โต๊ะที่ถูกจัดไว้สำหรับผู้เข้าประชุมมีทั้งหมดยี่สิบตัว เวลานี้มีผู้เข้าร่วมประชุมนั่งจนเกือบเต็มทุกโต๊ะ โดยนั่งโต๊ะละสองคน ด้านหน้าของห้องมีเครื่องฉายที่มีหน้าจอรับภาพและระบบเสียงในตัว
เป็นเพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาเริ่มประชุม ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วจึงต่างจับกลุ่มสนทนาเพื่อรอเวลา
“เป็นไงบ้างครับคุณประชา ผลประกอบการไตรมาสแรก” เจ้าของบริษัทนำเข้าย่านธนบุรีเอ่ยถาม
“ก็พอไปได้อยู่ครับคุณสมเกียรติ ผมโชคดีที่จับงานถูกทาง ถึงยังไงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังอยู่ได้ครับ ตราบใดที่คนเรายังต้องพึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้า” เจ้าของบริษัทย่านบางนาบอกยิ้มๆ
“นั่นสิครับ บริษัทผมก็เหมือนกัน ยอดขายไปได้เรื่อยๆ แม้ไม่ถึงกับพุ่งทะลุติดเพดานแต่ก็ไม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ได้กำไรนิดหน่อยถือว่าดีแล้วครับ” คนพูดพูดจบก็หันไปมองรอบด้านก่อนจะพูดเสียงไม่ดังนัก “วันนี้คุณจักรบอกผมว่าการจัดประชุมครั้งนี้มีตัวแทนของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากไต้หวันมาเข้าร่วมด้วย”
“อ๋อ ผมรู้แล้ว เป็นตัวแทนจากกลุ่มหงอี้ พรีซิชัน อินดัสตรี”
“อ๋อ กลุ่มหงอี้เองเหรอ เท่าที่ผมรู้ประธานบริษัทชื่อมิสเตอร์เผิงไห่อี้ แต่ครั้งที่แล้วตอนประชุมที่ไฮแอทมีมิสเตอร์เกาเทียนหมิงมาเป็นตัวแทนมาร่วมประชุมด้วย คนคนนี้ถือว่าเป็นคนเก่งเชียวละ แต่ครั้งนั้นคุณไม่ได้มานี่คุณประชา”
“ครั้งที่แล้วผมติดธุระ แต่ครั้งนี้ได้ข่าวว่าลูกชายประธานบริษัทมาเอง”
“ลูกชายมิสเตอร์เผิงเหรอ” คนพูดทำเสียงคล้ายดูหมิ่น “จะสู้มิสเตอร์เกาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ตามที่ผมติดตามข่าวคราวในวงการอิเล็กทรอนิกส์นะ ลูกชายประธานเผิงคนนี้เก่งหาตัวจับยากเชียวละ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีชื่อติดหนึ่งในสิบนักธุรกิจดาวรุ่งของไต้หวันอันดับต้นๆ นะคุณสมเกียรติ หนึ่งในสิบที่ว่าดูเหมือนจะชื่อเผิงอวี้เยี่ยนี่แหละ เรียนจบมาจากต่างประเทศ”
“ที่เก่งอาจเป็นเพราะบารมีพ่อหรือเปล่า ส่วนใหญ่นักธุรกิจเก่งๆ มักจะมีลูกไม่ได้เรื่องได้ราว”
คนถูกพูดถึงระยะเผาขนว่าไม่ได้เรื่องได้ราวที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลังของทั้งคู่ฟังแล้วเกือบจะแค่นหัวเราะออกมา ไม่รู้เป็นไงสิน่า มาเมืองไทยคราวนี้ตัวเขากลายเป็นหัวข้อสนทนาของคนอื่นอยู่ร่ำไป
“รู้สึกลูกชายประธานเผิงน่าจะนั่งอยู่ข้างๆ คุณประภัทรนะ หน้าตาดูก็รู้ว่าเป็นคนไต้หวัน คนในวงการตั้งฉายาเขาว่ายิ้มพิฆาตนะครับ” คนพูดชำเลืองมองไปยังชายหนุ่มที่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนไทย
“ยิ้มพิฆาต หมายความว่ายังไงหรือครับคุณประชา”
“ตามที่ผมรู้มานะ น่าจะหมายถึงเวลาเขายิ้มทีไร สิ่งที่เกิดตามมาแทนที่จะเป็นสิ่งดีๆ แต่กลับเป็นสิ่งไม่ดีเสียมากกว่า”
“มีฉายายังกับหนังจีนกำลังภายในเลยนะคุณประชา”
ลูกชายประธานบริษัทตัวจริงเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เป็นความรอบคอบของเดฟอีกเช่นเคยที่มักจะพาตัวเองไปนั่งห่างจากตัวเขาเพื่อระแวดระวังภัยให้เหมือนทุกครั้ง โดยแยกไปนั่งหลังสุดซึ่งก็เป็นผลดี ทำให้เขาได้รู้ว่ามีคนพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง ส่วนฉายายิ้มพิฆาตนั้นเขารับรู้อยู่แล้วว่ามีคนเรียกแบบนี้ แต่ไม่นึกว่าจะดังมาถึงเมืองไทย
