ยินเขาพูดภาษาจีนอยู่กับหู”

“แกแน่ใจนะว่าเขาฟังไม่ออก หน้าตาเขาก็คล้ายคนไทยนะ”

“แน่สิ” ขวัญชีวาตอบราวกับปลอบตัวเองทั้งที่เริ่มไม่มั่นใจนัก

ดวงตาคมกริบของคนถูกนินทาระยะเผาขนเขม้นมองหญิงสาวคนพูดอย่างจดจำ ทำไมเขาจะไม่รู้ความหมายที่เจ้าตัวพูดออกมาเหยงๆ ที่ว่าผู้ชายหน้าตาหล่อๆ เดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ที่ไหน คำซุบซิบนั่นก็คงไม่แคล้วว่าเขาเช่นกัน ช่างกล้านัก เขาจะเอาคืนให้สาสมใจเชียวละ กรุงเทพฯ ไม่ได้กว้างมากมายสำหรับเขานักหรอก ต่อให้เป็นทั้งเมืองไทยด้วยก็ได้ ชายหนุ่มคิดอย่างหมายมั่นปั้นมือก่อนจะหันไปพูดกับคนสนิทด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

“ไปกันเถอะเดฟ”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น