ชายหนุ่มเข้ามาในห้องประชุมได้พักใหญ่แล้ว ตามสายตาของเขาผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยกลางคน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเป็นเจ้าของกิจการแทบทั้งสิ้น ตอนเขาเดินเข้ามาจึงแทบไม่มีใครให้ความสนใจ ไม่มีใครมองเลยด้วยซ้ำ แต่ละคนต่างพากันจับกลุ่มนั่งคุยกัน
“นั่น คุณจักรพงษ์ออกไปพูดเปิดการประชุมแล้ว”
ทุกคนภายในห้องพากันเงียบกริบเมื่อร่างท้วมของเจ้าของบริษัทผู้จัดประชุมก้าวออกไปด้านหน้าสุดแล้วกล่าวเปิดงาน
“ขอต้อนรับทุกท่านสู่การประชุมผู้ประกอบการด้านอิเล็กทรอนิกส์ครั้งที่หนึ่งของปีนี้”
พูดจบก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือกราวใหญ่
“วันนี้ผมจะไม่ขอพูดอะไรมาก จะขอใช้เวลาอันมีค่าทุกวินาทีให้ทุกท่านได้รับความรู้สมกับที่เสียเวลามา การประชุมครั้งนี้พวกเราได้รับเกียรติจากกลุ่มหงอี้ พรีซิซัน อินดัสตรี หวังว่าทุกคนคงเคยได้ยินชื่อนะครับ ซึ่งตอนนี้กลุ่มหงอี้ได้เข้าถือหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ในกิจการของซันโนกรุ๊ปจากนักธุรกิจญี่ปุ่นที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก”
ทุกคนในที่ประชุมส่งเสียงฮือฮาตามด้วยเสียงพูดคุยกันเบาๆ และพากันเงียบเมื่อจักรพงษ์พูดต่อ
“คุณคงไม่รู้ว่าคนสำคัญในการเจรจาเข้าถือหุ้นของซันโนกรุ๊ปคือมิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ย และจะเป็นตัวแทนของกลุ่มหงอี้ พรีซิซัน อินดัสตรี มาพบกับทุกท่านในวันนี้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาตอนนี้ขอเชิญพบกับมิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ยได้เลยครับ ซึ่งทุกคนอาจจะต้องพบกับความประหลาดใจ แต่จะเป็นเรื่องอะไรเดี๋ยวก็รู้ครับ”
เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นและทุกคนต่างพากันหันไปมองทางด้านหลังที่เดฟนั่งอยู่เป็นตาเดียว
ทว่าคนถูกเมินอย่างฌอนในชุดสูทสีดำเรียบหรูกลับลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่าสง่างาม จากนั้นก็ก้าวเดินออกไปด้านหน้า หยุดยืนอยู่ข้างกายของจักรพงษ์ ท่ามกลางสีหน้าแสดงความประหลาดใจระคนคาดไม่ถึงของใครหลายคนในห้องที่ไม่คิดมาก่อนว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวกับดาราภาพยนตร์ ที่ตั้งแต่เข้ามาก็นั่งนิ่งเงียบเชียบไม่ได้สนใจกับสิ่งรอบข้าง คือคนที่กำลังถูกกล่าวถึงด้วยความชื่นชม
“เป็นไงครับ ประหลาดใจกันไหมครับ คงไม่มีใครคิดว่าตัวแทนของกลุ่มหงอี้ และที่สำคัญเป็นบุตรชายของประธานเผิงจะหน้าตาหล่อเหลาราวกับพระเอกหนังใช่ไหมครับ”
สายตาทุกคู่ที่พากันจ้องไปยังฌอนเป็นตาเดียวคือคำตอบที่ดี
“เดี๋ยวยังมีเรื่องให้ทุกคนประหลาดใจกันต่อ” จักรพงษ์พูดยิ้มๆ แล้วจึงหันไปพูดกับคนข้างๆ เป็นภาษาอังกฤษ “เชิญแนะนำตัวด้วยครับ”
“สวัสดีครับ ผมเผิงอวี้เยี่ยนจากบริษัทหงอี้ พรีซิชัน อินดัสตรี ดีใจและยินดีมากที่ได้มาร่วมประชุมกับผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ที่ประเทศไทยในครั้งนี้”
คำแนะนำตัวที่ดังก้องกังวานไปทั่วห้องประชุมทำเอาสีหน้าของใครหลายคนราวกับเห็นผี จากภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำที่ได้ยิน ตามด้วยเสียงปรบมือกราวใหญ่อีกครั้ง จักรพงษ์ที่นอกจากจะรับหน้าที่เป็นผู้จัดการประชุมในครั้งนี้ยังสวมบทบาทเป็นพิธีกรเอง ครั้นเห็นสีหน้าแสดงอาการประหลาดใจของผู้เข้าร่วมประชุมก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง
“ผมไม่ได้บอกกับทุกคนใช่ไหมครับว่าภรรยาของมิสเตอร์เผิงประธานกลุ่มหงอี้เป็นคนไทย ดังนั้นมิสเตอร์เผิงอวี้เยี่ยจึงมีสายเลือดของความเป็นไทยครึ่งหนึ่งไหลเวียนอยู่ในกาย”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจนทั่วห้องประชุมที่จัดแบบคอนเฟอเรนซ์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ใกล้ชิดกันและมีส่วนร่วมในการประชุม
“ผมมีชื่อภาษาไทยว่าพชร หรือจะเรียกผมว่าฌอนก็ได้ครับ” ฌอนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เป็นไงครับ ประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าใช่ไหมครับ เอาละ ผมจะไม่ให้ทุกคนต้องเสียเวลานะครับ วันนี้ในฐานะตัวแทนของผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณฌอนให้เกียรติมาร่วมประชุมด้วย แต่ก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญของการประชุมในหัวข้อที่ว่า ‘พัฒนาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างไรให้ตอบโจทย์ลูกค้า’ ผมขอคุยนอกเรื่องเพื่อเป็นวิทยาทานให้ผู้เข้าร่วมประชุมสักนิด โดยจะขอเอ่ยถามคุณฌอนในฐานะที่เป็นทายาทของกลุ่มหงอี้ พรีซิชัน อินดัสตรี ที่ปัจจุบันยึดครองตลาดสินค้าทางด้านอิเล็กทรอนิกส์มาตลอดหลายสิบปี รู้สึกกดดันบ้างไหมครับ ที่ตอนนี้คงมีใครต่อใครพากันมุ่งความสนใจไปยังตัวคุณ”
สีหน้าของคนถูกถามยังเรียบเฉยดุจเดิม ก่อนจะปรายตามองไปทางผู้เข้าร่วมประชุมในห้องแวบหนึ่ง
“โดยธรรมชาติของมนุษย์ไม่ว่าจะชาติไหน ส่วนใหญ่มักจะมองกันที่ภาพลักษณ์มากกว่าตัวตน ผมเคยได้รับสายตาดูหมิ่นดูแคลนจากคนรอบข้างตอนเข้าทำงานในบริษัทตัวเองใหม่ๆ หลายคนมองว่าพ่อเก่ง ลูกคงไม่ได้เรื่องได้ราวหรือไม่มีน้ำยา”
คำว่าไม่ได้เรื่องได้ราวฌอนพูดเน้นเสียงค่อนข้างหนัก แล้วชายหนุ่มก็เห็นชายสองคนที่นั่งพูดพาดพิงถึงเขาพากันสะดุ้งจนเกือบจะหลุดยิ้มขำออกไป เขาคิดว่าสองคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่าเขานั่งอยู่ข้างหลัง ก่อนจะหยิบแก้วน้ำเย็นตรงหน้าขึ้นดื่มแล้วพูดต่อ
“ส่วนเรื่องกดดันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมหรอกครับ คำว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงานยังใช้ได้จริงเสมอสำหรับคนตั้งใจทำงาน”
“นั่นสิครับ ไม่อย่างนั้นคุณฌอนคงไม่ถูกคัดเลือกให้เป็นนักธุรกิจดาวรุ่งติดอันดับต้นๆ ของไต้หวันครับ”
ดวงหน้าของคนถูกถามจุดรอยยิ้มจางๆ ไม่ได้แสดงอาการโอ้อวดอะไรออกมาแม้แต่น้อย “การจัดอันดับไม่สำคัญเท่ากับผลของงานที่ทำออกไปหรอกครับ อันดับไม่ต่างอะไรกับหัวโขนที่คนสวมให้เท่านั้น ดังนั้นผมจึงไม่สนใจว่าตัวเองจะติดอันดับเท่าไหร่ สนใจแค่ว่าทำอย่างไรจึงจะพัฒนาและเพิ่มความสามารถในการผลิตสินค้าของบริษัทให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเท่านั้นเป็นพอครับ”
คำพูดดังกล่าวฟังคล้ายโอหังแต่คือความจริง ดังนั้นจึงมีเสียงปรบมือดังกราวใหญ่
“ผมทึ่งกับความคิดของคนรุ่นใหม่จริงๆ ผมหมดคำถามนอกเรื่องแล้วครับ และจะพาทุกคนเข้าสู่หัวข้อประชุมในวันนี้ด้วยเรื่อง ‘พัฒนาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างไรให้ตอบโจทย์ลูกค้า’ และในฐานะที่กลุ่มหงอี้ซึ่งเป็นบริษัทของไต้หวันแห่งแรกที่ได้เข้าสู่ตลาดหุ้นของต่างประเทศอย่างนิวยอร์ก และยังครองตำแหน่งผู้นำการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุด คุณฌอนมีความเห็นอย่างไรกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันครับ”
“สำหรับผมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเป็นสินค้าต้นน้ำ ซึ่งจำเป็นและสำคัญจนขาดไม่ได้สำหรับอุตสาหกรรมอื่น...”
นักธุรกิจหนุ่มตอบข้อซักถามได้อย่างคล่องแคล่วชัดเจน นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการที่มาเข้าร่วมประชุมอีกหลายข้อ ในฐานะที่เป็นตัวแทนบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ แต่ก็สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นมากโข มิหนำซ้ำสายตาของทุกคนที่เคยมองเขาอย่างหมิ่นแคลนเพราะไม่รู้ความเป็นมาก็เปลี่ยนไป สิ่งสำคัญที่ได้รับจากการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ นอกจากความเชื่อมั่นของทุกคนที่มีต่อนักธุรกิจหนุ่มและองค์กรแล้ว ผลพลอยได้คือยอดออร์เดอร์จำนวนมหาศาล
ฌอนอยู่ร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการอีกพักใหญ่ก็เอ่ยขอตัว ครั้นขึ้นมานั่งบนรถยนต์ก็บอกคนสนิท
“ไปบริษัททีเค อิเล็กทรอนิกส์ก่อนเลยแล้วกัน ส่วนอีกสองบริษัทเดี๋ยวค่อยโทร. เลื่อนไปพรุ่งนี้”
“ครับนาย”
“แอนดี้โทร. มาบ้างหรือเปล่า” แอนดี้ที่ชายหนุ่มถามถึงคือคนสนิทอีกคนซึ่งเป็นคู่หูของเดฟ ทั้งคู่จัดเป็นมือซ้ายและมือขวาที่ทรงประสิทธิภาพ
“โทร. มาครับ บอกว่ากำลังจับตามองคนที่นายบอกไม่ให้คลาดสายตาเลยครับ”
ร่างสูงกว่ากว่ามาตรฐานหญิงไทยของขวัญชีวาในชุดมินิเดรสผ้าลูกไม้สีเหลืองอมฟ้าเข้ารูปแขนกุดสั้นเหนือเข่าอวดช่วงขาเรียวสวย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของหญิงสาว เพราะเมื่อก่อนชุดที่สวมเป็นประจำมักจะเป็นชุดกระโปรงค่อนข้างเรียบร้อย สีสันจืดชืด
ทรงผมที่ซอยมาใหม่จนเข้ารูปแล้วปล่อยสยายไม่ทำเป็นมวยง่ายๆ เหมือนเคยส่งให้ดวงหน้าที่สะสวยอยู่แล้วดูเจิดจ้าเปล่งประกาย จนคนในบริษัทที่เดินสวนต่างจำกันไม่ได้ หลายคนหันมามองจนเหลียวหลัง จนคนปฏิวัติตัวเองแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
คนเรามองกันที่ภาพลักษณ์จริงๆ
คงมีเพียงป้าละเมียดซึ่งเป็นแม่บ้านประจำสำนักงานซึ่งกำลังทำความสะอาดพื้นอยู่เท่านั้นที่จดจำเธอได้และเอ่ยปากทักทาย
“อ้าว หนูวาเองหรือนี่ ป้าก็หลงนึกว่าเป็นพนักงานคนใหม่ สวยผิดตาจนป้าจำเกือบไม่ได้เลยนะคะ”
“แต่ป้าก็ยังจำหนูได้นี่นา” คนถูกทักว่าสวยผิดตาทักตอบยิ้มๆ
“แหม ใครจะจำหนูวาไม่ได้ล่ะคะ ป้าก็ได้หนูวานี่แหละคอยช่วยเหลือยามเดือดร้อนไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ป้าเสียดายไม่อยากให้หนูลาออกเลย” แม่บ้านวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกว่าเสียดายจริงๆ เพราะหญิงสาวผู้นี้เป็นคนมากด้วยน้ำใจ มักจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้นางตลอดมาที่ทำงานอยู่ที่นี่ ซึ่งก็พอๆ กับเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายที่มีนิสัยไม่ต่างกัน
“หนูได้งานใหม่ตรงกับที่เรียนมาค่ะ แล้วที่ทำงานใหม่ก็ไม่ไกลจากบ้านด้วย เลยตัดสินใจลาออกดีกว่า ไม่ต้องเหนื่อยเรื่องเดินทางด้วย” คำพูดดังกล่าวจะว่าเป็นการโกหกก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เรียกว่ามีส่วนที่ไม่จริงบ้างเท่านั้น
“แล้วทำไมวันนี้ป้าเพิ่งจะทำความสะอาดล่ะจ๊ะ ปกติตอนหนูมาทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้วนี่นา”
“อ๋อ ป้าไม่ค่อยสบายค่ะ เดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จจะขอลางานน่ะหนูวา”
ขวัญชีวาเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าหน้าของคู่สนทนาค่อนข้างซีดเซียว “อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อเอ่ยขอตัวเสร็จหญิงสาวก็เดินเข้าไปในแผนกจัดซื้อที่ตัวเองทำงานอยู่ ซึ่งสายตาทุกคู่ของคนในห้องต่างก็พุ่งตรงมาที่เธอเป็นจุดเดียว
“อ้าว หนูวาเองหรอกเหรอ พี่มองตั้งนานว่าใคร เมื่อกี้ก็เดินเฉียดกันอยู่ยังนึกว่าเป็นพนักงานใหม่” นาถยารุ่นพี่ในแผนกที่สนิทสนมกันดีทักทายน้ำเสียงตื่นเต้น “สวยจนจำแทบไม่ได้เลยนะจ๊ะ”
“แต่มาสวยตอนนี้สายเกินไปหรือเปล่าจ๊ะขวัญชีวา” มลทิพย์หญิงสาวผู้มีทั้งความสวยและปากเสียรวมอยู่ด้วยกันพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
ขวัญชีวานั่งลงที่โต๊ะประจำของตัวเองแล้วกวาดตามองไปทั่วแผนกจัดซื้อของบริษัททีเค อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเธอทำงานที่นี่มาร่วมสองปี ก่อนจะผุดยิ้มที่มุมปาก บริษัทใหญ่ๆ ทั่วไปไม่รู้ว่าเป็นเหมือนที่นี่หรือเปล่า ด้วยพนักงานแต่ละคนต่างจ้องทำลายล้างกันทั้งด้วยคำพูดและการกระทำเมื่อสบโอกาส ไร้ซึ่งความจริงใจ อย่างมลทิพย์นี่แสดงอาการไม่ชอบหน้าเธอมาตลอด ยิ่งเมื่อก่อนเห็นปกรณ์ให้ความสนใจเธอก็ยิ่งแสดงอาการที่ว่าให้เห็นจนออกนอกหน้า เห็นเธอเงียบเฉยก็ยิ่งได้ใจ
ทำไมเธอจะมองไม่ออกว่าเจ้าตัวคงจะแอบชอบในตัวเจ้านายนั่นแหละ และไหนๆ ทำงานอีกแค่เดือนเดียวก็จะออกแล้ว ขอจัดหนักสักครั้งเถอะน่า!
“ขอบคุณนะคะพี่มลทิพย์ที่ชมว่าสวย” พูดพลางก็ยกขาขึ้นไขว้แล้วมองไปยังคนชมยิ้มๆ ตามด้วยคำพูดเสียงอ่อนหวานทว่านัยน์ตาลุกวาว “หนูวาน่ะสวยมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ ไม่ได้เพิ่งมาสวยตอนนี้ แถมสวยตามธรรมชาติ คิ้วไม่ต้องทำ จมูกไม่ต้องเสริม หน้าไม่ต้องทำโบทอกซ์ ฉีดฟิลเลอร์หรือร้อยไหมเหมือนที่พี่มลทำ ดังนั้นคำพูดที่ว่าสายเกินไปคงนำมาใช้กับหนูวาไม่ได้หรอกค่ะ”
มลทิพย์อ้าปากค้างเมื่อถูกคนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพูดโต้ตอบ ทั้งยังถูกแฉเรื่องจริงที่ใครๆ ก็รู้แต่ไม่เคยมีใครกล้าพูดเพราะอีกฝ่ายเป็นคนสนิทของกนกลดา แม้แต่ทุกคนภายในห้องก็มีอาการไม่ต่างกัน
“คนบางคนชอบทำตัวกร่างไปทั่วเลยคิดว่าคนที่ตัวเองกร่างใส่เงียบเฉยคือยอม พวกทำตัวอย่างนี้จริงๆ แล้วมักไม่มีน้ำยาอะไรหรอก ที่ชอบกระแนะกระแหนหนูวามาตลอดน่ะเป็นเพราะทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงที่คอยแล้วคอยเล่าว่าเมื่อไหร่มะม่วงจะหล่นลงพื้นเสียที แต่ก็ผิดหวังเมื่อมะม่วงลูกนั้นถูกสอยไปเสียก่อน ตัวเองเลยอด ต้องฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว”
คำพูดของคนที่เคยเงียบเฉย ใครพูดอะไรก็ยิ้มอย่างเดียว ทำเอาทุกคนในห้องที่นอกจากจะอ้าปากค้าง ยามนี้ยังมีอาการหลุดยิ้มเผลอหัวเราะออกมาด้วย
“เธอ...”
“ถึงกับเถียงไม่ออกเลยหรือคะ เอาคำพูดของหนูวาไปคิดเป็นการบ้านได้นะคะ”
“หนูวา...หนูวา ฉันมีเรื่องตื่นเต้นจะเล่าให้แกฟังด้วยละ”
เสียงเอะอะของกรวรรณที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำ ทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ค่อยๆ คลี่คลายกลับคืนสู่ปกติ ยิ่งเห็นสายตาวาววับของขวัญชีวาที่กวาดมองต่างก็พากันหลบและหันไปสนใจงานของตัวเองแทนทันที ตัวมลทิพย์นั้นเคยแต่ปากเก่งใส่คนอื่นมาตลอด แต่พอเจอคนจริงเข้าก็หาคำพูดมาเถียงไม่ทันจึงจำต้องกลับไปที่โต๊ะตัวเองด้วยท่าทีกรุ่นโกรธ
“เรื่องตื่นเต้นอะไรของแกอีกล่ะ แกนี่มีเรื่องตื่นเต้นในสมองวันละกี่ร้อยเรื่องหรือยายนกกระเต็น”
คนถูกเรียกยายนกกระเต็นค้อนใส่เพื่อนก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องตื่นเต้น “ฉันได้ยินมาว่าตอนบ่ายจะมีตัวแทนจากหงอี้ บริษัทผู้ผลิตจากไต้หวันที่บริษัทเราเพิ่งสั่งซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ลอตใหญ่มาเยี่ยมชมกิจการ แล้วฉันต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย นี่ถ้าแกไม่ลาออก คนที่มีส่วนร่วมด้วยก็ต้องเป็นแก”
เพราะขวัญชีวายื่นใบลาออก กรวรรณจึงถูกย้ายมาจากแผนกการตลาดมาทำหน้าที่แทนเพราะมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษค่อนข้างดี
“แค่นี้ก็ต้องตื่นเต้นด้วย” คนฟังถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“ตื่นเต้นสิ ขนาดคุณปกรณ์กับคุณลดายังต้องเข้าบริษัทเลยนะวันนี้ทั้งที่เพิ่งแต่งงาน แสดงว่าคนที่มานี่ต้องสำคัญจริงๆ มาจากไต้หวันซะด้วย ได้ยินพี่มลทิพย์บอกว่าเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งติดหนึ่งในสิบของไต้หวัน หวังว่าคงไม่ใช่คนในคลิปหรอกนะ”
การได้ยินเพื่อนพูดถึงเรื่องแต่งงานของปกรณ์ไม่ได้ทำให้ขวัญชีวารู้สึกอะไรแต่อย่างใด “แกนี่ท่าจะบ้าใหญ่แล้วนะ ถึงกับเอาคนในคลิปมาเกี่ยวข้องด้วย”
กรวรรณหัวเราะคิก “ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง ยังเสียดายไม่หายที่เมื่อวานเจอตัวเป็นๆ ดันไม่กล้าขอลายเซ็น ทำงานกันเถอะแกต้องถ่ายโอนงานให้ฉันนี่นา”
“นั่นละคือสิ่งที่แกควรจะทำในตอนนี้มากกว่าจะไปคิดอะไรเพ้อเจ้อ” แล้วคนว่าเพื่อนไปหยกๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังเอาเรื่องที่บิดากับพี่ชายคุยกันถึงเรื่องนักธุรกิจดาวรุ่งติดหนึ่งในสิบของไต้หวันไปผูกกับคนในคลิปด้วยเหมือนกัน แล้วก็ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา คนที่บิดากับพี่ชายพูดถึงนั่นก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ด้วยนี่นา
“เมื่อกี้แกว่าคนที่เป็นแขกสำคัญของบริษัทเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งของไต้หวันใช่ไหม”
“ใช่ ได้ยินจากปากพี่มลทิพย์นั่นแหละ แล้วแกถามทำไม”
คนถูกถามจึงเล่าสิ่งที่ได้ยินบิดากับพี่ชายพูดถึงให้ฟังและตบท้ายด้วยคำพูด “น่าจะเป็นคนคนเดียวกันนั่นแหละ ได้ยินพี่กฤตบอกว่าชื่อฌอน”
“อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว พี่มลทิพย์บอกว่าแขกของบริษัทก็ชื่อคุณฌอน คาดว่าคงเป็นคนเดียวกันนั่นแหละ คงไม่มีใครชื่อซ้ำกันและทำธุรกิจเหมือนกันหรอกน่านังหนูวา”
ขวัญชีวาฟังแล้วก็รู้สึกตงิดอยู่ในใจ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตงิดนั่นคืออะไร
ช่วงบ่ายหลังพักกินอาหารกลางวันขวัญชีวาก็ตกอยู่ในอาการง่วงงุนจนตาแทบปิด กรวรรณก็ไม่อยู่เพราะต้องเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายบริหารในห้องของผู้บริหารคนใหม่คือกนกลดาเพื่อคุยงานกับตัวแทนบริษัทผู้ผลิตจากไต้หวัน นอกจากเพื่อนของเธอแล้วยังมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้ออีกสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมลทิพย์ที่เข้าร่วมประชุมด้วย
“ง่วงนอนชะมัด” หญิงสาวบ่นพึมพำพลางปิดปากหาว แล้วก็พลันนึกถึงกาแฟขึ้นมา ทั้งที่เป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะนานๆ ครั้งเธอถึงจะดื่ม แต่เวลานี้เธอจำเป็นต้องพึ่งพามัน
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลุกขึ้นตรงไปยังห้องแพนทรีเพื่อขอกาแฟป้าละเมียดดื่มแก้ง่วง ทว่าเมื่อไปถึงก็นึกได้ว่าเมื่อตอนเช้าแม่บ้านวัยกลางคนบอกว่าช่วงบ่ายจะขอลาเพราะไม่สบาย หญิงสาวจึงจัดแจงชงกาแฟด้วยตัวเอง แถมอาจหาญชงโดยใส่น้ำตาลแค่ช้อนเดียว เพราะเคยได้ยินบรรดาพี่ชายบอกว่าแก้ง่วงได้ชะงักนัก
ขณะกำลังจะก้าวออกจากห้องแพนทรีกลับไปยังโต๊ะทำงานก็เห็นกรวรรณเดินเข้ามาด้วยท่าทีและสีหน้าตื่นเต้น
“หนูวา รู้ไหมว่าฉันมีเรื่องตื่นเต้นจะบอกแก” คนพูดนั้นอยากจะพูดเรื่องตื่นเต้นที่ว่าออกไปใจจะขาดแต่ต้องสะกดกลั้นเอาไว้
“เรื่องตื่นเต้น!” ขวัญชีวาทวนคำพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ตื่นเต้นอีกแล้ว วันนี้แกมีเรื่องตื่นเต้นอะไรนักหนาหือยายนก”
คนถูกว่าทำหน้าระรื่นแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่เรื่องตื่นเต้นที่ว่านั่นฉันขออุบเอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นกว่า”
คราวนี้ความง่วงที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหายไปอย่างรวดเร็วจากคำพูดของผู้เป็นเพื่อน “มีเรื่องตื่นเต้นกว่าอะไรอีกล่ะ ฉันปวดหัวกับแกจริงๆ”
คราวนี้สีหน้าตื่นเต้นก่อนหน้าของกรวรรณเปลี่ยนเป็นม่อยลงทันที “ก็บ่ายนี้ป้าเมียดลาป่วยไง คุณลดาเลยให้ฉันวานคนในแผนกชงกาแฟไปเสิร์ฟแขกคนสำคัญ แล้วฉันเพิ่งย้ายมาอยู่จะกล้าไปไหว้วานใครได้เล่า จะชงเองแกก็รู้ว่าฝีมือฉันห่วยแตกแค่ไหน แกช่วยฉันหน่อยนะหนูวา เพราะแกน่ะชงกาแฟอร่อย”
“แกจะให้ฉันทำอะไรนะยายนก” คนถูกไหว้วานแกมใช้ถามย้ำ
กรวรรณหัวเราะแหะๆ “จะให้แกช่วยชงกาแฟไปให้แขกคนสำคัญของบริษัทหน่อย นึกว่าช่วยฉันทางอ้อมนะหนูวา”
สีหน้าและท่าทางของผู้เป็นเพื่อนที่กำลังคะยั้นคะยอทำให้ขวัญชีวาที่กำลังจะพูดปฏิเสธถอนหายใจเฮือกใหญ่ ‘เอาละ ไหนๆ ก็จะลาออกแล้ว อยู่ทำงานอีกแค่เดือนเดียว ทำตัวเป็นแม่บ้านสักวันจะเป็นไรไปขวัญชีวา’
“เอาละ แกไปเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการให้ แล้วต้องชงกี่ถ้วยบอกมา”
เมื่อรู้จำนวนคนในห้องขวัญชีวาก็จัดการต้มน้ำชงกาแฟตามจำนวนที่ผู้เป็นเพื่อนบอก โดยเธอชงเป็นกาแฟดำทุกถ้วยแล้วเตรียมน้ำตาลกับครีมเทียมเผื่อไว้ให้ ถ้าเป็นบรรดาพี่ชายทั้งสามหรือคนในบ้าน เธอจะชงสำเร็จให้เพราะรู้ว่าแต่ละคนดื่มรสชาติแบบไหน
เมื่อยกกาแฟทั้งหมดพร้อมด้วยน้ำเย็นวางบนรถเข็นเรียบร้อย ขวัญชีวาก็หยิบชุดกันเปื้อนของป้าละเมียดมาสวม ไหนๆ ทำตัวเป็นแม่บ้านแล้วก็ต้องให้เนียน หญิงสาวมองเงาตัวเองแล้วอดหัวเราะไม่ได้ โดยไม่รู้เลยว่าอีกในไม่กี่นาทีข้างหน้า ตัวเองจะหัวเราะไม่ออก
“ผมต้องขอขอบคุณด้วยนะครับที่เลือกใช้สินค้าของหงอี้ รับรองว่าจะไม่ทำให้บริษัทของคุณผิดหวังกับคุณภาพของสินค้าอย่างแน่นอน” ฌอนเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งคุยกันด้วยเรื่องงานมาพักใหญ่จนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวที่เป็นตัวแทนของฝ่ายจัดซื้อที่มาร่วมประชุมและกำลังจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความขบขันภายใต้สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ และที่ตามมาคือความรื่นรมย์
โลกช่างกลมอย่างไม่น่าเชื่อและไม่คาดฝัน เพราะผู้หญิงคนนี้คือคนที่เขาพบเมื่อวานพร้อมกับเธอผู้นั้นนั่นเอง ซึ่งตัวเขาสังหรณ์ใจแล้วว่าจะต้องได้พบกับหญิงสาวอีกคนอย่างแน่นอน
“บริษัทผมต่างหากที่ต้องขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติ ใครต่อใครต่างก็ทราบว่าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทไหนก็ดีไม่เท่าของหงอี้หรอกครับ”
ปกรณ์พูดพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างขวางมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยสายตาชื่นชมระคนอิจฉา เขานึกไม่ถึงว่าตัวแทนจากหงอี้จะเป็นถึงบุตรชายของประธานบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่แห่งเกาะไต้หวัน มิหนำซ้ำยังเป็นลูกครึ่งไทย – ไต้หวัน นอกจากจะหล่อเหลาแล้วยังเป็นคนเก่งมากความสามารถอีก
“ถ้าคุณฌอนไม่แวะมาเยี่ยมบริษัท ผมก็คงไม่รู้หรอกว่าสายเลือดครึ่งหนึ่งของคุณเป็นคนไทย”
“นั่นสิคะ ถ้าไม่บอกลดาก็ไม่ทราบเช่นกัน” กนกลดาพูดเสียงอ่อนหวานพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชื่นชม “ลดารู้มาว่าตอนนี้ชื่อของคุณฌอนติดอันดับหนึ่งในสิบนักธุรกิจดาวรุ่งของไต้หวัน”
ดวงหน้าของคนถูกชมเรียบเฉย “การติดอันดับไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นเก่งหรือมีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นหรอกครับ และตัวผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง เพียงแค่มีโอกาสมากกว่าเท่านั้น”
กรวรรณที่เงี่ยหูฟังอยู่แทบจะโห่ร้องออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ นอกจากหล่อแล้วยังมีความคิดน่ายกย่องอีก อยากรู้นักว่าถ้าผู้เป็นเพื่อนเข้ามาเจอคนในคลิปและยังเป็นคนที่ตัวเองพูดนินทาระยะเผาขน ซ้ำยังเป็นคนคนเดียวกับตัวแทนบริษัทผู้ผลิตจากไต้หวัน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่พ่อกับพี่ชายพูดถึง
แค่คิดก็สนุกจะแย่แล้ว
“คุณนก ไหนบอกว่าจะวานเพื่อนคุณให้มาทำหน้าที่แทนแม่บ้านไงล่ะ ทำไมไม่เห็นมาเสียที”
คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งโหยงก่อนจะยิ้มแหยๆ
“นกบอกไปแล้วค่ะ หนูวารับปากแล้ว คงกำลังมามั้งคะ”
คนที่ลอบฟังอยู่แอบยิ้มในใจเพราะจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อหนูวา คงไม่มีใครชื่อซ้ำกันหรอกน่า
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ดวงหน้าของกรวรรณปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
“คงมาแล้วค่ะ”
ความคิดเห็น |
---|